Rebuild World 1 อากิระกับอัลฟ่า

Now you are reading Rebuild World Chapter 1 อากิระกับอัลฟ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1 อากิระกับอัลฟ่า

 

เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่านซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่ด้วยความเคร่งเครียด

 

รอบๆตัวเขา เต็มไปด้วยอาคารที่กลายเป็นซากปรักหักพัง

 

เศษของอาคารกระจัดกระจายไปทั่ว

 

บริเวณโดยรอบไม่มีสิ่งมีชีวิต มีแต่เสียงฝีเท้าของเด็กชายและเสียงของก้อนหินที่เด็กชายเตะโดนก้องกังวานไปทั่วซากปรักหักพังก่อนที่จะเงียบหายไป

 

เสื้อผ้าที่เปรอะไปด้วยสิ่งสกปรกและปืนพกหนึ่งกระบอกที่เด็กชายถือ คืออุปกรณ์ทั้งหมดของเด็กชายที่กำลังสำรวจสถานที่แห่งนี้

 

อย่างไรก็ตาม, ในสถานที่เช่นนี้ การที่เขามีอุปกรณ์ติดตัวเพียงเท่านี้ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง

 

ที่ที่เขากำลังสำรวจอยู่นี้ เป็นที่รู้จักในนาม [ซากปรักหักพังของโลกเก่า].

 

ในซากปรักหักพังแห่งนี้ มีอาวุธที่โจมตีเป้าหมายโดยไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากการทำงานที่ผิดพลาด

 

พวกมันเป็นเครื่องจักรที่ครั้งหนึ่งผู้สร้างเคยออกแบบมาให้เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เอาไว้กำจัดผู้บุกรุก

 

มันยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่ แม้ว่าผู้สร้างจะเสียชีวิตลงไปนานหลายปีแล้ว

 

นอกจากอาวุธจำพวกเครื่องจักรแล้ว ยังมีพวกอาวุธชีวภาพ ทั้งพืชและสัตว์

 

พวกมันวิวัฒนาการเพื่อเอาตัวรอดในสภาวะที่โหดร้าย พวกเป็นส่วนผสมระหว่างเครื่องจักรและชีวภาพ

 

ผู้คนทางตะวันออกเรียกมันว่า สัตว์ประหลาด ซึ่ง’ซากปรักหักพังของโลกเก่า’ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดเหล่านี้

 

แม้แต่ตัวเด็กชายเองก็รู้ ว่าที่นี้เป็นสถานที่อันตรายที่ทำให้ถึงตายได้ การแสดงออกอันเคร่งเครียดของเขาแสดงผ่านทางสีหน้า

 

ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็มีเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้เขาต้องเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วยความตั้งใจของตนเอง

 

เพราะมีบางอย่างที่คุ้มที่จะเสี่ยงกับอันตรายเหล่านั้น มันคือสมบัติ หรือของมีค่า ที่มีค่ามากกว่าชีวิตของเขา เด็กชายผู้เกิดและเติบโตมาในชุมชนแออัดที่ชื่ออากิระ

 

อากิระถอนหายใจพลางบ่นกับตัวเอง

 

“แถวนี้แทบจะไม่มีอะไรที่มีประโยชน์เลย ฉันเสี่ยงชีวิตมาเพื่อของพวกนี้รึไงกัน? หรือว่า…ฉันจะเสี่ยงเข้าไปให้ลึกกว่านี้ดี?”

 

เขาเงยหน้ามองไปส่วนลึกของซากปรักหักพัง ไกลออกไปนั้นมีอาคารสูงนับไม่ถ้วน  

 

ที่ระยะไกลๆนั้นมีอาคารที่ยังอยู่ในสภาพดี ยิ่งตัวอาคารมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับอาคารที่อยู่รอบๆตัวของอากิระ

 

(…ถ้าฉันไปถึงตรงนั้นได้ ฉันจะสามารถฉกฉวยโบราณวัตถุราคาแพงๆมาได้ไหมนะ?)

 

ความเป็นไปได้ที่จะได้รับโชคลาภมหาศาลนั้นดึงดูดใจของอากิระ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงแค่ภาพจินตนาการ

 

เขาส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไปและเตือนตัวเอง

 

“ไม่…มันเป็นไปไม่ได้ ฉันจะตายก่อนไปถึงที่นั่น”

 

บริเวณที่เขาอยู่นี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แต่จุดที่ไกลออกไปนั้นมีสภาพที่สวยงาม ความแตกต่างนี้เกิดจากการปกป้องสภาพแวดล้อม

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในซากปรักหักพังที่อยู่ไกลสุดสายตานั้น ยังมีเครื่องจักรระดับสูงจำนวนมากจากโลกเก่าที่ยังคงทำงานอยู่

 

มันมีความเป็นไปได้ที่ระบบรักษาความปลอดภัยระดับสุดยอด ซึ่งผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีอันน่าทึ่งในสมัยนั้นยังคงใช้งานได้

 

ไม่มีทางที่เด็กอย่างอากิระจะรอดจากพื้นที่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแบบนั้นได้

 

“แม้แต่จุดที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็ยังยากเกินตัวแล้ว ฉันควรหยุดคิดที่จะไปที่แบบนั้น…”

 

อากิระเมินเฉยความโลภภายในใจของเขาและค้นหารอบๆพื้นที่ที่เขาอยู่ต่อไป

 

บริเวณที่เขาอยู่นั้นเป็นบริเวณรอบนอกของซากปรักหักพัง ‘ถนนคุซึซึฮาระ’ ซึ่งอยู่ติดกับ’เมืองคุกามายามะ’ เมืองที่อากิระอาศัยอยู่

 

มันเป็นซากปรักหักพังที่ใหญ่ที่สุดใกล้เขตเศรษฐกิจของเมืองอีกด้วย

 

สัตว์ประหลาดที่อยู่รอบๆบริเวณนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ถือว่าอากิระกำลังสำรวจส่วนที่ค่อนข้างปลอดภัย

 

แต่…คำว่าอ่อนแอนั้น คือการเปรียบเทียบกับการที่มนุษย์ที่อาวุธครบมือสามารถรับมือได้ในระดับหนึ่ง

 

ในทำนองเดียวกันกับคำว่าค่อนข้างปลอดภัย มันแค่หมายความว่าคุณมีโอกาสรอดมากกว่าหากเทียบกับส่วนลึกของซากปรักหักพัง

 

จากที่กล่าวมา มันไม่ได้หมายความว่าอากิระจะลดความระมัดระวังลงได้

 

ตัวเขานั้นเนื่องจากขาดอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เขาสามารถตายได้หากเจอกับคมเขี้ยวของสัตว์กลายพันธุ์หรือกระสุนเพียงนัดเดียวจากเครื่องจักรในซากปรักหักพัง

 

ยิ่งไปกว่านั้น ปืนที่เขาถืออยู่ก็ขาดพลังโจมตีเมื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาด อากิระจะต้องยิงมันในระยะประชิดถึงจะมีพลังทำลายมากพอที่จะทำร้ายพวกสัตว์ประหลาดได้

 

พูดได้ว่า หากเขาต้องต่อสู้ขึ้นมา มันต้องจบลงด้วยความตายของเขาอย่างแน่นอน

 

แต่หากไม่มีเงิน ก็ไม่มีวันพรุ่งนี้ เพราะเขาเข้าใจเรื่องนั้น อากิระจึงยอมเสี่ยงชีวิตมาที่ถนนคุซึซึฮาระ

 

แม้ว่าเขาจะยังค้นหาต่อไป แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่ได้เจออะไรอีก เขาก้มหน้าถอนหายใจ สิ่งที่ปรากฏในสายตาของเขาคือกระดูกมนุษย์ที่กระจายอยู่ตามพื้น

 

เขาเห็นกระดูกเหล่านี้อยู่ประปราย และทุกครั้งที่เขาเห็นเขาจะค้นหารอบๆศพด้วยความหวังว่าจะพบของมีค่าบางอย่าง แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย

 

(นี่ฉันคาดหวังอะไรอยู่? หลายคนก่อนหน้านี้ก็ไม่เหลืออะไรติดตัวเลยเหมือนกัน)

 

อากิระคิดพลางทอดถอนใจ แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากที่เข้ามาสำรวจที่นี่ก่อนเขา และส่วนใหญ่ก็มีอุปกรณ์พอๆกับเขา นี่คือจุดจบของคนเหล่านั้น

 

(…อีกไม่นาน พระอาทิตย์จะตกดิน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสำรวจซากปรักหักพังในตอนกลางคืน ฉันไม่ได้พกแสงไฟมาด้วย อีกอย่าง โอกาสที่จะถูกโจมตีโดนพวกสัตว์ประหลาดก็สูงฉันเอาตัวรอดจากซากปรักหักพังอันแสนอันตรายได้ ประสบการณ์ที่ได้วันนี้ก็คงพอแล้ว…ล่ะมั้ง? ถ้าฉันฝืนตัวเอง ฉันต้องกลายเป็นหนึ่งในกองกระดูกเหล่านั้นแน่)

 

อากิระคิดข้ออ้างเพื่อที่จะกลับออกไป เขาเสี่ยงชีวิตมาไกลขนาดนี้แต่ต้องกลับไปอย่างคนพ่ายแพ้

 

(…ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องนั้น อีกนิดหนึ่ง ขออีกนิด ถ้ายังหาไม่เจอ ฉันคงต้องกลับแล้วจริงๆ)

 

อากิระผู้เสี่ยงชีวิตเข้ามาในซากปรักหักพังแต่กลับไม่ได้สิ่งมีประโยชน์เลยซักชิ้นเดียว หลังจากคิดทบทวนในใจ อากิระที่ตัดสินใจสำรวจต่ออีกเล็กน้อยพลันเงยหน้าขึ้น

 

 

ทันใดนั้นตัวของเขาก็ค้างแข็งขึ้นมาทันใด

 

สิ่งที่อยู่ในสายตาของเขาคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ และเธอเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์!

 

ผู้หญิงคนนั้นเป็นความงามที่เหนือจินตนาการ ราวกับว่าความสวยงามนี้ไม่มีอยู่จริงบนโลก ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างอันสง่างาม ส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างกายของเธอนั้นถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด

 

ผิวที่สวยงามเปล่งประกายของเธอที่ไม่ถูกปิดบังนั้น สวยงามยิ่งกว่าผู้คนที่เด็กในสลัมอย่างอากิระเคยพบเห็นมาก่อนทั้งชีวิต

 

แขนขาของเธอเรียวยาวราวกับงานศิลป์ ผมของเธอที่ยาวจนถึงเอวนั้นบริสุทธิ์ไร้มลทินและยังเป็นประกายราวกับภาพวาด

 

ความงามของเธอสามารถทำให้ผู้ตนตกหลุมรักได้ง่ายๆโดยไม่คำนึงถึงอายุและเพศ

 

อากิระทำได้เพียงยืนตกตะลึงกับความงามของผู้หญิงคนนั้นราวกับว่าวิญญาณของเขาถูกดูดออกไป

 

เขาสามารถพูดได้เลยว่าเธอคือสิ่งที่สวยงามที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิตอันแสนสั้นของเขา

 

เป็นความงามที่ไม่ว่าเขาจะจินตนาการอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบเท่าได้

 

ผู้หญิงคนนั้นกำลังลอยอยู่โดยไม่ขยับเหมือนกับว่าเธอไม่เห็นอากิระ

 

แต่เพียงครู่เดียวหน้าอันสง่างามนั้นก็หันมาทางอากิระ

 

ดวงตาของทั้งสองสบกัน

 

หญิงสาวดูเหมือนไม่สนใจเรื่องที่อากิระกำลังจ้องมองร่างอันเปลือยเปล่าของเธอ เธอมองมาที่เขาแล้วยิ้ม

 

อากิระที่ยังอยู่ในความตะลึงตอบสนองต่อรอยยิ้มนั้นเล็กน้อย เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็ตระหนักได้ทันทีว่าอากิระสังเกตเห็นเธอ

 

เห็นแบบนั้นเธอก็หัวเราะอย่างสนุกสนานขณะที่เธอเดินเข้าไปหาอากิระ

 

คนแปลกหน้ากำลังเข้ามาหาเขา!  

 

พริบตาที่เขาตระหนักได้ อาการตกตะลึงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด เขาตั้งท่าป้องกันตัวพร้อมประเมินสถานการณ์ใหม่ทันที

 

เขาชี้ปืนไปที่หญิงสาวและจะโกนเสียงดัง

 

“อย่าขยับ!”

 

หญิงสาวคนนี้ไม่ปกติ!

 

ซากปรักหักพังของโลกเก่าเป็นสถานที่ที่อันตราย แม้แต่นักล่าที่มีอุปกรณ์ครบมือและได้รับการฝึกมาอย่างดีก็ยังถูกทำลายล้างได้

 

แต่ หญิงสาวคนนี้กลับยืนอยู่เพียงลำพัง แถมยังไม่มีอาวุธหรือุปกรณ์แม้แต่ชิ้นเดียวติดตัว

 

แม้ตัวเธอจะเปลือยเปล่า แต่เธอก็ไม่สนใจสถานะของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นซากปรักหักพังยังเต็มไปด้วยฝุ่นทราย แต่ผมและผิวของเธอยังคงสะอาดสะอ้านไม่มีรอยเปื้อนแม้แต่น้อย

 

อากิระผู้ระมัดระวังตัวอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมในซากปรักหักพัง แม้ว่าเขานั้นจะเป็นมือสมัครเล่น แต่เขาก็ต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนอื่นหรือสัตว์ประหลาด

 

มันทำให้เขามีความรู้สึกไวต่อเสียงแม้แต่เสียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของหญิงสาว ทั้งที่เธอไม่ได้หลบซ่อนตัวด้วยซ้ำ

 

ทั้งที่อากิระกำลังเล็งปืนไปที่เธอด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม หญิงสาวกลับดูไม่กลัวอากิระที่อาจจะเหนี่ยวไกตอนไหนก็ได้ด้วยความประหม่า

 

เธอยังคงเข้าไปใกล้กับอากิระมากขึ้นโดยไม่แสดงความกังวลหรือความกลัว

 

ความรู้สึกของอากิระต่อหญิงสาวจาก “สาวสวยที่น่าตกตะลึง”กลายเป็น”ตัวตนที่ไม่สามารถประเมินได้”

 

เมื่อเธอเข้ามาใกล้ขึ้น อากิระก็ร้องตะโกนใส่เธออีกครั้ง

 

“ฉ..ฉันบอกว่าอย่างขยับ!! ถ้าเข้าใกล้กว่านี้ล่ะก็ฉันยิงแน่! นี่ฉันจริงจังนะ!”

 

หากเป็นสถานการณ์ปกติ อากิระจะยิงเธอทันทีโดยไม่ให้คำเตือนใดๆ แต่เนื่องจากเธอไม่มีอาวุธและไม่มีท่าทีเป็นศัตรู  ทำให้อากิระสับสนจนไม่สามารถทำใจเหนี่ยวไกปืนได้

 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีขีดจำกัด หญิงสาวยังคงเดินเข้าหาอากิระแม้ว่าจะได้ยินคำเตือนของเขา

 

เพียงพริบตาที่เขากำลังจะเหนี่ยวไก…ทั้งที่ไม่ได้ละสายตา ไม่ได้ลดการระวังตัว แต่จู่ๆหญิงสาวก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา

 

อากิระใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เขาตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขามองไปรอบๆอย่างประหม่า แต่เขาก็หาเธอไม่เจอ

 

“อย่ากังวลไป ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก”

 

เสียงของหญิงสาวเอ่ยออกมาจากด้านข้างของเขา มันราวกับดังออกมาจากความว่างเปล่า

 

เมื่อเขาหันหน้าไปทางเสียงนั้น หญิงสาวก็อยู่ตรงนั้นแต่คราวนี้เธอสวมเสื้อผ้ามิดชิด อยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือถึงกันได้

 

หญิงสาวก้มตัวจนอยู่ระดับเดียวกับระดับสายตาของอากิระ เธอยิ้มและจ้องมองมาที่เขา

 

สมองของอากิระไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาในขณะนี้ได้  

 

อาการประหม่ากลายเป็นความกลัวเย็นเหยียบลึกเข้าไปในใจของเขา

 

อากิระกัดฟันอดทนต่อความหวาดกลัว ผู้ที่สูญเสียความสงบเยือกเย็นจะตาย นั่นคือสิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตในชุมชนแออัด

 

เขายกปืนขึ้นหันไปทางหญิงสาวคนนั้นทันที

 

หญิงสาวอยู่ใกล้พอที่ปืนของเขาจะผลักถึง อากิระจึงใช้ปืนผลักหญิงสาวให้ถอยออกไป

 

แต่ทว่า…เมื่อเขายืดมือออกไป อากิระก็พบว่ามือของเขา จมเข้าไปที่หน้าอกของเธอ

 

จมที่ว่า….คือทะลุเข้าไปในร่างของหญิงสาว มือทั้งสองเข้าไปอยู่ในตัวของหญิงสาวแต่อากิระกลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

 

ทั้งที่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนอยู่ตรงหน้า

 

อากิระตกใจจนสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ

 

มือทั้งสองข้างยังจมอยู่กับร่างของหญิงสาว ซึ่งหญิงสาวเองพยายามที่จะทดสอบการตอบสนองด้วยการโบกมือและเรียกเขา แต่อากิระเองกลับนิ่งอยู่อย่างนั้น

 

*****

1/2

ลงที่ละครึ่งแล้วกันนะ ตัวอักษรมันเยอะเกิน

หวังว่าคงสนุกกันนะครับ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Rebuild World 1 อากิระกับอัลฟ่า

Now you are reading Rebuild World Chapter 1 อากิระกับอัลฟ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1 อากิระกับอัลฟ่า

 

เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่านซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่ด้วยความเคร่งเครียด

 

รอบๆตัวเขา เต็มไปด้วยอาคารที่กลายเป็นซากปรักหักพัง

 

เศษของอาคารกระจัดกระจายไปทั่ว

 

บริเวณโดยรอบไม่มีสิ่งมีชีวิต มีแต่เสียงฝีเท้าของเด็กชายและเสียงของก้อนหินที่เด็กชายเตะโดนก้องกังวานไปทั่วซากปรักหักพังก่อนที่จะเงียบหายไป

 

เสื้อผ้าที่เปรอะไปด้วยสิ่งสกปรกและปืนพกหนึ่งกระบอกที่เด็กชายถือ คืออุปกรณ์ทั้งหมดของเด็กชายที่กำลังสำรวจสถานที่แห่งนี้

 

อย่างไรก็ตาม, ในสถานที่เช่นนี้ การที่เขามีอุปกรณ์ติดตัวเพียงเท่านี้ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง

 

ที่ที่เขากำลังสำรวจอยู่นี้ เป็นที่รู้จักในนาม [ซากปรักหักพังของโลกเก่า].

 

ในซากปรักหักพังแห่งนี้ มีอาวุธที่โจมตีเป้าหมายโดยไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากการทำงานที่ผิดพลาด

 

พวกมันเป็นเครื่องจักรที่ครั้งหนึ่งผู้สร้างเคยออกแบบมาให้เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เอาไว้กำจัดผู้บุกรุก

 

มันยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่ แม้ว่าผู้สร้างจะเสียชีวิตลงไปนานหลายปีแล้ว

 

นอกจากอาวุธจำพวกเครื่องจักรแล้ว ยังมีพวกอาวุธชีวภาพ ทั้งพืชและสัตว์

 

พวกมันวิวัฒนาการเพื่อเอาตัวรอดในสภาวะที่โหดร้าย พวกเป็นส่วนผสมระหว่างเครื่องจักรและชีวภาพ

 

ผู้คนทางตะวันออกเรียกมันว่า สัตว์ประหลาด ซึ่ง’ซากปรักหักพังของโลกเก่า’ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดเหล่านี้

 

แม้แต่ตัวเด็กชายเองก็รู้ ว่าที่นี้เป็นสถานที่อันตรายที่ทำให้ถึงตายได้ การแสดงออกอันเคร่งเครียดของเขาแสดงผ่านทางสีหน้า

 

ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็มีเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้เขาต้องเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วยความตั้งใจของตนเอง

 

เพราะมีบางอย่างที่คุ้มที่จะเสี่ยงกับอันตรายเหล่านั้น มันคือสมบัติ หรือของมีค่า ที่มีค่ามากกว่าชีวิตของเขา เด็กชายผู้เกิดและเติบโตมาในชุมชนแออัดที่ชื่ออากิระ

 

อากิระถอนหายใจพลางบ่นกับตัวเอง

 

“แถวนี้แทบจะไม่มีอะไรที่มีประโยชน์เลย ฉันเสี่ยงชีวิตมาเพื่อของพวกนี้รึไงกัน? หรือว่า…ฉันจะเสี่ยงเข้าไปให้ลึกกว่านี้ดี?”

 

เขาเงยหน้ามองไปส่วนลึกของซากปรักหักพัง ไกลออกไปนั้นมีอาคารสูงนับไม่ถ้วน  

 

ที่ระยะไกลๆนั้นมีอาคารที่ยังอยู่ในสภาพดี ยิ่งตัวอาคารมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับอาคารที่อยู่รอบๆตัวของอากิระ

 

(…ถ้าฉันไปถึงตรงนั้นได้ ฉันจะสามารถฉกฉวยโบราณวัตถุราคาแพงๆมาได้ไหมนะ?)

 

ความเป็นไปได้ที่จะได้รับโชคลาภมหาศาลนั้นดึงดูดใจของอากิระ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงแค่ภาพจินตนาการ

 

เขาส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไปและเตือนตัวเอง

 

“ไม่…มันเป็นไปไม่ได้ ฉันจะตายก่อนไปถึงที่นั่น”

 

บริเวณที่เขาอยู่นี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แต่จุดที่ไกลออกไปนั้นมีสภาพที่สวยงาม ความแตกต่างนี้เกิดจากการปกป้องสภาพแวดล้อม

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในซากปรักหักพังที่อยู่ไกลสุดสายตานั้น ยังมีเครื่องจักรระดับสูงจำนวนมากจากโลกเก่าที่ยังคงทำงานอยู่

 

มันมีความเป็นไปได้ที่ระบบรักษาความปลอดภัยระดับสุดยอด ซึ่งผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีอันน่าทึ่งในสมัยนั้นยังคงใช้งานได้

 

ไม่มีทางที่เด็กอย่างอากิระจะรอดจากพื้นที่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแบบนั้นได้

 

“แม้แต่จุดที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็ยังยากเกินตัวแล้ว ฉันควรหยุดคิดที่จะไปที่แบบนั้น…”

 

อากิระเมินเฉยความโลภภายในใจของเขาและค้นหารอบๆพื้นที่ที่เขาอยู่ต่อไป

 

บริเวณที่เขาอยู่นั้นเป็นบริเวณรอบนอกของซากปรักหักพัง ‘ถนนคุซึซึฮาระ’ ซึ่งอยู่ติดกับ’เมืองคุกามายามะ’ เมืองที่อากิระอาศัยอยู่

 

มันเป็นซากปรักหักพังที่ใหญ่ที่สุดใกล้เขตเศรษฐกิจของเมืองอีกด้วย

 

สัตว์ประหลาดที่อยู่รอบๆบริเวณนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ถือว่าอากิระกำลังสำรวจส่วนที่ค่อนข้างปลอดภัย

 

แต่…คำว่าอ่อนแอนั้น คือการเปรียบเทียบกับการที่มนุษย์ที่อาวุธครบมือสามารถรับมือได้ในระดับหนึ่ง

 

ในทำนองเดียวกันกับคำว่าค่อนข้างปลอดภัย มันแค่หมายความว่าคุณมีโอกาสรอดมากกว่าหากเทียบกับส่วนลึกของซากปรักหักพัง

 

จากที่กล่าวมา มันไม่ได้หมายความว่าอากิระจะลดความระมัดระวังลงได้

 

ตัวเขานั้นเนื่องจากขาดอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เขาสามารถตายได้หากเจอกับคมเขี้ยวของสัตว์กลายพันธุ์หรือกระสุนเพียงนัดเดียวจากเครื่องจักรในซากปรักหักพัง

 

ยิ่งไปกว่านั้น ปืนที่เขาถืออยู่ก็ขาดพลังโจมตีเมื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาด อากิระจะต้องยิงมันในระยะประชิดถึงจะมีพลังทำลายมากพอที่จะทำร้ายพวกสัตว์ประหลาดได้

 

พูดได้ว่า หากเขาต้องต่อสู้ขึ้นมา มันต้องจบลงด้วยความตายของเขาอย่างแน่นอน

 

แต่หากไม่มีเงิน ก็ไม่มีวันพรุ่งนี้ เพราะเขาเข้าใจเรื่องนั้น อากิระจึงยอมเสี่ยงชีวิตมาที่ถนนคุซึซึฮาระ

 

แม้ว่าเขาจะยังค้นหาต่อไป แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่ได้เจออะไรอีก เขาก้มหน้าถอนหายใจ สิ่งที่ปรากฏในสายตาของเขาคือกระดูกมนุษย์ที่กระจายอยู่ตามพื้น

 

เขาเห็นกระดูกเหล่านี้อยู่ประปราย และทุกครั้งที่เขาเห็นเขาจะค้นหารอบๆศพด้วยความหวังว่าจะพบของมีค่าบางอย่าง แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย

 

(นี่ฉันคาดหวังอะไรอยู่? หลายคนก่อนหน้านี้ก็ไม่เหลืออะไรติดตัวเลยเหมือนกัน)

 

อากิระคิดพลางทอดถอนใจ แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากที่เข้ามาสำรวจที่นี่ก่อนเขา และส่วนใหญ่ก็มีอุปกรณ์พอๆกับเขา นี่คือจุดจบของคนเหล่านั้น

 

(…อีกไม่นาน พระอาทิตย์จะตกดิน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสำรวจซากปรักหักพังในตอนกลางคืน ฉันไม่ได้พกแสงไฟมาด้วย อีกอย่าง โอกาสที่จะถูกโจมตีโดนพวกสัตว์ประหลาดก็สูงฉันเอาตัวรอดจากซากปรักหักพังอันแสนอันตรายได้ ประสบการณ์ที่ได้วันนี้ก็คงพอแล้ว…ล่ะมั้ง? ถ้าฉันฝืนตัวเอง ฉันต้องกลายเป็นหนึ่งในกองกระดูกเหล่านั้นแน่)

 

อากิระคิดข้ออ้างเพื่อที่จะกลับออกไป เขาเสี่ยงชีวิตมาไกลขนาดนี้แต่ต้องกลับไปอย่างคนพ่ายแพ้

 

(…ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องนั้น อีกนิดหนึ่ง ขออีกนิด ถ้ายังหาไม่เจอ ฉันคงต้องกลับแล้วจริงๆ)

 

อากิระผู้เสี่ยงชีวิตเข้ามาในซากปรักหักพังแต่กลับไม่ได้สิ่งมีประโยชน์เลยซักชิ้นเดียว หลังจากคิดทบทวนในใจ อากิระที่ตัดสินใจสำรวจต่ออีกเล็กน้อยพลันเงยหน้าขึ้น

 

 

ทันใดนั้นตัวของเขาก็ค้างแข็งขึ้นมาทันใด

 

สิ่งที่อยู่ในสายตาของเขาคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ และเธอเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์!

 

ผู้หญิงคนนั้นเป็นความงามที่เหนือจินตนาการ ราวกับว่าความสวยงามนี้ไม่มีอยู่จริงบนโลก ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างอันสง่างาม ส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างกายของเธอนั้นถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด

 

ผิวที่สวยงามเปล่งประกายของเธอที่ไม่ถูกปิดบังนั้น สวยงามยิ่งกว่าผู้คนที่เด็กในสลัมอย่างอากิระเคยพบเห็นมาก่อนทั้งชีวิต

 

แขนขาของเธอเรียวยาวราวกับงานศิลป์ ผมของเธอที่ยาวจนถึงเอวนั้นบริสุทธิ์ไร้มลทินและยังเป็นประกายราวกับภาพวาด

 

ความงามของเธอสามารถทำให้ผู้ตนตกหลุมรักได้ง่ายๆโดยไม่คำนึงถึงอายุและเพศ

 

อากิระทำได้เพียงยืนตกตะลึงกับความงามของผู้หญิงคนนั้นราวกับว่าวิญญาณของเขาถูกดูดออกไป

 

เขาสามารถพูดได้เลยว่าเธอคือสิ่งที่สวยงามที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิตอันแสนสั้นของเขา

 

เป็นความงามที่ไม่ว่าเขาจะจินตนาการอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบเท่าได้

 

ผู้หญิงคนนั้นกำลังลอยอยู่โดยไม่ขยับเหมือนกับว่าเธอไม่เห็นอากิระ

 

แต่เพียงครู่เดียวหน้าอันสง่างามนั้นก็หันมาทางอากิระ

 

ดวงตาของทั้งสองสบกัน

 

หญิงสาวดูเหมือนไม่สนใจเรื่องที่อากิระกำลังจ้องมองร่างอันเปลือยเปล่าของเธอ เธอมองมาที่เขาแล้วยิ้ม

 

อากิระที่ยังอยู่ในความตะลึงตอบสนองต่อรอยยิ้มนั้นเล็กน้อย เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็ตระหนักได้ทันทีว่าอากิระสังเกตเห็นเธอ

 

เห็นแบบนั้นเธอก็หัวเราะอย่างสนุกสนานขณะที่เธอเดินเข้าไปหาอากิระ

 

คนแปลกหน้ากำลังเข้ามาหาเขา!  

 

พริบตาที่เขาตระหนักได้ อาการตกตะลึงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด เขาตั้งท่าป้องกันตัวพร้อมประเมินสถานการณ์ใหม่ทันที

 

เขาชี้ปืนไปที่หญิงสาวและจะโกนเสียงดัง

 

“อย่าขยับ!”

 

หญิงสาวคนนี้ไม่ปกติ!

 

ซากปรักหักพังของโลกเก่าเป็นสถานที่ที่อันตราย แม้แต่นักล่าที่มีอุปกรณ์ครบมือและได้รับการฝึกมาอย่างดีก็ยังถูกทำลายล้างได้

 

แต่ หญิงสาวคนนี้กลับยืนอยู่เพียงลำพัง แถมยังไม่มีอาวุธหรือุปกรณ์แม้แต่ชิ้นเดียวติดตัว

 

แม้ตัวเธอจะเปลือยเปล่า แต่เธอก็ไม่สนใจสถานะของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นซากปรักหักพังยังเต็มไปด้วยฝุ่นทราย แต่ผมและผิวของเธอยังคงสะอาดสะอ้านไม่มีรอยเปื้อนแม้แต่น้อย

 

อากิระผู้ระมัดระวังตัวอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมในซากปรักหักพัง แม้ว่าเขานั้นจะเป็นมือสมัครเล่น แต่เขาก็ต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนอื่นหรือสัตว์ประหลาด

 

มันทำให้เขามีความรู้สึกไวต่อเสียงแม้แต่เสียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของหญิงสาว ทั้งที่เธอไม่ได้หลบซ่อนตัวด้วยซ้ำ

 

ทั้งที่อากิระกำลังเล็งปืนไปที่เธอด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม หญิงสาวกลับดูไม่กลัวอากิระที่อาจจะเหนี่ยวไกตอนไหนก็ได้ด้วยความประหม่า

 

เธอยังคงเข้าไปใกล้กับอากิระมากขึ้นโดยไม่แสดงความกังวลหรือความกลัว

 

ความรู้สึกของอากิระต่อหญิงสาวจาก “สาวสวยที่น่าตกตะลึง”กลายเป็น”ตัวตนที่ไม่สามารถประเมินได้”

 

เมื่อเธอเข้ามาใกล้ขึ้น อากิระก็ร้องตะโกนใส่เธออีกครั้ง

 

“ฉ..ฉันบอกว่าอย่างขยับ!! ถ้าเข้าใกล้กว่านี้ล่ะก็ฉันยิงแน่! นี่ฉันจริงจังนะ!”

 

หากเป็นสถานการณ์ปกติ อากิระจะยิงเธอทันทีโดยไม่ให้คำเตือนใดๆ แต่เนื่องจากเธอไม่มีอาวุธและไม่มีท่าทีเป็นศัตรู  ทำให้อากิระสับสนจนไม่สามารถทำใจเหนี่ยวไกปืนได้

 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีขีดจำกัด หญิงสาวยังคงเดินเข้าหาอากิระแม้ว่าจะได้ยินคำเตือนของเขา

 

เพียงพริบตาที่เขากำลังจะเหนี่ยวไก…ทั้งที่ไม่ได้ละสายตา ไม่ได้ลดการระวังตัว แต่จู่ๆหญิงสาวก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา

 

อากิระใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เขาตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขามองไปรอบๆอย่างประหม่า แต่เขาก็หาเธอไม่เจอ

 

“อย่ากังวลไป ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก”

 

เสียงของหญิงสาวเอ่ยออกมาจากด้านข้างของเขา มันราวกับดังออกมาจากความว่างเปล่า

 

เมื่อเขาหันหน้าไปทางเสียงนั้น หญิงสาวก็อยู่ตรงนั้นแต่คราวนี้เธอสวมเสื้อผ้ามิดชิด อยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือถึงกันได้

 

หญิงสาวก้มตัวจนอยู่ระดับเดียวกับระดับสายตาของอากิระ เธอยิ้มและจ้องมองมาที่เขา

 

สมองของอากิระไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาในขณะนี้ได้  

 

อาการประหม่ากลายเป็นความกลัวเย็นเหยียบลึกเข้าไปในใจของเขา

 

อากิระกัดฟันอดทนต่อความหวาดกลัว ผู้ที่สูญเสียความสงบเยือกเย็นจะตาย นั่นคือสิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตในชุมชนแออัด

 

เขายกปืนขึ้นหันไปทางหญิงสาวคนนั้นทันที

 

หญิงสาวอยู่ใกล้พอที่ปืนของเขาจะผลักถึง อากิระจึงใช้ปืนผลักหญิงสาวให้ถอยออกไป

 

แต่ทว่า…เมื่อเขายืดมือออกไป อากิระก็พบว่ามือของเขา จมเข้าไปที่หน้าอกของเธอ

 

จมที่ว่า….คือทะลุเข้าไปในร่างของหญิงสาว มือทั้งสองเข้าไปอยู่ในตัวของหญิงสาวแต่อากิระกลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

 

ทั้งที่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนอยู่ตรงหน้า

 

อากิระตกใจจนสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ

 

มือทั้งสองข้างยังจมอยู่กับร่างของหญิงสาว ซึ่งหญิงสาวเองพยายามที่จะทดสอบการตอบสนองด้วยการโบกมือและเรียกเขา แต่อากิระเองกลับนิ่งอยู่อย่างนั้น

 

*****

1/2

ลงที่ละครึ่งแล้วกันนะ ตัวอักษรมันเยอะเกิน

หวังว่าคงสนุกกันนะครับ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Rebuild World 1 อากิระกับอัลฟ่า

Now you are reading Rebuild World Chapter 1 อากิระกับอัลฟ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1 อากิระกับอัลฟ่า

 

เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่านซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่ด้วยความเคร่งเครียด

 

รอบๆตัวเขา เต็มไปด้วยอาคารที่กลายเป็นซากปรักหักพัง

 

เศษของอาคารกระจัดกระจายไปทั่ว

 

บริเวณโดยรอบไม่มีสิ่งมีชีวิต มีแต่เสียงฝีเท้าของเด็กชายและเสียงของก้อนหินที่เด็กชายเตะโดนก้องกังวานไปทั่วซากปรักหักพังก่อนที่จะเงียบหายไป

 

เสื้อผ้าที่เปรอะไปด้วยสิ่งสกปรกและปืนพกหนึ่งกระบอกที่เด็กชายถือ คืออุปกรณ์ทั้งหมดของเด็กชายที่กำลังสำรวจสถานที่แห่งนี้

 

อย่างไรก็ตาม, ในสถานที่เช่นนี้ การที่เขามีอุปกรณ์ติดตัวเพียงเท่านี้ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง

 

ที่ที่เขากำลังสำรวจอยู่นี้ เป็นที่รู้จักในนาม [ซากปรักหักพังของโลกเก่า].

 

ในซากปรักหักพังแห่งนี้ มีอาวุธที่โจมตีเป้าหมายโดยไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากการทำงานที่ผิดพลาด

 

พวกมันเป็นเครื่องจักรที่ครั้งหนึ่งผู้สร้างเคยออกแบบมาให้เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เอาไว้กำจัดผู้บุกรุก

 

มันยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่ แม้ว่าผู้สร้างจะเสียชีวิตลงไปนานหลายปีแล้ว

 

นอกจากอาวุธจำพวกเครื่องจักรแล้ว ยังมีพวกอาวุธชีวภาพ ทั้งพืชและสัตว์

 

พวกมันวิวัฒนาการเพื่อเอาตัวรอดในสภาวะที่โหดร้าย พวกเป็นส่วนผสมระหว่างเครื่องจักรและชีวภาพ

 

ผู้คนทางตะวันออกเรียกมันว่า สัตว์ประหลาด ซึ่ง’ซากปรักหักพังของโลกเก่า’ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดเหล่านี้

 

แม้แต่ตัวเด็กชายเองก็รู้ ว่าที่นี้เป็นสถานที่อันตรายที่ทำให้ถึงตายได้ การแสดงออกอันเคร่งเครียดของเขาแสดงผ่านทางสีหน้า

 

ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็มีเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้เขาต้องเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วยความตั้งใจของตนเอง

 

เพราะมีบางอย่างที่คุ้มที่จะเสี่ยงกับอันตรายเหล่านั้น มันคือสมบัติ หรือของมีค่า ที่มีค่ามากกว่าชีวิตของเขา เด็กชายผู้เกิดและเติบโตมาในชุมชนแออัดที่ชื่ออากิระ

 

อากิระถอนหายใจพลางบ่นกับตัวเอง

 

“แถวนี้แทบจะไม่มีอะไรที่มีประโยชน์เลย ฉันเสี่ยงชีวิตมาเพื่อของพวกนี้รึไงกัน? หรือว่า…ฉันจะเสี่ยงเข้าไปให้ลึกกว่านี้ดี?”

 

เขาเงยหน้ามองไปส่วนลึกของซากปรักหักพัง ไกลออกไปนั้นมีอาคารสูงนับไม่ถ้วน  

 

ที่ระยะไกลๆนั้นมีอาคารที่ยังอยู่ในสภาพดี ยิ่งตัวอาคารมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับอาคารที่อยู่รอบๆตัวของอากิระ

 

(…ถ้าฉันไปถึงตรงนั้นได้ ฉันจะสามารถฉกฉวยโบราณวัตถุราคาแพงๆมาได้ไหมนะ?)

 

ความเป็นไปได้ที่จะได้รับโชคลาภมหาศาลนั้นดึงดูดใจของอากิระ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงแค่ภาพจินตนาการ

 

เขาส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไปและเตือนตัวเอง

 

“ไม่…มันเป็นไปไม่ได้ ฉันจะตายก่อนไปถึงที่นั่น”

 

บริเวณที่เขาอยู่นี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แต่จุดที่ไกลออกไปนั้นมีสภาพที่สวยงาม ความแตกต่างนี้เกิดจากการปกป้องสภาพแวดล้อม

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในซากปรักหักพังที่อยู่ไกลสุดสายตานั้น ยังมีเครื่องจักรระดับสูงจำนวนมากจากโลกเก่าที่ยังคงทำงานอยู่

 

มันมีความเป็นไปได้ที่ระบบรักษาความปลอดภัยระดับสุดยอด ซึ่งผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีอันน่าทึ่งในสมัยนั้นยังคงใช้งานได้

 

ไม่มีทางที่เด็กอย่างอากิระจะรอดจากพื้นที่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแบบนั้นได้

 

“แม้แต่จุดที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็ยังยากเกินตัวแล้ว ฉันควรหยุดคิดที่จะไปที่แบบนั้น…”

 

อากิระเมินเฉยความโลภภายในใจของเขาและค้นหารอบๆพื้นที่ที่เขาอยู่ต่อไป

 

บริเวณที่เขาอยู่นั้นเป็นบริเวณรอบนอกของซากปรักหักพัง ‘ถนนคุซึซึฮาระ’ ซึ่งอยู่ติดกับ’เมืองคุกามายามะ’ เมืองที่อากิระอาศัยอยู่

 

มันเป็นซากปรักหักพังที่ใหญ่ที่สุดใกล้เขตเศรษฐกิจของเมืองอีกด้วย

 

สัตว์ประหลาดที่อยู่รอบๆบริเวณนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ถือว่าอากิระกำลังสำรวจส่วนที่ค่อนข้างปลอดภัย

 

แต่…คำว่าอ่อนแอนั้น คือการเปรียบเทียบกับการที่มนุษย์ที่อาวุธครบมือสามารถรับมือได้ในระดับหนึ่ง

 

ในทำนองเดียวกันกับคำว่าค่อนข้างปลอดภัย มันแค่หมายความว่าคุณมีโอกาสรอดมากกว่าหากเทียบกับส่วนลึกของซากปรักหักพัง

 

จากที่กล่าวมา มันไม่ได้หมายความว่าอากิระจะลดความระมัดระวังลงได้

 

ตัวเขานั้นเนื่องจากขาดอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เขาสามารถตายได้หากเจอกับคมเขี้ยวของสัตว์กลายพันธุ์หรือกระสุนเพียงนัดเดียวจากเครื่องจักรในซากปรักหักพัง

 

ยิ่งไปกว่านั้น ปืนที่เขาถืออยู่ก็ขาดพลังโจมตีเมื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาด อากิระจะต้องยิงมันในระยะประชิดถึงจะมีพลังทำลายมากพอที่จะทำร้ายพวกสัตว์ประหลาดได้

 

พูดได้ว่า หากเขาต้องต่อสู้ขึ้นมา มันต้องจบลงด้วยความตายของเขาอย่างแน่นอน

 

แต่หากไม่มีเงิน ก็ไม่มีวันพรุ่งนี้ เพราะเขาเข้าใจเรื่องนั้น อากิระจึงยอมเสี่ยงชีวิตมาที่ถนนคุซึซึฮาระ

 

แม้ว่าเขาจะยังค้นหาต่อไป แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่ได้เจออะไรอีก เขาก้มหน้าถอนหายใจ สิ่งที่ปรากฏในสายตาของเขาคือกระดูกมนุษย์ที่กระจายอยู่ตามพื้น

 

เขาเห็นกระดูกเหล่านี้อยู่ประปราย และทุกครั้งที่เขาเห็นเขาจะค้นหารอบๆศพด้วยความหวังว่าจะพบของมีค่าบางอย่าง แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย

 

(นี่ฉันคาดหวังอะไรอยู่? หลายคนก่อนหน้านี้ก็ไม่เหลืออะไรติดตัวเลยเหมือนกัน)

 

อากิระคิดพลางทอดถอนใจ แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากที่เข้ามาสำรวจที่นี่ก่อนเขา และส่วนใหญ่ก็มีอุปกรณ์พอๆกับเขา นี่คือจุดจบของคนเหล่านั้น

 

(…อีกไม่นาน พระอาทิตย์จะตกดิน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสำรวจซากปรักหักพังในตอนกลางคืน ฉันไม่ได้พกแสงไฟมาด้วย อีกอย่าง โอกาสที่จะถูกโจมตีโดนพวกสัตว์ประหลาดก็สูงฉันเอาตัวรอดจากซากปรักหักพังอันแสนอันตรายได้ ประสบการณ์ที่ได้วันนี้ก็คงพอแล้ว…ล่ะมั้ง? ถ้าฉันฝืนตัวเอง ฉันต้องกลายเป็นหนึ่งในกองกระดูกเหล่านั้นแน่)

 

อากิระคิดข้ออ้างเพื่อที่จะกลับออกไป เขาเสี่ยงชีวิตมาไกลขนาดนี้แต่ต้องกลับไปอย่างคนพ่ายแพ้

 

(…ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องนั้น อีกนิดหนึ่ง ขออีกนิด ถ้ายังหาไม่เจอ ฉันคงต้องกลับแล้วจริงๆ)

 

อากิระผู้เสี่ยงชีวิตเข้ามาในซากปรักหักพังแต่กลับไม่ได้สิ่งมีประโยชน์เลยซักชิ้นเดียว หลังจากคิดทบทวนในใจ อากิระที่ตัดสินใจสำรวจต่ออีกเล็กน้อยพลันเงยหน้าขึ้น

 

 

ทันใดนั้นตัวของเขาก็ค้างแข็งขึ้นมาทันใด

 

สิ่งที่อยู่ในสายตาของเขาคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ และเธอเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์!

 

ผู้หญิงคนนั้นเป็นความงามที่เหนือจินตนาการ ราวกับว่าความสวยงามนี้ไม่มีอยู่จริงบนโลก ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างอันสง่างาม ส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างกายของเธอนั้นถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด

 

ผิวที่สวยงามเปล่งประกายของเธอที่ไม่ถูกปิดบังนั้น สวยงามยิ่งกว่าผู้คนที่เด็กในสลัมอย่างอากิระเคยพบเห็นมาก่อนทั้งชีวิต

 

แขนขาของเธอเรียวยาวราวกับงานศิลป์ ผมของเธอที่ยาวจนถึงเอวนั้นบริสุทธิ์ไร้มลทินและยังเป็นประกายราวกับภาพวาด

 

ความงามของเธอสามารถทำให้ผู้ตนตกหลุมรักได้ง่ายๆโดยไม่คำนึงถึงอายุและเพศ

 

อากิระทำได้เพียงยืนตกตะลึงกับความงามของผู้หญิงคนนั้นราวกับว่าวิญญาณของเขาถูกดูดออกไป

 

เขาสามารถพูดได้เลยว่าเธอคือสิ่งที่สวยงามที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิตอันแสนสั้นของเขา

 

เป็นความงามที่ไม่ว่าเขาจะจินตนาการอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบเท่าได้

 

ผู้หญิงคนนั้นกำลังลอยอยู่โดยไม่ขยับเหมือนกับว่าเธอไม่เห็นอากิระ

 

แต่เพียงครู่เดียวหน้าอันสง่างามนั้นก็หันมาทางอากิระ

 

ดวงตาของทั้งสองสบกัน

 

หญิงสาวดูเหมือนไม่สนใจเรื่องที่อากิระกำลังจ้องมองร่างอันเปลือยเปล่าของเธอ เธอมองมาที่เขาแล้วยิ้ม

 

อากิระที่ยังอยู่ในความตะลึงตอบสนองต่อรอยยิ้มนั้นเล็กน้อย เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็ตระหนักได้ทันทีว่าอากิระสังเกตเห็นเธอ

 

เห็นแบบนั้นเธอก็หัวเราะอย่างสนุกสนานขณะที่เธอเดินเข้าไปหาอากิระ

 

คนแปลกหน้ากำลังเข้ามาหาเขา!  

 

พริบตาที่เขาตระหนักได้ อาการตกตะลึงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด เขาตั้งท่าป้องกันตัวพร้อมประเมินสถานการณ์ใหม่ทันที

 

เขาชี้ปืนไปที่หญิงสาวและจะโกนเสียงดัง

 

“อย่าขยับ!”

 

หญิงสาวคนนี้ไม่ปกติ!

 

ซากปรักหักพังของโลกเก่าเป็นสถานที่ที่อันตราย แม้แต่นักล่าที่มีอุปกรณ์ครบมือและได้รับการฝึกมาอย่างดีก็ยังถูกทำลายล้างได้

 

แต่ หญิงสาวคนนี้กลับยืนอยู่เพียงลำพัง แถมยังไม่มีอาวุธหรือุปกรณ์แม้แต่ชิ้นเดียวติดตัว

 

แม้ตัวเธอจะเปลือยเปล่า แต่เธอก็ไม่สนใจสถานะของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นซากปรักหักพังยังเต็มไปด้วยฝุ่นทราย แต่ผมและผิวของเธอยังคงสะอาดสะอ้านไม่มีรอยเปื้อนแม้แต่น้อย

 

อากิระผู้ระมัดระวังตัวอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมในซากปรักหักพัง แม้ว่าเขานั้นจะเป็นมือสมัครเล่น แต่เขาก็ต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนอื่นหรือสัตว์ประหลาด

 

มันทำให้เขามีความรู้สึกไวต่อเสียงแม้แต่เสียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของหญิงสาว ทั้งที่เธอไม่ได้หลบซ่อนตัวด้วยซ้ำ

 

ทั้งที่อากิระกำลังเล็งปืนไปที่เธอด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม หญิงสาวกลับดูไม่กลัวอากิระที่อาจจะเหนี่ยวไกตอนไหนก็ได้ด้วยความประหม่า

 

เธอยังคงเข้าไปใกล้กับอากิระมากขึ้นโดยไม่แสดงความกังวลหรือความกลัว

 

ความรู้สึกของอากิระต่อหญิงสาวจาก “สาวสวยที่น่าตกตะลึง”กลายเป็น”ตัวตนที่ไม่สามารถประเมินได้”

 

เมื่อเธอเข้ามาใกล้ขึ้น อากิระก็ร้องตะโกนใส่เธออีกครั้ง

 

“ฉ..ฉันบอกว่าอย่างขยับ!! ถ้าเข้าใกล้กว่านี้ล่ะก็ฉันยิงแน่! นี่ฉันจริงจังนะ!”

 

หากเป็นสถานการณ์ปกติ อากิระจะยิงเธอทันทีโดยไม่ให้คำเตือนใดๆ แต่เนื่องจากเธอไม่มีอาวุธและไม่มีท่าทีเป็นศัตรู  ทำให้อากิระสับสนจนไม่สามารถทำใจเหนี่ยวไกปืนได้

 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีขีดจำกัด หญิงสาวยังคงเดินเข้าหาอากิระแม้ว่าจะได้ยินคำเตือนของเขา

 

เพียงพริบตาที่เขากำลังจะเหนี่ยวไก…ทั้งที่ไม่ได้ละสายตา ไม่ได้ลดการระวังตัว แต่จู่ๆหญิงสาวก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา

 

อากิระใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เขาตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขามองไปรอบๆอย่างประหม่า แต่เขาก็หาเธอไม่เจอ

 

“อย่ากังวลไป ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก”

 

เสียงของหญิงสาวเอ่ยออกมาจากด้านข้างของเขา มันราวกับดังออกมาจากความว่างเปล่า

 

เมื่อเขาหันหน้าไปทางเสียงนั้น หญิงสาวก็อยู่ตรงนั้นแต่คราวนี้เธอสวมเสื้อผ้ามิดชิด อยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือถึงกันได้

 

หญิงสาวก้มตัวจนอยู่ระดับเดียวกับระดับสายตาของอากิระ เธอยิ้มและจ้องมองมาที่เขา

 

สมองของอากิระไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาในขณะนี้ได้  

 

อาการประหม่ากลายเป็นความกลัวเย็นเหยียบลึกเข้าไปในใจของเขา

 

อากิระกัดฟันอดทนต่อความหวาดกลัว ผู้ที่สูญเสียความสงบเยือกเย็นจะตาย นั่นคือสิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตในชุมชนแออัด

 

เขายกปืนขึ้นหันไปทางหญิงสาวคนนั้นทันที

 

หญิงสาวอยู่ใกล้พอที่ปืนของเขาจะผลักถึง อากิระจึงใช้ปืนผลักหญิงสาวให้ถอยออกไป

 

แต่ทว่า…เมื่อเขายืดมือออกไป อากิระก็พบว่ามือของเขา จมเข้าไปที่หน้าอกของเธอ

 

จมที่ว่า….คือทะลุเข้าไปในร่างของหญิงสาว มือทั้งสองเข้าไปอยู่ในตัวของหญิงสาวแต่อากิระกลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

 

ทั้งที่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนอยู่ตรงหน้า

 

อากิระตกใจจนสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ

 

มือทั้งสองข้างยังจมอยู่กับร่างของหญิงสาว ซึ่งหญิงสาวเองพยายามที่จะทดสอบการตอบสนองด้วยการโบกมือและเรียกเขา แต่อากิระเองกลับนิ่งอยู่อย่างนั้น

 

*****

1/2

ลงที่ละครึ่งแล้วกันนะ ตัวอักษรมันเยอะเกิน

หวังว่าคงสนุกกันนะครับ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Rebuild World 1 อากิระกับอัลฟ่า

Now you are reading Rebuild World Chapter 1 อากิระกับอัลฟ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1 อากิระกับอัลฟ่า

 

เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่านซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่ด้วยความเคร่งเครียด

 

รอบๆตัวเขา เต็มไปด้วยอาคารที่กลายเป็นซากปรักหักพัง

 

เศษของอาคารกระจัดกระจายไปทั่ว

 

บริเวณโดยรอบไม่มีสิ่งมีชีวิต มีแต่เสียงฝีเท้าของเด็กชายและเสียงของก้อนหินที่เด็กชายเตะโดนก้องกังวานไปทั่วซากปรักหักพังก่อนที่จะเงียบหายไป

 

เสื้อผ้าที่เปรอะไปด้วยสิ่งสกปรกและปืนพกหนึ่งกระบอกที่เด็กชายถือ คืออุปกรณ์ทั้งหมดของเด็กชายที่กำลังสำรวจสถานที่แห่งนี้

 

อย่างไรก็ตาม, ในสถานที่เช่นนี้ การที่เขามีอุปกรณ์ติดตัวเพียงเท่านี้ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง

 

ที่ที่เขากำลังสำรวจอยู่นี้ เป็นที่รู้จักในนาม [ซากปรักหักพังของโลกเก่า].

 

ในซากปรักหักพังแห่งนี้ มีอาวุธที่โจมตีเป้าหมายโดยไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากการทำงานที่ผิดพลาด

 

พวกมันเป็นเครื่องจักรที่ครั้งหนึ่งผู้สร้างเคยออกแบบมาให้เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เอาไว้กำจัดผู้บุกรุก

 

มันยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่ แม้ว่าผู้สร้างจะเสียชีวิตลงไปนานหลายปีแล้ว

 

นอกจากอาวุธจำพวกเครื่องจักรแล้ว ยังมีพวกอาวุธชีวภาพ ทั้งพืชและสัตว์

 

พวกมันวิวัฒนาการเพื่อเอาตัวรอดในสภาวะที่โหดร้าย พวกเป็นส่วนผสมระหว่างเครื่องจักรและชีวภาพ

 

ผู้คนทางตะวันออกเรียกมันว่า สัตว์ประหลาด ซึ่ง’ซากปรักหักพังของโลกเก่า’ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดเหล่านี้

 

แม้แต่ตัวเด็กชายเองก็รู้ ว่าที่นี้เป็นสถานที่อันตรายที่ทำให้ถึงตายได้ การแสดงออกอันเคร่งเครียดของเขาแสดงผ่านทางสีหน้า

 

ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็มีเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้เขาต้องเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วยความตั้งใจของตนเอง

 

เพราะมีบางอย่างที่คุ้มที่จะเสี่ยงกับอันตรายเหล่านั้น มันคือสมบัติ หรือของมีค่า ที่มีค่ามากกว่าชีวิตของเขา เด็กชายผู้เกิดและเติบโตมาในชุมชนแออัดที่ชื่ออากิระ

 

อากิระถอนหายใจพลางบ่นกับตัวเอง

 

“แถวนี้แทบจะไม่มีอะไรที่มีประโยชน์เลย ฉันเสี่ยงชีวิตมาเพื่อของพวกนี้รึไงกัน? หรือว่า…ฉันจะเสี่ยงเข้าไปให้ลึกกว่านี้ดี?”

 

เขาเงยหน้ามองไปส่วนลึกของซากปรักหักพัง ไกลออกไปนั้นมีอาคารสูงนับไม่ถ้วน  

 

ที่ระยะไกลๆนั้นมีอาคารที่ยังอยู่ในสภาพดี ยิ่งตัวอาคารมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับอาคารที่อยู่รอบๆตัวของอากิระ

 

(…ถ้าฉันไปถึงตรงนั้นได้ ฉันจะสามารถฉกฉวยโบราณวัตถุราคาแพงๆมาได้ไหมนะ?)

 

ความเป็นไปได้ที่จะได้รับโชคลาภมหาศาลนั้นดึงดูดใจของอากิระ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงแค่ภาพจินตนาการ

 

เขาส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไปและเตือนตัวเอง

 

“ไม่…มันเป็นไปไม่ได้ ฉันจะตายก่อนไปถึงที่นั่น”

 

บริเวณที่เขาอยู่นี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แต่จุดที่ไกลออกไปนั้นมีสภาพที่สวยงาม ความแตกต่างนี้เกิดจากการปกป้องสภาพแวดล้อม

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในซากปรักหักพังที่อยู่ไกลสุดสายตานั้น ยังมีเครื่องจักรระดับสูงจำนวนมากจากโลกเก่าที่ยังคงทำงานอยู่

 

มันมีความเป็นไปได้ที่ระบบรักษาความปลอดภัยระดับสุดยอด ซึ่งผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีอันน่าทึ่งในสมัยนั้นยังคงใช้งานได้

 

ไม่มีทางที่เด็กอย่างอากิระจะรอดจากพื้นที่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแบบนั้นได้

 

“แม้แต่จุดที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็ยังยากเกินตัวแล้ว ฉันควรหยุดคิดที่จะไปที่แบบนั้น…”

 

อากิระเมินเฉยความโลภภายในใจของเขาและค้นหารอบๆพื้นที่ที่เขาอยู่ต่อไป

 

บริเวณที่เขาอยู่นั้นเป็นบริเวณรอบนอกของซากปรักหักพัง ‘ถนนคุซึซึฮาระ’ ซึ่งอยู่ติดกับ’เมืองคุกามายามะ’ เมืองที่อากิระอาศัยอยู่

 

มันเป็นซากปรักหักพังที่ใหญ่ที่สุดใกล้เขตเศรษฐกิจของเมืองอีกด้วย

 

สัตว์ประหลาดที่อยู่รอบๆบริเวณนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ถือว่าอากิระกำลังสำรวจส่วนที่ค่อนข้างปลอดภัย

 

แต่…คำว่าอ่อนแอนั้น คือการเปรียบเทียบกับการที่มนุษย์ที่อาวุธครบมือสามารถรับมือได้ในระดับหนึ่ง

 

ในทำนองเดียวกันกับคำว่าค่อนข้างปลอดภัย มันแค่หมายความว่าคุณมีโอกาสรอดมากกว่าหากเทียบกับส่วนลึกของซากปรักหักพัง

 

จากที่กล่าวมา มันไม่ได้หมายความว่าอากิระจะลดความระมัดระวังลงได้

 

ตัวเขานั้นเนื่องจากขาดอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เขาสามารถตายได้หากเจอกับคมเขี้ยวของสัตว์กลายพันธุ์หรือกระสุนเพียงนัดเดียวจากเครื่องจักรในซากปรักหักพัง

 

ยิ่งไปกว่านั้น ปืนที่เขาถืออยู่ก็ขาดพลังโจมตีเมื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาด อากิระจะต้องยิงมันในระยะประชิดถึงจะมีพลังทำลายมากพอที่จะทำร้ายพวกสัตว์ประหลาดได้

 

พูดได้ว่า หากเขาต้องต่อสู้ขึ้นมา มันต้องจบลงด้วยความตายของเขาอย่างแน่นอน

 

แต่หากไม่มีเงิน ก็ไม่มีวันพรุ่งนี้ เพราะเขาเข้าใจเรื่องนั้น อากิระจึงยอมเสี่ยงชีวิตมาที่ถนนคุซึซึฮาระ

 

แม้ว่าเขาจะยังค้นหาต่อไป แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่ได้เจออะไรอีก เขาก้มหน้าถอนหายใจ สิ่งที่ปรากฏในสายตาของเขาคือกระดูกมนุษย์ที่กระจายอยู่ตามพื้น

 

เขาเห็นกระดูกเหล่านี้อยู่ประปราย และทุกครั้งที่เขาเห็นเขาจะค้นหารอบๆศพด้วยความหวังว่าจะพบของมีค่าบางอย่าง แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย

 

(นี่ฉันคาดหวังอะไรอยู่? หลายคนก่อนหน้านี้ก็ไม่เหลืออะไรติดตัวเลยเหมือนกัน)

 

อากิระคิดพลางทอดถอนใจ แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากที่เข้ามาสำรวจที่นี่ก่อนเขา และส่วนใหญ่ก็มีอุปกรณ์พอๆกับเขา นี่คือจุดจบของคนเหล่านั้น

 

(…อีกไม่นาน พระอาทิตย์จะตกดิน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสำรวจซากปรักหักพังในตอนกลางคืน ฉันไม่ได้พกแสงไฟมาด้วย อีกอย่าง โอกาสที่จะถูกโจมตีโดนพวกสัตว์ประหลาดก็สูงฉันเอาตัวรอดจากซากปรักหักพังอันแสนอันตรายได้ ประสบการณ์ที่ได้วันนี้ก็คงพอแล้ว…ล่ะมั้ง? ถ้าฉันฝืนตัวเอง ฉันต้องกลายเป็นหนึ่งในกองกระดูกเหล่านั้นแน่)

 

อากิระคิดข้ออ้างเพื่อที่จะกลับออกไป เขาเสี่ยงชีวิตมาไกลขนาดนี้แต่ต้องกลับไปอย่างคนพ่ายแพ้

 

(…ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องนั้น อีกนิดหนึ่ง ขออีกนิด ถ้ายังหาไม่เจอ ฉันคงต้องกลับแล้วจริงๆ)

 

อากิระผู้เสี่ยงชีวิตเข้ามาในซากปรักหักพังแต่กลับไม่ได้สิ่งมีประโยชน์เลยซักชิ้นเดียว หลังจากคิดทบทวนในใจ อากิระที่ตัดสินใจสำรวจต่ออีกเล็กน้อยพลันเงยหน้าขึ้น

 

 

ทันใดนั้นตัวของเขาก็ค้างแข็งขึ้นมาทันใด

 

สิ่งที่อยู่ในสายตาของเขาคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ และเธอเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์!

 

ผู้หญิงคนนั้นเป็นความงามที่เหนือจินตนาการ ราวกับว่าความสวยงามนี้ไม่มีอยู่จริงบนโลก ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างอันสง่างาม ส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างกายของเธอนั้นถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด

 

ผิวที่สวยงามเปล่งประกายของเธอที่ไม่ถูกปิดบังนั้น สวยงามยิ่งกว่าผู้คนที่เด็กในสลัมอย่างอากิระเคยพบเห็นมาก่อนทั้งชีวิต

 

แขนขาของเธอเรียวยาวราวกับงานศิลป์ ผมของเธอที่ยาวจนถึงเอวนั้นบริสุทธิ์ไร้มลทินและยังเป็นประกายราวกับภาพวาด

 

ความงามของเธอสามารถทำให้ผู้ตนตกหลุมรักได้ง่ายๆโดยไม่คำนึงถึงอายุและเพศ

 

อากิระทำได้เพียงยืนตกตะลึงกับความงามของผู้หญิงคนนั้นราวกับว่าวิญญาณของเขาถูกดูดออกไป

 

เขาสามารถพูดได้เลยว่าเธอคือสิ่งที่สวยงามที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิตอันแสนสั้นของเขา

 

เป็นความงามที่ไม่ว่าเขาจะจินตนาการอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบเท่าได้

 

ผู้หญิงคนนั้นกำลังลอยอยู่โดยไม่ขยับเหมือนกับว่าเธอไม่เห็นอากิระ

 

แต่เพียงครู่เดียวหน้าอันสง่างามนั้นก็หันมาทางอากิระ

 

ดวงตาของทั้งสองสบกัน

 

หญิงสาวดูเหมือนไม่สนใจเรื่องที่อากิระกำลังจ้องมองร่างอันเปลือยเปล่าของเธอ เธอมองมาที่เขาแล้วยิ้ม

 

อากิระที่ยังอยู่ในความตะลึงตอบสนองต่อรอยยิ้มนั้นเล็กน้อย เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็ตระหนักได้ทันทีว่าอากิระสังเกตเห็นเธอ

 

เห็นแบบนั้นเธอก็หัวเราะอย่างสนุกสนานขณะที่เธอเดินเข้าไปหาอากิระ

 

คนแปลกหน้ากำลังเข้ามาหาเขา!  

 

พริบตาที่เขาตระหนักได้ อาการตกตะลึงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด เขาตั้งท่าป้องกันตัวพร้อมประเมินสถานการณ์ใหม่ทันที

 

เขาชี้ปืนไปที่หญิงสาวและจะโกนเสียงดัง

 

“อย่าขยับ!”

 

หญิงสาวคนนี้ไม่ปกติ!

 

ซากปรักหักพังของโลกเก่าเป็นสถานที่ที่อันตราย แม้แต่นักล่าที่มีอุปกรณ์ครบมือและได้รับการฝึกมาอย่างดีก็ยังถูกทำลายล้างได้

 

แต่ หญิงสาวคนนี้กลับยืนอยู่เพียงลำพัง แถมยังไม่มีอาวุธหรือุปกรณ์แม้แต่ชิ้นเดียวติดตัว

 

แม้ตัวเธอจะเปลือยเปล่า แต่เธอก็ไม่สนใจสถานะของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นซากปรักหักพังยังเต็มไปด้วยฝุ่นทราย แต่ผมและผิวของเธอยังคงสะอาดสะอ้านไม่มีรอยเปื้อนแม้แต่น้อย

 

อากิระผู้ระมัดระวังตัวอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมในซากปรักหักพัง แม้ว่าเขานั้นจะเป็นมือสมัครเล่น แต่เขาก็ต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนอื่นหรือสัตว์ประหลาด

 

มันทำให้เขามีความรู้สึกไวต่อเสียงแม้แต่เสียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของหญิงสาว ทั้งที่เธอไม่ได้หลบซ่อนตัวด้วยซ้ำ

 

ทั้งที่อากิระกำลังเล็งปืนไปที่เธอด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม หญิงสาวกลับดูไม่กลัวอากิระที่อาจจะเหนี่ยวไกตอนไหนก็ได้ด้วยความประหม่า

 

เธอยังคงเข้าไปใกล้กับอากิระมากขึ้นโดยไม่แสดงความกังวลหรือความกลัว

 

ความรู้สึกของอากิระต่อหญิงสาวจาก “สาวสวยที่น่าตกตะลึง”กลายเป็น”ตัวตนที่ไม่สามารถประเมินได้”

 

เมื่อเธอเข้ามาใกล้ขึ้น อากิระก็ร้องตะโกนใส่เธออีกครั้ง

 

“ฉ..ฉันบอกว่าอย่างขยับ!! ถ้าเข้าใกล้กว่านี้ล่ะก็ฉันยิงแน่! นี่ฉันจริงจังนะ!”

 

หากเป็นสถานการณ์ปกติ อากิระจะยิงเธอทันทีโดยไม่ให้คำเตือนใดๆ แต่เนื่องจากเธอไม่มีอาวุธและไม่มีท่าทีเป็นศัตรู  ทำให้อากิระสับสนจนไม่สามารถทำใจเหนี่ยวไกปืนได้

 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีขีดจำกัด หญิงสาวยังคงเดินเข้าหาอากิระแม้ว่าจะได้ยินคำเตือนของเขา

 

เพียงพริบตาที่เขากำลังจะเหนี่ยวไก…ทั้งที่ไม่ได้ละสายตา ไม่ได้ลดการระวังตัว แต่จู่ๆหญิงสาวก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา

 

อากิระใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เขาตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขามองไปรอบๆอย่างประหม่า แต่เขาก็หาเธอไม่เจอ

 

“อย่ากังวลไป ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก”

 

เสียงของหญิงสาวเอ่ยออกมาจากด้านข้างของเขา มันราวกับดังออกมาจากความว่างเปล่า

 

เมื่อเขาหันหน้าไปทางเสียงนั้น หญิงสาวก็อยู่ตรงนั้นแต่คราวนี้เธอสวมเสื้อผ้ามิดชิด อยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือถึงกันได้

 

หญิงสาวก้มตัวจนอยู่ระดับเดียวกับระดับสายตาของอากิระ เธอยิ้มและจ้องมองมาที่เขา

 

สมองของอากิระไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาในขณะนี้ได้  

 

อาการประหม่ากลายเป็นความกลัวเย็นเหยียบลึกเข้าไปในใจของเขา

 

อากิระกัดฟันอดทนต่อความหวาดกลัว ผู้ที่สูญเสียความสงบเยือกเย็นจะตาย นั่นคือสิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตในชุมชนแออัด

 

เขายกปืนขึ้นหันไปทางหญิงสาวคนนั้นทันที

 

หญิงสาวอยู่ใกล้พอที่ปืนของเขาจะผลักถึง อากิระจึงใช้ปืนผลักหญิงสาวให้ถอยออกไป

 

แต่ทว่า…เมื่อเขายืดมือออกไป อากิระก็พบว่ามือของเขา จมเข้าไปที่หน้าอกของเธอ

 

จมที่ว่า….คือทะลุเข้าไปในร่างของหญิงสาว มือทั้งสองเข้าไปอยู่ในตัวของหญิงสาวแต่อากิระกลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

 

ทั้งที่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนอยู่ตรงหน้า

 

อากิระตกใจจนสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ

 

มือทั้งสองข้างยังจมอยู่กับร่างของหญิงสาว ซึ่งหญิงสาวเองพยายามที่จะทดสอบการตอบสนองด้วยการโบกมือและเรียกเขา แต่อากิระเองกลับนิ่งอยู่อย่างนั้น

 

*****

1/2

ลงที่ละครึ่งแล้วกันนะ ตัวอักษรมันเยอะเกิน

หวังว่าคงสนุกกันนะครับ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+