เพียงหนึ่งใจ 394 ปกป้องนางให้ดี / 395 ชิงบัลลังก์ 1

Now you are reading เพียงหนึ่งใจ Chapter 394 ปกป้องนางให้ดี / 395 ชิงบัลลังก์ 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 394 ปกป้องนางให้ดี 

 

 

         เฟิงหลีเลี่ยอุ้มมู่หรงชูอวิ๋นไปนอนบนรถม้า ก่อนจะหันกลับมาพูดกับฉินอวิ๋นซิน “ท่านต้องปกป้องดูแลนางให้ดี ไม่เช่นนั้นข้าจะทำลายสกุลฉินให้ราบเป็นหน้ากอง” ทุกถ้อยคำที่เฟิงหลีเล่ียเปล่งออกมานั้นเยียบเย็นน่ากลัวราวกับวิญญาณ ทว่าก็กระจ่างชัดดั่งแสงจันทร์สาดส่อง เขาไม่ได้พูดเล่น หากมู่หรงชูอวิ๋นมีอันเป็นไป เขาไม่รังเกียจที่จะทำให้คนทั้งสกุลฉินฝังร่างลงสุสานไปพร้อมกัน อย่างไรเสียนางก็ไม่อยู่แล้ว การมีอยู่เหล่านั้นก็เป็นเพียงสิ่งย้ำเตือนว่ามู่หรงชูอวิ๋นจากไปอย่างไร 

 

 

           คิ้วโก่งงามของฉินอวิ๋นซินย่นขมวดบางๆ ใบหน้ารูปไข่อันละเอียดอ่อนของนางฉายแววความกังวลอยู่จางๆ เพิ่มความน่าหลงใหลให้กับโฉมหน้าที่งดงามโดดเด่น เห็นแล้วใจต้องหวั่นไหว “อวิ๋นเอ๋อร์เป็นลูกสาวของข้า ข้าย่อมใช้ชีวิตเพื่อปกป้องนางอยู่แล้ว” 

 

 

           สกุลฉินไม่อนุญาตให้คนอื่นเหยียบเข้ามาในอาณาเขตโดยง่าย ด้วยเหตุนี้ฉินสุยจึงสั่งให้คนมาอารักขามู่หรงชูอวิ๋นกลับไปตั้งแต่เช้าตรู่ ที่นี่มีเพียงฉินอวิ๋นซินที่เป็นคนของพวกเขา จึงมีเพียงนางที่จะไปเป็นเพื่อนมู่หรงชูอวิ๋นได้ 

 

 

           เฟิงเยี่ยนเฉิงรีบพูดเสริมขึ้นมา “รวมถึงหลานชายของข้าด้วย หากข้ารู้ว่าพวกเจ้าดูแลเขาไม่ดี ข้าจะให้เสด็จพ่อส่งกองทัพใหญ่ไปสังหารพวกเจ้าให้หมดทุกคน” เมื่อคิดได้ว่าจะไม่ได้พบหน้าหลานชายตัวน้อยที่ชอบดูดนิ้ว แก้มยุ้ยเป็นพวงคนนี้แล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจ เวลาที่เขาพักอยู่ในวังใหญ่บนภูเขากับเสด็จแม่ เฟิงเยี่ยนเฉิงเด็กสุดจึงไม่มีใครเล่นกับเขา กว่าจะได้เจอกับเด็กที่อายุน้อยกว่าตนทั้งยังมีวัยวุฒิต่ำกว่าตนด้วย ทว่าได้อยู่ด้วยกันไม่เท่าไรก็ต้องพลัดพรากกันเสียแล้ว 

 

 

           เฟิงหรงสวี่ที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ทางด้านข้างพลันกลายมาเป็นเป้าล่อในทันที ลูบจมูกตัวเองพลางคิดในใจ คนที่ทำให้เดือดร้อนไม่มีที่ว่างเว้น แท้จริงแล้วเห็นจะมีแต่เจ้าลูกชายคนเดียวของเขาคนนี้เสียแล้ว หากใครไม่รู้เรื่องราวจะคิดว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยงเสียเอง 

 

 

         “ส่งเด็กให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ” ฉินอวิ๋นซินยื่นแขนไปทางน่าหลันฉิง 

 

 

           น่าหลันฉิงในมืออุ้มกุยอวิ๋นอยู่ก็เอียงหลบตัวไปโดยสัญชาตญาณ ไม่ยอมปล่อยมือ ตั้งแต่กุยอวิ๋นเกิดมาจนถึงวันนี้ก็มีแต่นางที่ดูแลเขามาตลอดสี่เดือนกว่า บัดนี้ต้องมาพลัดพรากจากกัน นางยังทำใจให้ชินไม่ได้ นางเห็นทารกน้อยเป็นเหมือนเฟิงหลีเลี่ยตอนเด็กไปเสียแล้ว ความรักที่มีให้คนทั้งสองรวมอยู่ด้วยกัน ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นเป็นพิเศษ แม้แต่เวลานอนยังวางทารกน้อยไว้ข้างกายถึงจะสบายใจได้ นางไล่ให้เฟิงหรงสวี่ไปนอนที่เก้าอี้นอนตัวเล็ก เพื่อป้องกันเผื่อเขาไม่ทันระวังอาจเผลอทับทารกน้อยได้ เฟิงหรงสวี่ได้แต่ทำหน้าน้อยใจ กุยอวิ๋นเกิดมานานเท่าไร เขาก็ไม่ได้แตะต้องภรรยาของตัวเองมานานเท่านั้น บางครั้งเขายังไม่ได้เข้าใกล้ กุยอวิ๋นก็ร้องไห้โฮเสียแล้ว น่าหลันฉิงตำหนิโทษเป็นเพราะเขา แม้แต่เด็กก็กล้ารังแกได้ ทว่าความจริงมือของเขายังไม่ทันได้ยกขึ้นมาทำสิ่งใดเลย อยากจะร้องไห้เปล่งน้ำตาของผู้บริสุทธิ์เหลือเกิน ต้องทำตัวเป็นคนดีถือศีลกินเจมาทุกวัน เขาแทบจะทนไม่ไหวอยากจะระเบิดน้ำตาออกมาอยู่แล้ว ทว่าเขาทำได้เพียงเก็บน้ำตาทุกหยดซ่อนไว้ในใจ เด็กน้อยโตเร็วแต่ละวันพัฒนาการก็ต่างไป อีกทั้งยังไม่ค่อยจดจำเรื่องราว ในอนาคตจะต้องลืมนางแน่ ไหนเลยจะยังจำได้ว่านางเป็นท่านย่าที่รักและตามใจเขาเป็นที่สุด 

 

 

           อย่างไรแล้วคนสกุลฉินกล้าลงมือกับหลานสาวแท้ๆ ของหัวหน้าเผ่าได้ นางจึงไม่กล้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรกับกุยอวิ๋น 

 

 

           จากกันวันนี้ไม่รู้เมื่อใดจะได้พบหน้า กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันเป็นนานปี 

 

 

           หลังจากรถม้าแล่นไปไกล น่าหลันฉิงไม่อาจกลั้นความรู้สึกต่อไปได้อีก ซุกหน้าลงที่หน้าอกของเฟิงหรงสวี่ น้ำตาใสเป็นประกายหลั่งริน 

 

 

           ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้มาส่ง นางไม่อยากส่งพวกเขาไปยังเส้นทางที่ไม่มีทางหวนกลับด้วยมือของตัวเอง 

 

 

           วันนั้นเฟิงหลีเลี่ยยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหนตลอดทั้งวัน สายตาของเขาทอดมองไปยังทิศทางเดียวกับรถม้าที่แล่นจากไป ทว่าทิศทางนั้นมีเพียงเกล็ดหิมะลอยล่องตามสายลม ไม่มีสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่าแห่งสีขาวโพลนของหิมะทั้งผืน 

 

 

           เกล็ดหิมะขาวบริสุทธิ์เกาะกุมอยู่บนขนคิ้วขาวโพลน รองเท้าจมอยู่ในกองหิมะ น่าหลันฉิงเห็นแล้วก็ทรมานใจเป็นที่สุดไปห้ามเขาอยู่นาน แต่ก็ไม่อาจโน้มน้าวเขาได้เลย กระทั่งขอบฟ้าเริ่มเป็นสีขาว เฟิงหลีเลี่ยถึงได้ยอมกลับไป 

 

 

        

 

 

ตอนที่ 395 ชิงบัลลังก์ 1 

 

 

         หลังจากที่มู่หรงชูอวิ๋นไปสู่สกุลฉินแล้ว เฟิงหลีเลี่ยก็เปล่ียนกลับมาเป็นคนเดิม เหมือนตอนที่โลกยังไม่มีมู่หรงชูอวิ๋นปรากฎตัว 

 

 

           เงียบไม่ส่งเสียงใดๆ ได้นานเป็นครึ่งวัน แต่ละวันจะช่วยเฟิงหรงสวี่วางแผนออกความคิดเห็น งานใดต้องทำก็จะทำสิ่งนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด ทุกคนต่างอดเป็นห่วงไม่ได้ ทว่าเฟิงหลีเลี่ยกลับทำตัวเหมือนว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น 

 

 

           นอกจากบางครั้งที่เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกมู่เหยียน จะกระตุกคิ้วขึ้นบ้าง ส่วนเวลาอื่นจะทำตัวเย็นชาดั่งก้อนน้ำแข็ง 

 

 

           ก่อนหน้านี้เวลาล่าช้ามานานหลายเดือนยังไม่สามารถตีเมืองหลวงได้เสียที ทว่าบัดนี้ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือนก็สามารถตีดินแดนใกล้เคียงกับเมืองหลวง รวมถึงยึดครองเมืองหลวงได้แล้ว 

 

 

           ในประตูท้องพระโรงอัดแน่นไปด้วยบุตรธิดาและเหล่าสตรีของฮ่องเต้ อีกทั้งเหล่าผู้นำแม่ทัพของฮ่องเต้ด้วย บรรยากาศโชยกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจาย สีหน้าของนางสนมนางในจำนวนไม่น้อยต่างซีดขาว บ้างก็เป็นลมหมดสติไป 

 

 

           เฟิงหรงสวี่และเฟิงหลีเลี่ยสองคนจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ 

 

 

           เฟิงหลีเย่มองคนทั้งสองที่ยืนตระหง่านอยู่ด้วยกัน แม้ว่าเขาจะเดาเรื่องราวออกแล้ว แต่เมื่อได้เห็นก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผวาใจ เขาพลันมีความรู้สึกไม่เข้าใจว่าเขาเป็นตัวอะไรในใจของเฟิงหลีเลี่ยกันแน่ บางทีอาจไม่ได้เป็นตัวอะไรเลยก็เป็นได้ 

 

 

           “เสด็จน้องสิบแปด เราดีกับเจ้ามาโดยตลอด” สายพระเนตรของฮ่องเต้วาบไหวไปด้วยระลอกคลื่นเยียบเย็น 

 

 

           เฟิงหรงสวี่กล่าวด้วยถ้อยคำเสียดสี “เสด็จพี่ พระองค์กล้าตรัสสิ่งนี้กับเสด็จพ่อหรือไม่ ทุกคนต่างรู้ดีว่าในสายพระเนตรของเสด็จพ่อนั้นมีข้าเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์เพียงผู้เดียว แต่พระองค์นั้นไซร้ เพื่อบัลลังก์แห่งนี้แล้วถึงกับลอบวางยาพิษให้เสด็จพ่อ คิดว่าข้าจะเข้าใจและไม่เก็บมาใส่ใจเช่นนั้นหรือ พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าข้าเกลียดชังพระองค์มากเพียงใด ดังนั้นข้าต้องการทำให้เสด็จพ่อทรงเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ครอบครองได้ แต่หาจะรักษาไว้ได้ไม่” 

 

 

           “ไร้สาระสิ้นดี ราชโองการเขียนไว้อย่างชัด…” 

 

 

           “เขียนไว้อย่างชัดเจน” เฟิงหรงสวี่แค่นหัวเราะพร้อมกับเอ่ยสวนถ้อยคำที่เขาต้องการจะเอ่ย พลางรับราชโองการจากมือของมู่เยี่ยนมาเปิด “เสด็จพี่หมายถึงราชโองการฉบับนี้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นอักษรสองตัว พร้อมกับลายพระหัตน์อันคุ้นเคย แววพระเนตรวาบไหวไปด้วยความลนลาน “มันเป็นแค่ของปลอม เจ้าคิดว่าจะนำมาหลอกคนทั้งใต้หล้าได้อย่างนั้นหรือ?” สิ่งที่พระองค์หวาดกลัวที่สุดก็คือสิ่งของของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ต่อให้เป็นเพียงอักษรเพียงตัวเดียวก็ตาม ดังนั้นทั่วทั้งแคว้นชังหมิงจึงไม่หลงเหลือสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ราชโองการสละราชบังลังก์ที่เลียนแบบลายพระหัตน์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนฉบับนั้นก็ยังถูกพระองค์เก็บซ่อนเอาไว้ การที่น่าหลันฉิงต้องพบกับภัยฆ่าล้างตระกูลก็เป็นเพราะมีคนไม่ทันระวังไปพบเรื่องราวนี้เข้า 

 

 

           “เสด็จพี่ เหตุใดพระองค์จึงยังไม่เข้าพระทัยเรื่องนี้อีก ราชโองการฉบับนี้ได้ท่านโหวมู่หรงผู้เฒ่าผู้เป็นอาจารย์ที่เคารพของข้าเก็บรักษาเอาไว้นานยี่สิบกว่าปี ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงหามันไม่พบนั่นเอง ก่อนที่เสด็จพ่อจะสิ้นพระชนม์ ได้ส่งมอบมันให้กับท่านอาจารย์ด้วยพระองค์เอง ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าต้องนอนบนฟืนกินดีขม[1] ซึ่งท่านอาจารย์ได้บอกให้ข้าอย่าแสดงความสามารถ เพราะเขากลัวว่าหากเผยความสามารถออกไป อาจนำมาซึ่งความตายได้” 

 

 

           “อ้อเกือบลืมไป ข้ามีอีกเรื่องที่อยากกราบทูลพระองค์ให้ทรงทราบ การตายของเฟิงหลีเฉิงนั้นเป็นเพราะเขาไปเจอกับสาเหตุของเรื่องนี้เข้า ทว่าในคืนนั้นเสด็จพี่แสนดีของข้า ผู้เป็นเสด็จพ่อที่ดีของเขากลับให้ความสนพระทัยสตรีที่เพิ่งจะพบหน้าและถูกพระทัย ไม่ยอมพบหน้าเขาสักนิด แต่ทรงไล่ให้เขากลับไปเสียก่อน หลานชายผู้น่าสงสารของข้า แม้ตายไปแล้วก็คงยังไม่เข้าใจเหตุผลของเรื่องนี้กระมัง” 

 

 

           หากไม่ใช่เพราะได้รู้ว่าเฟิงหรงสวี่เป็นคนสังหารเฟิงหลีเฉิงด้วยตัวเอง พระองค์คงจะยังทรงคิดว่าเฟิงหรงสวี่เศร้าเสียใจกับการจากไปของเฟิงหลีเฉิงจริงๆ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของเฟิงหรงสวี่สดใสมากเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งหวั่นกลัวมากเท่านั้น ต่างยืนตัวสั่นเทาอยู่ด้านข้าง 

 

 

           “เจ้ากล้า…” พระดัชนีสั่นระริกชี้ไปยังเขา ทว่าความเจ็บปวดพลันผุดขึ้นมาจุกพระอุระให้ทรงตรัสสิ่งใดไม่ออก 

 

 

           เฟิงหรงสวี่ได้เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้แล้ว โค้งรอยยิ้มอย่างพอใจพลางกล่าว “เสด็จพี่ ความรู้สึกที่ท่วมทะลักขึ้นมาจากพระทัยคุ้นเคยดีหรือไม่ เป็นความรู้สึกเหมือนถูกแมลงเป็นหมื่นเป็นพันกัดกินพระทัยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           ฮ่องเต้สีพระพักตร์เปลี่ยนไปถนัดตา แดงเทือกเสมือนอาทิตย์ลาลับฟ้า พระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความโกรธกริ้ว “เจ้า…” 

 

 

            

 

 

[1] นอนบนกองฟืนกินดีขม เป็นสุภาษิตจีน หมายถึงเข้มงวดกับตัวเองเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคและลบล้างการถูกหยามเกียรติ 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด