เพียงหนึ่งใจ 375-376

Now you are reading เพียงหนึ่งใจ Chapter 375-376 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 375 ลูกชายแสนดี

 

 

           “พอแล้ว หยุดโวยวายกันเสียที” น่าหลันฉิงมองค้อนใส่เฟิงหรงสวี่ อายุขนาดนี้แล้วยังจะมาต่อล้อต่อเถียงกับลูกชายของตัวเองอีก ไม่รู้จักอายบ้างเลย พลางลูบศีรษะของเฟิงเยี่ยนเฉิงที่กำลังโกรธขึงขังด้วยความอ่อนโยน “เฉิงเอ๋อร์ เกิดเรื่องอันใดหรือ?”

 

 

           “จะมีเรื่องอันใด คงเป็นเรื่องที่พี่ชายยังไม่ยอมรับเขาน่ะสิ” ทุกครั้งก็จะถูกเล่นงานกลับมาเช่นนี้ ทว่าเฟิงหรงสวี่รู้สึกเหมือนว่าตนเองพูดอะไรผิดไป พลางเหลือบมองน่าหลันฉิงด้วยสายตาระแวดระวัง ไม่ใช่เฟิงเยี่ยนเฉิงคนเดียวที่เฟิงหลีเลี่ยไม่ยอมรับ แต่น่าหลันฉิงต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญ คิดได้แล้วจึงถูจมูกตนเองอย่างไม่รู้จะเอ่ยอันใด

 

 

           ดวงตางดงามของน่าหลันฉิงประกายความโศกเศร้าซึ่งเฟิงหรงสวี่ก็จับได้ แต่ไม่รู้ว่าควรปลอบใจอย่างไรดี เรื่องนี้เป็นคดีที่ตัดสินยากมาก และไม่ใช่อะไรที่จะแก้ปัญหาได้ในเวลาเพียงวันสองวัน

 

 

           น่าหลันฉิงประคองใบหน้าเล็กของเฟิงเยี่ยนเฉิง “เฉิงเอ๋อร์ พี่ของเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมมากมายมาตั้งแต่เด็ก คนที่แม่รู้สึกผิดไปตลอดชีวิตก็คือเขา แม่ไม่เคยดูแลเขาให้ดีเลยสักนิด เจ้ารับปากแม่ได้หรือไม่ว่าจะไม่ถือโทษโกรธพี่เขา รับปากว่าจะช่วยแม่ดูแลเขาให้ดี” นางรู้ว่าช่วงนี้ตนเองเฝ้าแต่คิดหาวิธีชดเชยให้กับเฟิงหลีเลี่ย จึงได้ละเลยเขาไปบ้าง เป็นการลำเอียงเลือกปฏิบัติ ทว่าเวลาที่นางได้เห็นหน้าเฟิงหลีเลี่ย ความรู้สึกผิดก็จะแผ่ซ่านออกมาจากในใจ ทำให้นางลืมทุกสิ่งอย่าง แม้แต่เฟิงหรงสวี่ยังต้องขยับไปยืนอยู่ทางด้านข้าง

 

 

           เฟิงเยี่ยนเฉิงทำปากบึ้ง เอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่ว่าเขาไม่ชอบพวกเรา ปฏิบัติกับยัยปัญญาอ่อนนั่นดีกว่าพวกเราเสียอีกนะพ่ะย่ะค่ะ” เขายังคงฝังใจกับคำพูดในวันนี้ของมู่หรงชูอวิ๋น

 

 

           พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่ยัยปัญญาอ่อนนั่นเป็นสะใภ้ที่เสด็จพี่แต่งเข้ามา

 

 

           “อวิ๋นเอ๋อร์นางเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า จงอย่าได้พูดจาเช่นนี้” แม้นางจะรู้สึกเช่นกันว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่คู่ควรกับเทพบุตรผู้ชาญฉลาดและรูปงามอย่างลูกชายของนาง ทว่าเมื่อได้เห็นพวกเขาเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่มีความรู้สึกขัดแย้งแต่อย่างใด อีกอย่างเฟิงหลีเลี่ยจะเผยความอ่อนโยนออกมาเฉพาะเวลาที่อยู่ต่อหน้ามู่หรงชูอวิ๋นเท่านั้น นางรู้สึกว่าเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว บางทีหญิงที่เฉลียวฉลาดอาจจะไม่สามารถกระเทาะหน้ากากน้ำแข็งที่ผนึกอยู่บนใบหน้าของเขาได้

 

 

           “แต่ว่า…”

 

 

           “แต่ว่าอะไรนักหนา เสด็จแม่บอกเช่นไรก็เช่นนั้น” เฟิงหรงสวี่ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เขาเป็นคนใหญ่คนโตถึงเพียงนั้นทว่ากลับถูกเมินทิ้งไว้เสียนาน

 

 

           ……

 

 

           ณ พระราชวังเหลืองทองแวววาว

 

 

           “เจ้าบอกว่าคนตระกูลมู่หรงไม่อยู่แล้วเช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้ถลึงพระเนตรดวงโตดั่งระฆังเงินทอดพระเนตรองครักษ์เงาที่อยู่เบื้องล่าง “เราให้พวกเจ้าคอยจับตาดูไว้ เหตุใดช่วงเวลาเพียงข้ามคืนจึงหายตัวไปหมดได้เช่นนี้”

 

 

           ฮ่องเต้ทรงเป็นกังวลพระทัยว่ามู่หรงไป๋จะแปรพักตร์ในชั่วคราว มู่หรงจางกุมกำลังทหารฝีมือดีอยู่ในมือหนึ่งแสนนาย ยังมีทหารทางด้านตะวันตกที่เป็นลูกน้องที่ภักดีอีกนับไม่ถ้วน คนเหล่านั้นล้วนแต่เคารพบุคคลไม่เคารพสัญลักษณ์ ด้วยเหตุนี้พระองค์ถึงได้กักขังตระกูลมู่หรงให้อยู่แต่ในวังหลวง ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าช่วงเวลาเพียงหนึ่งคืนทุกคนในตระกูลมู่หรงจะหายตัวไปได้เช่นนี้ พูดถึงความจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้รุ่นต่อรุ่นนั้น พวกเขาก็คือคนที่จงรักภักดีที่สุด เกิดเรื่องเช่นนี้แล้วจะไม่ให้พระองค์ทรงพิโรธได้อย่างไร

 

 

           “ตอนนี้เฟิงหลีเลี่ยอยู่ที่ใด?” สายพระเนตรแผ่รังสีอำมหิตออกมา ขอเพียงจับตัวลูกรักของตระกูลมู่หรงมาได้ พระองค์ไม่มีทางเชื่อว่าพวกเขาจะกล้าทรยศ พระองค์ไม่ทรงรังเกียจที่จะทำลายมู่หรงไป๋แม้แต่หน่อรากก็ไม่ให้เหลือไว้

 

 

           องครักษ์เงาก้มหน้าพลางกราบทูล “ทูลฝ่าบาท ขาดการติดตามตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนที่ส่งไปติดตามล้วนถึงแก่ความตายทั้งสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เนื่องจากเส้นทางยาวไกล พวกเขาก็เพิ่งทราบข่าวเมื่อไม่นานมานี้ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเฟิงหลีเลี่ยจะปกปิดซ่อนเร้นได้มิดชิดเยี่ยงนี้ เขาคิดมาตลอดว่าเฟิงหลีเลี่ยเป็นเพียงอี้หวังที่ไร้ความสามารถเท่านั้น

 

 

           “บัดซบ!” ฮ่องเต้กริ้วโกรธทรงขว้างสาร์นกราบทูลลงกับพื้น พระหัตถ์ขวากำหมัดแน่นกดลงบนหน้าโต๊ะ พลางตรัสวาจาประชดเสียดสี “ที่แท้เขาก็เป็นลูกชายแสนดีของเรา รู้ว่าจะต้องต่อต้านเราอย่างไร”

 

 

           พระองค์ควรจะบีบคอเขาให้ตายไปเสียแต่แรก ไม่ใช่เก็บชีวิตไร้ค่าของเขาเอาไว้ หากพระองค์เดาไม่ผิดล่ะก็ เกรงว่าเฟิงหลีเลี่ยคงจะบากหน้าไปขออาศัยอยู่กับเฟิงหรงสวี่เสียแล้ว

 

 

 

 

ตอนที่ 376 พบหน้า

 

 

         มู่หรงไป๋สองมือไขว้หลัง ลมโชยพัดท่ามกลางหมู่ไม้เขียวขจีดังสวบสาบ กลิ่นหอมขจรจากบุปผาสองฝากฝั่ง ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นไปอย่างน่าพอใจและเงียบสงบ สายลมพัดผ่านเส้นผมนุ่มลื่นของเขา ทอดมองขบวนรถที่เคลื่อนมาแต่ไกล มุมปากพลันโค้งยิ้ม

 

 

           เมื่อรถม้าหยุดนิ่งลง เขาก็รีบเข้าไปช่วยพยุงฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ลงจากรถม้า

 

 

           “คารวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ เดินทางมาลำบากแล้ว” มู่หรงไป๋ทำความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่าและมู่หรงจางด้วยความสุภาพอ่อนน้อม เขาเฝ้าเป็นกังวลว่าพวกฮูหยินผู้เฒ่าจะถูกคนของฮ่องเต้ตรวจพบ กระทั่งวินาทีที่ได้เห็นหน้าพวกเขา ความกลัดกลุ้มในใจจึงค่อยๆ วางกลับลงก้นบึ้งหัวใจ

 

 

           ก่อนที่เฟิงหรงสวี่จะเริ่มต้นต่อสู้ทางการเมืองได้ส่งสาส์นมาถึงพวกเขาแล้วหนึ่งฉบับ พวกเขาเองก็เดาได้ว่าต่อไปตระกูลมู่หรงจะเป็นเช่นไร จึงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เมื่อเกิดการปฏิวัติของฮ่องเต้ขึ้น หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงจวนก็ได้ทำตัวเป็นปกติ กระทั่งฮ่องเต้คลายความสงสัยในตัวพวกเขาลงไปแล้ว สุดท้ายพวกเขาก็อาศัยเส้นทางลับใต้ดินของตระกูลมู่หรงหนีออกมาในยามวิกาล ท้ายที่สุดก็เดินมาถึงยังพื้นที่คุ้มกันของมู่หรงไป๋

 

 

           มู่หรงจางรู้เรื่องที่เฟิงหรงสวี่ต้องการเริ่มต้นต่อสู้ทางการเมืองมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ด้วย เหตุผลเพราะองค์รัชทายาทของฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็คือเฟิงหรงสวี่เพียงผู้เดียว การที่เฟิงหรงสวี่ออกท่องเที่ยวภูเขาลำธารนั้นก็เพื่อลบล้างความคิดที่ฮ่องเต้มีต่อเขาไปให้สิ้น ทำให้พระองค์เข้าใจว่าเฟิงหรงสวี่ไม่มีความสนใจในตำแหน่งฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงคาดการณ์ไว้ว่าฮ่องเต้จะต้องลงมือกับพระองค์อย่างแน่แท้ ดังนั้นก่อนที่พระองค์จะสวรรคตได้นำพระราชโองการสืบทอดราชบัลลังก์มาเก็บไว้ในมือของมู่หรงจาง รับสั่งให้เขาคอยช่วยเหลือเฟิงหรงสวี่ พวกเขาต้องกล้ำกลืนความอัปยศช่วยงานของฮ่องเต้ ก็เพื่อที่จะดำเนินการให้ภารกิจที่หนักอึ้งนั้นสำเร็จ พวกเขารู้สึกรังเกียจฮ่องเต้ที่ฆ่าพระบิดาสังหารพี่น้องเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังทรงมีพระวรกายแข็งแรงทว่าต้องมาสวรรคตก่อนวัยอันควร

 

 

           คนรุ่นหลังของตระกูลมู่หรงหาได้มีใครทราบเรื่องนี้แม้แต่น้อย เรื่องของหมู่บ้านเจวี๋ยซีก็เป็นฝีมือลูกน้องคนหนึ่งของมู่หรงจาง สุ่มฝึกซ้อมกำลังทหารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทวงคืนบัลลังก์ของเฟิงหรงสวี่ในอนาคต ทว่าผู้ใดจะได้ทันคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติและจากมนุษย์ขึ้นเช่นนี้ เพื่อไม่ทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็น อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สะดวกที่จะเข้าไปจัดการ เฟิงหรงสวี่จึงสั่งให้มู่หรงจางวางแผนให้เฟิงหลีเลี่ยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ด้วย เพราะอย่างไรแล้วในมือของเฟิงหลีเลี่ยยังมีกองกำลังทหารที่แม้แต่เฟิงหรงสวี่ยังต้องระมัดระวัง สำหรับความแข็งแกร่งมากเพียงใดนั้นไม่มีผู้ใดทราบได้ ทำได้เพียงดึงเขาเข้ามาอยู่ในกองกำลังด้วยถึงจะสบายใจ ผู้ใดจะคาดคิดเป็นเพราะเรื่องของมู่หรงชูอวิ๋นที่ทำให้เรื่องทั้งหมดผูกเข้าด้วยกันได้จริง ทั้งยังตัดไม่ขาดด้วย

 

 

           ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ต้องเร่งรีบเดินทางนานครึ่งเดือนเต็มกว่าจะมาถึงค่ายประจำการของมู่หรงไป๋ เนื่องจากร่างกายไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยเป็นสาวแล้ว จึงรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปจนถึงกระดูก ทว่าความปิติยินดีที่ได้มาพบหน้ารวมตัวกันอีกครั้งก็ได้ชะล้างความเหน็ดเหนื่อยไปจนสิ้น ได้พบหน้าของมู่หรงไป๋เห็นผิวที่กว่าจะขาวขึ้นได้ไม่ง่ายต้องกลับมาดำอีกครั้ง “ลำบากเจ้าแล้ว”

 

 

           ทางด้านซูซื่อที่หายใจหอบเหนื่อย แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยนั่งรถนานถึงเพียงนี้ เกิดอาการเมารถอาเจียนตลอดทาง นางคิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลมู่หรงจะคิดเป็นปรปักษ์เช่นกัน ตอนที่นางทราบเรื่องถึงกับตกใจชะงักอึ้งไปเลย ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เป็นกังวลว่าตระกูลซูจะต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ ทว่านางก็เข้าใจหากตัวเองยังคงอยู่ ก็จะกลายเป็นบุคคลที่เป็นภัยคุกคามของคนตระกูลมู่หรงได้ ซึ่งนางเชื่อว่าฮ่องเต้จะต้องเห็นแก่จางจื่อฉีพระชายาขององค์ชายรอง ไว้ชีวิตคนสกุลซูบ้าง

 

 

           “ท่านแม่ขอรับ”

 

 

           มองเห็นมู่หรงมู่ร่างกายแข็งแรงกำยำขึ้นกว่าตอนอยู่เมืองหลวง ผิวหน้าขาวผ่องเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำอยู่มาก รัศมีที่แผ่ซ่านจากกายมีความสุขุมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในคราหนีตายนั้นสุดแสนจะจนตรอก หวาดกลัวว่ายังไม่ถึงที่หมายจะต้องพบกับเหล่าทหารที่ฮ่องเต้ทรงรับส่ังให้ไล่ติดตามเสียก่อน สุดกลั้นน้ำตาที่อัดอั้นมานาน โผเข้าไปกอดมู่หรงมู่น้ำตาหลั่งริน “มู่เอ๋อร์…” ในครานี้มีเพียงมู่หรงมู่เท่านั้นที่จะปลอบใจนางได้

 

 

           มู่หรงมู่เก้กังทำตัวไม่ถูก ใบหน้าหล่อเหลาเผยความเก้อเขิน อย่างไรแล้วคนที่ติดตามพวกเขามายังมีพี่น้องที่มักจะไปเที่ยวสนุกกับเขามาด้วย

 

 

           มู่หรงอิงเห็นมู่หรงมู่สุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก จิตใจพลันสงบลงไปไม่น้อย ยังดีที่ไม่ได้มาเป็นตัวถ่วงที่นี่

 

 

           มู่หรงจางย่นคิ้วขมวด ช่างวางตัวไม่สุภาพเรียบร้อยเอาเสียเลย ทว่าก็ไม่ได้สนใจพวกเขาอีก ก่อนจะเดินเข้าไปยังค่ายทหารพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่า เดิมทีการเดินทางครั้งนี้พวกเขาควรมาถึงตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว หากไม่ใช่เพราะซูซื่อไม่ค่อยสบาย จึงต้องหยุดพักให้นางได้ปรับตัว การเดินทางจึงต้องล่าช้าออกไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด