Dungeon Defence 5

Now you are reading Dungeon Defence Chapter 5 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

เพดานพังทลายร่วงลง

 

หินก้อนใหญ่ตกลงมาเฉียดหน้าผม

 

“เฮ้ย…!”

 

ผมรีบดึงสติของตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว

 

จากนั้นก็กระโดดไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ แต่ว่าหลังของผมกลับไปชนกับอะไรเข้าจนมีเสียงดัง ตุบ

 

กำแพงนี่เอง

 

พอมองดูรอบ ๆ ตัวอย่างระมัดระวัง ก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในถ้ำที่มืดสนิท

 

สมัยก่อนก็เคยได้มีโอกาสไปเห็นถ้ำหินย้อยในระหว่างทัศนศึกษาของโรงเรียนอยู่หรอก แต่ถ้ำที่เห็นอยู่ข้างหน้าในตอนนี้ คงมีความสูงเป็น 2-3 เท่าของที่เคยเห็นได้มั้ง สูงจนแทบมองไม่เห็นเพดานเลยด้วยซ้ำ จินตนาการไม่ออกเลยว่าตำแหน่งตัวผมในตอนนี้มันอยู่ห่างจากปากถ้ำแค่ไหน

 

“……”

 

ผมบังคับตัวเองหยุดหายใจ

 

ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่?

 

แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

 

ทันทีที่สมองของผมรู้สึกถึงอันตรายและส่งเสียงสัญญาณเตือนออกมา อารมณ์ที่กำลังตื่นตระหนกของผมก็เปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบทันที ใช่แล้วไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมาย สมองของผมก็จะสั่งการให้ตัวผมสงบลง

 

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ได้มาจากประสบการณ์ที่เป็นความหลังฝังใจในวัยเด็ก

 

ในชีวิตของผมเคยถูกลักพาตัวทั้งหมดสามครั้ง และความทรงจำจากการถูกลักพาตัวทั้งสามครั้งนั้น มันกำลังแหกกระโหลกของผมออกมาแล้วเทน้ำกับน้ำแข็งเย็น ๆ ลงไป เหมือนกับจะบอกว่าให้ควบคุมสติเอาไว้ให้ได้

 

‘อย่าร้องตะโกน’ นั่นมีแต่จะยั่วโมโหคนลักพาตัว

 

‘พูดกับตัวเองเบา ๆ’ ถ้าทำแบบนี้แล้วก็จะยืนยันสถานการของตัวเองได้

 

ผมนึกขั้นตอนสิ่งที่ควรจะปฎิบัติทั้งหลายขึ้นมาราวกับกำลังอ่านหนังสือคู่มือ

 

ราวกับกองกำลังหน่วยรบพิเศษที่กำลังฟังคำสั่งในขณะที่ต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย สติสัมปชัญญะของผมยินดีที่จะปฎิบัติตามแนวทางการปฎิบัติที่ถูกฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผม

 

“……ผมนั่งอยู่ในห้องของตัวเองจนถึงเมื่อกี้ ……กำลังใช้คอมพิวเตอร์อยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาหนึ่งทุ่ม ดื่มเบียร์ไป 2 กระป๋อง ข้าวเย็นที่กินคือบะหมี่สำเร็จรูปแบบถ้วย

 

ลมหายใจของผมค่อย ๆ สงบลงทีละนิด

 

ความทรงจำของผมไม่มีปัญหาอะไร

 

นั่นแสดงว่าอย่างน้อยในการลักพาตัวก็ไม่มีการใช้ยาอะไรกับตัวผม

 

[เราไม่ได้โดนยาอะไรเข้าไป]

 

เพียงแค่นี้ผมก็ถือว่าสถานการณ์ก็ดีพอสมควรแล้ว เพราะอย่างน้อย ๆ มันก็แสดงว่าฝ่ายลักพาตัวยังมีความตั้งใจที่จะเจรจากับผมอยู่

 

การลักพาตัวครั้งที่ถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตของผมนั้นมันเกิดขึ้นในตอนที่ผมอยู่ชั้นประถมสาม ในตอนนั้นคนที่ลักพาตัวผมไปแค่ต้องการตัวของผม ดังนั้นผมจึงถูกบังคับให้ปิดปากตลอดอยู่เวลา โดยที่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยซักนิด…

 

“เอาล่ะ ต่อไปก็……”

 

ตรวจสอบประสาทสัมผัสทั้งห้า

 

การมอง, การรับกลิ่น, การได้ยิน, การรับรู้รส และการสัมผัส

 

ผมค่อย ๆ ตรวจสอบตัวเองไปเรื่อย ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าประสาทสัมผัสทั้งหลายของผมยังทำงานได้ดีอยู่

 

“ที่นี่ดูเหมือนกับเป็นถ้ำ คงจะเป็นถ้ำที่มืดมาก เพราะสายตาเราก็ไม่น่าจะแย่ลงกว่าเดิม เอ้า ฆ้อน กรรไกร กระดาษ….”

 

ผมขยับนิ้วมือให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ดู

 

และก็สามารถมองเห็นรูปร่างต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน

 

สายตาไม่มีปัญหา ดีล่ะ

 

ปัญหาต่อไปก็คือกลิ่น

 

“……!”

 

กลิ่นเหม็นเน่าน่าขยะแขยงนี่มันอะไรกัน

 

รอบ ๆ ตัวผมมีแต่กลิ่นเลือดลอยคละคลุ้งอยู่เต็มไปหมด

 

ไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองไม่ได้กลิ่นอะไรเลยมาจนถึงตอนนี้เป็นเพราะตกใจที่อยู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองโผล่มาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้รึเปล่า แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกตัวแล้ว และกลิ่นที่น่ารังเกียจนั่นก็รุนแรงเสียจนเหมือนกับว่ามันกำลังทะลุผ่านรูจมูกของผมเข้าไปเขย่าส่วนลึกที่สุดของสมองผมอยู่

 

“นี่มัน…”

 

กลิ่นที่ผมเคยได้สัมผัสมา 3 – 4 ครั้งในชีวิต

 

กลิ่นที่ไม่เคยอยากได้กลิ่นอีกเลย กลิ่นของเลือดผสมกับลำไส้

 

มีซากศพกระจัดกระจายไปทั่วถ้ำ

 

มีทั้งซากศพคนที่บวมฉึ่งเหมือนกับจมน้ำตาย ศพที่ถูกปาดคอ แม้กระทั่งศพที่แขนขาบิดไปผิดที่ผิดทางอยู่เต็มไปหมด

 

“อุ๊บ…… แหวะ……”

 

ถ้าไอ้ถ้ำนี่เป็นพวกงานจัดแสดงศิลปะอะไรนั่นล่ะก็ ไอ้คนดูแลที่เอาศพมนุษย์ที่ตายได้สารพัดวิธีมาตั้งแสดงอย่างภาคภูมิใจอยู่ข้างหน้าผมนี่ต้องเป็นพวกซาดิสม์วิปลาสขนาดหนักอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งดีงามเดียวอย่างเดียวที่ผมเห็นตรงนี้ก็คือการที่ผมมองไม่ค่อยเห็นศพเพราะถ้ำมันมืดเกินไปนี่แหละ

 

“บัดซบ ที่นี่มันเป็นงานจัดแสดงความลึกลับของร่างกายมนุษย์รึไง…”

 

ต้องรีบออกไปจากที่นี่

 

ผมก้าวเท้าขวาออกไปแล้วก็… ล้มลงไปทั้งอย่างนั้น

 

ข้อเท้าของผมหัก

 

ไม่ใช่อะไรที่ฟังดูน่ารักอย่างข้อเท้าเคล็ด แต่นี่คือหักซะไม่เหลือชิ้นดี

 

“บัดซบ”

 

ผมถึงกับสบถออกไปอย่างลืมตัว หลังจากนั้นก็สรุปว่าตัวผมในตอนนี้ไม่สามารถที่จะวิ่งหรือเดินได้ ความเจ็บนี่ก็ไม่ใช่แค่เจ็บธรรมดา ๆ ซะด้วยแต่โคตรเจ็บเลย ตอนนี้ผมไม่มีทางที่จะหนีจากพวกลักพาตัวไปได้เด็ดขาด บางทีพวกนั้นอาจจะหักข้อเท้าของผมเพราะตั้งใจให้เป็นหลักประกันความปลอดภัยแต่แรก นี่เป็นสาเหตุที่พวกมันไม่ได้จับผมกรอกยาสินะ

 

“เฮ้อ”

 

ผมนั่งลงไปอย่างสิ้นหวัง

 

ถึงจะน่าเสียดายแต่ตอนนี้ผมก็เข้าตาจนแล้ว

 

ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมถึงยังต้องมาลักพาตัวผมด้วย

 

“……ทั้งที่ทิ้งสมบัติทั้งหมดเอาไว้กับน้อง ๆ แล้วแท้ ๆ ถ้าเป็นเมื่อสองเดือนก่อนยังพอเข้าใจ แต่จะมาลักพาตัวตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนี่นา”

 

แน่นอนว่าไม่ใช่การจับตัวผมเอาไว้เพื่อข่มขู่เหล่าน้อง ๆ ของผมแน่

 

งี่เง่า ไม่รู้ว่าคนอื่นตอนนี้จะเป็นยังไงหรอกนะ แต่คนที่กำลังเป็นผู้นำตระกูลอยู่คือน้องสาวต่างแม่คนที่สองของผม ถ้าเป็นเธอล่ะก็คงจะต้องจัดการกับเรื่องภายในบ้านได้สบาย ๆ ถึงจะทำได้ไม่ดีเท่าผมก็เถอะ แต่คนที่ไปดูถูกเธอจะต้องเจ็บตัวอย่างแน่นอน

 

“เฮ้อ……”

 

ผมได้แต่ถอนหายใจในขณะที่คิดว่าใครเป็นตัวการของเรื่องนี้

 

มีคนอยู่ไม่น้อยทั่วโลกที่อาจจะอยากล้างแค้นผม แถมคนที่แค้นพ่อผมก็มีจำนวนเยอะจนน่าตกใจ บางทีคนพวกนี้อาจจะอยากเอาความแค้นมาลงที่ผมแทน ก็เพราะแบบนี้แหละผมถึงได้อยากล้างมือให้พ้นจากทุกอย่างไงล่ะ

 

แล้วตอนนั้นผมก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างรีบร้อนมาจากอีกด้านหนึ่งของถ้ำ

 

“เจอแล้ว!”

 

“จอมมารอยู่ทางนี้!”

 

จอมมาร

 

นั่นเป็นชื่อที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับผมเลยซักนิด

 

แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เสียงตะโกนนั้นกลับพุ่งเป้ามาที่ ๆ ผมอยู่โดยตรง

 

ผมรู้สึกงุนงง ถึงในชีวิตจะเคยถูกเรียกเป็นปีศาจมาไม่ใช่น้อย ๆ ก็เถอะ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนมาเรียกผมว่าจอมมาร นี่ต้องเป็นรหัสลับอะไรซักอย่างแหง ๆ

 

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”

 

“ถ้าขยับตัวล่ะก็ ข้าเอาแกตายตายแน่”

 

กลุ่มคนถาโถมเข้ามาราวกับฝูงหมาป่า

 

ทุกคนต่างถืออาวุธมีคนอย่างมีดหรือขวาน ผมตกใจจนยกมือทั้งสองข้างขึ้นทันที

 

“ยอมแพ้แล้ว!”

 

“ก้มลงซะไอ้บัดซบ”

 

ผมถูกคนจับกดหัวลงพื้นโดยไม่มีการเตือนแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่บอกยอมแพ้แล้วไอ้พวกนี้ก็ยังไม่หยุด

 

“อึก……”

 

ผมโดนเศษหินที่กระจายอยู่บนพื้นแทงใส่แก้ม

 

“ก้มหัวลง! อยู่อย่างนั้นจนกว่าพวกเราจะสั่งให้แกทำอย่างอื่น!”

 

เจ็บจนเกือบจะส่งเสียงร้องออกมา แต่ก็หยุดตัวเองเอาไว้ได้

 

การส่งเสียงดังจะเป็นการยั่วโมโหพวกโจรลักพาตัว ดังนั้นในระหว่างถูกลักพาตัวก็ห้ามส่งเสียงร้องออกมาเด็ดขาด

 

ตอนที่ผมถูกลักพาตัวในช่วงชั้นประถม 3 ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้แล้วก็เอาแต่ร้องตะโกน แต่พอหลังจากถูกอัดจนฟันของผมหักไปห้าซี่ ผมก็เรียนรู้ที่จะเงียบ

 

เงียบ

 

และสุภาพ

 

อาจฟังดูงี่เง่า แค่นี่เป็นวิธีการปฎิบัติต่อโจรลักพาตัวที่ถูกต้อง

 

“จับได้แล้ว! ข้า ริฟ แห่ง จาวเซน ได้จับตัวจอมมารเอาไว้แล้ว!”

 

“โอ้ววว ท่านหัวหน้าริฟสุดหล่อและเก่งของพวกเรา อย่าลืมแบ่งเงินค่าหัวให้พวกเราด้วยนะ?”

 

ทุกคนต่างเริ่มส่งเสียงพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น

 

ผมกลั้นหายใจฟังพวกมันคุยกันอย่างเงียบ ๆ

 

“คึคึ แน่นอน ข้าก็ตั้งใจแบ่งรางวัลของพวกเราทุกคนเท่า ๆ กันทุกคนอยุ่แล้ว”

 

“ดูนี่สิพวกเรา ไอ้จอมมารนี่มันนอนเหมือนตัวดักแด้เลยว่ะ”

 

“หัวทิ่มพื้นแบบนี้ดูหล่อดีนี่กว่าเอ็ง รีบ ๆ ฆ่ากันมันเถอะ”

 

“เห้ย “ฆ่ามัน” บ้าอะไรของแกหา!? เรายังไม่ได้ถามคำถามมันเลย”

 

มีใครซักคนเตะเข้าที่สีข้างผม

 

ถึงจะไม่ได้ตั้งใจเตะจริง ๆ แต่มันก็เจ็บเอาเรื่องอยู่ดี

 

“—แต่เพื่อป้องกันมันทำอะไรบ้า ๆ เราจัดการทำให้มันกลัวพวกเราก่อนดีกว่า”

 

“สหายทุกท่าน! พวกเรามาทำการกระทืบจอมมารให้กลายเป็นก้อนเนื้ออ่อนยวบกันเถอะ”

 

จากนั้นผมก็ถูกความรุนแรงทุกรูปแบบซัดกระหน่ำ

 

ผมถูกคนสิบกว่าคนรุมเตะ หลังจากที่พยายามอดทนไม่ส่งเสียงร้องตะโกนออกไปมากกว่า 5 นาที จำนวนเท้าที่เตะผมอยู่ก็เริ่มน้อยลง

 

“ดี ๆ เท่านี้น่าจะพอแล้ว”

 

“หัวหน้าสุดหล่อของพวกเราบอกให้หยุดแล้วแน่ะ”

 

“ก๊ากก๊าก”

 

ในที่สุดความรุนแรงก็หยุดลง

 

ในขณะที่ผมยังหอบหายใจด้วยความทรมาน ก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาพูดด้วย

 

“เอาล่ะ ท่านจอมมารผู้ทรงเกียรติ พวกเรามีเรื่องหนึ่งที่อยากถามท่านว่า เงินทั้งหมดของปราสาทแห่งนี้อยู่ที่ไหน ขอบอกกันตามตรงเลยนะว่าชาวบ้านอย่างพวกเราเองก็อยากมีเงินกับเขาบ้าง”

 

ไอ้พวกนี้ลักพาตัวผมมาเพราะอยากได้เงินจริง ๆ ด้วย

 

เดี๋ยวสิ ไอ้พวกนี้มันเอาแต่ใช้คำที่ผมไม่คุ้นเคยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เรื่องนี้จะมองข้ามไปไม่ได้ เพราะบางทีพวกมันอาจจะจำผมสลับกับคนอื่น

 

“ไอ้ ‘จอมมาร’ ที่ว่านี่มันหมายความว่ายังไง……?

 

ทันทีที่ผมเปิดปากพูด ผมก็ส่งเสียงครางออกมาเพราะความเจ็บ ดูท่าริมฝีปากผมจะแตกยับเยิน

 

“ประเสริฐ”

 

มีเสียงแดกดันตอบกลับมาจากชายที่อยู่เบื้องหน้า

 

“ทั้ง ๆ ที่โดนอัดเข้าไปถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแบบนี้ออกมาได้  เยี่ยมมาก หึหึ ข้าเองก็ไม่ได้รังเกียจนิสัยพวกนี้หรอกนะ ท่านจอมมารผู้ทรงเกียรติ”

 

จากนั้นผมก็ถูกฝ่ามือที่หยาบกระด้างก็กระชากเส้นผมขึ้นมา

 

“อึก……”

 

ผมถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น

 

และได้สบตากับคนที่อยู่เบื้องหน้าผมเป็นครั้งแรก

 

ผู้ชายที่มีหนวดสีน้ำตาลที่เหมือนกับเห็ดสีคล้ำที่ขึ้นในห้องน้ำสาธารณะที่ไม่เคยได้ทำความสะอาดมาราว 5 ปีรกรุงรังเต็มหน้า กำลังก้มมองผมอยู่ หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นว่าท่าทางโคตรสกปรกแถมน่ากลัวก็ได้

 

“แต่เพื่อน ๆ ของข้าที่นี่ไม่ได้มีความอดทนเหมือนข้าหรอกนะ”

 

“…….ต้องการให้ช่วยอะไร?”

 

“ท่านจอมมาร ทางเราเองก็ไม่ชอบการใช้ความรุนแรงอย่างไร้ประโยชน์”

 

อืม ฟังดูน่าเชื่อถือตายล่ะ

 

“แทนที่เราทั้งคู่จะมาสิ้นเปลืองพลังงานอย่างไร้ประโยชน์ เรามาแลกเปลี่ยนกันดีกว่า บอกพวกเรามาซะว่าสมบัติอยู่ที่ไหนแล้วเราจะไม่ฆ่าท่านทิ้งซะเดี๋ยวนี้ จะไม่ตัดแขน จะไม่ตัดขา อ้อ แน่นอนว่าเราจะไม่ตัดเขาล้ำค่าของท่านออกด้วย ลองคิดดูดี ๆ สิ ทางเราออกจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ”

 

“ใช่ ขาดทุนย่อยยับ!”

 

พวกมันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

เป็นเสียงหัวเราะที่สมกับพวกชั้นต่ำ

 

ผมรอจนกระทั่งอารมณ์พวกนี้สงบลงจึงจะเริ่มพูดต่อ ต้องพูดอย่างสุภาพ ต้องพยายามไม่ทำให้พวกนี้โมโห

 

ผมถามคำถามออกไป

 

“โทษทีนะ ที่บอกว่าเขานี่มันหมายถึงอะไรหรือ?”

 

“หา? นี่แกถามบ้าอะไรของแก”

 

ชายคนเดิมเอามือเอื่อมไปจับด้านหลังหัวของผม

 

“นี่ไง ข้ากำลังพูดถึงไอ้นี่”

 

ชายคนนี้กำลังจับอะไรซักอย่างที่อยู่บนหัวของผม ทั้งที่บนหัวของผมน่าจะมีแค่เส้นผมแท้ ๆ แต่ตอนกลับมีอะไรยาว ๆ ติดอยู่กับกะโหลกของผม

 

ผมสัมผัสได้ว่าที่ด้านหลังหัวของผม

 

มันมีอะไรแข็ง ๆ อยู่ตรงนั้นแน่ ๆ

 

และรูปร่างของมัน ก็เป็นเหมือนกับที่คน ๆ นี้บอก มันคือรูปร่างของเขา

 

“…………”

 

นี่มัน

 

นี่ตัวเราคืออะไรกันแน่

 

ผมเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

 

อย่าบอกนะว่า

 

ก่อนที่ผมจะถูกลักพาตัว ไม่สิ ก่อนที่จะหมดสติไป ผมกำลังนั่งทำแบบสอบบถามในเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง

 

แล้วในขณะที่ผมเปิดตาในถ้ำนี้เป็นครั้งแรกผมก็ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ …ผมมั่นใจว่ามันเป็นเสียงกระซิบที่พูดว่า “โหมดฝึกหัดจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้” แต่ตอนนั้นผมไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ในฝัน

 

ชายคนนี้เรียกผมว่าจอมมาร แถมด้านหลังหัวผมก็มีอะไรซักอย่างที่เหมือนเขาติดอยู่จริง ๆ …

 

เกม โหมดฝึกหัด และ จอมมาร

 

คำทั้งสามคำนี้ได้ชี้ลงมายังความเป็นไปได้หนึ่งเดียว

 

การที่สมองของผมสามารถหาคำตอบได้อย่างรวดเร็วไม่รู้จะนับว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย

 

“เอาล่ะ ท่านจอมมาร ดันทาเลี่ยน พวกเราจะถามท่านอีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

 

ผมไม่สามารถยอมรับคำตอบนี้ได้

 

ไม่ว่าจะด้วยสามัญสำนึก ประสบการณ์ หรือความรู้ที่ผมสั่งสมมาทั้งชีวิตต่างก็ปฎิเสธข้อสรุปที่ผมได้มา แต่ราวเหมือนกับว่าต้องการจะเยาะเย้ยตัวผมที่กำลังหนีจากความจริง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเตือนก็ดังขึ้นมา

 

—ตึ้ง~

 

ตัวอักษรสีขาวโผล่ขึ้นกลางอากาศ

 

[1. ยอมรับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มนักผจญภัย ริฟ]

[2. ไม่ยอมรับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มนักผจญภัย ริฟ]

 

“……”

 

ผมพูดอะไรไม่ออก

 

หลักฐานที่ชัดเจนจนไม่สามารถหักล้างได้ปรากฎออกมาอยู่ต่อหน้าต่อตา

 

“ว่าไง จะยอมรับข้อเสนอหรือว่าจะตายอยุ่ที่นี่ แหม จะหาตัวเลือกที่มันเลือกง่ายขนาดนี้ไม่ได้แล้วนา คึคึ รีบ ๆ เลือกเร็วสิ  ท่านจอมมารผู้ทรงเกียรติ

 

การที่คน ๆ นี้ยังส่งเสียงหัวเราะชั้นต่ำออกมาแบบนี้ได้ แสดงว่าไม่สามารถมองเห็นตัวอักษรที่กำลังลอยอยู่แน่นอน

 

เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ

 

เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ

 

……เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ

 

ได้ยินเสียงของตัวเองพูดซ้ำ ๆ ดังก้องอยู่ในสติที่เลือนลาง

 

เหมือนกับนักแสดงที่ลืมบทพูดของตัวเองบนเวทีและเอาแต่พูดประโยคสุดท้ายที่เพิ่งพูดออกไป

 

ผมกัดริมฝีปากตัวเอง และลิ้มรสของเลือดที่กระจายไปทั่วปาก ความรู้สึกแจ่มชัดของรสชาติดิบเถื่อนนี้เองที่ช่วยดึงผมกลับมาสู่โลกแห่งความจริง คนที่อยู่เบื้องหน้าผมในตอนนี้คือชายป่าเถื่อนผู้มีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

 

ไม่ว่าตัวผมจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม…

 

แต่ตอนนี้ผมคือ จอมมารดันทาเลี่ยน ที่อยู่ในโลกของ

 

สมองผมกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง

 

เยือกเย็นเป็นอย่างยิ่งจนราวกับว่าเวลารอบ ๆ ตัวผมมันขยับช้าลง

 

“ไอ้คุณจอมมารนี่ตอบช้าจริง”

 

สายตาผมจับจ้องไปชายที่เพิ่งพูดประโยคนี้ออกมา

 

ไม่ใช่แค่คน ๆ นี้เท่านั้นที่ไม่ได้โกนหนวดโกนเครา แต่คนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ก็ไว้หนวดเช่นกัน บางทีค่านิยมการไว้หนวดอาจจะเป็นเรื่องปกติของคนพวกนี้

 

‘ชุดพวกนี้ดูเก่า’

 

‘เก่าเกินไป’

 

‘ถ้าจะให้เจาะจง คงจะเก่าไปประมาณ 400 ปีได้”

 

คงเป็นช่วงประมาณที่กษัตริย์เฮนรี่ที่ 4 ยังคึกคักพอที่จะทำสงครามกับโรมันคาทอลิกอยู่ เป็นชุดที่เหมือนกับชุดที่คนทั่วไปเขาใส่กันในสมัยสงครามศาสนาฝรั่งเศส ชุดของพวกนี้ทุกคนมันควรจะส่งไปเก็บเข้ากรุในพิพิธภัณฑ์ได้แล้ว แต่ว่าคนพวกนี้ไม่ว่าจะดูยังไงก็คงไม่ใช่พนักงานของพิพิธภัณฑ์แน่

 

“นี่ไม่คิดจะตอบรึไง?”

 

สมัยก่อนโลกเราใช้การคาดเดาต่าง ๆ ในการอธิบายเหตุการณ์ทั้งหลายที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ยกตัวอย่างเช่น ปรากฎการณ์ตามธรรมชาติทั้งหลายที่ผู้คนต่างก็คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ก่อนจะได้รับคำอธิบายถึงความจริงที่เกิดขึ้นโดยกฎพิสิกส์ต่าง ๆ

 

“เห้ย ไอ้คุณท่านจอมมารดันทาเลี่ยน”

 

จอมมารดันทาเลี่ยน

 

คนพวกนี้กำลังเรียกผมว่าจอมมารดันทาเลี่ยน

 

จอมมารดันทาเลี่ยน คือชื่อของจอมมารที่ปรากฎตัวอยู่ใน

 

ในเกมนั้นมีจอมมารปรากฎขึ้นมาทั้งหมด 72 ตน หนึ่งในนั้นคือ ดันทาเลี่ยน ผู้มีลำดับที่ 71 คนที่อยู่เกือบจะท้ายที่สุด และก็มีเลเวลต่ำตามนั้นซะด้วย เดิมที ดันทาเลี่ยน นี่ก็เป็นแค่มอนขยะกระจอก ๆ ที่สร้างเอาไว้สำหรับคนเพิ่งเริ่มต้นเล่นได้ใช้หัดเล่น

 

กระจอกเสียขนาดว่า คนที่เพิ่งเคยเริ่มเล่นเกมคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกในชีวิตยังสามารถที่จะเอาชนะได้ในการเล่นรอบแรก

 

ถ้าต้องให้เอาไปเปรียบเทียบกับเกมอื่นล่ะก็ ดันทาเลี่ยน ก็คงเหมือนกับกระต่ายที่อยู่ในแผนที่เริ่มต้น ที่ไม่ว่าใครก็ตามที่คลิกเมาส์เป็นก็สามารถที่จะฆ่าได้ ดันทาเลี่ยน คือคนที่อยู่ในระดับเดียวกับที่ผมว่านั่นแหละ

 

…… ผมขอเสริมอะไรให้อีกอย่าง

 

ว่าหลังจากผ่านรอบแรกไปแล้ว ดันทาเลี่ยน ก็จะไม่ปรากฎตัวขึ้นในเกมอีกเลย หมอนี่ถูกดึงออกไปเพราะไม่อยากให้คนเล่นต้องรู้สึกรำคาญ

 

ลองจินตนาการว่านักรบเลเวล 20 ถูกบอกให้ ‘กลับไปแผนที่เริ่มต้นแล้วล่ากระต่าย’ ดูสิ มันคงจะน่าเบื่อน่าดู ดันทาเลี่ยน ก็คือกระต่ายตัวน้อยที่คุณไม่อยากกลับไปสู้อีกแล้วนั่นแหละ

 

แล้วถ้าผมกำลังเข้าใจอะไรถูกต้อง ผมในตอนนี้ก็กำลังเข้าสิงร่างของดันทาเลี่ยนที่ว่านี้เอง

 

“……”

 

รู้สึกได้ถึงรสชาติขมขื่นในปากตัวเอง

 

ผมจะต้องทำยังไงถึงจะรอดพ้นจากเงื้อมมืออันชั่วร้ายของนักผจญภัยพวกนี้ได้

 

สถานการณ์ในตอนนี้คือ ผมถูกมนุษย์จับกุมตัวอยู่ และถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงต้องถูกตัดหัวในที่แห่งนี้ไม่ก็ถูกพาไปประหารในเมือง ไม่ว่าจะพยายามระดมสมองคิดยังไงก็คิดได้จุดจบอันเลวร้ายทั้งนั้น

 

ถ้าผมพยายามบอกว่า ‘ผมไม่ใช่ดันทาเลี่ยน!’  ออกไป เกรงว่าแค่โดนหัวเราะใส่กลับมาก็ถือว่าบุญโขแล้ว

 

และผมเองก็ไม่สามารถพึ่งพาความสามารถของจอมมารดันทาเลี่ยนได้

 

ไม่สิ ขอเปลี่ยนคำพูดเมื่อกี้หน่อย

 

ผมมีแต่ต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพื่อที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้เท่านั้น

 

“นี่ถ้าแกกำลังคิดจะทดสอบความอดทนของข้าอยู่ล่ะก็…”

 

“สมบัติอยู่ใน มินลัคดง”

 

ผมได้ตัดสินใจแล้ว

 

 

 

โจรปล้นชิง รีฟ

 

นั่นคือฉายาของข้า

 

ทั้ง ๆ ที่เป็นนักผจญภัย แต่นอกจากจะไม่ได้ล่าปีศาจแล้ว ยังเอาแต่ปล้นชิงนักผจญภัยคนอื่น ๆ อีก ก็เลยเป็นเหตุให้ข้าได้ฉายานี้มา แต่ช่างเถอะ พวกมันอยากจะเรียกข้าว่าอะไรก็เรียกไปสิ

 

คนที่ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่ล่าปีศาจก็มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละ จริงไหม?

 

คนที่ใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้อย่างมีชั้นเชิงต่างหากคือคนที่ได้กำไร

 

ถ้าคิดตามสามัญสำนึกแล้ว ไอ้พวกคนที่พาตัวเองไปสู้กับปีศาจทั้งหลายอย่างอ็อคหรือก็อปลินก็มีแต่พวกงี่เง่าเท่านั้น ข้าขอบอกด้วยความจริงใจและจริงจังอย่างที่สุด

 

จะใช้ชีวิตอย่างบิดเบี้ยวแล้วกลายเป็นศพ หรือใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงแล้วกลายเป็นโจรปล้นชิงขี้ขลาด ถ้าให้เลือกระหว่างสองอย่างนี้ แน่นอนว่าต้องเลือกอย่างหลังอยู่แล้ว หืม? ถ้าข้าได้เกิดใหม่อีกครั้งหลังจากตายไปยังจะเลือกแบบเดิมอยู่ไหมงั้นหรือ? ไอ้บ้า คนอย่างข้าไม่มีทางตายเฟ้ย

 

ก๊ากฮ่าฮ่า

 

จะยังไงก็ช่าง เพราะว่าตอนนี้แสงสว่างก็ได้ส่องลงมายังเส้นทางการเป็นโจรปล้นชิงของข้าแล้ว

 

ครึ่งเดือนก่อน ข้าโชคดีได้รับแผนที่ของปราสาทของจอมมารดันทาเลี่ยนมาจาก สาวสวยที่สวยเกินกว่าจะมาอยู่ในหมู่บ้านกระจอก ๆ ใกล้ผุพังแห่งหนึ่ง ตอนแรกข้าว่าจะค่อย ๆ ข่มขืนเธอซักหน่อย แต่ในตอนนั้นเองเธอก็มอบแผนที่มาให้ข้าพร้อมกับขอร้องว่า “ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้ท่าน ดังนั้นโปรดละเว้นข้าเถอะ” อืม ช่างเป็นหญิงสาวที่มีผมสีแดงอันงดงามจริง ๆ

 

หือ? แน่นอนอยู่แล้วว่าการไปพรากพรหมจรรย์ของผู้หญิงมันผิด

 

แต่เผอิญว่าข้าคนนี้ชอบทำเรื่องเลว ๆ ว่ะ

 

ก็บอกไปแล้วไง

 

ว่าข้าเป็นโจรปล้นชิง

 

ข้าไม่ได้เอาแต่ปล้นของจากกระเป๋าเงินของพวกนักผจญภัย แต่พรหมจรรย์ของหญิงสาวทุกคนในโลกนี้ข้าก็ปล้นเหมือนกัน ถ้าถามข้านะ ข้าอยากถูกเรียกเป็นพวก ‘โจรปล้นพรหมจรรย์’ มากกว่า อย่างเช่น ‘ผู้ปล้นชิงพรหมจารี’ แบบเนี้ย ฟังดูดีชะมัดเลย โรแมนติกสุด ๆ

 

ต้องขอบคุณแผนที่นี่จริง ๆ ที่ช่วยทำให้ข้ารวบรวมเหล่านักผจญภัยจากที่ต่าง ๆ มาได้ หนึ่งในเหล่าจอมมารที่อ่อนแอที่สุดอย่าง ดันทาเลี่ยน คงแทบจะไม่มีปีศาจคอยคุ้มกันในปราสาทหรอก ตราบใดที่รู้ว่าจะไปหาตัวได้ที่ไหน การจะไปจับตัวก็เป็นเรื่องง่าย ๆ

 

ความพยายามของพวกเราที่ใช้เครื่องมือที่ทำหน้าที่ตรวจจับพลังงานในถ้ำแล้วเดินค้นหาไปเรื่อย ๆ ในถ้ำมืด ๆ มากกว่าสี่ชั่วโมงไม่สูญเปล่า ในที่สุดพวกเราก็จับตัวจอมมารดันทาเลี่ยนได้เสียที  เยี่ยม! เป็นแผนที่ของแท้จริงด้วย!

 

“ดูนี่สิพวกเรา ไอ้จอมมารนี่มันนอนเหมือนตัวดักแด้เลยว่ะ”

 

และตอนนี้พวกสหายร่วมรบของข้าก็กำลังกดจอมมารลงกับพื้นแล้วหัวเราะกันใหญ่

 

“หัวทิ่มพื้นแบบนี้ดูหล่อดีนี่กว่าเอ็ง รีบ ๆ ฆ่ากันมันเถอะ”

 

“เห้ย “ฆ่ามัน” บ้าอะไรของแกหา!?”

 

ข้าใช้สายตาดูถูกจ้องกลับไปยังคนที่พูดเมื่อกี้ เจ้าโง่เอ้ย นอกจากจะได้รางวัลมากกว่าถ้าจับจอมมารกลับไปแบบเป็น ๆ แล้ว ยังมีเรื่องที่เรายังไม่ได้ถามเจ้านี่อยู่อีก เรื่องที่อยู่ของสมบัติไงล่ะ

 

ต้องรีดข้อมูลทุกอย่างออกมาเท่าที่จะรีดได้ นี่เป็นเรื่องที่ใคร ๆ เขาก็รู้

 

เพื่อการนั้น ก่อนอื่นต้องกระทืบไอ้จอมมารนี่จนมันกลัวก่อนแล้วค่อยถามหาว่าสมบัติอยู่ไหน

 

แต่ว่าท่าทางของมันดูแปลก ๆ

 

อยู่ ๆ มันก็จ้องไปที่ ๆ ไม่มีอะไรแล้วก็ก้มหน้าขมวดคิ้วเหมือนกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรซักอย่างอยู่ซะอย่างนั้น อะไรวะเนี่ย? ไอ้หมอนี่มันบ้ารึไง? ข้าเคยคิดเหมาเอาว่าจอมมารทุกตนจะต้องเป็นทรราชที่น่ากลัวซะอีก แต่ไอ้กระจอกนี่มันอะไรเนี่ย

 

ช่างเถอะ เพราะถ้าเจ้านี่มันปลาซิวปลาสร้อยขนาดว่าคนอย่างยังสามารถจับตัวมันได้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะบ่น ข้าน่ะชอบพวกกระจอก ๆ ส่วนพวกปลาตัวใหญ่ ๆ อย่างจอมมาร บาร์บาทอส หรือ ไพม่อน นั่นน่ะข้าไม่เอาด้วยหรอก

 

“ไอ้คุณจอมมารนี่ตอบช้าจริง นี่ไม่คิดจะตอบรึไง?”

 

ข้าหัวเราะหึหึแล้วตบแก้มของมันเบา ๆ

 

“เห้ย ไอ้คุณท่านจอมมารดันทาเลี่ยน”

 

และในตอนนั้นเอง

 

“……”

 

ถึงจะเป็นแค่เพียงชั่ววูบ แต่จอมมารตนนนี้ก็ได้ส่งสายตาเย็นยะเยือกน่าสะพรึงกลัวจนหนาวสันหลังออกมา

 

ข้าถึงกับกระพริบตาด้วยความงุนงงหลายครั้ง แต่ในระหว่างที่กระพริบตาอยู่จอมมารข้างหน้าก็กลับไปเป็นตัวกระจอกอีกแล้ว

หือ?

 

ทั้งที่เมื่อกี้บรรยากาศมันเปลี่ยนไปขั่วขณะแท้ ๆ

 

…… นี่ข้าเห็นผีอะไรเข้ารึไง?

 

ช่างเถอะ มาต่อเรื่องสำคัญอย่างเรื่องสมบัติดีกว่า

 

มากดดันเจ้านี่ต่อกันเถอะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด