Rebuild World 1.5 อากิระกับอัลฟ่า2/2

Now you are reading Rebuild World Chapter 1.5 อากิระกับอัลฟ่า2/2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

2/2

กาลครั้งหนึ่ง ในอดีตอันแสนไกล อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ขยายไปทั่วโลกนั้นถูกทำลาย

 

เมืองทั้งเมืองถูกทำลายจนเหลือเพียงครึ่งเดียว ซากอาคาร สิ่งก่อสร้าง เครื่องจักร ล้วนถูกทิ้งร้างนานหลายปี

 

ทำให้คนยุคปัจจุบันจินตนาการไม่ออกเลยว่าโลกในอดีตนั้นเคยเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน

 

ในโลกที่แม้แต่ฝนเองก็ยังถูกประดิษฐ์ขึ้น มันยังคงดำเนินการอยู่แม้ว่าเมืองพังทลายลงไป

 

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซากปรักหักพังยังมีการพังทลายอย่างต่อเนื่อง ผิดกับต้นไม้ที่ค่อยๆเติบโตจนสูงเสียดฟ้า คอยมอบชีวิตให้สิ่งมีชีวิต

 

อารยธรรมโบราณนี้ถูกเรียกว่า ‘โลกเก่า’ สิ่งที่พวกเขาเหลือไว้ก็คือโบราณวัตถุจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

 

มีทั้ง วัสดุที่ไม่รู้จัก กลุ่มตึกระฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ ยาที่รักษาคนขาพิการได้เพียงแค่กินมัน และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ลำสมัยเกินกว่าจะเอาไปใช้กับมนุษย์

 

มนุษย์ใช้เวลาหลายปีรวบรวมโบราณวัตถุเหล่านั้น เพื่อก่อสร้างอารยธรรมมนุษย์ขึ้นมาใหม่

 

แม้แต่สิ่งที่ทำลายอารยธรรมที่มีเทคโนโลยีราวกับเวทมนต์นั้นได้ ก็ยังไม่สามารถลบล้างมนุษยชาติได้ทั้งหมด

 

ในเขตตะวันออกของอารยธรรมมนุษย์ มีเมืองเศรษฐกิจจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งถูกบริหารโดยเหล่าองค์กร และเมืองคุกามายามะเองก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนั้น

 

เมืองคุกามายามะนั้นถูกรายล้อมด้วยกำแพงขนาดใหญ่ ซึ่งแบ่งเมืองออกเป็นชั้นๆ แม้ว่าทุกชั้นจะเรียกว่าเมืองคุกามายามะเหมือนกันแต่ก็มีความแตกต่างกัน

 

ในกำแพงชั้นใน เป็นพื้นที่ที่คนระดับสูงรวมตัวกัน เป็นที่อยุ่อาศัยของพวกผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจ

 

ส่วนระดับกลางเองนั้นเป็นส่วนของผู้ที่มีความมั่นคงทางกการเงินระดับหนึ่ง ส่วนพื้นที่ด้านนอกจากพื้นที่เหล่านั้นคือผู้ที่ไม่สามารถเข้าอาศัยในกำแพงได้

 

ที่นอกเมืองนั้น กลายเป็นชุมชนแออัดแผ่ขยายไปทั่วบริเวณจนใกล้กับเขตอันตรายเช่นซากปรักหักพัง

 

อากิระเป็นเด็กคนหนึ่งในชุมชนแออัด กล่าวอีกอย่างคือ เขาไม่ได้ถูกพัฒนาร่างกายเหมือนไซบอร์ก ไม่ได้รับการปรับปรุงทางพันธุกรรมหรือนาโนแมชชีนอะไรพวกนั้น

 

พวกเขาเป็นเด็กปกติธรรมดาที่ไม่มีแต่ทักษะเฉพาะทาง พวกเขาล้วนไม่มีการศึกษาหรือแม้แต่พ่อแม่ เด็กๆอย่างอากิระนั้นไม่มีผู้ปกครอง ไม่มีเงิน

 

พวกเขาไม่มีอาหารเพียงพอที่จะใช้ดำรงชีวิตประจำวัน พวกเขาสามารถตายตอนไหนก็ได้ แม้ว่าพวกเขาจะตาย ก็ไม่มีใครซักคนเดียวที่จะสนใจเด็กในชุมชนนี้

 

การอยู่ในถิ่นทุรกันดานเช่นนี้ไม่แปลกเลยที่ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเข้าโจมตี ซึ่งที่แรกก็หนีไม่พ้นชุมชนแออัดที่ติดกับพื้นที่ซากโบราณเหล่านั้น

 

อากิระรอดชีวิตมาจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดสามครั้ง เขารอดจากกการโจมตีครั้งแรกและครั้งที่สองจากการวิ่งหนีและหลบซ่อน

 

ต้องขอบคุณใครบางคนที่เขาเองก็ไม่รู้จักแม้กระทั้งชื่อคอยซื้อเวลาให้เขา คนเหล่านั้นล้วนถูกโจมตี ถูกกิน และถูกฆ่าแทนอากิระ ทำให้เขารอดมาได้

 

จุดผลิกผันมันคือการรอดชีวิตครั้งที่สามของเขา ในช่วงเวลานั้น อากิระไม่สามารถหนีสัตว์ประหลาดรูปร่างสุนัขตัวเล็กๆได้พ้น และจบด้วยการฆ่ามันด้วยปืนพกที่เขามี

 

มันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าอัศจรรย์ในการยิงสัตว์ประหลาดเข้าที่หัวสามนัดด้วยฝีมือของมือสมัครเล่นที่ไม่ได้รับการฝึกฝน

 

แต่ทว่า สัตว์ประหลาดไม่ได้สิ้นฤทธิ์ง่ายขนาดนั้น มันพุ่งเข้าหาอากิระด้วยหน้าที่เปื้อนเลือดเพื่อที่จะขย้ำเขาเป็นชิ้นๆ

 

ก่อนปากที่ใหญ่ผิดปกติของสัตว์ประหลาดจะฝังเขี้ยวลงที่เขา อากิระฝืนดันมือที่ถือปืนเข้าไปในปากของสัตว์ประหลาดจนถึงข้อศอกแล้วเหนี่ยวไก

 

กระสุนผ่านปากไปทะลุกะโหลกจนไปถึงสมอง ทำลายหัวของมันจากภายใน

 

และทำให้มันตายในที่สุด

 

ด้วยความแข็งแกร่งของฟันสัตว์ประหลาด มันจึงเจาะแขนของเขาเล็กน้อย แต่อากิระเองก็รักษาแขนและชีวิตของเขาไว้ได้

 

หลังจากรอดชีวิตครั้งที่สาม อากิระได้ตัดสินใจที่จะเป็นนักล่า แม้ว่าเขาจะรู้ถึงความอันตรายของการเป็นนักล่า แต่การที่เขาสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดได้ด้วยตัวเอง ทำให้เขามั่นใจในตัวเองและมีความหวังขึ้นมา

 

ในโลกนี้ มีกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่า ผู้แสวงหาขุมทรัพย์และชื่อเสียงในซากปรักหักพัง  

 

ซากปรักหักพังที่มีสัตว์ประหลาดเพ่นพ่านถือเป็นพื้นที่อันตราย แม้แต่ชุมชนแออัดที่ทุกคนพกปืนก็ยังดูปลอดภัยกว่าในซากปรักหักพัง

 

มันเป็นสถานที่อันตรายแบบนั้น

 

แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่สามารถสร้างเงินจำนวนมหาศาล เนื่องจากซากปรักหักพังนี้เป็นส่วนหนึ่งของโลกเก่า ทำให้มีวัตถุโบราณของโลกเก่าอยู่ด้วย

 

สัตว์ประหลาดที่โจมตีผู้คนก็ถือว่าเป็นวัตถุโบราณของโลกเก่าเช่นกัน สัตว์ประหลาดชีวภาพเป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีชีวภาพชั้นสูง ถ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมีชิ้นส่วนกลไกจะถือว่าชิ้นส่วนนั้นเป็นของมีค่า

 

ถ้านำไปขึ้นเงินจะทำกำไรได้มหาศาล

 

นอกจากนี้ หากคุณนำโบราณวัตถุที่มีความล้ำค่ามาจากซากปรักหักพัง เงินที่ได้นั้นอาจจะสามารถซื้อเมืองเมืองหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

และหากคุณสามารถยึดครองส่วนหนึ่งของซากปรักหักพังได้ โดยเฉพาะยุทโธปกรณ์ทางทหาร คุณสามารถสร้างประเทศของตัวเองได้

 

นักล่าที่มีความสามารถนั้นได้รับค่าตอบแทนจำนวนมาก ยิ่งคุณนำของล้ำค่ามาจากซากปรักหักพังที่อันตรายมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับเงินและอำนาจได้มากขึ้น

 

และเมื่อคุณมีอำนาจมากขึ้น คุณก็จะเข้าไปซากปรักหักพังได้ลึกขึ้นเพื่อของที่ดีกว่า หากทำซ้ำวิธีนี้ไปเรื่อยๆ คุณสามารถถือครองพลังอำนาจที่เหนือกว่าเมืองๆหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

อากิระสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดด้วยตัวเอง เพิ่มความเชื่อมั่นว่า โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตในซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดไม่ใช่ศูนย์อีกต่อไป

 

แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะลองเสี่ยงดู หากเขายังคงใช้ชีวิตในชุมชนแออัดต่อไป เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองเสี่ยงดวงดูเท่านั้น

 

อากิระลุกขึ้นมุ่งมั่นที่จะเป็นนักล่า เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

 

 

อากิระยังคงยืนตัวแข็งอยู่ต่อหน้าหญิงสาว

 

ส่วนหญิงสาวเองก็กำลังหัวเราะเบาๆขณะรออากิระหายจากอาการช็อค

 

แต่จนแล้วจนรอด ผ่านไปซักพัก อากิระก็ยังยืนแข็งอยู่ตรงนั้น เพราะเขาไม่สามารถหาวิธีจัดการสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้

 

สุดท้าย เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เขาจึงค่อยๆฟื้นคืนสติได้ มันทำให้เขาสงบลงในระดับหนึ่ง

 

สายตาที่จ้องมองไปยังความว่างเปล่ามองไปใบหน้าของหญิงสาว

 

หญิงสาวเห็นแบบนั้นจึงยิ้มกลับไปยังอากิระ

 

“เป็นไงบ้าง? คุณเห็นฉันใช่ไหม?ได้ยินเสียงฉันรึเปล่า? แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหน? คุณเป็นใคร?”หญิงสาวถามรัวเป็นชุด

 

อากิระสงบสติอารมณ์ได้แล้วตอบคำถามของเธออย่างใจเย็น

 

“…ฉันเห็นคุณ ได้ยินคุณ…ชัดดี ที่นี่คือซากปรักหักพังคุซึซึฮาระ และชื่อของฉันคืออากิระ…”

 

หญิงสาวหัวเราะชอบใจ

 

“ขอบคุณพระเจ้า ฉันชื่ออัลฟ่า ยินดีที่ได้รู้จัก”

 

ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆต่อเขา แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอเป็นตัวตนที่ลึกลับเกินกว่าจะคาดเดา

 

เธอไม่มีความเป็นศัตรูดังนั้นเขาจึงไม่อยากจดจ่อกับเธอมากเกินไป เพราะตอนนี้เขาอยู่ในซากปรักหักพังที่จะมีสัตว์ประหลาดออกมาตอนไหนก็ได้  

 

เป็นการดีกว่าหากเขาระวังสัตว์ประหลาดที่จะเข้ามาแทนที่จะเป็นหญิงสาว

 

“…คุณอัลฟ่า…แต่…คุณ ไม่ใช่ผี ใช่ไหม? ฉันแตะตัวคุณไม่ได้”

 

“ใช่สิ…ถึงแม้จะขอให้พิสูจน์แต่ฉันก็พิสูจน์ให้ไม่ได้หรอกนะ ต่อให้ฉันอธิบายคุณก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เอาง่ายๆว่าตอนนี้ ตัวฉันที่คุณเห็นเป็นตัวฉันจริงๆ

 

สิ่งที่คุณรับรู้ไม่ว่าจะเสียงหรือรูปลักษณ์ของฉันนั้นถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของคุณโดยตรง ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างสมองของคุณมีความสามารถ

 

ในการรับข้อมูลที่ผ่านระบบไร้สาบแบบพิเศษ ทำให้คุณรับข้อมูลที่ฉันส่งได้ ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านี่เป็นความารถมารถโดยกำเนิดหรือเป็นความสามารถที่คุณได้มันมาจากที่อื่น

 

ในทางกลับกับ ฉันไม่ได้ยินเสียงที่คุณเปร่งออกมาจากเส้นเสียง แต่มันออกมาจากความคิดของคุณ ซึ่งสมองส่งออกมาเป็นแพ็กเกตข้อมูล แล้วฉันก็แปลงมันเป็นเสียงอีกที

 

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับการมองเห็นของคุณเช่นกัน มันทำให้ฉันรู้ว่าคุณเองมองเห็นฉันได้”

 

อากิระไม่เข้าใจแม้แต่เสี้ยวเดียวของคำที่อัลฟ่าอธิบาย ซึ่งอัลฟ่าเองก็เข้าใจเมื่อเห็นการแสดงออกของเขา  

 

อัลฟ่าจึงอธิบายเฉพาะประเด็นหลักเท่านั้น

 

“คุณเป็นคนเดียวที่เห็นฉัน และคุณก็เป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงของฉัน โปรดระวังเมื่อคนอื่นเห็นคุณคุยกับฉัน คุณจะดูเหมือนคนบ้าพูดคนเดียว

 

คุณเข้าใจแค่นี้ก็พอ สำหรับตอนนี้น่ะนะ คุณสามารถเรียกฉันว่าอัลฟ่า แล้วฉันจะเรียกคุณว่าอากิระ ตกลงไหม?”

 

อัลฟ่าหัวเราะเบาๆขณะให้คำอธิบายอากิระ

 

สำหรับเด็กจากชุมชนแออัดอย่างอากิระแล้ว เขาไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มนั้นจะสื่อถึงความสาร ตักเตือน หรือขบขัน แต่มันทำให้เขาสบายใจอย่างไม่รู้ตัว

 

“เอาละ ฉันเข้าใจแล้ว… แล้ว…อัลฟ่า คุณมาทำอะไรที่นี่?”

 

“ฉันกำลังมองหาคนที่สามารถเห็นและได้ยินฉัน ฉันมีเรื่องที่จะขอร้องเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครที่ฉันสามารถสื่อสารได้เลย คงจะดีถ้าคนๆนั้นเป็นนักล่าเพราะมีโอกาสที่จะฟังคำขอของฉัน

 

แต่ก็อย่างที่คุณเห็น มันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเลย”

 

อัลฟ่าหัวเราะอย่างขมขื่นเล็กน้อย

 

อากิระสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยปาก

 

“เอ่อ…จริงๆแล้ว ฉันก็เป็นนักล่านะรู้ไหม…”

 

พออากิระพูดไปแบบนั้น อัลฟ่าก็ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

“ห๊ะ? อากิระเป็นนักล่างั้นเหรอ? ทั้งที่ยังเด็กขนาดนี้เนี่ยนะ? ยังไงซิ เป็นนักล่ามานานหรือยัง?”

 

“เออ…หนึ่ง..”

 

“หนึ่งปี?”

 

“…หนึ่ง…วัน ฉันพึ่งเป็นนักล่าวันนี้เอง”

 

ทั้งอากิระและอัลฟ่าต่างแสดงสีหน้าแปลกประหลาด

 

ความเงียบอันน่าอึดอัดใจก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขา

 

“ช่างเถอะ…ไม่มีอะไร ลืมสิ่งที่ฉันพูดไปซะ”

 

ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นนักล่า เขาก็ไม่อยากปกปิดว่าเขาเป็น แต่ลึกๆเขาก็รู้ดีว่าตนนั้นไม่มีทักษะสมกับเป็นนักล่า พอพูดไปแบบนั้นเขาเลยหมดความมั่นใจ

 

แต่อัลฟ่ายังคงดำเนินการสนทนาต่อ

 

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ช่วยฟังเรื่องราวของฉันหน่อยได้ไหม? มันคงเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เรามาเจอกันที่นี่”

 

แม้ว่าเขาจะเรียกตัวเองว่านักล่า แต่อากิระไม่มีทักษะ ซึ่งอัลฟ่าเองก็รู้ดี แต่ด้วยความจริงที่ว่าไม่มีใครที่สามารถสื่อสารกับเธอได้นอกจากเขา

 

ดังนั้นอัลฟ่าจึงไม่คิดว่าการขาดทักษะของเขาเป็นแง่ลบในระยะยาว

 

“คำขอของฉัน คืออยากให้คุณสำรวจซากปรักหักพังลับ เพื่อเป็นการตอบแทนฉันจะเป็นคนคอยช่วยเหลือคุณในรูปแบบต่างๆ เมื่อคุณทำตามคำขอของฉันเสร็จแล้ว ฉันจะให้คุณนำโบราณวัตถุจากที่นั้นออกไปได้ทั้งหมดเลย”

 

อากิระประหลาดใจกับข้อเสนอที่ไม่คาดคิด

 

“วัตถุโบราณจากโลกเก่าที่คุณว่า….เอาจริงดิ?”

 

เมื่อเธอเห็นการตอบสนองของอากิระ อัลฟ่าก็หัวเราะเบาๆ

 

มันทำให้เธอพยายามชักชวนเขามากขึ้น

 

“แน่นอน หรืออาจจะมากกว่านั้น แน่นอนว่าเธอจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากข้อตกลงนี้ ถ้าไม่รับข้อเสนอมันจะเสียเปล่านะรู้ไหม? โชคดีไม่ได้มีมาบ่อยๆนะ อีกอย่าง คุณจะอยู่รอดได้นานขึ้นถ้ามีฉันสนับสนุน”

 

ในใจของอากิระกำลังกรีดร้องอยู่ข้างในว่าอีกฝ่ายแค่พยายามหลอกล่อเขา แต่สำหรับอากิระแล้วอัลฟ่าดูไม่ได้เหมือนคนที่พยายามหลอกล่อเขาเลย

 

…อย่างแรก เธอจะได้อะไรสำหรับการหลอกเด็กอย่างฉัน? หรือว่าเธอต้องการเล่นตลก? ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนเธอค่อนข้างจะจริงจังในข้อเสนอนั้น แล้วมันดีรึเปล่านะที่รับคำขอของคนแปลกหน้าแบบนี้?

 

หลังจากลังเลใจอยู่ซักพัก อากิระก็ตัดสินใจ

 

หากพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากอีกฝ่ายมีเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังหรือสถานการณ์อะไรแบบนั้นคงไม่มาขอร้องคนธรรมดาแบบเขา เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วอากิระจึงตัดสินใจ

 

“ได้สิ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ฉันจะยอมรับคำขอของคุณ”  

 

เขาตอบตกลงทันทีจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจ ด้วยเหตุนี้อากิระจึงตอบรับคำขอแรกของเขาในฐานะนักล่า

 

อัลฟ่าได้ยินอย่างนั้นจึงมีความสุขอย่างมาก

 

“สัญญาสมบูรณ์แล้ว จากนี้ฉันจะเริ่มการตอบแทนโดยการสนับสนุนคุณทันที”

 

สิ้นเสียง อัลฟ่าที่มักจะหัวเราะตลอดเวลา จู่ๆน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

 

“ถ้าคุณยังไม่อยากเสียชีวิต ให้หลบเข้าไปในอาคารภายในสิบวินาที”

 

“คุณพูดอะไรเนี่ย…?”

 

อากิระที่กำลังจะถามหญิงสาวว่าหมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอัลฟ่าแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องนี้อันตรายแค่ไหน

 

ด้วยสถานที่ที่เขาอยู่ ทำให้เขาหยุดถามทันที… ถ้านั่นไม่ใช่เรื่องโกหก เขาจะตายแน่นอนถ้าเขายังอยู่ตรงนี้

 

พอเขารู้ตัว อากิระก็รียวิ่งไปที่อาคารที่อยู่ทางขวามือ

 

ช่วงเวลาที่อากิระกระโดดเข้าไปในอาคารอย่างเร่งรีบ จู่ๆก็มีลมจากแรงระเบิดหอบใหญ่พัดผ่านด้านข้างของเขา

 

เมื่ออากิระหันกลับไปมองจุดที่ระเบิด เขาเห็นหลุมลึกตรงจุดที่เขายืนอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว

 

พื้นที่รอบๆไหม้เกรียมจนเป็นสีดำ หากเขายังอยู่ตรงนั้นต่ออีกวินาทีเดียว เขาจะตาย

 

อากิระรู้สึกเย็นเหยียบจนถึงกระดูก เขานิ่งไปด้วยความกลัว แต่อัลฟ่าปรากฎตัวตรงหน้าของเขาและเรียกให้เขากลับสู่ความเป็นจริง

 

“นะ…นั่น มัน อะไร?”

 

อัลฟ่าไม่ตอบอากิระ แต่ยังคงทำสีหน้าจริงจังขณะชี้นิ้วไปที่บันได

 

“ไปตรงนั้นและไต่ขึ้นไปภายใน แปดวินาที”

 

อากิระรีบวิ่งไปที่บันไดและปีนขึ้นไปในทันที

 

วินาทีต่อมา มีการระเบิดอีกครั้งที่ด้านหลัง แรงกระแทกจากการระเบิดนั้นหยุดอากิระไม่ให้ปีนสูงขึ้นไป

 

พอเขาหายจากแรงช็อกเขาก็รีบปีนขึ้นไปอีกครั้ง ก่อนที่จะเห็นอัลฟ่าที่ปลายบันได ยกนิ้วข้างหนึ่งแล้วชี้ขึ้น

 

“ขึ้นดาดฟ้าภายใน ห้าวินาที”

 

อากิระไม่สนใจเสียงกรีดร้องจากปอดและขา เขารีบพุ่งตัวขึ้นบันใด

 

เขาทำตามคำแนะนำของอัลฟ่าและวิ่งต่อไปจนในที่สุดก็มาถึงดาดฟ้า  

 

เขาหอบหายใจอย่างหนัก ปลายทางมีอัลฟ่ากำลังโบกมือให้เขาเข้าไปหาใกล้ๆ ดูจากท่าทางของเธอแล้วไม่เหมือนว่าให้เขาต้องรีบทำเช่นนั้น

 

อากิระสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเดินไปทางเธอ เมื่อมาถึงอัลฟ่าก็ชี้ไปที่ด้านล่าง

 

อากิระงุนงง หรือว่าเธอต้องการให้เขากระโดดลงไป แต่อัลฟ่าก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น

 

“ลองมองไปข้างล่างสิ แต่ต้องระวังหน่อย ทำมันอย่างช้าๆและเงียบๆเข้าไว้ ตกลงไหม?”

 

อากิระค่อยๆมองลงไปตามคำพูดของอัลฟ่า ใบหน้าของเขาก็ซีดลงไปในทันที

 

สิ่งที่เขาเห็นด้านล่างนั้นคือฝูงสัตว์ประหลาดที่โจมตีเขา สัตว์ประหลาดเหล่าเดินวนไปมาราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

สัตว์ประหลาดตัวนั้นมีความยาวประมาณสองเมตร พวกมันดูเหมือนสุนัขตัวใหญ่ที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่บางตัวมีปืนใหญ่ขนาดย่อมอยู่บนหลัง

 

และบางตัวก็มีจรวดขนาดเล็กอยู่ติดลำตัว ไม่ว่าจะตัวไหนๆก็มีอาวุธทำลายล้างเพื่อทำลายผู้บุกรุก

 

หากเขาสามารถจัดการพวกมัน และนำบางส่วนกลับไปได้ เขาจะได้เงินจำนวนมหาศาล

 

…แต่ อากิระไม่มีพลังมากพอที่จะทำเช่นนั้น

 

เด็กชายได้แต่ทอดถอนใจกับโอกาสทำเงินที่เขาไม่สามารถคว้าไว้ได้

 

“พวกนั้นมันอะไรวะน่ะ?”

 

อัลฟ่าให้คำอธิบายเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพวกนั้น

 

“พวกมันคือสุนัขสงคราม (weapon dogs แต่จะเรียกว่าหมาปืนก็ยังไงอยู่) สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ มันถูกสร้างมาเพื่อปกป้องเมือง สิ่งที่คุณเห็นว่าเป็นอาวุธนั้นไม่ใช่เครื่องจักร แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตในทางชีววิทยา ฉันคิดว่าพวกมันถูกสั่งให้ดูแลพื้นที่แถบนี้  พวกมันอาจมีวิวัฒนาการแตกต่างกัน ทำให้อาวุธที่อยู่บนหลังของมันกลายเป็นอาวุธรูปแบบต่างๆเมื่อมันโตขึ้น บางที ตัวที่มีเครื่องยิงจรวดที่อยู่ด้านหลังนั้นคือตัวจ่าฝูง”

 

มันเป็นข้อมูลที่มีค่าที่จะฟัง แต่อากิระไม่ได้ขอคำอธิบายเรื่องสัตว์ประหลาด เขาแค่บ่นออกมาอย่างคนโชคร้ายที่จู่ๆก็ถูกจู่โจมโดยสัตว์ประหลาด

 

แต่พอได้ฟังเขาก็เกิดคำถาม

 

“ทำไมมันถึงมีปืนออกมาจากหลังของสิ่งมีชีวิต นี่มันแปลกเกินไปแล้ว”

 

อัลฟ่าตอบคำถามของอากิระด้วยท่าทีสบายๆ

 

“มีนาโนแมชชีนอยู่ในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต พวกมันดึงโลหะที่สิ่งมีชีวิตนั้นกินเข้าไปแล้วรวมมันจนกลายเป็นปืน ฉันแน่ใจว่าพวกมันกลายพันธุ์จากการออกแบบดั้งเดิม

 

อืม…มันอาจจะเป็นการวิวัฒนาการเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบัน”

 

มันอาจจะเป็นข้อมูลสำคัญ หากผู้ฟังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ประหลาด แต่สำหรับอากิระนั้นเขาไม่รู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน

 

ข้อมูลนั้นบอกเขาเพียงว่า มันมีเหตุผลที่สัตว์ประหลาดพวกนั้นมีอาวุธอยู่บนตัวของพวกมัน

 

สีหน้าของอัลฟ่ากลายเป็นขี้เล่น ไม่จริงจังเหมือนตอนที่บอกให้เขาหนี เมื่อพิจารณาแล้ว อากิระก็สงบลงเมื่อเข้าใจว่าเขาค่อนข้างปลอดภัยขณะอยู่ที่นี่

———–

คิดผิดไหมเนี่ยแปลเรื่องนี้ ตอนนึงอย่างยาว แถมเนื้อหาเยอะสุดๆ

ขอให้สนุกครับ Avolenn

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Rebuild World 1.5 อากิระกับอัลฟ่า2/2

Now you are reading Rebuild World Chapter 1.5 อากิระกับอัลฟ่า2/2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

2/2

กาลครั้งหนึ่ง ในอดีตอันแสนไกล อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ขยายไปทั่วโลกนั้นถูกทำลาย

 

เมืองทั้งเมืองถูกทำลายจนเหลือเพียงครึ่งเดียว ซากอาคาร สิ่งก่อสร้าง เครื่องจักร ล้วนถูกทิ้งร้างนานหลายปี

 

ทำให้คนยุคปัจจุบันจินตนาการไม่ออกเลยว่าโลกในอดีตนั้นเคยเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน

 

ในโลกที่แม้แต่ฝนเองก็ยังถูกประดิษฐ์ขึ้น มันยังคงดำเนินการอยู่แม้ว่าเมืองพังทลายลงไป

 

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซากปรักหักพังยังมีการพังทลายอย่างต่อเนื่อง ผิดกับต้นไม้ที่ค่อยๆเติบโตจนสูงเสียดฟ้า คอยมอบชีวิตให้สิ่งมีชีวิต

 

อารยธรรมโบราณนี้ถูกเรียกว่า ‘โลกเก่า’ สิ่งที่พวกเขาเหลือไว้ก็คือโบราณวัตถุจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

 

มีทั้ง วัสดุที่ไม่รู้จัก กลุ่มตึกระฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ ยาที่รักษาคนขาพิการได้เพียงแค่กินมัน และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ลำสมัยเกินกว่าจะเอาไปใช้กับมนุษย์

 

มนุษย์ใช้เวลาหลายปีรวบรวมโบราณวัตถุเหล่านั้น เพื่อก่อสร้างอารยธรรมมนุษย์ขึ้นมาใหม่

 

แม้แต่สิ่งที่ทำลายอารยธรรมที่มีเทคโนโลยีราวกับเวทมนต์นั้นได้ ก็ยังไม่สามารถลบล้างมนุษยชาติได้ทั้งหมด

 

ในเขตตะวันออกของอารยธรรมมนุษย์ มีเมืองเศรษฐกิจจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งถูกบริหารโดยเหล่าองค์กร และเมืองคุกามายามะเองก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนั้น

 

เมืองคุกามายามะนั้นถูกรายล้อมด้วยกำแพงขนาดใหญ่ ซึ่งแบ่งเมืองออกเป็นชั้นๆ แม้ว่าทุกชั้นจะเรียกว่าเมืองคุกามายามะเหมือนกันแต่ก็มีความแตกต่างกัน

 

ในกำแพงชั้นใน เป็นพื้นที่ที่คนระดับสูงรวมตัวกัน เป็นที่อยุ่อาศัยของพวกผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจ

 

ส่วนระดับกลางเองนั้นเป็นส่วนของผู้ที่มีความมั่นคงทางกการเงินระดับหนึ่ง ส่วนพื้นที่ด้านนอกจากพื้นที่เหล่านั้นคือผู้ที่ไม่สามารถเข้าอาศัยในกำแพงได้

 

ที่นอกเมืองนั้น กลายเป็นชุมชนแออัดแผ่ขยายไปทั่วบริเวณจนใกล้กับเขตอันตรายเช่นซากปรักหักพัง

 

อากิระเป็นเด็กคนหนึ่งในชุมชนแออัด กล่าวอีกอย่างคือ เขาไม่ได้ถูกพัฒนาร่างกายเหมือนไซบอร์ก ไม่ได้รับการปรับปรุงทางพันธุกรรมหรือนาโนแมชชีนอะไรพวกนั้น

 

พวกเขาเป็นเด็กปกติธรรมดาที่ไม่มีแต่ทักษะเฉพาะทาง พวกเขาล้วนไม่มีการศึกษาหรือแม้แต่พ่อแม่ เด็กๆอย่างอากิระนั้นไม่มีผู้ปกครอง ไม่มีเงิน

 

พวกเขาไม่มีอาหารเพียงพอที่จะใช้ดำรงชีวิตประจำวัน พวกเขาสามารถตายตอนไหนก็ได้ แม้ว่าพวกเขาจะตาย ก็ไม่มีใครซักคนเดียวที่จะสนใจเด็กในชุมชนนี้

 

การอยู่ในถิ่นทุรกันดานเช่นนี้ไม่แปลกเลยที่ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเข้าโจมตี ซึ่งที่แรกก็หนีไม่พ้นชุมชนแออัดที่ติดกับพื้นที่ซากโบราณเหล่านั้น

 

อากิระรอดชีวิตมาจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดสามครั้ง เขารอดจากกการโจมตีครั้งแรกและครั้งที่สองจากการวิ่งหนีและหลบซ่อน

 

ต้องขอบคุณใครบางคนที่เขาเองก็ไม่รู้จักแม้กระทั้งชื่อคอยซื้อเวลาให้เขา คนเหล่านั้นล้วนถูกโจมตี ถูกกิน และถูกฆ่าแทนอากิระ ทำให้เขารอดมาได้

 

จุดผลิกผันมันคือการรอดชีวิตครั้งที่สามของเขา ในช่วงเวลานั้น อากิระไม่สามารถหนีสัตว์ประหลาดรูปร่างสุนัขตัวเล็กๆได้พ้น และจบด้วยการฆ่ามันด้วยปืนพกที่เขามี

 

มันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าอัศจรรย์ในการยิงสัตว์ประหลาดเข้าที่หัวสามนัดด้วยฝีมือของมือสมัครเล่นที่ไม่ได้รับการฝึกฝน

 

แต่ทว่า สัตว์ประหลาดไม่ได้สิ้นฤทธิ์ง่ายขนาดนั้น มันพุ่งเข้าหาอากิระด้วยหน้าที่เปื้อนเลือดเพื่อที่จะขย้ำเขาเป็นชิ้นๆ

 

ก่อนปากที่ใหญ่ผิดปกติของสัตว์ประหลาดจะฝังเขี้ยวลงที่เขา อากิระฝืนดันมือที่ถือปืนเข้าไปในปากของสัตว์ประหลาดจนถึงข้อศอกแล้วเหนี่ยวไก

 

กระสุนผ่านปากไปทะลุกะโหลกจนไปถึงสมอง ทำลายหัวของมันจากภายใน

 

และทำให้มันตายในที่สุด

 

ด้วยความแข็งแกร่งของฟันสัตว์ประหลาด มันจึงเจาะแขนของเขาเล็กน้อย แต่อากิระเองก็รักษาแขนและชีวิตของเขาไว้ได้

 

หลังจากรอดชีวิตครั้งที่สาม อากิระได้ตัดสินใจที่จะเป็นนักล่า แม้ว่าเขาจะรู้ถึงความอันตรายของการเป็นนักล่า แต่การที่เขาสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดได้ด้วยตัวเอง ทำให้เขามั่นใจในตัวเองและมีความหวังขึ้นมา

 

ในโลกนี้ มีกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่า ผู้แสวงหาขุมทรัพย์และชื่อเสียงในซากปรักหักพัง  

 

ซากปรักหักพังที่มีสัตว์ประหลาดเพ่นพ่านถือเป็นพื้นที่อันตราย แม้แต่ชุมชนแออัดที่ทุกคนพกปืนก็ยังดูปลอดภัยกว่าในซากปรักหักพัง

 

มันเป็นสถานที่อันตรายแบบนั้น

 

แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่สามารถสร้างเงินจำนวนมหาศาล เนื่องจากซากปรักหักพังนี้เป็นส่วนหนึ่งของโลกเก่า ทำให้มีวัตถุโบราณของโลกเก่าอยู่ด้วย

 

สัตว์ประหลาดที่โจมตีผู้คนก็ถือว่าเป็นวัตถุโบราณของโลกเก่าเช่นกัน สัตว์ประหลาดชีวภาพเป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีชีวภาพชั้นสูง ถ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมีชิ้นส่วนกลไกจะถือว่าชิ้นส่วนนั้นเป็นของมีค่า

 

ถ้านำไปขึ้นเงินจะทำกำไรได้มหาศาล

 

นอกจากนี้ หากคุณนำโบราณวัตถุที่มีความล้ำค่ามาจากซากปรักหักพัง เงินที่ได้นั้นอาจจะสามารถซื้อเมืองเมืองหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

และหากคุณสามารถยึดครองส่วนหนึ่งของซากปรักหักพังได้ โดยเฉพาะยุทโธปกรณ์ทางทหาร คุณสามารถสร้างประเทศของตัวเองได้

 

นักล่าที่มีความสามารถนั้นได้รับค่าตอบแทนจำนวนมาก ยิ่งคุณนำของล้ำค่ามาจากซากปรักหักพังที่อันตรายมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับเงินและอำนาจได้มากขึ้น

 

และเมื่อคุณมีอำนาจมากขึ้น คุณก็จะเข้าไปซากปรักหักพังได้ลึกขึ้นเพื่อของที่ดีกว่า หากทำซ้ำวิธีนี้ไปเรื่อยๆ คุณสามารถถือครองพลังอำนาจที่เหนือกว่าเมืองๆหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

อากิระสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดด้วยตัวเอง เพิ่มความเชื่อมั่นว่า โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตในซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดไม่ใช่ศูนย์อีกต่อไป

 

แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะลองเสี่ยงดู หากเขายังคงใช้ชีวิตในชุมชนแออัดต่อไป เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองเสี่ยงดวงดูเท่านั้น

 

อากิระลุกขึ้นมุ่งมั่นที่จะเป็นนักล่า เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

 

 

อากิระยังคงยืนตัวแข็งอยู่ต่อหน้าหญิงสาว

 

ส่วนหญิงสาวเองก็กำลังหัวเราะเบาๆขณะรออากิระหายจากอาการช็อค

 

แต่จนแล้วจนรอด ผ่านไปซักพัก อากิระก็ยังยืนแข็งอยู่ตรงนั้น เพราะเขาไม่สามารถหาวิธีจัดการสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้

 

สุดท้าย เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เขาจึงค่อยๆฟื้นคืนสติได้ มันทำให้เขาสงบลงในระดับหนึ่ง

 

สายตาที่จ้องมองไปยังความว่างเปล่ามองไปใบหน้าของหญิงสาว

 

หญิงสาวเห็นแบบนั้นจึงยิ้มกลับไปยังอากิระ

 

“เป็นไงบ้าง? คุณเห็นฉันใช่ไหม?ได้ยินเสียงฉันรึเปล่า? แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหน? คุณเป็นใคร?”หญิงสาวถามรัวเป็นชุด

 

อากิระสงบสติอารมณ์ได้แล้วตอบคำถามของเธออย่างใจเย็น

 

“…ฉันเห็นคุณ ได้ยินคุณ…ชัดดี ที่นี่คือซากปรักหักพังคุซึซึฮาระ และชื่อของฉันคืออากิระ…”

 

หญิงสาวหัวเราะชอบใจ

 

“ขอบคุณพระเจ้า ฉันชื่ออัลฟ่า ยินดีที่ได้รู้จัก”

 

ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆต่อเขา แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอเป็นตัวตนที่ลึกลับเกินกว่าจะคาดเดา

 

เธอไม่มีความเป็นศัตรูดังนั้นเขาจึงไม่อยากจดจ่อกับเธอมากเกินไป เพราะตอนนี้เขาอยู่ในซากปรักหักพังที่จะมีสัตว์ประหลาดออกมาตอนไหนก็ได้  

 

เป็นการดีกว่าหากเขาระวังสัตว์ประหลาดที่จะเข้ามาแทนที่จะเป็นหญิงสาว

 

“…คุณอัลฟ่า…แต่…คุณ ไม่ใช่ผี ใช่ไหม? ฉันแตะตัวคุณไม่ได้”

 

“ใช่สิ…ถึงแม้จะขอให้พิสูจน์แต่ฉันก็พิสูจน์ให้ไม่ได้หรอกนะ ต่อให้ฉันอธิบายคุณก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เอาง่ายๆว่าตอนนี้ ตัวฉันที่คุณเห็นเป็นตัวฉันจริงๆ

 

สิ่งที่คุณรับรู้ไม่ว่าจะเสียงหรือรูปลักษณ์ของฉันนั้นถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของคุณโดยตรง ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างสมองของคุณมีความสามารถ

 

ในการรับข้อมูลที่ผ่านระบบไร้สาบแบบพิเศษ ทำให้คุณรับข้อมูลที่ฉันส่งได้ ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านี่เป็นความารถมารถโดยกำเนิดหรือเป็นความสามารถที่คุณได้มันมาจากที่อื่น

 

ในทางกลับกับ ฉันไม่ได้ยินเสียงที่คุณเปร่งออกมาจากเส้นเสียง แต่มันออกมาจากความคิดของคุณ ซึ่งสมองส่งออกมาเป็นแพ็กเกตข้อมูล แล้วฉันก็แปลงมันเป็นเสียงอีกที

 

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับการมองเห็นของคุณเช่นกัน มันทำให้ฉันรู้ว่าคุณเองมองเห็นฉันได้”

 

อากิระไม่เข้าใจแม้แต่เสี้ยวเดียวของคำที่อัลฟ่าอธิบาย ซึ่งอัลฟ่าเองก็เข้าใจเมื่อเห็นการแสดงออกของเขา  

 

อัลฟ่าจึงอธิบายเฉพาะประเด็นหลักเท่านั้น

 

“คุณเป็นคนเดียวที่เห็นฉัน และคุณก็เป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงของฉัน โปรดระวังเมื่อคนอื่นเห็นคุณคุยกับฉัน คุณจะดูเหมือนคนบ้าพูดคนเดียว

 

คุณเข้าใจแค่นี้ก็พอ สำหรับตอนนี้น่ะนะ คุณสามารถเรียกฉันว่าอัลฟ่า แล้วฉันจะเรียกคุณว่าอากิระ ตกลงไหม?”

 

อัลฟ่าหัวเราะเบาๆขณะให้คำอธิบายอากิระ

 

สำหรับเด็กจากชุมชนแออัดอย่างอากิระแล้ว เขาไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มนั้นจะสื่อถึงความสาร ตักเตือน หรือขบขัน แต่มันทำให้เขาสบายใจอย่างไม่รู้ตัว

 

“เอาละ ฉันเข้าใจแล้ว… แล้ว…อัลฟ่า คุณมาทำอะไรที่นี่?”

 

“ฉันกำลังมองหาคนที่สามารถเห็นและได้ยินฉัน ฉันมีเรื่องที่จะขอร้องเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครที่ฉันสามารถสื่อสารได้เลย คงจะดีถ้าคนๆนั้นเป็นนักล่าเพราะมีโอกาสที่จะฟังคำขอของฉัน

 

แต่ก็อย่างที่คุณเห็น มันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเลย”

 

อัลฟ่าหัวเราะอย่างขมขื่นเล็กน้อย

 

อากิระสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยปาก

 

“เอ่อ…จริงๆแล้ว ฉันก็เป็นนักล่านะรู้ไหม…”

 

พออากิระพูดไปแบบนั้น อัลฟ่าก็ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

“ห๊ะ? อากิระเป็นนักล่างั้นเหรอ? ทั้งที่ยังเด็กขนาดนี้เนี่ยนะ? ยังไงซิ เป็นนักล่ามานานหรือยัง?”

 

“เออ…หนึ่ง..”

 

“หนึ่งปี?”

 

“…หนึ่ง…วัน ฉันพึ่งเป็นนักล่าวันนี้เอง”

 

ทั้งอากิระและอัลฟ่าต่างแสดงสีหน้าแปลกประหลาด

 

ความเงียบอันน่าอึดอัดใจก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขา

 

“ช่างเถอะ…ไม่มีอะไร ลืมสิ่งที่ฉันพูดไปซะ”

 

ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นนักล่า เขาก็ไม่อยากปกปิดว่าเขาเป็น แต่ลึกๆเขาก็รู้ดีว่าตนนั้นไม่มีทักษะสมกับเป็นนักล่า พอพูดไปแบบนั้นเขาเลยหมดความมั่นใจ

 

แต่อัลฟ่ายังคงดำเนินการสนทนาต่อ

 

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ช่วยฟังเรื่องราวของฉันหน่อยได้ไหม? มันคงเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เรามาเจอกันที่นี่”

 

แม้ว่าเขาจะเรียกตัวเองว่านักล่า แต่อากิระไม่มีทักษะ ซึ่งอัลฟ่าเองก็รู้ดี แต่ด้วยความจริงที่ว่าไม่มีใครที่สามารถสื่อสารกับเธอได้นอกจากเขา

 

ดังนั้นอัลฟ่าจึงไม่คิดว่าการขาดทักษะของเขาเป็นแง่ลบในระยะยาว

 

“คำขอของฉัน คืออยากให้คุณสำรวจซากปรักหักพังลับ เพื่อเป็นการตอบแทนฉันจะเป็นคนคอยช่วยเหลือคุณในรูปแบบต่างๆ เมื่อคุณทำตามคำขอของฉันเสร็จแล้ว ฉันจะให้คุณนำโบราณวัตถุจากที่นั้นออกไปได้ทั้งหมดเลย”

 

อากิระประหลาดใจกับข้อเสนอที่ไม่คาดคิด

 

“วัตถุโบราณจากโลกเก่าที่คุณว่า….เอาจริงดิ?”

 

เมื่อเธอเห็นการตอบสนองของอากิระ อัลฟ่าก็หัวเราะเบาๆ

 

มันทำให้เธอพยายามชักชวนเขามากขึ้น

 

“แน่นอน หรืออาจจะมากกว่านั้น แน่นอนว่าเธอจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากข้อตกลงนี้ ถ้าไม่รับข้อเสนอมันจะเสียเปล่านะรู้ไหม? โชคดีไม่ได้มีมาบ่อยๆนะ อีกอย่าง คุณจะอยู่รอดได้นานขึ้นถ้ามีฉันสนับสนุน”

 

ในใจของอากิระกำลังกรีดร้องอยู่ข้างในว่าอีกฝ่ายแค่พยายามหลอกล่อเขา แต่สำหรับอากิระแล้วอัลฟ่าดูไม่ได้เหมือนคนที่พยายามหลอกล่อเขาเลย

 

…อย่างแรก เธอจะได้อะไรสำหรับการหลอกเด็กอย่างฉัน? หรือว่าเธอต้องการเล่นตลก? ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนเธอค่อนข้างจะจริงจังในข้อเสนอนั้น แล้วมันดีรึเปล่านะที่รับคำขอของคนแปลกหน้าแบบนี้?

 

หลังจากลังเลใจอยู่ซักพัก อากิระก็ตัดสินใจ

 

หากพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากอีกฝ่ายมีเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังหรือสถานการณ์อะไรแบบนั้นคงไม่มาขอร้องคนธรรมดาแบบเขา เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วอากิระจึงตัดสินใจ

 

“ได้สิ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ฉันจะยอมรับคำขอของคุณ”  

 

เขาตอบตกลงทันทีจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจ ด้วยเหตุนี้อากิระจึงตอบรับคำขอแรกของเขาในฐานะนักล่า

 

อัลฟ่าได้ยินอย่างนั้นจึงมีความสุขอย่างมาก

 

“สัญญาสมบูรณ์แล้ว จากนี้ฉันจะเริ่มการตอบแทนโดยการสนับสนุนคุณทันที”

 

สิ้นเสียง อัลฟ่าที่มักจะหัวเราะตลอดเวลา จู่ๆน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

 

“ถ้าคุณยังไม่อยากเสียชีวิต ให้หลบเข้าไปในอาคารภายในสิบวินาที”

 

“คุณพูดอะไรเนี่ย…?”

 

อากิระที่กำลังจะถามหญิงสาวว่าหมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอัลฟ่าแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องนี้อันตรายแค่ไหน

 

ด้วยสถานที่ที่เขาอยู่ ทำให้เขาหยุดถามทันที… ถ้านั่นไม่ใช่เรื่องโกหก เขาจะตายแน่นอนถ้าเขายังอยู่ตรงนี้

 

พอเขารู้ตัว อากิระก็รียวิ่งไปที่อาคารที่อยู่ทางขวามือ

 

ช่วงเวลาที่อากิระกระโดดเข้าไปในอาคารอย่างเร่งรีบ จู่ๆก็มีลมจากแรงระเบิดหอบใหญ่พัดผ่านด้านข้างของเขา

 

เมื่ออากิระหันกลับไปมองจุดที่ระเบิด เขาเห็นหลุมลึกตรงจุดที่เขายืนอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว

 

พื้นที่รอบๆไหม้เกรียมจนเป็นสีดำ หากเขายังอยู่ตรงนั้นต่ออีกวินาทีเดียว เขาจะตาย

 

อากิระรู้สึกเย็นเหยียบจนถึงกระดูก เขานิ่งไปด้วยความกลัว แต่อัลฟ่าปรากฎตัวตรงหน้าของเขาและเรียกให้เขากลับสู่ความเป็นจริง

 

“นะ…นั่น มัน อะไร?”

 

อัลฟ่าไม่ตอบอากิระ แต่ยังคงทำสีหน้าจริงจังขณะชี้นิ้วไปที่บันได

 

“ไปตรงนั้นและไต่ขึ้นไปภายใน แปดวินาที”

 

อากิระรีบวิ่งไปที่บันไดและปีนขึ้นไปในทันที

 

วินาทีต่อมา มีการระเบิดอีกครั้งที่ด้านหลัง แรงกระแทกจากการระเบิดนั้นหยุดอากิระไม่ให้ปีนสูงขึ้นไป

 

พอเขาหายจากแรงช็อกเขาก็รีบปีนขึ้นไปอีกครั้ง ก่อนที่จะเห็นอัลฟ่าที่ปลายบันได ยกนิ้วข้างหนึ่งแล้วชี้ขึ้น

 

“ขึ้นดาดฟ้าภายใน ห้าวินาที”

 

อากิระไม่สนใจเสียงกรีดร้องจากปอดและขา เขารีบพุ่งตัวขึ้นบันใด

 

เขาทำตามคำแนะนำของอัลฟ่าและวิ่งต่อไปจนในที่สุดก็มาถึงดาดฟ้า  

 

เขาหอบหายใจอย่างหนัก ปลายทางมีอัลฟ่ากำลังโบกมือให้เขาเข้าไปหาใกล้ๆ ดูจากท่าทางของเธอแล้วไม่เหมือนว่าให้เขาต้องรีบทำเช่นนั้น

 

อากิระสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเดินไปทางเธอ เมื่อมาถึงอัลฟ่าก็ชี้ไปที่ด้านล่าง

 

อากิระงุนงง หรือว่าเธอต้องการให้เขากระโดดลงไป แต่อัลฟ่าก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น

 

“ลองมองไปข้างล่างสิ แต่ต้องระวังหน่อย ทำมันอย่างช้าๆและเงียบๆเข้าไว้ ตกลงไหม?”

 

อากิระค่อยๆมองลงไปตามคำพูดของอัลฟ่า ใบหน้าของเขาก็ซีดลงไปในทันที

 

สิ่งที่เขาเห็นด้านล่างนั้นคือฝูงสัตว์ประหลาดที่โจมตีเขา สัตว์ประหลาดเหล่าเดินวนไปมาราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

สัตว์ประหลาดตัวนั้นมีความยาวประมาณสองเมตร พวกมันดูเหมือนสุนัขตัวใหญ่ที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่บางตัวมีปืนใหญ่ขนาดย่อมอยู่บนหลัง

 

และบางตัวก็มีจรวดขนาดเล็กอยู่ติดลำตัว ไม่ว่าจะตัวไหนๆก็มีอาวุธทำลายล้างเพื่อทำลายผู้บุกรุก

 

หากเขาสามารถจัดการพวกมัน และนำบางส่วนกลับไปได้ เขาจะได้เงินจำนวนมหาศาล

 

…แต่ อากิระไม่มีพลังมากพอที่จะทำเช่นนั้น

 

เด็กชายได้แต่ทอดถอนใจกับโอกาสทำเงินที่เขาไม่สามารถคว้าไว้ได้

 

“พวกนั้นมันอะไรวะน่ะ?”

 

อัลฟ่าให้คำอธิบายเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพวกนั้น

 

“พวกมันคือสุนัขสงคราม (weapon dogs แต่จะเรียกว่าหมาปืนก็ยังไงอยู่) สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ มันถูกสร้างมาเพื่อปกป้องเมือง สิ่งที่คุณเห็นว่าเป็นอาวุธนั้นไม่ใช่เครื่องจักร แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตในทางชีววิทยา ฉันคิดว่าพวกมันถูกสั่งให้ดูแลพื้นที่แถบนี้  พวกมันอาจมีวิวัฒนาการแตกต่างกัน ทำให้อาวุธที่อยู่บนหลังของมันกลายเป็นอาวุธรูปแบบต่างๆเมื่อมันโตขึ้น บางที ตัวที่มีเครื่องยิงจรวดที่อยู่ด้านหลังนั้นคือตัวจ่าฝูง”

 

มันเป็นข้อมูลที่มีค่าที่จะฟัง แต่อากิระไม่ได้ขอคำอธิบายเรื่องสัตว์ประหลาด เขาแค่บ่นออกมาอย่างคนโชคร้ายที่จู่ๆก็ถูกจู่โจมโดยสัตว์ประหลาด

 

แต่พอได้ฟังเขาก็เกิดคำถาม

 

“ทำไมมันถึงมีปืนออกมาจากหลังของสิ่งมีชีวิต นี่มันแปลกเกินไปแล้ว”

 

อัลฟ่าตอบคำถามของอากิระด้วยท่าทีสบายๆ

 

“มีนาโนแมชชีนอยู่ในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต พวกมันดึงโลหะที่สิ่งมีชีวิตนั้นกินเข้าไปแล้วรวมมันจนกลายเป็นปืน ฉันแน่ใจว่าพวกมันกลายพันธุ์จากการออกแบบดั้งเดิม

 

อืม…มันอาจจะเป็นการวิวัฒนาการเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบัน”

 

มันอาจจะเป็นข้อมูลสำคัญ หากผู้ฟังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ประหลาด แต่สำหรับอากิระนั้นเขาไม่รู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน

 

ข้อมูลนั้นบอกเขาเพียงว่า มันมีเหตุผลที่สัตว์ประหลาดพวกนั้นมีอาวุธอยู่บนตัวของพวกมัน

 

สีหน้าของอัลฟ่ากลายเป็นขี้เล่น ไม่จริงจังเหมือนตอนที่บอกให้เขาหนี เมื่อพิจารณาแล้ว อากิระก็สงบลงเมื่อเข้าใจว่าเขาค่อนข้างปลอดภัยขณะอยู่ที่นี่

———–

คิดผิดไหมเนี่ยแปลเรื่องนี้ ตอนนึงอย่างยาว แถมเนื้อหาเยอะสุดๆ

ขอให้สนุกครับ Avolenn

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Rebuild World 1.5 อากิระกับอัลฟ่า2/2

Now you are reading Rebuild World Chapter 1.5 อากิระกับอัลฟ่า2/2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

2/2

กาลครั้งหนึ่ง ในอดีตอันแสนไกล อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ขยายไปทั่วโลกนั้นถูกทำลาย

 

เมืองทั้งเมืองถูกทำลายจนเหลือเพียงครึ่งเดียว ซากอาคาร สิ่งก่อสร้าง เครื่องจักร ล้วนถูกทิ้งร้างนานหลายปี

 

ทำให้คนยุคปัจจุบันจินตนาการไม่ออกเลยว่าโลกในอดีตนั้นเคยเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน

 

ในโลกที่แม้แต่ฝนเองก็ยังถูกประดิษฐ์ขึ้น มันยังคงดำเนินการอยู่แม้ว่าเมืองพังทลายลงไป

 

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซากปรักหักพังยังมีการพังทลายอย่างต่อเนื่อง ผิดกับต้นไม้ที่ค่อยๆเติบโตจนสูงเสียดฟ้า คอยมอบชีวิตให้สิ่งมีชีวิต

 

อารยธรรมโบราณนี้ถูกเรียกว่า ‘โลกเก่า’ สิ่งที่พวกเขาเหลือไว้ก็คือโบราณวัตถุจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

 

มีทั้ง วัสดุที่ไม่รู้จัก กลุ่มตึกระฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ ยาที่รักษาคนขาพิการได้เพียงแค่กินมัน และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ลำสมัยเกินกว่าจะเอาไปใช้กับมนุษย์

 

มนุษย์ใช้เวลาหลายปีรวบรวมโบราณวัตถุเหล่านั้น เพื่อก่อสร้างอารยธรรมมนุษย์ขึ้นมาใหม่

 

แม้แต่สิ่งที่ทำลายอารยธรรมที่มีเทคโนโลยีราวกับเวทมนต์นั้นได้ ก็ยังไม่สามารถลบล้างมนุษยชาติได้ทั้งหมด

 

ในเขตตะวันออกของอารยธรรมมนุษย์ มีเมืองเศรษฐกิจจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งถูกบริหารโดยเหล่าองค์กร และเมืองคุกามายามะเองก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนั้น

 

เมืองคุกามายามะนั้นถูกรายล้อมด้วยกำแพงขนาดใหญ่ ซึ่งแบ่งเมืองออกเป็นชั้นๆ แม้ว่าทุกชั้นจะเรียกว่าเมืองคุกามายามะเหมือนกันแต่ก็มีความแตกต่างกัน

 

ในกำแพงชั้นใน เป็นพื้นที่ที่คนระดับสูงรวมตัวกัน เป็นที่อยุ่อาศัยของพวกผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจ

 

ส่วนระดับกลางเองนั้นเป็นส่วนของผู้ที่มีความมั่นคงทางกการเงินระดับหนึ่ง ส่วนพื้นที่ด้านนอกจากพื้นที่เหล่านั้นคือผู้ที่ไม่สามารถเข้าอาศัยในกำแพงได้

 

ที่นอกเมืองนั้น กลายเป็นชุมชนแออัดแผ่ขยายไปทั่วบริเวณจนใกล้กับเขตอันตรายเช่นซากปรักหักพัง

 

อากิระเป็นเด็กคนหนึ่งในชุมชนแออัด กล่าวอีกอย่างคือ เขาไม่ได้ถูกพัฒนาร่างกายเหมือนไซบอร์ก ไม่ได้รับการปรับปรุงทางพันธุกรรมหรือนาโนแมชชีนอะไรพวกนั้น

 

พวกเขาเป็นเด็กปกติธรรมดาที่ไม่มีแต่ทักษะเฉพาะทาง พวกเขาล้วนไม่มีการศึกษาหรือแม้แต่พ่อแม่ เด็กๆอย่างอากิระนั้นไม่มีผู้ปกครอง ไม่มีเงิน

 

พวกเขาไม่มีอาหารเพียงพอที่จะใช้ดำรงชีวิตประจำวัน พวกเขาสามารถตายตอนไหนก็ได้ แม้ว่าพวกเขาจะตาย ก็ไม่มีใครซักคนเดียวที่จะสนใจเด็กในชุมชนนี้

 

การอยู่ในถิ่นทุรกันดานเช่นนี้ไม่แปลกเลยที่ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเข้าโจมตี ซึ่งที่แรกก็หนีไม่พ้นชุมชนแออัดที่ติดกับพื้นที่ซากโบราณเหล่านั้น

 

อากิระรอดชีวิตมาจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดสามครั้ง เขารอดจากกการโจมตีครั้งแรกและครั้งที่สองจากการวิ่งหนีและหลบซ่อน

 

ต้องขอบคุณใครบางคนที่เขาเองก็ไม่รู้จักแม้กระทั้งชื่อคอยซื้อเวลาให้เขา คนเหล่านั้นล้วนถูกโจมตี ถูกกิน และถูกฆ่าแทนอากิระ ทำให้เขารอดมาได้

 

จุดผลิกผันมันคือการรอดชีวิตครั้งที่สามของเขา ในช่วงเวลานั้น อากิระไม่สามารถหนีสัตว์ประหลาดรูปร่างสุนัขตัวเล็กๆได้พ้น และจบด้วยการฆ่ามันด้วยปืนพกที่เขามี

 

มันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าอัศจรรย์ในการยิงสัตว์ประหลาดเข้าที่หัวสามนัดด้วยฝีมือของมือสมัครเล่นที่ไม่ได้รับการฝึกฝน

 

แต่ทว่า สัตว์ประหลาดไม่ได้สิ้นฤทธิ์ง่ายขนาดนั้น มันพุ่งเข้าหาอากิระด้วยหน้าที่เปื้อนเลือดเพื่อที่จะขย้ำเขาเป็นชิ้นๆ

 

ก่อนปากที่ใหญ่ผิดปกติของสัตว์ประหลาดจะฝังเขี้ยวลงที่เขา อากิระฝืนดันมือที่ถือปืนเข้าไปในปากของสัตว์ประหลาดจนถึงข้อศอกแล้วเหนี่ยวไก

 

กระสุนผ่านปากไปทะลุกะโหลกจนไปถึงสมอง ทำลายหัวของมันจากภายใน

 

และทำให้มันตายในที่สุด

 

ด้วยความแข็งแกร่งของฟันสัตว์ประหลาด มันจึงเจาะแขนของเขาเล็กน้อย แต่อากิระเองก็รักษาแขนและชีวิตของเขาไว้ได้

 

หลังจากรอดชีวิตครั้งที่สาม อากิระได้ตัดสินใจที่จะเป็นนักล่า แม้ว่าเขาจะรู้ถึงความอันตรายของการเป็นนักล่า แต่การที่เขาสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดได้ด้วยตัวเอง ทำให้เขามั่นใจในตัวเองและมีความหวังขึ้นมา

 

ในโลกนี้ มีกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่า ผู้แสวงหาขุมทรัพย์และชื่อเสียงในซากปรักหักพัง  

 

ซากปรักหักพังที่มีสัตว์ประหลาดเพ่นพ่านถือเป็นพื้นที่อันตราย แม้แต่ชุมชนแออัดที่ทุกคนพกปืนก็ยังดูปลอดภัยกว่าในซากปรักหักพัง

 

มันเป็นสถานที่อันตรายแบบนั้น

 

แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่สามารถสร้างเงินจำนวนมหาศาล เนื่องจากซากปรักหักพังนี้เป็นส่วนหนึ่งของโลกเก่า ทำให้มีวัตถุโบราณของโลกเก่าอยู่ด้วย

 

สัตว์ประหลาดที่โจมตีผู้คนก็ถือว่าเป็นวัตถุโบราณของโลกเก่าเช่นกัน สัตว์ประหลาดชีวภาพเป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีชีวภาพชั้นสูง ถ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมีชิ้นส่วนกลไกจะถือว่าชิ้นส่วนนั้นเป็นของมีค่า

 

ถ้านำไปขึ้นเงินจะทำกำไรได้มหาศาล

 

นอกจากนี้ หากคุณนำโบราณวัตถุที่มีความล้ำค่ามาจากซากปรักหักพัง เงินที่ได้นั้นอาจจะสามารถซื้อเมืองเมืองหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

และหากคุณสามารถยึดครองส่วนหนึ่งของซากปรักหักพังได้ โดยเฉพาะยุทโธปกรณ์ทางทหาร คุณสามารถสร้างประเทศของตัวเองได้

 

นักล่าที่มีความสามารถนั้นได้รับค่าตอบแทนจำนวนมาก ยิ่งคุณนำของล้ำค่ามาจากซากปรักหักพังที่อันตรายมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับเงินและอำนาจได้มากขึ้น

 

และเมื่อคุณมีอำนาจมากขึ้น คุณก็จะเข้าไปซากปรักหักพังได้ลึกขึ้นเพื่อของที่ดีกว่า หากทำซ้ำวิธีนี้ไปเรื่อยๆ คุณสามารถถือครองพลังอำนาจที่เหนือกว่าเมืองๆหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

อากิระสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดด้วยตัวเอง เพิ่มความเชื่อมั่นว่า โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตในซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดไม่ใช่ศูนย์อีกต่อไป

 

แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะลองเสี่ยงดู หากเขายังคงใช้ชีวิตในชุมชนแออัดต่อไป เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองเสี่ยงดวงดูเท่านั้น

 

อากิระลุกขึ้นมุ่งมั่นที่จะเป็นนักล่า เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

 

 

อากิระยังคงยืนตัวแข็งอยู่ต่อหน้าหญิงสาว

 

ส่วนหญิงสาวเองก็กำลังหัวเราะเบาๆขณะรออากิระหายจากอาการช็อค

 

แต่จนแล้วจนรอด ผ่านไปซักพัก อากิระก็ยังยืนแข็งอยู่ตรงนั้น เพราะเขาไม่สามารถหาวิธีจัดการสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้

 

สุดท้าย เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เขาจึงค่อยๆฟื้นคืนสติได้ มันทำให้เขาสงบลงในระดับหนึ่ง

 

สายตาที่จ้องมองไปยังความว่างเปล่ามองไปใบหน้าของหญิงสาว

 

หญิงสาวเห็นแบบนั้นจึงยิ้มกลับไปยังอากิระ

 

“เป็นไงบ้าง? คุณเห็นฉันใช่ไหม?ได้ยินเสียงฉันรึเปล่า? แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหน? คุณเป็นใคร?”หญิงสาวถามรัวเป็นชุด

 

อากิระสงบสติอารมณ์ได้แล้วตอบคำถามของเธออย่างใจเย็น

 

“…ฉันเห็นคุณ ได้ยินคุณ…ชัดดี ที่นี่คือซากปรักหักพังคุซึซึฮาระ และชื่อของฉันคืออากิระ…”

 

หญิงสาวหัวเราะชอบใจ

 

“ขอบคุณพระเจ้า ฉันชื่ออัลฟ่า ยินดีที่ได้รู้จัก”

 

ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆต่อเขา แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอเป็นตัวตนที่ลึกลับเกินกว่าจะคาดเดา

 

เธอไม่มีความเป็นศัตรูดังนั้นเขาจึงไม่อยากจดจ่อกับเธอมากเกินไป เพราะตอนนี้เขาอยู่ในซากปรักหักพังที่จะมีสัตว์ประหลาดออกมาตอนไหนก็ได้  

 

เป็นการดีกว่าหากเขาระวังสัตว์ประหลาดที่จะเข้ามาแทนที่จะเป็นหญิงสาว

 

“…คุณอัลฟ่า…แต่…คุณ ไม่ใช่ผี ใช่ไหม? ฉันแตะตัวคุณไม่ได้”

 

“ใช่สิ…ถึงแม้จะขอให้พิสูจน์แต่ฉันก็พิสูจน์ให้ไม่ได้หรอกนะ ต่อให้ฉันอธิบายคุณก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เอาง่ายๆว่าตอนนี้ ตัวฉันที่คุณเห็นเป็นตัวฉันจริงๆ

 

สิ่งที่คุณรับรู้ไม่ว่าจะเสียงหรือรูปลักษณ์ของฉันนั้นถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของคุณโดยตรง ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างสมองของคุณมีความสามารถ

 

ในการรับข้อมูลที่ผ่านระบบไร้สาบแบบพิเศษ ทำให้คุณรับข้อมูลที่ฉันส่งได้ ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านี่เป็นความารถมารถโดยกำเนิดหรือเป็นความสามารถที่คุณได้มันมาจากที่อื่น

 

ในทางกลับกับ ฉันไม่ได้ยินเสียงที่คุณเปร่งออกมาจากเส้นเสียง แต่มันออกมาจากความคิดของคุณ ซึ่งสมองส่งออกมาเป็นแพ็กเกตข้อมูล แล้วฉันก็แปลงมันเป็นเสียงอีกที

 

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับการมองเห็นของคุณเช่นกัน มันทำให้ฉันรู้ว่าคุณเองมองเห็นฉันได้”

 

อากิระไม่เข้าใจแม้แต่เสี้ยวเดียวของคำที่อัลฟ่าอธิบาย ซึ่งอัลฟ่าเองก็เข้าใจเมื่อเห็นการแสดงออกของเขา  

 

อัลฟ่าจึงอธิบายเฉพาะประเด็นหลักเท่านั้น

 

“คุณเป็นคนเดียวที่เห็นฉัน และคุณก็เป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงของฉัน โปรดระวังเมื่อคนอื่นเห็นคุณคุยกับฉัน คุณจะดูเหมือนคนบ้าพูดคนเดียว

 

คุณเข้าใจแค่นี้ก็พอ สำหรับตอนนี้น่ะนะ คุณสามารถเรียกฉันว่าอัลฟ่า แล้วฉันจะเรียกคุณว่าอากิระ ตกลงไหม?”

 

อัลฟ่าหัวเราะเบาๆขณะให้คำอธิบายอากิระ

 

สำหรับเด็กจากชุมชนแออัดอย่างอากิระแล้ว เขาไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มนั้นจะสื่อถึงความสาร ตักเตือน หรือขบขัน แต่มันทำให้เขาสบายใจอย่างไม่รู้ตัว

 

“เอาละ ฉันเข้าใจแล้ว… แล้ว…อัลฟ่า คุณมาทำอะไรที่นี่?”

 

“ฉันกำลังมองหาคนที่สามารถเห็นและได้ยินฉัน ฉันมีเรื่องที่จะขอร้องเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครที่ฉันสามารถสื่อสารได้เลย คงจะดีถ้าคนๆนั้นเป็นนักล่าเพราะมีโอกาสที่จะฟังคำขอของฉัน

 

แต่ก็อย่างที่คุณเห็น มันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเลย”

 

อัลฟ่าหัวเราะอย่างขมขื่นเล็กน้อย

 

อากิระสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยปาก

 

“เอ่อ…จริงๆแล้ว ฉันก็เป็นนักล่านะรู้ไหม…”

 

พออากิระพูดไปแบบนั้น อัลฟ่าก็ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

“ห๊ะ? อากิระเป็นนักล่างั้นเหรอ? ทั้งที่ยังเด็กขนาดนี้เนี่ยนะ? ยังไงซิ เป็นนักล่ามานานหรือยัง?”

 

“เออ…หนึ่ง..”

 

“หนึ่งปี?”

 

“…หนึ่ง…วัน ฉันพึ่งเป็นนักล่าวันนี้เอง”

 

ทั้งอากิระและอัลฟ่าต่างแสดงสีหน้าแปลกประหลาด

 

ความเงียบอันน่าอึดอัดใจก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขา

 

“ช่างเถอะ…ไม่มีอะไร ลืมสิ่งที่ฉันพูดไปซะ”

 

ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นนักล่า เขาก็ไม่อยากปกปิดว่าเขาเป็น แต่ลึกๆเขาก็รู้ดีว่าตนนั้นไม่มีทักษะสมกับเป็นนักล่า พอพูดไปแบบนั้นเขาเลยหมดความมั่นใจ

 

แต่อัลฟ่ายังคงดำเนินการสนทนาต่อ

 

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ช่วยฟังเรื่องราวของฉันหน่อยได้ไหม? มันคงเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เรามาเจอกันที่นี่”

 

แม้ว่าเขาจะเรียกตัวเองว่านักล่า แต่อากิระไม่มีทักษะ ซึ่งอัลฟ่าเองก็รู้ดี แต่ด้วยความจริงที่ว่าไม่มีใครที่สามารถสื่อสารกับเธอได้นอกจากเขา

 

ดังนั้นอัลฟ่าจึงไม่คิดว่าการขาดทักษะของเขาเป็นแง่ลบในระยะยาว

 

“คำขอของฉัน คืออยากให้คุณสำรวจซากปรักหักพังลับ เพื่อเป็นการตอบแทนฉันจะเป็นคนคอยช่วยเหลือคุณในรูปแบบต่างๆ เมื่อคุณทำตามคำขอของฉันเสร็จแล้ว ฉันจะให้คุณนำโบราณวัตถุจากที่นั้นออกไปได้ทั้งหมดเลย”

 

อากิระประหลาดใจกับข้อเสนอที่ไม่คาดคิด

 

“วัตถุโบราณจากโลกเก่าที่คุณว่า….เอาจริงดิ?”

 

เมื่อเธอเห็นการตอบสนองของอากิระ อัลฟ่าก็หัวเราะเบาๆ

 

มันทำให้เธอพยายามชักชวนเขามากขึ้น

 

“แน่นอน หรืออาจจะมากกว่านั้น แน่นอนว่าเธอจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากข้อตกลงนี้ ถ้าไม่รับข้อเสนอมันจะเสียเปล่านะรู้ไหม? โชคดีไม่ได้มีมาบ่อยๆนะ อีกอย่าง คุณจะอยู่รอดได้นานขึ้นถ้ามีฉันสนับสนุน”

 

ในใจของอากิระกำลังกรีดร้องอยู่ข้างในว่าอีกฝ่ายแค่พยายามหลอกล่อเขา แต่สำหรับอากิระแล้วอัลฟ่าดูไม่ได้เหมือนคนที่พยายามหลอกล่อเขาเลย

 

…อย่างแรก เธอจะได้อะไรสำหรับการหลอกเด็กอย่างฉัน? หรือว่าเธอต้องการเล่นตลก? ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนเธอค่อนข้างจะจริงจังในข้อเสนอนั้น แล้วมันดีรึเปล่านะที่รับคำขอของคนแปลกหน้าแบบนี้?

 

หลังจากลังเลใจอยู่ซักพัก อากิระก็ตัดสินใจ

 

หากพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากอีกฝ่ายมีเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังหรือสถานการณ์อะไรแบบนั้นคงไม่มาขอร้องคนธรรมดาแบบเขา เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วอากิระจึงตัดสินใจ

 

“ได้สิ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ฉันจะยอมรับคำขอของคุณ”  

 

เขาตอบตกลงทันทีจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจ ด้วยเหตุนี้อากิระจึงตอบรับคำขอแรกของเขาในฐานะนักล่า

 

อัลฟ่าได้ยินอย่างนั้นจึงมีความสุขอย่างมาก

 

“สัญญาสมบูรณ์แล้ว จากนี้ฉันจะเริ่มการตอบแทนโดยการสนับสนุนคุณทันที”

 

สิ้นเสียง อัลฟ่าที่มักจะหัวเราะตลอดเวลา จู่ๆน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

 

“ถ้าคุณยังไม่อยากเสียชีวิต ให้หลบเข้าไปในอาคารภายในสิบวินาที”

 

“คุณพูดอะไรเนี่ย…?”

 

อากิระที่กำลังจะถามหญิงสาวว่าหมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอัลฟ่าแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องนี้อันตรายแค่ไหน

 

ด้วยสถานที่ที่เขาอยู่ ทำให้เขาหยุดถามทันที… ถ้านั่นไม่ใช่เรื่องโกหก เขาจะตายแน่นอนถ้าเขายังอยู่ตรงนี้

 

พอเขารู้ตัว อากิระก็รียวิ่งไปที่อาคารที่อยู่ทางขวามือ

 

ช่วงเวลาที่อากิระกระโดดเข้าไปในอาคารอย่างเร่งรีบ จู่ๆก็มีลมจากแรงระเบิดหอบใหญ่พัดผ่านด้านข้างของเขา

 

เมื่ออากิระหันกลับไปมองจุดที่ระเบิด เขาเห็นหลุมลึกตรงจุดที่เขายืนอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว

 

พื้นที่รอบๆไหม้เกรียมจนเป็นสีดำ หากเขายังอยู่ตรงนั้นต่ออีกวินาทีเดียว เขาจะตาย

 

อากิระรู้สึกเย็นเหยียบจนถึงกระดูก เขานิ่งไปด้วยความกลัว แต่อัลฟ่าปรากฎตัวตรงหน้าของเขาและเรียกให้เขากลับสู่ความเป็นจริง

 

“นะ…นั่น มัน อะไร?”

 

อัลฟ่าไม่ตอบอากิระ แต่ยังคงทำสีหน้าจริงจังขณะชี้นิ้วไปที่บันได

 

“ไปตรงนั้นและไต่ขึ้นไปภายใน แปดวินาที”

 

อากิระรีบวิ่งไปที่บันไดและปีนขึ้นไปในทันที

 

วินาทีต่อมา มีการระเบิดอีกครั้งที่ด้านหลัง แรงกระแทกจากการระเบิดนั้นหยุดอากิระไม่ให้ปีนสูงขึ้นไป

 

พอเขาหายจากแรงช็อกเขาก็รีบปีนขึ้นไปอีกครั้ง ก่อนที่จะเห็นอัลฟ่าที่ปลายบันได ยกนิ้วข้างหนึ่งแล้วชี้ขึ้น

 

“ขึ้นดาดฟ้าภายใน ห้าวินาที”

 

อากิระไม่สนใจเสียงกรีดร้องจากปอดและขา เขารีบพุ่งตัวขึ้นบันใด

 

เขาทำตามคำแนะนำของอัลฟ่าและวิ่งต่อไปจนในที่สุดก็มาถึงดาดฟ้า  

 

เขาหอบหายใจอย่างหนัก ปลายทางมีอัลฟ่ากำลังโบกมือให้เขาเข้าไปหาใกล้ๆ ดูจากท่าทางของเธอแล้วไม่เหมือนว่าให้เขาต้องรีบทำเช่นนั้น

 

อากิระสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเดินไปทางเธอ เมื่อมาถึงอัลฟ่าก็ชี้ไปที่ด้านล่าง

 

อากิระงุนงง หรือว่าเธอต้องการให้เขากระโดดลงไป แต่อัลฟ่าก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น

 

“ลองมองไปข้างล่างสิ แต่ต้องระวังหน่อย ทำมันอย่างช้าๆและเงียบๆเข้าไว้ ตกลงไหม?”

 

อากิระค่อยๆมองลงไปตามคำพูดของอัลฟ่า ใบหน้าของเขาก็ซีดลงไปในทันที

 

สิ่งที่เขาเห็นด้านล่างนั้นคือฝูงสัตว์ประหลาดที่โจมตีเขา สัตว์ประหลาดเหล่าเดินวนไปมาราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

สัตว์ประหลาดตัวนั้นมีความยาวประมาณสองเมตร พวกมันดูเหมือนสุนัขตัวใหญ่ที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่บางตัวมีปืนใหญ่ขนาดย่อมอยู่บนหลัง

 

และบางตัวก็มีจรวดขนาดเล็กอยู่ติดลำตัว ไม่ว่าจะตัวไหนๆก็มีอาวุธทำลายล้างเพื่อทำลายผู้บุกรุก

 

หากเขาสามารถจัดการพวกมัน และนำบางส่วนกลับไปได้ เขาจะได้เงินจำนวนมหาศาล

 

…แต่ อากิระไม่มีพลังมากพอที่จะทำเช่นนั้น

 

เด็กชายได้แต่ทอดถอนใจกับโอกาสทำเงินที่เขาไม่สามารถคว้าไว้ได้

 

“พวกนั้นมันอะไรวะน่ะ?”

 

อัลฟ่าให้คำอธิบายเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพวกนั้น

 

“พวกมันคือสุนัขสงคราม (weapon dogs แต่จะเรียกว่าหมาปืนก็ยังไงอยู่) สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ มันถูกสร้างมาเพื่อปกป้องเมือง สิ่งที่คุณเห็นว่าเป็นอาวุธนั้นไม่ใช่เครื่องจักร แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตในทางชีววิทยา ฉันคิดว่าพวกมันถูกสั่งให้ดูแลพื้นที่แถบนี้  พวกมันอาจมีวิวัฒนาการแตกต่างกัน ทำให้อาวุธที่อยู่บนหลังของมันกลายเป็นอาวุธรูปแบบต่างๆเมื่อมันโตขึ้น บางที ตัวที่มีเครื่องยิงจรวดที่อยู่ด้านหลังนั้นคือตัวจ่าฝูง”

 

มันเป็นข้อมูลที่มีค่าที่จะฟัง แต่อากิระไม่ได้ขอคำอธิบายเรื่องสัตว์ประหลาด เขาแค่บ่นออกมาอย่างคนโชคร้ายที่จู่ๆก็ถูกจู่โจมโดยสัตว์ประหลาด

 

แต่พอได้ฟังเขาก็เกิดคำถาม

 

“ทำไมมันถึงมีปืนออกมาจากหลังของสิ่งมีชีวิต นี่มันแปลกเกินไปแล้ว”

 

อัลฟ่าตอบคำถามของอากิระด้วยท่าทีสบายๆ

 

“มีนาโนแมชชีนอยู่ในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต พวกมันดึงโลหะที่สิ่งมีชีวิตนั้นกินเข้าไปแล้วรวมมันจนกลายเป็นปืน ฉันแน่ใจว่าพวกมันกลายพันธุ์จากการออกแบบดั้งเดิม

 

อืม…มันอาจจะเป็นการวิวัฒนาการเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบัน”

 

มันอาจจะเป็นข้อมูลสำคัญ หากผู้ฟังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ประหลาด แต่สำหรับอากิระนั้นเขาไม่รู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน

 

ข้อมูลนั้นบอกเขาเพียงว่า มันมีเหตุผลที่สัตว์ประหลาดพวกนั้นมีอาวุธอยู่บนตัวของพวกมัน

 

สีหน้าของอัลฟ่ากลายเป็นขี้เล่น ไม่จริงจังเหมือนตอนที่บอกให้เขาหนี เมื่อพิจารณาแล้ว อากิระก็สงบลงเมื่อเข้าใจว่าเขาค่อนข้างปลอดภัยขณะอยู่ที่นี่

———–

คิดผิดไหมเนี่ยแปลเรื่องนี้ ตอนนึงอย่างยาว แถมเนื้อหาเยอะสุดๆ

ขอให้สนุกครับ Avolenn

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Rebuild World 1.5 อากิระกับอัลฟ่า2/2

Now you are reading Rebuild World Chapter 1.5 อากิระกับอัลฟ่า2/2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

2/2

กาลครั้งหนึ่ง ในอดีตอันแสนไกล อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ขยายไปทั่วโลกนั้นถูกทำลาย

 

เมืองทั้งเมืองถูกทำลายจนเหลือเพียงครึ่งเดียว ซากอาคาร สิ่งก่อสร้าง เครื่องจักร ล้วนถูกทิ้งร้างนานหลายปี

 

ทำให้คนยุคปัจจุบันจินตนาการไม่ออกเลยว่าโลกในอดีตนั้นเคยเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน

 

ในโลกที่แม้แต่ฝนเองก็ยังถูกประดิษฐ์ขึ้น มันยังคงดำเนินการอยู่แม้ว่าเมืองพังทลายลงไป

 

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซากปรักหักพังยังมีการพังทลายอย่างต่อเนื่อง ผิดกับต้นไม้ที่ค่อยๆเติบโตจนสูงเสียดฟ้า คอยมอบชีวิตให้สิ่งมีชีวิต

 

อารยธรรมโบราณนี้ถูกเรียกว่า ‘โลกเก่า’ สิ่งที่พวกเขาเหลือไว้ก็คือโบราณวัตถุจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

 

มีทั้ง วัสดุที่ไม่รู้จัก กลุ่มตึกระฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ ยาที่รักษาคนขาพิการได้เพียงแค่กินมัน และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ลำสมัยเกินกว่าจะเอาไปใช้กับมนุษย์

 

มนุษย์ใช้เวลาหลายปีรวบรวมโบราณวัตถุเหล่านั้น เพื่อก่อสร้างอารยธรรมมนุษย์ขึ้นมาใหม่

 

แม้แต่สิ่งที่ทำลายอารยธรรมที่มีเทคโนโลยีราวกับเวทมนต์นั้นได้ ก็ยังไม่สามารถลบล้างมนุษยชาติได้ทั้งหมด

 

ในเขตตะวันออกของอารยธรรมมนุษย์ มีเมืองเศรษฐกิจจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งถูกบริหารโดยเหล่าองค์กร และเมืองคุกามายามะเองก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนั้น

 

เมืองคุกามายามะนั้นถูกรายล้อมด้วยกำแพงขนาดใหญ่ ซึ่งแบ่งเมืองออกเป็นชั้นๆ แม้ว่าทุกชั้นจะเรียกว่าเมืองคุกามายามะเหมือนกันแต่ก็มีความแตกต่างกัน

 

ในกำแพงชั้นใน เป็นพื้นที่ที่คนระดับสูงรวมตัวกัน เป็นที่อยุ่อาศัยของพวกผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจ

 

ส่วนระดับกลางเองนั้นเป็นส่วนของผู้ที่มีความมั่นคงทางกการเงินระดับหนึ่ง ส่วนพื้นที่ด้านนอกจากพื้นที่เหล่านั้นคือผู้ที่ไม่สามารถเข้าอาศัยในกำแพงได้

 

ที่นอกเมืองนั้น กลายเป็นชุมชนแออัดแผ่ขยายไปทั่วบริเวณจนใกล้กับเขตอันตรายเช่นซากปรักหักพัง

 

อากิระเป็นเด็กคนหนึ่งในชุมชนแออัด กล่าวอีกอย่างคือ เขาไม่ได้ถูกพัฒนาร่างกายเหมือนไซบอร์ก ไม่ได้รับการปรับปรุงทางพันธุกรรมหรือนาโนแมชชีนอะไรพวกนั้น

 

พวกเขาเป็นเด็กปกติธรรมดาที่ไม่มีแต่ทักษะเฉพาะทาง พวกเขาล้วนไม่มีการศึกษาหรือแม้แต่พ่อแม่ เด็กๆอย่างอากิระนั้นไม่มีผู้ปกครอง ไม่มีเงิน

 

พวกเขาไม่มีอาหารเพียงพอที่จะใช้ดำรงชีวิตประจำวัน พวกเขาสามารถตายตอนไหนก็ได้ แม้ว่าพวกเขาจะตาย ก็ไม่มีใครซักคนเดียวที่จะสนใจเด็กในชุมชนนี้

 

การอยู่ในถิ่นทุรกันดานเช่นนี้ไม่แปลกเลยที่ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเข้าโจมตี ซึ่งที่แรกก็หนีไม่พ้นชุมชนแออัดที่ติดกับพื้นที่ซากโบราณเหล่านั้น

 

อากิระรอดชีวิตมาจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดสามครั้ง เขารอดจากกการโจมตีครั้งแรกและครั้งที่สองจากการวิ่งหนีและหลบซ่อน

 

ต้องขอบคุณใครบางคนที่เขาเองก็ไม่รู้จักแม้กระทั้งชื่อคอยซื้อเวลาให้เขา คนเหล่านั้นล้วนถูกโจมตี ถูกกิน และถูกฆ่าแทนอากิระ ทำให้เขารอดมาได้

 

จุดผลิกผันมันคือการรอดชีวิตครั้งที่สามของเขา ในช่วงเวลานั้น อากิระไม่สามารถหนีสัตว์ประหลาดรูปร่างสุนัขตัวเล็กๆได้พ้น และจบด้วยการฆ่ามันด้วยปืนพกที่เขามี

 

มันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าอัศจรรย์ในการยิงสัตว์ประหลาดเข้าที่หัวสามนัดด้วยฝีมือของมือสมัครเล่นที่ไม่ได้รับการฝึกฝน

 

แต่ทว่า สัตว์ประหลาดไม่ได้สิ้นฤทธิ์ง่ายขนาดนั้น มันพุ่งเข้าหาอากิระด้วยหน้าที่เปื้อนเลือดเพื่อที่จะขย้ำเขาเป็นชิ้นๆ

 

ก่อนปากที่ใหญ่ผิดปกติของสัตว์ประหลาดจะฝังเขี้ยวลงที่เขา อากิระฝืนดันมือที่ถือปืนเข้าไปในปากของสัตว์ประหลาดจนถึงข้อศอกแล้วเหนี่ยวไก

 

กระสุนผ่านปากไปทะลุกะโหลกจนไปถึงสมอง ทำลายหัวของมันจากภายใน

 

และทำให้มันตายในที่สุด

 

ด้วยความแข็งแกร่งของฟันสัตว์ประหลาด มันจึงเจาะแขนของเขาเล็กน้อย แต่อากิระเองก็รักษาแขนและชีวิตของเขาไว้ได้

 

หลังจากรอดชีวิตครั้งที่สาม อากิระได้ตัดสินใจที่จะเป็นนักล่า แม้ว่าเขาจะรู้ถึงความอันตรายของการเป็นนักล่า แต่การที่เขาสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดได้ด้วยตัวเอง ทำให้เขามั่นใจในตัวเองและมีความหวังขึ้นมา

 

ในโลกนี้ มีกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่า ผู้แสวงหาขุมทรัพย์และชื่อเสียงในซากปรักหักพัง  

 

ซากปรักหักพังที่มีสัตว์ประหลาดเพ่นพ่านถือเป็นพื้นที่อันตราย แม้แต่ชุมชนแออัดที่ทุกคนพกปืนก็ยังดูปลอดภัยกว่าในซากปรักหักพัง

 

มันเป็นสถานที่อันตรายแบบนั้น

 

แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่สามารถสร้างเงินจำนวนมหาศาล เนื่องจากซากปรักหักพังนี้เป็นส่วนหนึ่งของโลกเก่า ทำให้มีวัตถุโบราณของโลกเก่าอยู่ด้วย

 

สัตว์ประหลาดที่โจมตีผู้คนก็ถือว่าเป็นวัตถุโบราณของโลกเก่าเช่นกัน สัตว์ประหลาดชีวภาพเป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีชีวภาพชั้นสูง ถ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมีชิ้นส่วนกลไกจะถือว่าชิ้นส่วนนั้นเป็นของมีค่า

 

ถ้านำไปขึ้นเงินจะทำกำไรได้มหาศาล

 

นอกจากนี้ หากคุณนำโบราณวัตถุที่มีความล้ำค่ามาจากซากปรักหักพัง เงินที่ได้นั้นอาจจะสามารถซื้อเมืองเมืองหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

และหากคุณสามารถยึดครองส่วนหนึ่งของซากปรักหักพังได้ โดยเฉพาะยุทโธปกรณ์ทางทหาร คุณสามารถสร้างประเทศของตัวเองได้

 

นักล่าที่มีความสามารถนั้นได้รับค่าตอบแทนจำนวนมาก ยิ่งคุณนำของล้ำค่ามาจากซากปรักหักพังที่อันตรายมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับเงินและอำนาจได้มากขึ้น

 

และเมื่อคุณมีอำนาจมากขึ้น คุณก็จะเข้าไปซากปรักหักพังได้ลึกขึ้นเพื่อของที่ดีกว่า หากทำซ้ำวิธีนี้ไปเรื่อยๆ คุณสามารถถือครองพลังอำนาจที่เหนือกว่าเมืองๆหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

อากิระสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดด้วยตัวเอง เพิ่มความเชื่อมั่นว่า โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตในซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดไม่ใช่ศูนย์อีกต่อไป

 

แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะลองเสี่ยงดู หากเขายังคงใช้ชีวิตในชุมชนแออัดต่อไป เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองเสี่ยงดวงดูเท่านั้น

 

อากิระลุกขึ้นมุ่งมั่นที่จะเป็นนักล่า เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

 

 

อากิระยังคงยืนตัวแข็งอยู่ต่อหน้าหญิงสาว

 

ส่วนหญิงสาวเองก็กำลังหัวเราะเบาๆขณะรออากิระหายจากอาการช็อค

 

แต่จนแล้วจนรอด ผ่านไปซักพัก อากิระก็ยังยืนแข็งอยู่ตรงนั้น เพราะเขาไม่สามารถหาวิธีจัดการสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้

 

สุดท้าย เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เขาจึงค่อยๆฟื้นคืนสติได้ มันทำให้เขาสงบลงในระดับหนึ่ง

 

สายตาที่จ้องมองไปยังความว่างเปล่ามองไปใบหน้าของหญิงสาว

 

หญิงสาวเห็นแบบนั้นจึงยิ้มกลับไปยังอากิระ

 

“เป็นไงบ้าง? คุณเห็นฉันใช่ไหม?ได้ยินเสียงฉันรึเปล่า? แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหน? คุณเป็นใคร?”หญิงสาวถามรัวเป็นชุด

 

อากิระสงบสติอารมณ์ได้แล้วตอบคำถามของเธออย่างใจเย็น

 

“…ฉันเห็นคุณ ได้ยินคุณ…ชัดดี ที่นี่คือซากปรักหักพังคุซึซึฮาระ และชื่อของฉันคืออากิระ…”

 

หญิงสาวหัวเราะชอบใจ

 

“ขอบคุณพระเจ้า ฉันชื่ออัลฟ่า ยินดีที่ได้รู้จัก”

 

ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆต่อเขา แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอเป็นตัวตนที่ลึกลับเกินกว่าจะคาดเดา

 

เธอไม่มีความเป็นศัตรูดังนั้นเขาจึงไม่อยากจดจ่อกับเธอมากเกินไป เพราะตอนนี้เขาอยู่ในซากปรักหักพังที่จะมีสัตว์ประหลาดออกมาตอนไหนก็ได้  

 

เป็นการดีกว่าหากเขาระวังสัตว์ประหลาดที่จะเข้ามาแทนที่จะเป็นหญิงสาว

 

“…คุณอัลฟ่า…แต่…คุณ ไม่ใช่ผี ใช่ไหม? ฉันแตะตัวคุณไม่ได้”

 

“ใช่สิ…ถึงแม้จะขอให้พิสูจน์แต่ฉันก็พิสูจน์ให้ไม่ได้หรอกนะ ต่อให้ฉันอธิบายคุณก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เอาง่ายๆว่าตอนนี้ ตัวฉันที่คุณเห็นเป็นตัวฉันจริงๆ

 

สิ่งที่คุณรับรู้ไม่ว่าจะเสียงหรือรูปลักษณ์ของฉันนั้นถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของคุณโดยตรง ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างสมองของคุณมีความสามารถ

 

ในการรับข้อมูลที่ผ่านระบบไร้สาบแบบพิเศษ ทำให้คุณรับข้อมูลที่ฉันส่งได้ ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านี่เป็นความารถมารถโดยกำเนิดหรือเป็นความสามารถที่คุณได้มันมาจากที่อื่น

 

ในทางกลับกับ ฉันไม่ได้ยินเสียงที่คุณเปร่งออกมาจากเส้นเสียง แต่มันออกมาจากความคิดของคุณ ซึ่งสมองส่งออกมาเป็นแพ็กเกตข้อมูล แล้วฉันก็แปลงมันเป็นเสียงอีกที

 

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับการมองเห็นของคุณเช่นกัน มันทำให้ฉันรู้ว่าคุณเองมองเห็นฉันได้”

 

อากิระไม่เข้าใจแม้แต่เสี้ยวเดียวของคำที่อัลฟ่าอธิบาย ซึ่งอัลฟ่าเองก็เข้าใจเมื่อเห็นการแสดงออกของเขา  

 

อัลฟ่าจึงอธิบายเฉพาะประเด็นหลักเท่านั้น

 

“คุณเป็นคนเดียวที่เห็นฉัน และคุณก็เป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงของฉัน โปรดระวังเมื่อคนอื่นเห็นคุณคุยกับฉัน คุณจะดูเหมือนคนบ้าพูดคนเดียว

 

คุณเข้าใจแค่นี้ก็พอ สำหรับตอนนี้น่ะนะ คุณสามารถเรียกฉันว่าอัลฟ่า แล้วฉันจะเรียกคุณว่าอากิระ ตกลงไหม?”

 

อัลฟ่าหัวเราะเบาๆขณะให้คำอธิบายอากิระ

 

สำหรับเด็กจากชุมชนแออัดอย่างอากิระแล้ว เขาไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มนั้นจะสื่อถึงความสาร ตักเตือน หรือขบขัน แต่มันทำให้เขาสบายใจอย่างไม่รู้ตัว

 

“เอาละ ฉันเข้าใจแล้ว… แล้ว…อัลฟ่า คุณมาทำอะไรที่นี่?”

 

“ฉันกำลังมองหาคนที่สามารถเห็นและได้ยินฉัน ฉันมีเรื่องที่จะขอร้องเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครที่ฉันสามารถสื่อสารได้เลย คงจะดีถ้าคนๆนั้นเป็นนักล่าเพราะมีโอกาสที่จะฟังคำขอของฉัน

 

แต่ก็อย่างที่คุณเห็น มันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเลย”

 

อัลฟ่าหัวเราะอย่างขมขื่นเล็กน้อย

 

อากิระสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยปาก

 

“เอ่อ…จริงๆแล้ว ฉันก็เป็นนักล่านะรู้ไหม…”

 

พออากิระพูดไปแบบนั้น อัลฟ่าก็ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

“ห๊ะ? อากิระเป็นนักล่างั้นเหรอ? ทั้งที่ยังเด็กขนาดนี้เนี่ยนะ? ยังไงซิ เป็นนักล่ามานานหรือยัง?”

 

“เออ…หนึ่ง..”

 

“หนึ่งปี?”

 

“…หนึ่ง…วัน ฉันพึ่งเป็นนักล่าวันนี้เอง”

 

ทั้งอากิระและอัลฟ่าต่างแสดงสีหน้าแปลกประหลาด

 

ความเงียบอันน่าอึดอัดใจก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขา

 

“ช่างเถอะ…ไม่มีอะไร ลืมสิ่งที่ฉันพูดไปซะ”

 

ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นนักล่า เขาก็ไม่อยากปกปิดว่าเขาเป็น แต่ลึกๆเขาก็รู้ดีว่าตนนั้นไม่มีทักษะสมกับเป็นนักล่า พอพูดไปแบบนั้นเขาเลยหมดความมั่นใจ

 

แต่อัลฟ่ายังคงดำเนินการสนทนาต่อ

 

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ช่วยฟังเรื่องราวของฉันหน่อยได้ไหม? มันคงเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เรามาเจอกันที่นี่”

 

แม้ว่าเขาจะเรียกตัวเองว่านักล่า แต่อากิระไม่มีทักษะ ซึ่งอัลฟ่าเองก็รู้ดี แต่ด้วยความจริงที่ว่าไม่มีใครที่สามารถสื่อสารกับเธอได้นอกจากเขา

 

ดังนั้นอัลฟ่าจึงไม่คิดว่าการขาดทักษะของเขาเป็นแง่ลบในระยะยาว

 

“คำขอของฉัน คืออยากให้คุณสำรวจซากปรักหักพังลับ เพื่อเป็นการตอบแทนฉันจะเป็นคนคอยช่วยเหลือคุณในรูปแบบต่างๆ เมื่อคุณทำตามคำขอของฉันเสร็จแล้ว ฉันจะให้คุณนำโบราณวัตถุจากที่นั้นออกไปได้ทั้งหมดเลย”

 

อากิระประหลาดใจกับข้อเสนอที่ไม่คาดคิด

 

“วัตถุโบราณจากโลกเก่าที่คุณว่า….เอาจริงดิ?”

 

เมื่อเธอเห็นการตอบสนองของอากิระ อัลฟ่าก็หัวเราะเบาๆ

 

มันทำให้เธอพยายามชักชวนเขามากขึ้น

 

“แน่นอน หรืออาจจะมากกว่านั้น แน่นอนว่าเธอจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากข้อตกลงนี้ ถ้าไม่รับข้อเสนอมันจะเสียเปล่านะรู้ไหม? โชคดีไม่ได้มีมาบ่อยๆนะ อีกอย่าง คุณจะอยู่รอดได้นานขึ้นถ้ามีฉันสนับสนุน”

 

ในใจของอากิระกำลังกรีดร้องอยู่ข้างในว่าอีกฝ่ายแค่พยายามหลอกล่อเขา แต่สำหรับอากิระแล้วอัลฟ่าดูไม่ได้เหมือนคนที่พยายามหลอกล่อเขาเลย

 

…อย่างแรก เธอจะได้อะไรสำหรับการหลอกเด็กอย่างฉัน? หรือว่าเธอต้องการเล่นตลก? ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนเธอค่อนข้างจะจริงจังในข้อเสนอนั้น แล้วมันดีรึเปล่านะที่รับคำขอของคนแปลกหน้าแบบนี้?

 

หลังจากลังเลใจอยู่ซักพัก อากิระก็ตัดสินใจ

 

หากพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากอีกฝ่ายมีเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังหรือสถานการณ์อะไรแบบนั้นคงไม่มาขอร้องคนธรรมดาแบบเขา เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วอากิระจึงตัดสินใจ

 

“ได้สิ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ฉันจะยอมรับคำขอของคุณ”  

 

เขาตอบตกลงทันทีจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจ ด้วยเหตุนี้อากิระจึงตอบรับคำขอแรกของเขาในฐานะนักล่า

 

อัลฟ่าได้ยินอย่างนั้นจึงมีความสุขอย่างมาก

 

“สัญญาสมบูรณ์แล้ว จากนี้ฉันจะเริ่มการตอบแทนโดยการสนับสนุนคุณทันที”

 

สิ้นเสียง อัลฟ่าที่มักจะหัวเราะตลอดเวลา จู่ๆน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

 

“ถ้าคุณยังไม่อยากเสียชีวิต ให้หลบเข้าไปในอาคารภายในสิบวินาที”

 

“คุณพูดอะไรเนี่ย…?”

 

อากิระที่กำลังจะถามหญิงสาวว่าหมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอัลฟ่าแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องนี้อันตรายแค่ไหน

 

ด้วยสถานที่ที่เขาอยู่ ทำให้เขาหยุดถามทันที… ถ้านั่นไม่ใช่เรื่องโกหก เขาจะตายแน่นอนถ้าเขายังอยู่ตรงนี้

 

พอเขารู้ตัว อากิระก็รียวิ่งไปที่อาคารที่อยู่ทางขวามือ

 

ช่วงเวลาที่อากิระกระโดดเข้าไปในอาคารอย่างเร่งรีบ จู่ๆก็มีลมจากแรงระเบิดหอบใหญ่พัดผ่านด้านข้างของเขา

 

เมื่ออากิระหันกลับไปมองจุดที่ระเบิด เขาเห็นหลุมลึกตรงจุดที่เขายืนอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว

 

พื้นที่รอบๆไหม้เกรียมจนเป็นสีดำ หากเขายังอยู่ตรงนั้นต่ออีกวินาทีเดียว เขาจะตาย

 

อากิระรู้สึกเย็นเหยียบจนถึงกระดูก เขานิ่งไปด้วยความกลัว แต่อัลฟ่าปรากฎตัวตรงหน้าของเขาและเรียกให้เขากลับสู่ความเป็นจริง

 

“นะ…นั่น มัน อะไร?”

 

อัลฟ่าไม่ตอบอากิระ แต่ยังคงทำสีหน้าจริงจังขณะชี้นิ้วไปที่บันได

 

“ไปตรงนั้นและไต่ขึ้นไปภายใน แปดวินาที”

 

อากิระรีบวิ่งไปที่บันไดและปีนขึ้นไปในทันที

 

วินาทีต่อมา มีการระเบิดอีกครั้งที่ด้านหลัง แรงกระแทกจากการระเบิดนั้นหยุดอากิระไม่ให้ปีนสูงขึ้นไป

 

พอเขาหายจากแรงช็อกเขาก็รีบปีนขึ้นไปอีกครั้ง ก่อนที่จะเห็นอัลฟ่าที่ปลายบันได ยกนิ้วข้างหนึ่งแล้วชี้ขึ้น

 

“ขึ้นดาดฟ้าภายใน ห้าวินาที”

 

อากิระไม่สนใจเสียงกรีดร้องจากปอดและขา เขารีบพุ่งตัวขึ้นบันใด

 

เขาทำตามคำแนะนำของอัลฟ่าและวิ่งต่อไปจนในที่สุดก็มาถึงดาดฟ้า  

 

เขาหอบหายใจอย่างหนัก ปลายทางมีอัลฟ่ากำลังโบกมือให้เขาเข้าไปหาใกล้ๆ ดูจากท่าทางของเธอแล้วไม่เหมือนว่าให้เขาต้องรีบทำเช่นนั้น

 

อากิระสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเดินไปทางเธอ เมื่อมาถึงอัลฟ่าก็ชี้ไปที่ด้านล่าง

 

อากิระงุนงง หรือว่าเธอต้องการให้เขากระโดดลงไป แต่อัลฟ่าก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น

 

“ลองมองไปข้างล่างสิ แต่ต้องระวังหน่อย ทำมันอย่างช้าๆและเงียบๆเข้าไว้ ตกลงไหม?”

 

อากิระค่อยๆมองลงไปตามคำพูดของอัลฟ่า ใบหน้าของเขาก็ซีดลงไปในทันที

 

สิ่งที่เขาเห็นด้านล่างนั้นคือฝูงสัตว์ประหลาดที่โจมตีเขา สัตว์ประหลาดเหล่าเดินวนไปมาราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

สัตว์ประหลาดตัวนั้นมีความยาวประมาณสองเมตร พวกมันดูเหมือนสุนัขตัวใหญ่ที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่บางตัวมีปืนใหญ่ขนาดย่อมอยู่บนหลัง

 

และบางตัวก็มีจรวดขนาดเล็กอยู่ติดลำตัว ไม่ว่าจะตัวไหนๆก็มีอาวุธทำลายล้างเพื่อทำลายผู้บุกรุก

 

หากเขาสามารถจัดการพวกมัน และนำบางส่วนกลับไปได้ เขาจะได้เงินจำนวนมหาศาล

 

…แต่ อากิระไม่มีพลังมากพอที่จะทำเช่นนั้น

 

เด็กชายได้แต่ทอดถอนใจกับโอกาสทำเงินที่เขาไม่สามารถคว้าไว้ได้

 

“พวกนั้นมันอะไรวะน่ะ?”

 

อัลฟ่าให้คำอธิบายเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพวกนั้น

 

“พวกมันคือสุนัขสงคราม (weapon dogs แต่จะเรียกว่าหมาปืนก็ยังไงอยู่) สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ มันถูกสร้างมาเพื่อปกป้องเมือง สิ่งที่คุณเห็นว่าเป็นอาวุธนั้นไม่ใช่เครื่องจักร แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตในทางชีววิทยา ฉันคิดว่าพวกมันถูกสั่งให้ดูแลพื้นที่แถบนี้  พวกมันอาจมีวิวัฒนาการแตกต่างกัน ทำให้อาวุธที่อยู่บนหลังของมันกลายเป็นอาวุธรูปแบบต่างๆเมื่อมันโตขึ้น บางที ตัวที่มีเครื่องยิงจรวดที่อยู่ด้านหลังนั้นคือตัวจ่าฝูง”

 

มันเป็นข้อมูลที่มีค่าที่จะฟัง แต่อากิระไม่ได้ขอคำอธิบายเรื่องสัตว์ประหลาด เขาแค่บ่นออกมาอย่างคนโชคร้ายที่จู่ๆก็ถูกจู่โจมโดยสัตว์ประหลาด

 

แต่พอได้ฟังเขาก็เกิดคำถาม

 

“ทำไมมันถึงมีปืนออกมาจากหลังของสิ่งมีชีวิต นี่มันแปลกเกินไปแล้ว”

 

อัลฟ่าตอบคำถามของอากิระด้วยท่าทีสบายๆ

 

“มีนาโนแมชชีนอยู่ในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต พวกมันดึงโลหะที่สิ่งมีชีวิตนั้นกินเข้าไปแล้วรวมมันจนกลายเป็นปืน ฉันแน่ใจว่าพวกมันกลายพันธุ์จากการออกแบบดั้งเดิม

 

อืม…มันอาจจะเป็นการวิวัฒนาการเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบัน”

 

มันอาจจะเป็นข้อมูลสำคัญ หากผู้ฟังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ประหลาด แต่สำหรับอากิระนั้นเขาไม่รู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน

 

ข้อมูลนั้นบอกเขาเพียงว่า มันมีเหตุผลที่สัตว์ประหลาดพวกนั้นมีอาวุธอยู่บนตัวของพวกมัน

 

สีหน้าของอัลฟ่ากลายเป็นขี้เล่น ไม่จริงจังเหมือนตอนที่บอกให้เขาหนี เมื่อพิจารณาแล้ว อากิระก็สงบลงเมื่อเข้าใจว่าเขาค่อนข้างปลอดภัยขณะอยู่ที่นี่

———–

คิดผิดไหมเนี่ยแปลเรื่องนี้ ตอนนึงอย่างยาว แถมเนื้อหาเยอะสุดๆ

ขอให้สนุกครับ Avolenn

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+