The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ 18 ง่ายจะตาย

Now you are reading The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ Chapter 18 ง่ายจะตาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 18 ง่ายจะตาย

“ก็ไม่เลวเหมือนกันนะพี่” หยานหลิวหยวนยิ้มแล้วพูด “ไม่ว่าผลของยามันจะออกมาเป็นแบบไหน เราก็ยังขายมันออกได้อยู่ดี”

เหลินเสี่ยวซูไม่ค่อยจะดีใจซักเท่าไร เขากระซิบ “ก็ถ้ามันเป็นเรื่องหาเงินมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ถ้าขายยาปลุกเซ็กส์เนี่ยมันจะมีคนขอบคุณฉันอย่างจริงใจซักกี่คนกันวะ”

เหลินเสี่ยวซูรู้ดี ว่าถ้าหากเขาขายสรรพคุณเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ถึงแม้ว่ามันจะได้เงินมาเยอะก็จริง แต่โอกาสที่เขาจะได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจนั้นมันจะน้อยกว่าการที่เขาไปช่วยชีวิตคนเจ็บมาก ต้องเป็นคนแบบตาแก่หว่างที่เตะปี๊บไม่ดังอยากหวนคืนสู่วงการความรักหวานชื่นเท่านั้นแหล่ะ ที่จะขอบคุณเขาออย่างจริงใจ

อีกอย่าง จุดมุ่งหมายของเขาจริงๆมันไม่ใช่การหาเงินซักหน่อย เขาต้องการคำขอบคุณจากคนอื่นมากกว่านี้ตั่งหาก เพราะถ้าไม่มีคำขอบคุณ ยาดำก็จะไม่มีตามไปด้วย

เหลินเสี่ยวซูพูด “ถ้าฉันรักษาผู้คนช่วยชีวิตพวกเขา ทุกคนในเมืองก็จะเริ่มเคารพยำเกรงฉันบ้าง ดูอย่าไอ้หมอที่อยู่ในคลินิกนั่นซิ เขาทำคนตายมากี่คนแล้วล่ะ แต่ก็ยังไม่เห็นมีใครไปด่าไปเอาเรื่อง ไปฆ่าแกงเขาเลย ทำไมกันล่ะ เพราะว่าเขาเป็นหมอคนเดียวในเมือองไง!”

“พี่ก็พูดถูก” หยานหลิวหยวนเห็นด้วย ในความเป็นจริงแล้ว บางครั้งก็มีหลายอย่างที่สำคัญมากกว่าเงิน และเขารู้อยู่แล้วด้วยว่ายังไงซักวันเขาก็ต้องรวยแน่ๆ

“และที่สำคัญที่สุดเลยนะ” เหลินเสี่ยวซูพูด “ถ้าฉันรักษาผู้คน ช่วยชีวิตพวกเขา ทุกคนในเมืองจะเรียกฉันว่า คุณหมอเหลิน แต่ถ้าฉันไม่รักษาพวกเขาเลย นายรู้ไหมว่าพวกเขาจะเรียกฉันลับหลังว่าอะไร เห้ย ไอ้คนขายยา ไง”

เห็นได้ชัดเลยว่าภาพลักษณ์ทางสังคมของทั้ง 2 แบบมันต่างกันลิบลับ!

หยานหลิวหยวนอดไม่ได้ เขาออกมาลั่นกระท่อม “พี่ จินตนาการพี่มันจะล้ำเลิศไปแล้วนะ”

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตาแก่วางนั้นยังไม่ได้ใช้ยาที่เขาซื้อไปจากเหลินเสี่ยวซูเลย เพราะยังไงตาแก่หวางเองก็ยังหาเมียใหม่ไม่ได้

ขวดที่บรรจุยาดำตอนนี้นั้นไม่ได้แปลกพิศดารอะไรมาก มันเป็นเพียงแค่ขวดเซรามิกขนาดเล็กที่หน้าตาเหมือน เครื่องลายครามที่เห็นได้ทั่วไปในเมือง ขวดแก้วเดิมที่บรรจุยาดำนั้นทำมาจากแก้วที่วิจิตรงดงาม เหลินเสี่ยวซูกังวลว่าคนจะสงสัยเรื่องที่ขวดยามันดูหรูเกินไป เขาเลยไปเที่ยวหาขวดใหม่มาแบ่งใส่ เพราะขวดเดิมที่ใส่นั้นมันหาไม่ได้ในเมืองแน่นออน

หวางฟู่กุยส่งขวดเซรามิกขนาดเล็กให้กับหนึ่งในผู้ตรวจการของเมือง เขาเป็นคนที่ถูกส่งออกมาโดยป้อมปราการโดยตรง

ตาแก่หวางรู้สึกเหมือนกับว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นไม่เห็นค่าของยาที่เขาให้มาเลย แต่ตาแก่หวางนั้นรู้ค่าของมันดี

ที่ใดกันเป็นที่ๆต้องการยาดำมากที่สุดหล่ะ? ใช่เหล่าชายฉกรรจ์ในเมืองรึเปล่า เปล่าเลย

ถึงแม้ว่าผู้ชายในเมืองจะพอมีอันจะกินอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่พวกเขามีกินมีใช้กันพอสมควร แถมงานที่ทำส่วนมากก็เป็นประเภทใช้แรงงาน ทำให้สุขภาพร่างกายของพวกเขาแข็งแรงมีกำลังวังชาดีเยี่ยมถึงแม้ว่าจะเป็นคนผอมแห้งแรงน้อยก็ตาม

หากร่างกายได้รับสารอาหารที่ดี มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายก็จะฟิตปั๋งเหมือนวัยรุ่นตลอดเวลาไม่จำเป็นต้องใช้ยาดำเลยแม้แต่น้อย

คนที่ต้องการยาดำมากที่สุด ก็คือพวก “ขุนนาง” ที่อาศัยอยู่ชั้นในของป้อมปราการตั่งหาก

หวางฟู่กุยตั้งใจซื้อยาจากเหลินเสี่ยวซูเพื่อนำมามอบบรรณาการให้กับผู้ตรวจการของเมือง ที่เป็นคนที่ป้อมปราการส่งมา ผู้ตรวจการของเมืองนั้นเป็นผู้ที่รู้เหตุการณ์ความเป็นไปทุกอย่างของเมือง งานหลักของพวกเขาคือการคอยจับตามองว่ามีเหตุการณ์อะไรไม่ผิดปรกติเกิดขึ้นในเมืองบ้างไหม เพราะงั้น เขาเลยรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าหัวเหล็กเลียยาดำเมื่อคืน

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ตรวจการเมืองเองก็ไม่ได้ใช้มันอยู่ดี หลังจากที่เขากลับมาที่ป้อมปราการในคืนนั้นแล้ว เขาก็ส่งมันไปให้หัวหน้าของเขาอีกที

ไม่มีใครรู้ว่าขวดยาเซรามิกนั้นจะไปตกอยู่ในมือของใคร

และเหลินเสี่ยวซูก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วย เขาใช้เหรียญขอบคุณแลกยาดำมาเพิ่มอีกขวดนึง จากนั้น เขาก็ให้เสี่ยวหยูซื้อผ้าดิบสีขาวจากในเมืองมา เพื่อที่จะปักคำว่า “คลินิก” ลงไปบนผ้านั้นด้วยด้ายสีดำ รวมไปถึงคำว่า “หมอใจดีผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาแผล” เล็กๆอยู่ข้างใต้ด้วย

พอป้ายสำเร็จแล้วกิจการคลินิกของเขาก็เริ่มเปิดทำการ

ตอนที่เสี่ยวหยูกำลังปักคำลงไปนั้นเอง เธอก็ถามเหลินเสี่ยวซูว่าอยากจะให้เธอปักคำว่า “หัตย์วิเศษรักษากาย” ไปด้วยไหม และเหลินเสี่ยวซูก็รีบปฏิเสธไปทันทีเพราะเขาค่อนข้างอ่อนไหวกับคำว่า”กาย”มากไปหน่อยช่วงนี้ (เพราะมันอาจจะไปซ้อนกับคำว่ากามได้)

ชีวิตของเหลินเสี่ยวซูเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง ตอนเช้าตรู่เขาตื่นขึ้นมาเข้าป่าไปเก็บสมุนไพร พอตอนสายๆเขาก็กลับมาที่กระท่อมรักษาผู้คน พอตอนเที่ยงเขาก็ไปสอนวิชาเอาตัวรอดที่โรงเรียน หลังจากนั้นเขาจะมาทบทวนบทเรียนในภาคเช้าโดยใช้ให้หยานหลิวหยวนคอยจดสิ่งที่เรียนมาด้วย

ถึงแม้ว่าตอนนี้กิจการคลินิกของเขาจะยังคงไร้ผู้คนแต่เขาก็ยังไม่อาจจะทิ้งงานของเขาไปได้ เพราะถ้าหากมีคนเจ็บมาหาหมอ เสี่ยวหยูคนเดียวก็คงรับมือไม่ได้แน่

ถ้าเลือกได้เขาอยากจะไปนั่งในห้องเรียนกว้างๆสว่างๆแบบหยานหลิวหยวนแล้วเรียนอยู่ในโรงเรียนซะมากกว่า แต่ถ้าเขาไปเรียน หยานหลิวหยวนกับเสี่ยวหยูจะทำยังไงต่อไปล่ะ?

ในครอบครัวยังไงก็ต้องมีซักคนที่ต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม

วันต่อมาเหลินเสี่ยวซูนั่งอยู่ในกระท่อม ประตูม่านของกระท่อมเปิดกว้าง มีเสี่ยวหยูนั่งเย็บผ้าอยู่ด้านหลังของเขา บางครั้ง เสี่ยวหยูก็จะบ่นอุบอิบออกมาถึงเรื่องที่ 2 พี่น้องคู่นี่ไม่เคยคิดจะเย็บปักซ่อมผ้าเองบ้างเลย ทำไมถึงปล่อยให้มีรูขาดยิบย่อยเยอะขนาดนี้กัน?

ในตอนนั้นจู่ๆก็มีใครบางคนวิ่งตรงเข้ามาจากอีกฝั่งนึงของถนนลูกรัง พร้อมแขนที่เลือดซึมทะลักออกมา

เหลินเสี่ยวซูตาลุกวาว “ถ้าไม่รีบรักษาแผลนั้น อาจจะถึงตายได้เลยนะ”

แต่ถึงอย่างนั้น ชายคนนั้นกลับไม่แล ไม่เหลียว ไม่แยแสเหลินเสี่ยวซูเลยซักนิด ณ ตอนนี้หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกคนก็มักจะคิดถึงคลินิกเพียงแห่งเดียวขอองเมืองซะก่อน เพราะอย่างน้อย ที่นั่นก็”น่าจะรักษาคนได้จริง” ต่างจากคลินิกกระท่อมโทรมๆทำจากไม้ของ “พ่อค้าขายยา”เหลินเสี่ยวซู ในหัวของพวกเขา เหลินเสี่ยวซูยังดูเป็น”พ่อค้าขายยา”มากกว่า “หมอที่รักษาบาดแผลให้คน”อยู่ดี

ทันใดนั้นเอง เสียงพูดที่คุ้นเคยก็ดังก้องขึ้นมาในหู มันเป็นเสียงจากปราสาทจิตใจของเขา “ภารกิจ รักษาผู้ป่วย 1 คน”

เหลินเสี่ยวซูยืนขึ้นแล้ว พูดแบบกลัดกลุ้มใจปลอมๆ “ขอโทษทีนะไอ้หนุ่ม”

จากนั้นเสี่ยวหยูก็เห็นเหลินเสี่ยวซูวิ่งออกไปจากกระท่อมด้วยความเร็วสูงพุ่งตัวเข้าหาชายคนที่มีบาดแผลที่แขน หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีต่อมา เธอก็เห็นเหลินเสี่ยวซูหิ้วชายคนนั้นกลับมาด้วย

เหลินเสี่ยวซูพูดกับชายคนเจ็บ “ไอ้หมอที่คลินิกนั่นมันเป็นหมอเก๊ นี่ฉันหิ้วนายมานี่ ฉันกำลังพยายามช่วยนายอยู่นะเนี่ย?”

ชายคนนั้นเสียเลือดมาเป็นเวลานานแล้วทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนอะไร เขาแทบจะเป็นลมล้มพับไปแล้วด้วยซ้ำถ้าเหลินเสี่ยวซูไม่หิ้วปีกเขามานี่ซะก่อน

ในตอนนั้นเองที่มีชายอีก 2 คน วิ่งตามกันมาจากอีกด้านของถนนลูกรัง พอเห็นว่าร่างของพวกเขาเปื้อนเลือดอยู่เหมือนกัน เหลินเสี่ยวซูเลยตกใจ “นี่พวกนายไปมีเรื่องกันมารึไงเนี่ย?”

ตอนที่ชายคนที่โดนหิ้วมาได้ยินเขาก็อธิบาย “เปล่า ไม่ใช่ มันเป็นเพราะเตาหลอมที่โรงงาน มันระเบิด! พวกเรายังถือว่าบาดเจ็บน้อย ยังพอจะวิ่งมานี่เองได้ แต่ฉันว่าอาจจะมีบางคนตายคาโรงงานไปแล้วด้วยซ้ำ”

เหลินเสี่ยวซูพยักหน้าเงียบๆ ในปัจจุบัน ไม่มีใครใจดีจะหิ้วร่างที่ปางตายของคนเจ็บในโรงงานมาส่งให้ถึงที่หมอหรอก บางคนถึงขั้นซ้ำเติมภาวนาให้คนเจ็บตายๆไปซะจะได้ปล้นของมาได้ด้วยซ้ำ

“เร็วเข้าพี่เสี่ยวหยู ฆ่าเชื้อเข็มเร็ว” เหลินเสี่ยวซูพูด ถึงแม้ว่าเขาจะยังกังวลเรื่องการติดเชื้ออยู่ แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องทำ ในเมื่อมีคนเจ็บอยู่ตรงหน้าแล้วเขาก็ต้องรักษาให้ได้ หลังจากที่พูดจบ เขาก็วิ่งออกไปข้างนอกออีกรอบ แล้วรอบนี้เขาก็พาผู้ชายอีก 2 คนนั้นมาด้วย

เหลินเสี่ยวซูใช้มือทั้ง 2 ข้างคอยพยุงร่างของพวกเขาเอาไว้ ทั้ง 3 คนนั้นบาดเจ็บจนไร้แรงต้าน ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บลล่ะก็ เหลินเสี่ยวซูคงไม่มีทางลากผู้ชายวัยผู้ใหญ่ถึง 3 คนกลับมาที่กระท่อมได้แน่ๆ

เอาเข้าจริง พวกเขาก็รู้กันอยู่แล้วล่ะว่าจะมารักษาที่กระท่อมของเหลินเสี่ยวซูก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยสัญชาติญาณ ขาของพวกเขาวิ่งตรงไปที่คลินิกประจำเมืองก่อนเป็นที่แรก แต่ตอนนี้ในเมื่อเขาโดนพยุงมาแล้ว พวกเขาก็ไม่ขัดขืนอะไรแล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เห็นเสี่ยวหยูวางผ้าในมือลง เธอหยิบเข็มที่เธอใช้เย็บผ้ามาแล้วนำไปลนกับไฟ เข็มนั้นมีความยาวพอประมาณทำให้เธอไม่กลัวที่จะโดนลวกมือแต่อย่างใด

“ให้ฉันเย็บเลยเหรอ?” เสี่ยวหยูถามแบบหวั่นๆ

“ใช่ เย็บแผลพวกนั้นเข้าด้วยกันเหมือนกับตอนเย็บผ้าเลย” เหลินเสี่ยวซูยิ้มแล้วพูด “ง่ายจะตาย”

เสี่ยวหยูพยายามรวบรวมความกล้าที่มีก่อนจะเริ่มจับดูแผลของผู้ป่วยคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ทันทีที่เข็มแตะโดนหนัง เสียงจี่ของเหล็กร้อนไหม้ผิวหนังคนก็ดังขึ้นมาพร้อมเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทันที

ชายคนนั้นร้องออกมาแล้วถาม “โอ้ย เดี๋ยว เข้าใจนะว่าใช้ไฟฆ่าเชื้อเข็มน่ะ แต่ช่วยรอให้เข็มมันเย็นก่อนค่อยเย็บได้ไหมเนี่ย?”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด