คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 407 ถึงนางยังเด็ก แต่นางก็มีของ

Now you are reading คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า Chapter 407 ถึงนางยังเด็ก แต่นางก็มีของ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 407 ถึงนางยังเด็ก แต่นางก็มีของ

ทุกคนมองไปยังฉินหลิวซีที่เดินมาอย่างเอ้อระเหยลอยชาย คล้ายกับว่ากำลังเดินจ่ายตลาดอยู่ เปลือกตากระตุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“นี่ นี่ชายหนุ่มท่านนี้ก็เป็นหมอที่มารักษาเป็นการกุศลด้วยเช่นกันหรือ” บ่าวรับใช้ชราค่อนข้างตื่นตกใจ

องครักษ์ที่ตะคอกคนนั้นยิ่งเบิกตากว้าง และเอ่ยขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “ไม่น่าใช่ เด็กกะโปโลโตยังไม่ถึงครึ่งก็สามารถเป็นหมอได้แล้วหรือ เมืองหลีของพวกท่านไม่มีคนแล้วหรืออย่างไร”

หมอเหมาและคนอื่นๆ ที่พอได้ยินดังนี้สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปจากเดิม เอ่ยขึ้น “เด็กกะโปโลอาจจะไม่มีความสามารถ นักพรตน้อยปู้ฉิวเป็นถึงเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิง ถึงแม้ว่าอายุยังน้อย แต่ทักษะทางการแพทย์กลับยอดเยี่ยม เหนือกว่าพวกเราทั้งหมด”

“ใช่แล้ว ความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ ถึงอายุยังน้อยก็จริง แต่ว่ามีความสามารถนะ”

คนทางฝ่ายของตงหยางโหวถูกตอบกลับจนแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว

บ่าวรับใช้ชราที่ท่วงท่าดูผ่อนคลายที่สุด รีบคำนับขอโทษพร้อมเอ่ย “ท่านหมออาวุโส เป็นพวกเราเองที่มีตาหามีแววไม่ มิได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินท่าน เพียงรู้สึกแปลกใจ เพราะเด็กคนนี้ยังไม่ถึงวัยปักกวานเลยด้วยซ้ำ”

หมอเหมากระแอมกระไอ และเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิ “ทักษะทางการแพทย์ของเจ้าอาวาสน้อย น้อยคนนักที่จะสามารถเทียบได้”

เมื่อตงหยางโหวได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเขาหรี่ลง และมองไปยังฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีเดินเข้าไปใกล้ เอ่ย “หมอเหมา หมวกทรงสูง[1]ที่ท่านให้ข้าใส่มันคับเกินไป เกรงว่าถ้าข้าถอดไม่ออกจะทำเช่นไร”

หมอเหมายิ้ม “มิกล้า นี่มิใช่เพราะพวกเรายังไม่เข้าใจทักษะอย่างลึกซึ้ง ทำให้ระบุวิธีการรักษาโรคของท่านผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ได้ จึงอยากฟังความคิดเห็นที่เหนือชั้นของท่าน ให้ข้ารออยู่ข้างๆ คอยหารือแสดงความคิดเห็น”

เป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้การแพทย์ ต้องรีบคว้าเอาไว้

ฉินหลิวซีชำเลืองมองตงหยางโหวครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ย “ข้าเกรงว่าคงไม่มีวิธีแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าอยากที่จะรักษาให้ แต่ทำอย่างไรได้ผู้อื่นเขาไม่เชื่อข้า หมอเหมา ถ้าผู้ป่วยไม่เชื่อ ถึงท่านจะมีความสามารถก็ไร้หนทางแสดงมันออกมามิใช่หรือ ซ้ำเมื่อครู่นี้ยังข้าถูกคนใช้น้ำเสียงตำหนิต่อว่า หัวใจน้อยๆ ดวงนี้ ตกใจจนตอนนี้ก็ยังเต้นเร็วอยู่”

“อะไรนะ ไยถึงตกใจได้เล่า ผู้ใดช่างกล้าเช่นนี้” หมอเหมาโกรธจนตาเบิกโพลง

ผู้ใดกันที่กล้าทำให้บรรพบุรุษน้อยท่านนี้ของพวกเขาตกใจ

เขากวาดตามองไปยังเหล่าตงหยางโหวทางนั้น สายตาบ่งบอกว่าไม่พอใจเล็กน้อย

อีกด้านกำลังพลของตงหยางโหว “…”

ไม่ใช่สิ โกหกได้อย่างหน้าด้านๆ แสดงให้มันสมจริงหน่อยเถิด ท่าทางเช่นนี้ของเขา เหมือนกับคนที่ถูกทำให้ตกใจกลัวเสียที่ใดกัน

แต่อีกฝ่ายก็เป็นหมอที่เหล่าหมออาวุโสเหล่านี้ยกย่อง องครักษ์ผู้นั้นที่เป็นคนตำหนิฉินหลิวซีเดินขึ้นไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง โค้งคำนับลง “ทำให้นักพรตน้อยตกใจ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ได้โปรดขอท่านเมตตา ไม่คิดแค้นเรื่องก่อนหน้า และทำการรักษาให้กับเจ้านายของข้าน้อยด้วย”

ฉินหลิวซีมองเขาด้วยความสงสัย เอ่ยขึ้น “ท่านช่างเป็นลูกผู้ชายจริงๆ งอได้ยืดได้ มิน่าถึงได้เป็นขุนนางระดับล่าง”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย มือกดค้างไว้บนดาบพกที่อยู่ระหว่างเอวโดยจิตใต้สำนึก

ตงหยางโหวเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เห็นแววตาของฉินหลิวซีดูเป็นทางการมากขึ้น

“อย่าตื่นตัวระมัดระวังเพียงนั้น ไม่ได้ยินที่หมอเหมาบอกหรือ ข้าเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิง ฉายานักพรตปู้ฉิว การดูโหวงเฮ้งหรือว่าอะไรก็ตาม ข้าสามารถทำได้บ้าง ท่านว่าใช่หรือไม่ ท่านแม่ทัพอาวุโส” ฉินหลิวซียิ้มให้กับตงหยางโหว

ตงหยางโหวสบตากับอีกฝ่าย แววตาเฉียบคมราวกับเหยี่ยว หัวจรดเท้าสง่างามน่าเกรงขามราวกับเสือ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเด็กคนนั้น อีกฝ่ายกลับไม่เกรงกลัวเลยแม้เพียงนิด ราวกับตนเองนั้นเป็นเสือที่ไร้เขี้ยว ไม่เพียงพอให้เกรงกลัว

ก็จริง แข้งขานี่ก็ไร้ประโยชน์ ร่างกายก็พิการแล้ว จะสามารถทำการสู้รบบนอานม้าในสนามรบได้อย่างไร ไม่เท่ากับว่ากลายเป็นเสือไร้เขี้ยวแล้วอย่างนั้นหรือ

ตงหยางโหวหัวเราะร่วน “เจ้าอาวาสน้อยดวงตาร้ายกาจน่าเกรงขาม ไม่ได้หลอกลวงกันจริงๆ เช่นนั้นท่านเห็นสิ่งใดบ้าง ”

“ท่านต้องการให้ข้าเอ่ย แต่ถ้าเอ่ยแล้วฟังไม่เข้าหู หรือไปกระตุ้นเรื่องเสียใจของท่าน จะโทษข้ามิได้นะ”

“โอ้”

“ภรรยาของท่านได้ตายไปแล้ว ลูกก็ตายไปก่อนวัยอันควร สูญเสียหลานในครอบครัวไป หนทางชีวิตของการเป็นขุนนางก็ไม่มั่นคง ร่างกายที่ป่วยของแม่ทัพอาวุโสนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การต่อสู้ดิ้นรนสะสมมานานหลายปี เกรงว่าสุดท้ายจะตกต่ำจนเหลือแต่ความว่างเปล่า”

เงียบสนิท เงียบสนิทไปครู่หนึ่ง

สีหน้าของตงหยางโหวไม่ได้เปลี่ยนไป ทว่าในใจกลับเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่กำลังพัดกระพือขึ้น ความหวาดกลัวกำลังแพร่กระจาย

เขามองแววตาของฉินหลิวซีที่จากแววตาปกติกลายเป็นจริงจัง

การมาที่นี่เพื่อทำมารับการรักษากุศล เป็นเพียงการตัดสินใจกะทันหันเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะรู้จักตัวตนและภูมิหลังของตนมาก่อนล่วงหน้า แล้วรู้เรื่องราวครอบครัวของเขา แต่ที่เอ่ยมานั้นถูกต้องทั้งหมด

“เหล่านี้ สามารถเห็นได้จากการดูโหงวเฮ้งทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ” เขาแสร้งถามอย่างไม่สะทกสะท้าน

ฉินหลิวซีอมยิ้มที่มุมปาก และเอ่ย “โหงวเฮ้งและชะตากรรมของคนนั้นเชื่อมกัน โดยปกติแล้วสามารถเห็นได้ แน่นอนว่าโหงวเฮ้งของพวกนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ใช่ว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเปลี่ยนแล้ว โชคชะตาก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน”

“เช่นนั้นตามที่ท่านเห็น โหงวเฮ้งของข้าสามารถเปลี่ยนได้หรือไม่” ตงหยางโหวถามขึ้น

ฉินหลิวซีที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเอ่ยขึ้น “เมื่อท่านมาถึงเพิงกระท่อมหลังนี้ชะตากรรมของท่านได้เปลี่ยนไปแล้ว ท่านแม่ทัพอาวุโส ขอข้าจับชีพจรของท่านก่อนเป็นอย่างไร”

บ่าวรับใช้อาวุโสกลั้นความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ และพับแขนเสื้อของเจ้านายด้วยตัวเอง และช่วยจับแขนของเขาเอาไว้ด้วย

“ไม่เอาน่า ถึงขาข้าใช้การไม่ได้ แต่ว่ามือนี้ไม่ได้พิการนะ” ตงหยางโหวปัดเขาออก วางมือไว้บนหมอนยาด้วยตนเอง

ฉินหลิวซีกางสองนิ้ววางลงไป สีหน้าสงบนิ่ง ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นมืออีกข้าง พร้อมเอ่ยถาม “เมื่อครู่ตอนที่ท่านลงจากรถ เห็นบ่าวสองคนที่ช่วยประคองท่าน ขาทั้งสองข้างของท่านนี้ ไม่มีแรงกำลังเลยใช่หรือไม่”

ตงหยางโหวมีท่าทางประหลาดใจ พยักหน้าและเอ่ย “ปีนี้ยิ่งไร้เรี่ยวแรงลงกว่าเดิม”

ฉินหลิวซีชักมือกลับ และเดินไปรอบๆ โต๊ะ มาหยุดลงด้านหน้าเขา นางนั่งยองๆ ลงไป เลิกเสื้อคลุมของเขาขึ้น มือบีบที่จุดฝังเข็มบนขาทั้งสองของเขา เคาะๆ ที่หัวเข่า โดยที่ไม่ลืมที่จะถามความรู้สึกไปด้วย

“เป็นอย่างไรบ้าง มีอาการอ่อนแรงใช้การไม่ได้หรือไม่” หมอเหมามองฉินหลิวซีที่ลุกขึ้นยืน เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

ฉินหลิวซีพยักหน้า และมองไปที่ตงหยางโหว “อาการนี้เพิ่งเกิดได้ไม่นานใช่หรือไม่”

หมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่เคยรักษามาก่อนหน้านี้ก็บอกว่าเป็นโรคอ่อนแรง ตงหยางโหวจึงไม่แปลกใจที่ได้ยินที่พวกเขากล่าวเช่นนี้ ไม่มีอะไรน่าตกใจมากนัก เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีถามขึ้นอีกครั้ง จึงได้ตอบ “สองปีกว่าแล้ว ตอนนี้ยิ่งมีอาการชาขึ้นเรื่อยๆ พอเข้าหน้าหนาว ยิ่งชาเข้าไปในกระดูก”

“ท่านยังพอมีโชคอยู่เล็กน้อย ตอนนี้เท้าทั้งสองข้างที่เห็นว่ายิ่งไม่มีแรง เกิดอาการเหน็บชา หากไม่ได้รับการรักษาที่ต้นเหตุ ท่านก็อาจจะเป็นอัมพาตได้ เป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมอง” ฉินหลิวซีกล่าว “ในวัยนี้ของท่าน เมื่อท่านเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ขาทั้งสองข้างจะเหน็บชาและไร้เรี่ยวแรง เกรงว่าอาจจะเป็นอัมพาตติดเตียง แต่ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอัมพาตติดเตียง ขาทั้งสองข้างของท่านก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ก็ยังจะเป็นอัมพาตต่อไป”

“ว่าอย่างไรนะ” บ่าวรับใช้ชราอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “สิ่งนี้ หมอดังๆ ที่เคยรักษาก่อนหน้านี้ไม่เคยเอ่ยถึงว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง”

หมอเหมาและหมออาวุโสหลายท่านเองก็ตกใจเช่นกัน เอ่ย “เจ้าอาวาสน้อย ไยจึงเป็นโรคหลอดเลือดสมองเล่า ลักษณะชีพจรเช่นนี้”

“พวกท่านวินิจฉัยโรคไม่ถามอาการหรือ แขนขาของเขาชา เพราะขาดชี่จึงทำให้ชา และการขาดเลือดทำให้ไร้ความรู้สึก ในคัมภีร์การแพทย์ได้กล่าวว่า เป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมองแน่นอน ไม่ต้องกล่าวถึงเส้นลมปราณอุดตัน ความเย็นที่ก่อให้เกิดโรคยังไม่หายไป ด้วยอายุที่มากขึ้น ผู้สูงอายุที่อายุเยอะเช่นนี้ ซ้ำยังต้องเผชิญกับอาการของโรคนี้ ถือว่าโรคหลอดเลือดสมองไม่ใช่เรื่องที่ปกตินัก”

ผู้สูงอายุที่อายุเยอะหลายคนต่างพากันสั่นสะท้าน “!”

ลึกๆ ก็สงสัยว่าที่จริงแล้วอีกฝ่ายกำลังหมายถึงพวกเขาอยู่

มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของตงหยางโหวกำหมัดแน่น น้ำเสียงท่าทางมีความกังวลและรีบร้อนขึ้น “เช่นนั้นเจ้าอาวาสน้อยดูแล้ว โรคของคนแก่เช่นข้า ควรรักษาอย่างไร”

โรคหลอดเลือดสมองทำให้เป็นอัมพาตติดเตียง อย่างหนักคือทำให้เป็นอัมพาตไปทั้งร่างกายไม่สามารถพูดได้ อย่างเบาคือตาและปากเบี้ยว ไม่ว่าจะแบบใด เขาก็ไม่ต้องการ

และถ้าฉินหลิวซีเอ่ยมาเช่นนี้ ก็น่าจะมีวิธีการรักษามันได้

[1]หมวกทรงสูง เปรียบเปรยหมายถึง การยกยอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด