อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด 209 นาฬิกาชีวิต

Now you are reading อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด Chapter 209 นาฬิกาชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 209 นาฬิกาชีวิต

หลังจากที่โดนกระทำชำเรามา นาฬิกาชีวิตก็ได้บรรจบถึง จนเธอตื่นขึ้นมา

เธอพลิกตัวตามความเคยชิน แขนของเธอวางอยู่บนหน้าอกเปลือยเปล่าของเขา เธอรีบดึงมือกลับมาทันที ก่อนที่ดวงตาที่พร่ามัวจะจ้องมองไปยังเขา ภายใต้ขนตาที่ยาวอย่างเป็นธรรมชาติ เขายังหลับสนิทอยู่

เธอพลิกตัวกลับไป ก่อนจะถูกมือใหญ่โอบมาที่เอวอย่างแนบแน่น เธอคิดว่าเขาตื่นแล้วจึงกระซิบไปว่า “จิ่งเป่ยเฉิน?” 

แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา

เธอสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ก่อนจะดึงแขนของเขาออกและค่อย ๆ ขยับตัวเองให้หลุดพ้นจากแขนที่ยาวของเขา

เมื่อลุกออกจากเตียงก็เห็นรอยแดงอยู่ทั่วร่างกาย อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เมื่อคืนนี้หมินลี่ประสบอุบัติเหตุ แล้วเขาจำเป็นต้องตื่นเต้นทำขนาดนี้เลยเหรอ?

เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและออกไปทำอาหารเช้า ตอนที่ขึ้นไปชั้นบนเพื่อเรียกหยางหยางและหน่วนหน่วนนั้น เธอคิดว่าหยางหยางจะพูดอะไร แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่ดี

หน่วนหน่วนเองก็ไม่รู้ว่าเธอนั้นได้ลุกออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คิดว่าเธอเพิ่งลุกขึ้นตื่นจากเตียงและไปทำอาหารเช้าตามปกติ

เมื่อทั้งสามคนเดินลงไปยังชั้นล่าง จิ่งเป่ยเฉินก็ตื่นแล้วเช่นกัน เขาเดินออกมาดื่มน้ำด้วยชุดนอนสีเทาอ่อนและพูดขึ้นว่า “อรุณสวัสดิ์”

“พ่อจ๋า อรุณสวัสดิ์!” หน่วนหน่วนก้าวเท้าลงบันไดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเดินไปหาเขาอย่างเร่งรีบ

อันโหรวก้มหน้ามองหยางหยางและถามอย่างอ่อนโยนไปว่า “ไม่ทักทายบ้างเลยเหรอ”

ในตอนนี้จิ่งเป่ยเฉินวางแก้วน้ำที่ถืออยู่ในมือลง ก่อนจะอุ้มหน่วนหน่วนขึ้นมา แต่สายตากลับมองไปทางพวกเขา ผมของเขาดูยุ่งเหยิง รวมกับร่องรอยที่เกิดจากการนอนหลับเมื่อคืน เขาค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมาจาง ๆ ราวกับสิ่งที่เขาเคยเป็นก่อนหน้านี้และตอนนี้มันดูแตกต่างกัน ตอนนี้มันคือความอบอุ่นที่เขาใฝ่หา

หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่ตำนานเขากล่าวกัน ความวุ่นวายที่งดงามนั้น?

ชายคนนี้ช่างเป็นปีศาจร้ายที่วุ่นวายเสียจริง ๆ!

“อรุณสวัสดิ์” หยางหยางตะโกนออกมา

“อรุณสวัสดิ์” จิ่งเป่ยเฉินตอบกลับอย่างพึงพอใจ

ถึงแม้ว่าลูกชายของเขาก่อนหน้านี้จะไม่ชื่นชอบเขาเท่าไร แต่นี่ก็ถือว่าเป็นมารยาทที่ดีที่ควรทำ

ระหว่างอาหารเช้า อันโหรวถึงแม้ว่าจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นกับหมินลี่ได้ แต่เมื่อเด็ก ๆ อยู่ตรงหน้า เธอจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา

หลังจากกินข้าวเสร็จ เสี่ยวหยางก็มารายงานตัวตรงตามเวลา และพวกเขาก็ออกไปพร้อมกัน

ขณะที่รถแล่นไปยังบริษัทจิ่ง เธอก็หันหน้าไปเอ่ยถามเขาทันที “หมินลี่เป็นยังไงบ้าง?”

“เขาไม่เป็นอะไร เย็บแค่สองสามเข็ม” อย่างน้อยถังซั่วก็พูดแบบนั้น

ถังซั่ว?

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร เขาก็รีบเอ่ยถามขึ้นมาก่อนว่า “ก่อนหน้านั้นเธอกับถังซั่วเคยเจอกันที่ KFC ใกล้โรงเรียนอนุบาลอย่างนั้นเหรอ?”

เขาจำได้ว่าเขาเคยได้ยินเสียงของเธออย่างชัดเจนในตอนนั้น พอลองย้อนกลับไปคิดดู เขาได้ยินเสียงเธอที่อยู่ใกล้ ๆ อีกอย่างถังซั่วเองก็ไม่ใช่คนที่จะชอบกินอาหารพวกนั้นด้วย เว้นเสียแต่จะมีเด็กอยู่ เธอเองก็คิดไม่ออกว่าทำไมเขาถึงได้อยู่ที่นั่นเหมือนกัน

แต่เดิมตัวเธอเองก็กังวลจนเกินไป กังวลจนลืมที่จะคิดลึกไปถึงเรื่องนี้

แม้ว่าตัวเธอนั้นคิดอยากจะถามเรื่องของหมินลี่ต่อแต่สุดท้ายก็ต้องกลืนคำพูดพวกนั้นไป เพราะเขายังติดอยู่ในห้วงของคำว่าถังซั่วอยู่ดี

“ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นใคร แต่หลังจากนั้นบางทีเขาอาจจะเดาได้ ฉันบอกกับเขาเป็นนัย ๆ แล้วว่าห้ามบอกนาย เพราะงั้นประธานจิ่ง คุณช่วยอย่าคิดอะไรที่มันเหลวไหลจะได้ไหม?” ถ้าหากเป็นไปได้เธอเองก็ไม่ต้องการมานั่งตอบคำถามซักไซ้แบบนี้อีก

โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยแล้ว

เขาเองก็ไม่ได้ตอบคำถามอะไรกับเธอ มีหรือที่เขาจะคิดพูดจาอะไรที่มันเหลวไหลแบบนั้น ทุกอย่างก็แค่อยากเห็นสิ่งที่ถังซั่วคิดอยู่ในใจก็เท่านั้นเอง

บรรยากาศระหว่างทางจนถึงบริษัทจิ่งทั้งสองต่างก็เงียบตลอดทาง แต่ทันใดนั้นเองจู่ ๆ จิ่งเป่ยเฉินก็ถูกฉีเซิงเทียนลากตัวไป เธอจึงเดินไปที่ห้องทำงานอย่างมีความสุขเพียงลำพัง

ระหว่างทางไปยังโรงพยาบาล ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ฉีเซิงเทียนเหลือบมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินด้วยสีหน้าที่เงียบสงบจากกระจกด้านหลังอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “พี่เฉิน ถ้าพี่เจอคนที่ชนหมินลี่แล้วพี่จะตกใจ!”

“ไม่หรอก” ถ้าหากไม่ได้ชนอันโหรว เขาไม่มีทางตกใจง่าย ๆ แน่

 

“อย่ามั่นใจเกินไปเลย แต่ว่าเรื่องนี้ผมไม่บอกพี่หรอกนะ จะให้พี่ตกใจเอง!” ฉีเซิงเทียนหัวเราะ ก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล พวกเขาก็รีบไปดูหมินลี่ก่อน เพียงแต่ค่ำคืนเดียว จิตใจของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างมาก เพียงแต่เสียงที่พูดนั้นกลับดูเบาลงมาก แต่เรื่องนี้จิ่งเป่ยเฉินเองที่ได้ยินกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

หมินลี่นอนอยู่บนเตียงพลางมองจิ่งเป่ยเฉินที่แวะมาเยี่ยมเขาตั้งแต่เช้า พลันแอบรู้สึกซาบซึ้งใจ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับปากพูด “พี่เฉิน คู่กรณีของผมคือฮั่วตง คนพี่ที่เพิ่งกดดันเสียจนน่าสังเวช แถมยังกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในตอนนี้อีก ตอนนี้เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปแล้ว ทั้งยังเกือบจะตาย คนนอกมีคนสงสัยหรือเปล่าว่าพี่ตั้งใจใช้ผมทำแบบนั้น?”

ภายในห้องผู้ป่วยที่เงียบสงบ ใบหน้าที่ซีดขาวสะท้อนกับกำแพงสีขาว ทำให้เห็นสีหน้าของหมินลี่ได้อย่างชัดเจน และเมื่อมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินที่เย็นชาเสียขนาดนั้น เขาก็ค่อย ๆ เงียบปากลงทันที

 

ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้คิดจะล้อเล่นเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ

ฉีเซิงเทียนก็มองไปที่เขาเช่นกัน แต่ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดอะไร ก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาจึงรู้ว่าตัวเองไม่ควรพูดอะไร จึงทำเพียงปิดปากเงียบสนิทลงทันที

 

จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองไปยังหมินลี่ที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ทันใดนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยคำพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “ทำดีมาก”

ทั้งสองคนเบิกต้ากว้างโตขึ้นทันที ฉีเซิงเทียนยิ้มและพูดขึ้นว่า “พี่เฉิน เป็นเพราะฮั่วตงไปยั่วโมโหพี่อย่างนั้นเหรอ?”

ไม่อย่างนั้นทำไมทุกอย่างถึงเปลี่ยนไปมากเสียขนาดนี้ ยึดบริษัทของคนอื่น แถมยังมีความสุขขนาดนั้นอีกที่มีคนถูกรถชน

เดิมทีฉีเซิงเทียนก็ไม่ได้คาดหวังที่จะได้ยินคำตอบของจิ่งเป่ยเฉินเท่าไร แต่เขาก็ตอบรับด้วยเพียงหนึ่งคำว่า “อืม”

“ที่จริงแล้ว เป็นมันที่ชนผม” หมินลี่พูดจบก็กลัวว่าคำพูดของตัวเองจะไม่น่าเชื่อถือพอ จึงเอ่ยเสริมพูดอีกครั้งหนึ่ง “จริง ๆ นะ มันดื่มเหล้ามาด้วย!”

“เอาเถอะ นายรักษาอาการบาดเจ็บให้ดี ๆ อย่ามายุ่งเรื่องพวกนี้เลย!” ฉีเซิงเทียนโบกมืออย่างหงุดหงิดใจ ตอนนี้เขาสนใจเรื่องความโกรธแค้นของทั้งสองคนเสียมากกว่า

จิ่งเป่ยเฉินกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “เดิมทีฉันตั้งใจ…..จะเล่นสนุกกับมันอย่างช้า ๆ เท่านั้นเอง”

ฉีเซิงเทียนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เขาอยากจะเอ่ยถามพี่เฉินจริง ๆ ว่าอย่าพูดคำให้สั้นจะได้ไหม เล่นสนุกกับเขาจนถึงตายเลยอย่างนั้นเหรอ?

จิ่งเป่ยเฉินเมื่อมองไปที่สีหน้าของหมินลี่ที่ดูดีขึ้น เขาก็ตัดสินใจที่จะออกไป “ฉันขอตัวก่อนละกัน”

ฉีเซิงเทียนเดินตามหลังเขาไปอย่างมีความสุข “พี่เฉิน ทำไมฮั่วตงถึงได้จ้องเล่นงานพี่ด้วย อยากให้ผมช่วยจัดการเขาให้ไหม? มันจะได้เห็นดีกันไปเลย!”

จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้ตอบกลับเขาแต่อย่างใด แต่กลับเดินไปพลางเอ่ยตั้งคำถามไปพลาง “ปิดข่าวพวกนี้แล้วหรือยัง?”

“แน่นอนว่าปิดแล้ว รวดเร็วเชียวแหละ” ฉีเซิงเทียนกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเดินตามไปข้าง ๆ จิ่งเป่ยเฉิน

ฝีเท้าของเขาเดินไปอย่างมั่นคง หลังจากที่เดินตรงไปตามทางเดินที่เงียบสงบ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อก็ลอยฟุ้งไปทั่ว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมันเท่าไรนัก

ฉีเซิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเหลือบมองไปยังคนที่อยู่ข้าง ๆ ทำไมรู้สึกว่าเขายังคิดอะไรอยู่ในใจก็ไม่รู้

“พี่เฉิน ฮั่ว……….”

แต่จิ่งเป่ยเฉินเองก็ขัดคำพูดของเขาขึ้น “บริษัทสกุลฮั่วให้นายรับผิดชอบก่อนชั่วคราว”

แม้ฉีเซิงเทียนคิดอยากจะเอ่ยถามคำพูดสุดท้ายแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา จากนั้นทั้งสองคนก็รีบกลับไปยังบริษัทจิ่งทันที

เมื่อก้าวเข้าไปในลิฟต์ จิ่งเป่ยเฉินก็เอ่ยคำพูดโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด “ให้อันอีหานชงกาแฟสักแก้วหนึ่งทีสิ”

“รับบัญชาครับพี่” ฉีเซิงเทียนเดินไปอย่างสบาย ๆ มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของอันโหรว

ขณะที่จิ่งเป่ยเฉินนั่งลงบนเก้าอี้หนังนั้น จู่ ๆ ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก เขาเหลือบมองโดยไม่รู้ตัว และก็เห็นฉีเซิงเทียนเดินเข้ามา

ทั้งสองคนมองหน้ากัน ฉีเซิงเทียนยกโทรศัพท์ที่ยังรอการเชื่อมต่ออยู่ พลางพูดขึ้นว่า “แปลกมาก ที่ห้องทำงานไม่มีคน โทรศัพท์เองก็ไม่ได้รับสาย”

จิ่งเป่ยเฉินได้ยินก็พลันขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปด้านนอก

เมื่อเขาออกไปได้หนึ่งชั่วโมง เธอก็ไม่อยู่จริง ๆ อันโหรวนี่เธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่!

ฉีเซิงเทียนรีบก้าวฝีเท้าและเดินตามออกไป ก่อนหน้านั้นทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่ตอนที่เธอถูกลักพาตัวไปนั้น จิ่งเป่ยเฉินก็ดูห่วงใยเธอมาก ถ้าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เขาคงไม่ได้ทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมาใช่ไหม?

“พี่เฉิน มีร่องรอยของคอมพิวเตอร์ที่ถูกใช้งานอยู่ เธอน่าจะมาถึงบริษัทแล้วนะ ถ้าอยู่ในบริษัทก็คงไม่น่าจะมีอุบัติเหตุอะไร พี่อย่า……….”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด