Dungeon Defence 104 บทนำ

Now you are reading Dungeon Defence Chapter 104 บทนำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Dungeon Defense: Volume 5 – อารัมภบท

 

 

ขับเคลื่อนด้วยความกระหาย

มีชีวิตอยู่ด้วยความโลภ

 

Ο

 

 

อารัมภบท

Ο

 

Ο

 

Ο

 

Ο

 

Ο

 

▯สังหารล้างสายเลือด เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ เอลิซาเบธ ฟอน ฮับสบวร์ก

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 10

โพล, ที่ราบบรูโน่, กองทัพครูเสด

 

กลางคืนเริ่มหนาวเย็นเมื่อฝนในฤดูใบไม้ผลิตกน้อยลง น้ำที่ถูกสายฝนตกลงมากลายเป็นแอ่งเกิดขึ้นไปทั่วค่ายทหารและค่อยๆ แห้งซึมลงไป ถึงจะเป็นในตอนกลางคืนก็เห็นได้ว่าน้ำค่อยๆลดเลือนหายไป

 

ตั้งแต่วันนั้นที่เราเล่น ธงขาว-ธงดำ กับ จอมมารดันทาเลี่ยน เราก็ชักจะเริ่มมีนิสัยชอบฟังเสียงเงียบสงัด เเต่หากได้ลองเผลอฟังความเงียบสงัดนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจเเล้ว ก็จะพบว่าแท้จริงความเงียบนั้นกำลังเต้นเป็นจังหวะอยู่ ถึงเเม้จะเป็นกลางคืนแสงเทียนก็สั่นไหวอย่างมั่นคงขณะที่ส่งความร้อนมาที่ร่างกายของเรา และในขณะที่มันสั่นไหว มันก็ยังทำให้ถ้อยคำที่อยู่ในมือเรากระจ่างขึ้นด้วย

 

— เดือน 4 ขึ้น 10 ค่ำ. ค่ายศัตรู ในระหว่างทำพิธีบรรพชา เกิดการกวาดล้างขึ้น ถึงจะรู้ว่ามีความขัดเเย้งภายในเกิดขึ้นในฝั่งของปีศาจ แต่ความวุ่นวายมันกลับสงบลงอย่างรวดเร็ว คิดอย่างรอบคอบเเล้ว เลยสันนิษฐานว่าจอมมารบาร์บาทอส และ จอมมารไพม่อน อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เเน่  

 

ในโน้ตที่ถูกฉีกคือกระดาษแผ่นเล็กที่คนเขียนเขียนได้ไม่กี่บรรทัด สายลับคนนี้ได้ใช้เศษกราไฟต์เพื่อเขียนข้อความนี้ขึ้นมา แต่เมื่อพิจารณาถึงลักษณะรอยหยักของตัวอักษร เป็นที่แน่ชัดเเล้วว่าข้อความไม่ได้เขียนบนพื้นที่รองผิวเรียบ เรารับรู้สึกได้ถึงความจงรักภักดีที่สิ้นหวังของสายลับที่ออกมาจากคำพูดที่หยาบคายในตัวอักษร

 

······เข้าใจได้ว่ามันเป็นข้อความลับถูกส่งมาหลังจากเขียนอย่างเร่งรีบ. ช่างสวยงามเลยทีเดียว

 

อีกาหลายตัวหย่อนกายลงบนโต๊ะของเราอย่างเชื่อฟัง เผ่าปีศาจปฏิบัติต่ออีกาอย่างดีเพราะเป็นสัตว์มงคล พวกปีศาจจึงไม่ล่าพวกมันอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เราได้เเฝงสายลับลึกเข้าไปในเงามืดของถิ่นศัตรูด้วยความระมัดระวัง เราดึงกระดาษโน้ตอีกอันออกจากข้อเท้าของอีกาตัวอื่นแล้วกางออกต่อหน้า

 

 

 

— เดือน 4 ขึ้น 20 ค่ำ. ความวุ่นวายเกิดขึ้นท่ามกลางกองกำลังของข้าศึก ขณะที่ พวกจอมมารฆ่าชีวิตของจอมมาร คนอื่นๆ กองกำลังของศัตรูก็เเตกแยกออกกลายเป็นหลายส่วน ขณะที่พวกมันเเตกแยกกัน ผสมรวมกัน และโจมตีกันไปมา ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่ นายพลฝ่ายศัตรูได้แสดงตนออกมา ในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิง ยากเกินกว่าจะคาดเดาอะไรได้อีก

 

 

“······”

 

คำพูดเเสนเรียบง่ายและตรงไปตรงมา เป็นรายงานที่เขียนขึ้นโดยไม่ได้ใช้ภาษาทางการ เรามองดูกระดาษโน๊ตที่ถูกย้อมเป็นสีเหลืองอย่างระมัดระวังในขณะที่แสงเทียนยังคงเผาไหม้อยู่

 

เราเปิดปากพูดกับหัวหน้าสาวใช้

 

“จูเลีย”

 

“พะยะค่ะฝ่าบาท.”

 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นจักรพรรดินีเมื่อไหร่ล่ะ?”

 

“หม่อมฉันจักไปกล้าพูดเรื่องของจักรพรรดิได้อย่างไรเพคะ”

 

“ย้อนกลับไปตอนที่ข้ายังเด็ก”

 

หัวหน้าเมดโค้งคำนับ นางเป็นสาวใช้ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเราอย่างเงียบๆ แม้ว่าเราจะคุยกับตัวเองจนเสียเวลา เเต่สำหรับนางคนนี้นั้นเเล้ว มันคือหน้าที่ของตัวเองในฐานะผู้ภักดีต่อเรา

 

“ทุกเย็นทุกมุมของพระราชวังจะสว่างไสวด้วยแสงเทียนมากมาย ขณะที่ข้าได้สังเกตเเละเริ่มสงสัยเกี่ยวกับเจ้าเทียนที่ข้าได้จ้องมองไปที่มันขณะเผาไหม้ที่มุมหนึ่ง ทำไมกันเจ้าเทียนที่น่าจะละลายดับไปเมื่อวันก่อน ทั้งหมดได้ดับไปเเล้ว เเต่ในวันต่อมา เทียนทั้งหมดที่ดับสนิทจะลุกขึ้นไหม้อีกครั้ง ตัวข้าตอนเด็กจึงได้เเต่ตื่นตะลึง ······พวกมันกลับมาคืนชีพอีกครั้ง อ่า ทุกๆ คืน เทียนจะฟื้นคืนชีพเพื่อส่องสว่างในคืนถัดไปที่กำลังจะมาถึง”

 

ขณะที่เราอ่านข้อความที่อีกานำมา ก็เล่าเรื่องตัวเองต่อ

 

“ข้าได้ทึกทักไปว่านั่นเป็นหลักฐานของการมีอยู่ของพระเจ้า เพราะข้าทั้งตื่นตะลึงและประหลาดใจ ข้าจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ทุกคนฟัง ไม่ว่าจะเป็นครูสอนพิเศษหรือพี่ชาย เเต่พวกไม่เลื่อมใสศรัทธาต่างพากันเห่าร้องไปว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง แต่มันก็เป็นเพียงเสียงพึมพำสุดจะโง่เขลาของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในตอนกลางวันเท่านั้น เพราะพระเจ้าทรงเป็นคนขี้อายมาก ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จเตร็ดเตร่ในพระราชวังในเวลากลางคืนไงล่ะ”

 

“······”

 

“ไม่มีใครเชื่อข้า เเละยังมาหัวเราะเยาะใส่ข้าอีก”

 

ดังนั้นเราจึงตัดสินใจจะยืนยัน

 

“ตอนกลางคืน”

 

เราแอบออกจากห้องนอนและซ่อนตัวในโถงทางเดินซึ่งมีเทียนไขหลายเล่มที่ละลายอยู่ ใจเต้นแรงเพราะคิดว่ากำลังจะได้เป็นพยานถึงการเห็นพระเจ้าเดินเตร็ดเตร่ในยามค่ำคืน

 

“แม้แต่เหล่าข้าราชบริพารก็เข้านอนแล้ว ในขณะที่พระราชวังเงียบสงบ ก็ยังมีเสียงฝีเท้าของทหารรักษาพระองค์ เสียงทหารชราไอค่อกเเค่ก และเสียงลมหวีดหวิว สิ่งต่างๆยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น······.”

 

ในตอนที่ข้ายังเด็ก

 

เสียงฝีเท้าของทหารยามเป็นเพียงเสียงฝีเท้าในห้องโถง และในขณะที่เสียงไอค่อกเเค่กเป็นเสียงที่สั่นสะเทือนอากาศอย่างน่ากลัว เสียงหวีดหวิวของลมคือเสียงของเวลาที่เสียไปอย่างน่าเบื่อหน่าย ตอนนั้นเรายังไม่ได้เรียนรู้วิธีการฟังเสียงของความว่างเปล่าเหล่านี้อย่างรู้เเจ้ง ในช่วงเวลานั้นที่แทบจะไม่มีอะไรเลย หัวใจของเรากลับเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งเมื่อนึกถึงการจะได้มาเห็นพระเจ้าในตอนนั้นเอง โลกทั้งใบกำลังเล่นเพลงที่แปรเปลี่ยนจากหัวใจที่เต้นรัวของเรา

 

เราต้องรออีกนานแค่ไหนกัน?

 

“มีคนเข้ามาใกล้ห้องโถงใต้แสงเทียน รอยเท้านั้นธรรมดาเกินกว่าจะเรียกว่ารอยเท้าของพระเจ้า รูปร่างของบุคคลนั้นช่างน่าสมเพชเกินกว่าจะเรียกว่ารูปลักษณ์ของพระเจ้า แม้ว่าก่อนที่ชายคนนั้นจะเข้าใกล้เทียน ข้าก็ยังเชื่อว่าเขาเป็นพระเจ้าเเน่ ข้าก็แค่คิดว่าพระเจ้าทำตัวติดดินเป็นเรื่องธรรมดาถึงจะน่าสมเพชก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อข้าเห็นพระเจ้าดับไฟที่คุอยู่ของเทียนไข เเละเปลี่ยนเทียนที่ละลายแล้วจุดเทียนใหม่ ข้าก็ตระหนักได้ว่านั่นไม่ใช่พระเจ้าทันที”

 

เขาเป็นเพียงคนธรรมดา

 

เขาเป็นเพียงมนุษย์ที่น่าสมเพช

 

ก่อนที่เราจะรู้ตัว เราหลับตาเเละกำลังคร่ำครวญถึงอดีต

 

“จูเลีย คืนนั้นค่อนข้างสลัว สิ่งที่ข้าเห็นคือคนปกติและน่าสมเพชเป็นเวรในกลางคืน แต่สิ่งที่ข้านึกทึกทักไปเองกลับเป็นการคาดคะเนที่มากกว่าที่ตาเห็น เทียนจะไม่ฟื้นคืนชีพ พวกมันเเค่เพิ่งถูกแทนที่”

 

“······”

“เพราะเทียนถูกเปลี่ยนทุกวัน จึงเข้าใจได้ว่ามีคนทำเทียนพวกนั้นทุกวัน เพราะมีคนหาเลี้ยงชีพด้วยการทำเทียนทุกวัน จึงเข้าใจได้ว่ามีอีกคนอีกหนึ่ง ที่เพาะปลูก เก็บเกี่ยว และส่งอาหารให้ช่างทำเทียนคนนั้น”

 

เราไม่รู้ว่ามีวิชาแบบนั้นในงานเหล่านั้นเเละเป็นส่วนสำคัญของดินแดนเรา เราไม่เคยเห็นช่างที่ทำมาหากินด้วยการทำเทียน เราไม่เคยเห็นชาวนาและไม่เคยเห็นช่างตีเหล็กที่สร้างอุปกรณ์ทำนาให้ชาวนาเหล่านั้น เเต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียนถูกแทนที่ต่อหน้าต่อตาและถูกส่องสว่างขึ้น⎯⎯⎯ คล้ายกับว่าแสงเทียนที่เผาไหม้นั้นชัดเจนและแน่นอน สิ่งต่างๆที่เรามองไม่เห็นด้วยตาของเราก็ได้ชัดเจนและแน่นอนเช่นกัน

 

ผู้คนนั้นมีอยู่จริง

 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โลกทุกใบก็ฉายแสงในดวงตาของเรา

 

ผู้คนและผู้คนต่างเชื่อมโยงกันผ่านเปลวไฟและเปลวไฟ

 

เราเพิ่งรู้ว่าแสงเทียนที่สว่างไสวและชัดเจนนั้นเรียกว่าอะไรในภายหลัง

 

“เข้าใจไหมจูเลีย”

 

“······”

 

“ในวันนั้น ข้าสูญเสียพระเจ้าและได้เห็นถึงปวงประชา”

 

เราลืมตาขึ้น

 

พอลืมตาขึ้นก็หันไปมองสาวใช้

 

“กษัตริย์ที่พวกเจ้ารับใช้ไม่ได้เชื่อเรื่องการฟื้นคืนชีพของพระเจ้า ข้าไม่ได้นับถือศาสนา ถ้าข้าจะมีหลักคำสอน มันก็เป็นเพียงหลักคำสอนของแสงเทียน ความเชื่อของข้าคือการให้แสงเทียนปกป้องรัตติกาลตลอดไปไม่สิ้นสุด ขณะที่ข้ามองเข้าไปในแสงเทียน ข้าก็เข้าใจเเละเข้าถึงผู้คนได้จากระยะไกล พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกดูหมิ่นศาสนาหรือไม่ล่ะ?”

 

จูเลียคุกเข่าลงและสาวใช้คนอื่นๆ ก็ลดตัวลงตาม

 

“ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยสำนึกคุณกับฝ่าบาทเสมอมา”

 

“แม้ว่าข้าจะมีหน้าที่หลายอย่างในฐานะจักรพรรดิ แต่เมื่อเจ้าจะคาดเดาได้มากขึ้นจากสิ่งที่มองเห็นได้ สิ่งที่เราคาดเดาจะกลายเป็นความเเน่นอนในที่สุด ข้าจะถามเจ้าเรื่องนี้ ทุกคนเชื่อในการรับรู้ของข้าหรือไม่ล่ะ”

 

“โปรดสั่งเรามาได้เลยเพคะ”

 

เราพยักหน้า.

 

“ไปเรียกผู้บัญชาการมา เเต่เพราะนี่เป็นเวลากลางดึกเเล้ว เจ้าจะต้องปลุกพวกเขาด้วยความระมัดระวัง หากพวกเขาถามว่าทำไมพวกเขาถึงถูกเรียก ก็บอกพวกเขาว่าให้นำอาวุธมาด้วย หากพวกเขาถามถึงสาเหตุที่ลึกไปกว่านั้น ให้บอกพวกเขาว่าเจ้าหญิงห้ามไม่ให้เจ้าถามคำถามมาอีก”

 

“เราควรปลุกผู้บัญชาการทั้งหมดขึ้นมาเลยไหมเพคะ”

 

“ใช่.”

 

ผู้บัญชาการได้มารวมตัวกันตามเวลาที่เทียนจะละลายไปครึ่งหนึ่งของความกว้างฝ่ามือ กลางคืนอากาศหนาวเย็นเพราะฝนในฤดูใบไม้ผลิตกลง เเต่เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรวมพลกันในตอนกลางคืน ริมฝีปากของผู้บังคับบัญชาจึงแห้งเกร็ง เราออกคำสั่ง

 

“ข้าได้ยินมาว่ามีใบปลิวชวนเชื่อกำลังแพร่กระจายอยู่ในกองกำลังของเรา เเละมันเขียนกล่าวถึงคำสุนทรพจน์ของนายพลฝ่ายศัตรูถูกลอกเลียนแบบและถูกส่งต่อไปทั่วในหมู่ทหาร บ่มเพาะความคิดทรยศในจิตใจของพวกเขา หากความคิดทรยศเหล่านี้เติบโตไปเมื่อไหร่ ในที่สุดพวกเขาจะไม่กลายเป็นกบฏหรอกหรือ? ว่ากันว่าชาติคือต้นไม้ยักษ์ที่ฝังรากอยู่ในใจของผู้คน เจ้าไม่คิดเหรอว่ารากจะแข็งแรงได้ถ้ากำจัดวัชพืชก่อนที่มันจะเริ่มมากัดกินต้นไม้กันล่ะ? ผู้บัญชาการ ฟังคำพูดของข้าให้ดี”

 

” พะยะค่ะฝ่าบาท.”

 

“ด้วยความที่ข้ากังวลต่อรากเหง้าพวกนั้นที่จะมาเป็นเหตุ ข้าขอสั่งเจ้า ใช้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อว่าไว้ใจได้และเข้าตรวจทุกเต็นท์ เปิดด้านในออก หากพบใบปลิวสักส่วนใดส่วนหนึ่งภายในเต็นท์ ให้ประหารทหารทุกนายที่ได้รับมอบหมายให้ประจำเต็นท์นั้น เเต่อย่าให้เกิดความวุ่นวายจนเขย่าประสาทมันมากนัก เจ้าต้องไม่อนุญาตให้ชาวไร่มันได้ร้องเพลงออกมาโดยไม่จำเป็นขณะที่เจ้าดึงวัชพืชออกมาเเละตัดหัวพวกมันหรอก”

 

ผู้บัญชาการลดร่างกายลงกับพื้น

 

“ทั้งหมดเหรอครับ?”

 

“ทั้งหมด.”

 

กลางดึก

 

มีเปลวเพลิงลุกโชนไปทั่วค่ายทหาร ทำให้ค่ำคืนอันมืดมิดสว่างไสว มีศพหัวขาดจมอยู่ในแอ่งน้ำแต่ละแห่งซึ่งความชื้นของฝนในฤดูใบไม้ผลิได้ทิ้งเอาไว้

 

ทหารที่ขึ้นเสียงเพื่ออ้างว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกตัดศีรษะระหว่างการยืนยันตัวเอง ศีรษะของเขาก็ตกลงไปในโคลนตม และน้ำโคลนก็ไหลเข้าปากที่อ้าค้างอ้าไว้ ระดับพื้นผิวของแอ่งน้ำลดลงตามปริมาณน้ำโคลนที่ปากศพกลืนเข้าไปเเละแอ่งน้ำที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มจะแห้งสนิท

 

เราก็เห็นว่าน้ำก็เริ่มจะแห้งดีเเล้วไม่น้อยแม้ในตอนกลางคืนก็ตาม

 

 

 

—โอ้ เทพีแห่งทุกสิ่งผู้สถิตอยู่บนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง โปรดอย่าทิ้งเด็กที่มีบาปหนาเหล่านี้แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงหน้าประตูบ้านของท่านเเล้วก็ตาม ดูแลพวกเขาด้วยความเมตตาและขันติธรรม เราจะฝังศพของพวกเขาไว้บนดิน ดังนั้น ข้าแต่เทพีแห่งมวลมนุษย์ โปรดเก็บเกี่ยววิญญาณจากสวรรค์ของพวกเขาด้วย แม้ว่าเราจะรู้วิธีฝังคนตาย แต่เราไม่รู้วิธีฝังดวงวิญญาณของพวกเขา ดังนั้น เราจึงทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองคุณ โอ เทพีแห่งสรรพสิ่ง เเด่สติปัญญาของท่าน······

 

 

นักบวชสวดมนต์อย่างเปลี่ยวเหงา ขณะที่พวกเขาเดินเตร่ไปรอบๆค่ายนักบุญหญิงผู้บอกว่าตนมาจากวิหารเทพีอาร์เทมิสกำลังนำเพลงสรรเสริญผู้จากไปด้วยความอาทร พวกเเม่ทัพจึงปล่อยให้กลุ่มอัครสาวกไว้ตามลำพังอย่างไม่แยแส เราไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวางหัวใจของนักบวชที่ต้องการจะปลอบประโลมวิญญาณด้วยเพลงของพวกเขาได้

 

เราส่งบันทึกที่สายลับคนที่สองเขียนไว้ให้หัวหน้าเมดดู

 

“จูเลีย คนที่เขียนเเผ่นนี้คือคนทรยศที่ยอมจำนนต่อเผ่าปีศาจ”

 

“ว่าอย่างไรนะเพคะ?”

 

“ในวันที่เกิดความวุ่นวาย คนๆนี้มันจะไปหาเวลาเขียนคำพูดที่เรียบร้อยและถูกต้องได้อย่างไรกันล่ะ? ในวันที่เกิดความปั่นป่วนขึ้นและบุคคลนี้ควรจะจมอยู่กับความวุ่นวายนั้นด้วยสิ แต่อย่างที่เจ้าเห็น พวกเขาได้ย้ายฝ่ายเเละมีเวลามากพอจะเขียนรายงานเเบบนี้ส่งกลับมา ติดตามมันไว้ให้ดี เเละฆ่ามันก่อนที่จะผ่านไปครึ่งเดือนซะ”

 

“······”

 

หัวหน้าเมดโค้งคำนับ

 

“ตามที่ท่านบัญชาเพคะ”

 

เราหันศีรษะและมองออกไปยังอีกด้านหนึ่งของที่ราบบรูโน เป็นเวลากลางคืนดึกจนมองไม่เห็นค่ายของข้าศึก แม้ว่าค่ายของศัตรูจะมองไม่เห็น แต่เพียงเค้าโครงของหอคอยกะโหลกมนุษย์ที่ปีศาจกองขึ้นไปบนท้องฟ้าสามารถมองเห็นได้เเม้ไม่ชัดเจนภายใต้แสงจันทร์

 

ลอว์ร่า ฟาร์นาเซ่ คงจะแสดงอยู่ตรงนั้น เราเห็นว่าเด็กที่ไม่มีอะไรสำคัญเลยเมื่อก่อนนั้นจะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญหลังจากถูกดันทาเลี่ยนชักนำ เเต่หลังจากการเเสดงให้กับดันทาเลี่ยนนี้ได้หล่อหลอมให้เธอได้เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นสิ่งสำคัญในที่สุด

 

 

ท้ายที่สุดแล้วมันจะสวยงามได้หรือไม่กันนะ?

 

แม้แต่ชีวิตก็ต้องมาพึ่งพาคนอื่น

 

······.

 

แม้กระทั่งว่า…

 

ขณะที่เราฟังเสียงของเปลวไฟที่ไหลผ่านยามค่ำคืน เราก็ไตร่ตรองถึงความคิดนั้นต่อไป

 

Ο

 

 

 

.

.

..

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

ฺBruh ไม่ได้เเปลซะนานลืมสรรพนามที่ใช้ไปหมดเเล้ว ฮา ช่วงนี้ชีวิตของผู้แปลก็ดี(งานเยอะดี) นานๆทีก็อาจกลับมาแปลไม่ใช่อะไรหรอก อยากอ่านฉบับ WN ที่อีกเจ้าแปลนี่เเหละเเต่กลัวมันจะไปสปอยใน LN ด้วยเลยตัดสินใจจะแปลLN ให้จบก่อนเเล้วค่อยกลับไปตามอ่านเอา

 

 

 

 

 

คนอ่าน:อะไรนะไม่ได้แปลตั้งนานยังหน้าด้านแปะโดเนทอีกเรอะ 
คนแปล: เเหมนิดๆหน่อยน่าพี่ชายขอสักหน่อยเถอะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด