บทละครของคนหลังฉาก 1.1

Now you are reading บทละครของคนหลังฉาก Chapter 1.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        รถตู้โดยสารขนาดเล็กตัวถังด้านบนสีเนวีบลูตัดกับสีเทาอ่อนด้านล่างกำลังวิ่งผ่านถนนเส้นหนึ่งภายในอุโมงค์มืดมิดที่ไร้ซึ่งแสงไฟส่องสว่างใดอื่นนอกจากไฟหน้าของตัวรถ

        รู้จักในชื่อต่าง ๆ อย่างเช่น Sumo, Libero, หรือ E12 ในมุมต่าง ๆ ของโลก แต่สำหรับญี่ปุ่นในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 1990 รถตู้ทรงเล็กคันนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ Domingo 

        มันเป็นรถตู้ทรงสูงที่ตัวรถนั้นสั้นป้อมที่มีกันชนหน้าและหลังที่ยื่นเจ่อเลยตัวถังออกมาอย่างชัดเจน

        เครื่องยนต์ 3 สูบขนาด 1.2 ลิตรที่ถูกวางไว้ในส่วนท้ายรถส่งเสียงกังวาลสะท้อนไปในอุโมงค์ราวกับนักร้องโอเปราในโรงละครที่เดียวดายเมื่อมันพยายามส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังวงล้อทั้ง 4 ที่ถูกห่อหุ้มไว้โดยวงยางที่ถูกบีบอัดและขยายตัวไปพร้อม ๆ กับช่วงล่างเมื่อรถวิ่งข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ อย่างเช่นหลุมและเศษวัสดุบนพื้นผิวถนนคอนกรีตที่สึกกร่อนขาดการดูแล

        แม้การเดินทางส่วนใหญ่จะเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่ด้วยความจริงที่ว่ารถคันนี้ถูกสร้างโดยเทคโนโลยีตั้งแต่เมื่อ 3 ทศวรรษก่อนโดยที่ไม่ได้ใส่ใจความหรูหราหรือการวิ่งวิบากขนาดนี้ พอเจอกับสภาพถนนที่เต็มไปด้วยความขรุขระ ก็มีบางครั้งคราวที่รถที่สูงแต่แคบและสั้นคันนี้เด้งกระดอนขึ้นและลงราวกับของเล่นม้ากระดกเมื่อเจออุปสรรคที่เกินขีดความสามารถของมัน

        ที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีอุบัติเหตุร้ายแรงใด ๆ ขึ้น ก็ต้องขอบคุณการควบคุมพวงมาลัยกับคันเร่งชองชายผู้ที่อยู่เบื้องหลังหลังพวงมาลัยกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของตัวรถตู้ที่ทำให้ไม่มีอะไรที่ร้ายแรงกว่าการเซไปส่ายมาเล็ก ๆ น้อย ๆ

        กระนั้นหลังจากที่รถตู้คันนี้กระโจนขึ้นลงไปหลายครั้ง คิริซากิ อากิโตะ ชายผู้ที่นั่งอยู่ในเบาะคนขับก็ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอความเร็วลงหรือเปลี่ยนวิธีการขับแต่อย่างใด

        มือขวาของเขายังคงจับถือพวงมาลัยอย่างมั่นคง ในขณะที่มือซ้ายทำหน้าที่เพียงช่วยประคองอย่างพอเหมาะและพร้อมเอื้อมลงไปจับด้ามเปลี่ยนเกียร์ในทุกเมื่อ เท้าขวาของเขาที่สวมรองเท้าผ้าใบคอยเพิ่มและลดน้ำหนักที่เหยียบลงบนแป้นคันเร่งอย่างพิถีพิถัน ในขณะที่เท้าซ้ายวางอยู่บนที่พักเท้าข้าง ๆ แป้นคลัทช์ รอคอยจังหวะที่จะต้องทำการเปลี่ยนเกียร์ลงและขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

        สีหน้าท่าทางต่าง ๆ ของเขานั้น… ว่าเช่นไรดี

        ด้วยคิ้ว หางตา และมุมปากที่ราบเรียบแล้วโค้งลงตกตรงส่วนปลาย เมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาคนนี้ที่อยู่บนโลกนี้มาเกือบ 21 ปี คำที่โผล่ขึ้นมาในความคิดของผู้คนก็มักจะเป็นคำว่า ‘เมินเฉย’ อย่างเป็นเอกฉันท์

        เส้นผมของเขานั้นเป็นสีดำขลับหยักศกชี้ฟูไปในหลายทิศทางที่ในส่วนด้านหน้านั้นไว้ผมยาวจนปิดหน้าผากลงมาเกือบถึงระดับสายตาของคู่นัยน์ตาสีดำที่กำลังมองออกไปทางถนนด้านหน้าอย่างไม่ไหวติงที่ช่วยเสริมภาพพจน์ของความเมินเฉยไม่ใส่ใจโลกของเขาจนยากที่จะสลัดออก

        ถ้าจะมีอะไรที่ดูมีร่องรอยของความใส่ใจในส่วนใบหน้าของเขา ก็คงมีเพียงหนวดเคราที่ถูกโกนอย่างเกลี้ยงเกลาที่พอลดทอนท่าทีของการไม่ดูแลเอาใจใส่ของเขาลงได้บ้าง แต่ก็ไม่มากพอจะมีผลกับภาพรวม

        กระนั้นเมื่อขยับลงไปมองการแต่งตัวของเขา มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน

        เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่ติดกระดุมยันคอที่ผูกปิดโดยเนคไทสีเทาอย่างเรียบร้อยที่ถูกคลุมทับโดยเสื้อคลุมนอกกระดุมแถวเดียวที่ตัดเข้ารูปตรงช่วงไหล่อย่างพอดีตัว เช่นเดียวกับกางเกงขายาวที่ไม่แน่นหรือหลวมเกินไปควบคู่กันเป็นชุดสูทสีดำด้านที่เรียบง่ายแต่เรียบร้อยดูดี

        เพื่อลดภาพลักษณ์ไม่ให้ดูเป็นทางการเกินไป เขาก็เลือกที่จะคาดเอวกางเกงด้วยเข็มขัดซิลิโคนสีดำด้านผิวเรียบคู่กับหัวเข็มขัดทรงกล่องสี่เหลี่ยมโครเมียมแทนที่จะเป็นเข็มขัดหนัง และเลือกที่จะสวมใส่รองเท้ากีฬาแบบผูกเชือกสีดำแทนที่จะเป็นรองเท้าหนังที่ไม่สะดวกสบายต่อการสวมใส่เท่า

        นอกเหนือจากนั้นภายใต้เสื้อทั้ง 2 ชั้นของเขาที่บริเวณข้อมือขวาก็มีนาฬิกาแบบหน้าปัดเข็มเรือนหนึ่งสวมใส่อยู่อย่างมิดชิดซ่อนเร้น

        บริเวณตรงหน้าปัดของมันมีพื้นหลังสีดำตัดกับตัวเลขสีเงินภายในที่ดูเรียบง่ายคมชัดสะอาดตา เข็มวินาทีที่เล็กเรียวยาวเหมือนดาบเรเปียร์ขยับเดินไปอย่างเป็นจังหวะเที่ยงตรง ในขณะที่เข็มสั้นและยาวที่ทรงเหมือนใบดาบยาวชี้บอกเวลา 13 นาฬิกา 24 นาทีอย่างแม่นยำ ทั้งหมดนั้นถูกบรรจุอยู่ภายในกรอบโครเมียมสีสว่างคู่กับสายรัดชิลิโคนสีดำด้านเฉกเช่นเดียวกับเข็มขัดที่เขาคาดไว้ที่เอว

        โดยรวมนั้น การแต่งตัวของเขาห่างไกลจากคำว่าไม่ใส่ใจหรือเมินเฉย แตกต่างจากหน้าตาของเขาเป็นอย่างมาก

        แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นความขัดแย้งที่พออยู่ด้วยกันก็ดูกลมกลืนอย่างน่าประหลาดใจ

        ไม่ก็เป็นเพราะว่าพอได้เห็นสีหน้าตายด้านนั่น ก็ทำให้หมดสิ้นความสนใจในการทอดมองการแต่งตัวของเขา เลยทำให้ไม่เห็นความขัดแย้งก็เป็นได้

        จะเช่นไรก็แล้วแต่ ตัวตนที่ดูขัดแย้งนี้คือสิ่งที่เป็น ‘ความปกติ’ ของลูกจ้างขององค์กรวิจัยอิสระ SEAR คนนี้ที่เข้าทำงานตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่สัญญาว่าจ้างของเขาเริ่มต้นขึ้นหลังเรียนจบชั้นมัธยมปลาย

        ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ชีวิตของเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปทั้งในทิศทางที่ดีขึ้นและแย่ลง ยกตัวอย่างเช่น

        ได้ตำแหน่งงานในองค์กรที่สำคัญแต่ก็บ้าบออันดับต้น ๆ ของโลกอย่างงง ๆ ? 

        ธรรมดา!

        การโดนพวกคลั่งการแต่งชุดสูทเต็มรูปแบบบ่นที่เลือกใส่รองเท้าผ้าใบกับเข็มขัดซิลิโคน?

        เรื่องปกติ!

        การที่ฝ่ายการเงินขององค์กรทำงานช้าจนบางเดือนต้องเอาตัวรอดโดยไม่มีเงินเดือน ?

        เกิดขึ้นโคตรบ่อย!

        แล้วเส้นผมหยักศกที่พยายามหวีให้ตายยังไงก็ไม่เรียบ?

        ไม่สมเหตุผลสักนิด แต่ถึงจุดนี้ก็ยอมแพ้ไปแล้ว!

        ขี้เกียจตื่นมาทำงานในเช้าวันจันทร์หรือทำงานล่วงเวลาในเย็นวันศุกร์?

        กลายเป็นสัจธรรม!

        การมีเพื่อนที่ชอบพาไปเจอเรื่องเล็ก ๆ ที่กลายเป็นเรื่องใหญ่?

        สามัญสำนึกบอกว่าต้องเลิกคบ แต่คงไม่เกิดขึ้น!

        แล้วการที่เขาผู้ถูกจ้างในตำแหน่ง ‘ช่างซ่อมบำรุง (พิเศษ)’ ถูกตัวองค์กรโยนลงมาขับรถตู้ในอุโมงค์มืดมิดที่ถูกทิ้งร้างจนเสื่อมโทรมแบบนี้ล่ะ?

        เรื่องปก- อ่า ไม่สิ 

        ไม่ว่าจะมองมุมไหน มันก็ไม่ใช่สิ่งที่อากิโตะจะสามารถหาคำอธิบายที่ฟังดูสมเหตุสมผลได้แม้แต่น้อย และนั่นคือการที่เขาใช้นิยามของคำว่า ‘ปกติ’ ในฐานะของ ‘ช่างซ่อมบำรุง (พิเศษ)’ ของ SEAR แล้วด้วย

        แน่นอนว่าสิ่งอื่น ๆ ที่พูดถึงไปก่อนหน้าก็ไม่มีอะไรสมเหตุผลหรือยอมรับได้ 

        แต่ตราบใดที่ยังคงทำงานอยู่ในองค์กรที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลุดโลกที่ชื่อว่า SEAR นิยามของคำว่า ‘ปกติ’ ก็จะถูกบิดให้เบี้ยวไปอย่างช่วยไม่ได้ กระนั้นตัวเขาก็ยังคงไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ตรงหน้าได้อยู่ดี

        ถึงจุดนี้น่าจะไม่เป็นการยากถ้าจะตั้งสมมุติฐานได้ว่า ท่าทีหน้าตายของอากิโตะนั้นเป็นผลโดยตรงจากการทำงานให้องค์กรแห่งนี้มาเป็นเวลา 2 ปีด้วยหลักฐานแวดล้อมต่าง ๆ

        ซึ่งก็ต้องขอกล่าวบอกว่านั่นเป็นการตั้งสมมุติฐานที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสมมุติฐานที่ผิดและห่างไกลจากความเป็นจริงอย่างที่สุด

        อากิโตะนั้นมีสีหน้านิ่งตายนิ่งไม่สนใจโลกมาตั้งแต่ก่อนเข้า SEAR แล้ว แต่ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่าไม่ใช่เพราะเขาไร้อารมณ์หรือความรู้สึกแต่อย่างใด

        ภายใต้สีหน้าที่ในสายตาคนส่วนใหญ่จะให้เห็นความเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำของหลาย ๆ วงการในรอบหลายทศวรรษนั้น คืออารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ทั่วไปที่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งสามารถรู้สึกได้ ที่ตัวเขานั้นไม่ต้องการหรือในหลาย ๆ กรณี ‘ขี้เกียจ’ ที่จะแสดงออกมา

        เพื่อนสนิทใกล้ชิดของเขาต่างรู้ถึงความจริงข้อนี้ดี ซึ่งหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นก็คือชายอีกคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในเบาะผู้โดยสารแถวหน้าสุดฝั่งซ้ายมือ

        ชื่อของเขาคือ มิคิจิ เซย์จิ ตอนนี้เขากำลังนั่งชันศอกซ้ายพาดขอบประตูรถเพื่อเท้าคางพร้อมกับนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจในขณะจ้องมองลึกเข้าไปในความมืดมิดที่เลยการส่องสว่างของไฟหน้ารถออกไป

        หน้าผากของเขานั้นเปิดโล่งไร้การบดบังเพราะเส้นผมตรงสีน้ำตาลเข้มที่ไว้ยาวระดับหนึ่งถูกคาดรวบไปข้างหลังโดยที่คาดพลาสติกสีดำ และเผยให้เห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแล้วชันขึ้นในส่วนหัวคิ้วจนเห็นเป็นร่องรอยย่นจาง ๆ ในบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้วของเขา

        แววตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำถูกหนังตาลดหรี่ลงมาปกคลุมครึ่งหนึ่งแสดงถึงความบูดบึ้งของอารมณ์อย่างชัดเจนควบคู่ไปพร้อมกับมุมปากที่ชี้เบ้ลงโดยที่ไม่มีหนวดเคราใด ๆ บดบัง

        เมื่อเทียบกับอากิโตะที่ตีสีหน้าตายด้านแบบไม่ใส่ใจโลกแล้ว สีหน้าของเซย์จินั้นมีการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเด่นชัดราวกับเป็นความต่างกันระหว่างกลางวันที่ฟ้าโล่งและกลางคืนที่ไฟดับ

        ชุดที่เขากำลังสวมใส่อยู่ในตอนนี้คือเสื้อแลปโค้ทสีขาวแขนยาวที่ชายเสื้อยาวลงไปถึงหน้าขา

        ภายใต้นั้นคือเสื้อเชิ้ตสีแสดสว่างแขนยาวที่ไม่ได้ติดกระดุมคอหรือผูกไทคู่กับกางเกงขายาวสีเทาที่ส่วนปลายขานั้นย่นยับจากการคลุมส่วนบนของรองเท้าผ้าใบกีฬาแบบหุ้มข้อหลายสีสันที่เขากำลังสวมใส่อยู่

        นอกเหนือจากนั้น ก็มีหูฟังแบบครอบที่มีผิวนอกเป็นพลาสติกสีเทาด้านอันหนึ่งที่พาดพักไว้บริเวณคอ

        ส่วนในบริเวณข้อมือซ้ายที่ไม่ได้หลบซ่อนภายใต้แขนเสื้อได้แนบเนียนเท่ากับอากิโตะก็คือนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งสวมใส่อยู่

        มันเป็นนาฬิกาที่มีหน้าปัดแสดงผลเป็นตัวเลขดิจิทัลที่มีกรอบอลูมิเนียมที่เต็มไปด้วยรูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ ที่ปัจจุบันแสดงเลขเวลา 13:24 เฉกเช่นเดียวกันเรือนที่อากิโตะสวมใส่อยู่อย่างไม่ผิดเพี้ยน

        บนหน้าตักของเขานั้นมีกระเป๋าบานพับทรงสี่เหลี่ยมแบบถือหิ้ววางอยู่ 1 ใบที่ถูกประคองไม่ไห้ขยับไปไหนด้วยมือข้างขวาของเขา 

        ผิวนอกที่เป็นพลาสติกสีเทาเข้มผิวขรุขระของมันมีความมันวาวเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ไม่ได้มีความหรูหราไปกว่ากระเป๋าใส่เครื่องมือที่หาได้ทั่วไปเท่าไหร่นัก

        การแต่งกายโดยรวมของเขาออกไปทางลำลองมากกว่าเป็นทางการอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

        กระนั้นถ้าหากว่าใครจะใช้คำว่าไม่เรียบร้อยก็คงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะก็มีการเก็บรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ อย่างมิดชิดพอที่จะเห็นไอของคำว่าสุภาพเรียบร้อยอยู่ตามมุมต่าง ๆ อย่างพอตัว

        และเช่นเดียวกับอากิโตะ เซย์จิก็เป็นลูกจ้างอีกคนหนึ่งของ SEAR 

        แต่ต่างไปตรงที่ว่าเขานั้นถูกว่าจ้างในตำแหน่ง ‘นักวิจัย (พิเศษ)’ ที่แทบไม่มีความเกี่ยวข้องหรือทำงานใกล้เคียงกับสายงาน ‘ช่างซ่อมบำรุง (พิเศษ)’ ของอากิโตะเลยแม้แต่น้อย 

        ถ้าให้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับทั้ง 2 คน ก็ต้องเน้นย้ำอย่างที่ได้กล่าวไปว่าพวกเขานั้นเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วลงรายละเอียดเพิ่มเติมว่าทั้งคู่นั้นรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นยันปลายที่บังเอิญว่าเรียนจบแล้วก็มาทำงานอยู่องค์กรเดียวกันแต่อยู่คนละสายงาน เรียกว่ารู้จักกันมานานจนเหม็นหน้าเลยก็ว่าได้

        “เฮ้อ…”

        เซย์จิที่คงสีหน้าบูดบึ้งถอนหายใจอย่างหมดแรงใจอย่างไม่มีการบอกเตือนล่วงหน้า ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีชีวิตชีวาขึ้นแต่ก็แฝงไว้ด้วยการบีบเสียงลดต่ำอย่างไม่พอใจ

        “อย่าหาว่าผมมองโลกในแง่ลบเลยนะครับ อากิโตะ แต่ผมว่าพวกเราอาจจะไม่รอดน่ะงานนี้”

        อากิโตะที่ได้ยินเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กล่าวเช่นนั้นก็ไม่มีเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าใด ๆ และยังคงไว้ซึ่งอริยาบถของคนขับรถด้วยการวางมือและเท้าไว้บนพวงมาลัยและแป้นคันเร่งเฉกเช่นที่ผ่านมา ก่อนที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ไม่มีความใส่ใจใด ๆ แฝง

        “เกือบจะถึงจุดหมายแล้วยังไม่เลิกคิดเรื่องนั้นอีก? ยอมรับความจริงตรงหน้าได้แล้วมั้ง”

        “ให้ว่ายังไงดีล่ะครับ…”

        เซย์จิเลิกชันศอกเท้าคางแล้วดันตัวกลับไปอยู่ในท่านั่งหลังชิดพนักพิงแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงอย่างไม่สบอารมณ์แล้วสานต่อคำพูดที่ถูกทิ้งช่วงกลางคัน

        “SEAR เพิ่งจะจับพวกเรายัดลงเคย์แวน (รถตู้ขนาดเล็ก) แล้วโยนลงมาในอุโมงค์เก่าขององค์กรที่โดนทิ้งร้างมาเป็น 20-30 ปี จนอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมถนนผุพังแล้วไม่มีไฟส่องสว่างสักดวงนะครับ ใครจะไปชอบอะไรแบบนี้กันล่ะ? ต่อให้เป็น ‘พวกเรา’ ก็เถอะ”

        “จะบอกว่ามันต้องมีถนนที่เรียบสนิทเหมือนเพิ่งซ่อมบำรุงไปด้วยงบประมาณรายปีรึไงถึงจะสามารถ ‘ทิ้งร้างมัน’ ได้? หรือว่าต้องจ่ายค่าไฟและค่าบำรุงเพื่อให้หลอดไฟข้างทางและบนเพดานทุกดวงติดสว่างถึงจะผ่าน ‘มาตรฐานการทิ้งร้าง’ ของนายด้วย ?”

        “ถ้าสมมุติว่าของอย่างใบอนุญาตทิ้งร้างมีอยู่จริง และผมก็เป็นกรรมการตรวจสอบด้วย อุโมงค์ที่อยู่ในสภาพแบบนี้ ผมก็ไม่มีทางให้สถานที่แห่งนี้ผ่านการตรวจสอบหรือต่อใบอนุญาตแน่นอนครับ”

        “ว่าง ๆ ก็ลองเปิดพจนานุกรมดูความหมายของคำว่า ‘ทิ้งร้าง’ ดูก็ไม่เลวนะ”

        “ถ้ามีเวลาผมก็อยากเปิดนิยามของคำว่า ‘สภาพแวดล้อมในการทำงาน’ ให้คนที่ส่งพวกเราลงมาเหมือนกันครับ”

        “ก็ฟังดูไม่เลว ถ้าจะทำแบบนั้นก็ฝากเอาคำว่า ‘สิทธิแรงงาน’ ไปให้พวกนั้นดูด้วยเลยก็น่าจะดี”

        “แล้วพวกเราทั้งคู่ก็จะโดนโยนออกมาสินะครับ”

        “ถ้าโชคยังดีหน่อยก็น่าจะโดนแค่ไล่ออกน่ะนะ”

        แม้จะยังคงทำหน้าตาบูดบึ้งกับนิ่งเมินเฉย ทั้ง 2 คนก็ยังรับและส่งบทสนทนาที่สามารถทำให้ชีวิตการทำงานของพวกเขาจบสิ้นลงได้อย่างช่ำชองและไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ ตามภาษาของเพื่อนสนิท

        “แต่เอาจริง ๆ นะครับ นอกจากสภาพการทำงานที่ชวนหดหู่แบบนี้แล้ว ยานพาหนะที่พวกเราได้มาก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยน่ะนะครับ”

        “ว่ากันตามตรง Domingo คันนี้ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ แต่มีความเห็นอะไรก็ว่ามาสิ ยังไงก็ไม่มีอะไรจะฟังสักพักอยู่แล้ว”

        “ก็คิดดูสิครับ อากิโตะ ตอนที่โรงงานเลิกผลิตเคย์แวนรุ่นนี้ อุโมงค์โทรม ๆ ที่เราอยู่ตอนนี้ยังไม่ถูกทิ้งร้างเลยนะครับ คิดว่าสภาพรถคันนี้ปัจจุบันมันจะเป็นยังไงล่ะครับ?”

        “พูดยากนะแบบนั้น เพราะอุโมงค์นี้มันไม่ถูกดูแลอะไรเลยเป็นสิบ ๆ ปี ในขณะที่รถคันนี้ก็ถูกตรวจสภาพดูแลโดย SEAR อยู่เรื่อย ๆ จะมาเทียบความเสื่อมสภาพกันก็ไม่ใช่อะไรที่ทำได้น่ะนะ”

        เซย์จิที่ได้ยินเช่นนั้นก็ก้มตัวไปข้างหน้าแล้วเอื้อมจับบานพับเปิดปิดของช่องเก็บของข้างหน้าเขา แล้วดึงสลักเบา ๆ เพื่อเปิดมันออก หรืออย่างน้อยเขาก็มีความต้องการที่จะทำเช่นนั้น

        “สลักเปิดหลุดติดมือผมมาน่ะครับ อากิโตะ”

        “มันก็เก่ามากแล้ว ทางนี้ก็ไม่คิดว่า SEAR จะดูแลรถดีในทุกรายละเอียดหรอก แต่ก็คงดูแลเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่ทำงานได้ไม่มีปัญหาแหละ”

        “ไฟเตือนเครื่องยนต์มันสว่างกว่าไฟส่องตัวหน้าปัดเองอีกนะครับ”

        “อย่างน้อยมันก็ยังพอวิ่งได้ดีไม่มีปัญหานะ”

        “ลองเข้าเกียร์ 4 ดูหน่อยสิครับ อากิโตะ”

        “ทำไม่ได้ ต้องลากเกียร์ 3 ขึ้นรอบสูงแล้วสับขึ้นเกียร์ 5 ไปเลย เกียร์ 4 เข้าไม่ได้”

        “…”

        เซย์จิหรี่ตาลงไปยิ่งกว่าเดิมมองหน้าอากิโตะที่ยังคงทำหน้านิ่งพยายามเมินเฉยต่อการจดจ้องของเขาด้วยการมองออกไปเส้นทางนอกกระจกหน้า

        “เอาน่า มันก็ไม่สมบูรณ์แบบหรอก แต่ถ้าหากว่าใช้งานตามปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อย่างเช่นแอร์ยังเย็นดีอยู่ ถ้าเร่งมากกว่านี้ก็คงรู้สึกเหมือนฤดูหนาวได้เลย- อ่ะ…”

        ก้อนพลาสติกสีดำทรงมนที่เคยติดอยู่ที่ปลายก้านโลหะสำหรับการควบคุมระดับความแรงของเครื่องปรับอากาศในห้องโดยสารหลุดติดนิ้วของอากิโตะออกมาเมื่อเขาพยายามขยับมัน

        คงไม่ต้องอธิบายมากว่านั่นไม่ใช่อะไรที่ดีต่อความคิดเห็นฝั่งเขา และก็ทำให้คิ้วที่เคยราบเรียบไร้อารมณ์ของเขากระตุกขึ้นลงเล็กน้อย ซึ่งก็ทำให้เซย์จิผุดยิ้มออกมาอย่างชอบใจ

        “เหอะ ๆ ตั้งแต่ที่มีช่างที่รับซ่อมรถเคย์แวนพวกนี้เหลือไม่กี่เจ้าในย่านที่องค์กรของพวกเราตั้งอยู่นี่ SEAR ก็คงคิดแหละนะครับ ว่าเคย์แวนคันนี้ไม่คุ้มซ่อมแล้ว เลยปล่อยไว้แบบนี้”

        “อย่างแรก รถคันนี้ Domingo รุ่นที่ 2 ที่ใช้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร หรือพูดง่าย ๆ ก็คือขนาดเครื่องเกิน 660 ซีซี ฉะนั้นมันไม่ใช่เคย์แวน อย่างที่สอง เรื่องช่างซ่อม… คิดว่ามันเป็นเพราะฝีมือแผนกไหนกันล่ะที่เอาของประหลาด ๆ มาติดตั้งทดสอบบนรถคัน จนทำให้ไม่สามารถนำไปส่งซ่อมบำรุงตามอู่ทั่วไปได้น่ะ?”

        คราวนี้เซย์จิเป็นฝ่ายเบือนหน้าและสายตาหนีช้า ๆ บ้างเมื่อโดนอากิโตะถามเช่นนั้น ราวกับโดนจี้แทงใจดำ ก่อนที่จะยิงคำถามอีกข้อกลับไปเพื่อบ่ายเบี่ยงประเด็น

        “แต่ก็นั่นแหละนะครับ การที่ SEAR ให้เราเอารถตู้มาแบบนี้ ถึงจะไม่มีอะไรเขียนเกี่ยวกับมันในใบสรุปงานของพวกเราก็เถอะ แต่งานนี้จะต้องมีมีภารกิจลับให้เราลักพาตัวใครด้วยแน่ ๆ ว่าไหมครับ?”

        “คำถามนั้นมาจากไหนล่ะนั่น?”

        อากิโตะตอบกลับอย่างทันควันแต่ไม่แตกตื่นหลังจากที่ได้ยินคำถามที่คนส่วนใหญ่ไม่น่าคาดคิดถึงจากเซย์จิที่กลับไปปั้นหน้ายิ้มหลังจากเปลี่ยนประเด็นได้สำเร็จ

        “ก็รถตู้มันถูกสร้างมาเพื่อใช้ลักพาตัวคนใช่ไหมล่ะครับ? การที่ SEAR สั่งให้พวกเราเอารถตู้คันนี้มาทำงานลับ ๆ ล่อ ๆ ในอุโมงค์แบบนี้ ก็ชัดเจนแล้วรึเปล่าครับว่าพวกเขามีภารกิจเกี่ยวกับการลักพาตัวแน่ ๆ !”

        “ใจเย็น รถตู้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อลักพาตัวนะ”

        “อ้าว แล้วมันสร้างมาทำไมล่ะครับนั่น?”

        “ก็เอามาทำงานอย่างขนของไง เห็นที่กองอยู่ที่เบาะข้างหลังไหมนั่น?”

        อากิโตะหมายถึงของต่าง ๆ ที่วางอยู่เต็มเบาะนั่ง 2 เบาะที่ติดกันของที่นั่งแถวกลางที่อยู่ถัดไปด้านหลังจากเบาะแถวหน้าที่เขากับเซย์จินั่งอยู่

        สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นถุงผ้าหนาสีกากีวางคาดยาวตามแนวของเบาะติดพนักพิงที่มีลักษณะโป่งนูนขึ้นตามสิ่งถูกใส่อยู่ภายในอย่างหลวม ๆ ที่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกยาวประมาณ 1 เมตร 

        เบื้องหน้าของมันคือกล่องโลหะขนาดเล็ก 3 กล่องที่ส่งเสียงแหลมของโลหะเมื่อพวกมันกระทบเข้าหากันตามจังหวะเคลื่อนไหวของรถ

        และข้าง ๆ ก็มีกระเป๋าพลาสติกอีก 2 ใบที่หน้าตาคลับคล้ายกับที่ใบเซย์จิวางไว้บนตักของเขา

        ถัดไปในเบาะนั่ง 3 ที่ในแถวหลังสุดก็มีกระเป๋าเดินทาง 2 ใบพร้อมกับกล่องเครื่องมือขนาดพกพาอีก 3 ใบวางซ้อนทับกันอยู่พร้อมกองของผืนผ้าและเชือกที่ถูกวางไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ

        เรียกได้ว่าเป็นการใช้ประสิทธิภาพด้านการขนของของรถตู้คันเล็กคันนี้อย่างคุ้มค่าเต็มราคา

        “จะบอกว่าพวกเราเอารถคันนี้มาด้วยเหตุผลแค่นี้เองรึครับ?”

        “คิดว่ารถตู้จะต้องใช้ลักพาตัวคนอย่างเดียวเลยรึไง?”

        “ถ้าไม่คิดอย่างงั้น ผมจะทำป้ายนี้อย่างเร่ง ๆ ก่อนที่จะขึ้นรถมาทำไมล่ะครับ?”

        เซย์จิเอื้อมไปหยิบแผ่นกระดาษลังสีน้ำตาลที่วางอยู่ตรงที่วางเท้าของเขาขึ้นมาตั้งให้อากิโตะพอมองเห็นได้ที่หางตา

        บนผิวที่ไม่ราบเรียบของมันมีตัวอักษรเรียงกันเป็นวลีภาษาอังกฤษสั้น ๆ ที่ถูกเขียนด้วยปากกาเมจิกสีแดงที่ฝนไปมาเป็นเส้นหนา ๆ ของแต่ละตัวอักษร

        ‘Free Candy’

        “ไม่ต้องเกรงใจนะครับ อากิโตะ สามารถใช้ได้ตามสบายเลย”

        “อย่าเอาชีวิตการงานและการอยู่ในสังคมของทางนี้ไปเสี่ยงกับตรรกะเพี้ยน ๆ ของนายสิ”

        “พูดกับความหวังดีของผมแบบนั้น มันก็ทำร้ายความรู้สึกมาก ๆ เลยนะครับ”

        “ไอ้คำว่าหวังดีของนายนี่มันน่ากลัวกว่าเจตนาฆ่าของคนส่วนใหญ่บนโลกอีกนะ”

        อาจจะเป็นการยากที่จะทำใจเชื่อได้หลังจากที่ได้ยินบทสนทนาล่าสุด แต่ขอเตือนความจำเล็กน้อยว่าทั้ง 2 คนนี้เป็นลูกจ้างเต็มเวลาขององค์กรวิจัยอิสระแนวหน้าของโลก ซึ่งในจุดนี้ก็อาจจะพอเรียกการจ้างงาน 2 คนนี้โดยองค์กรแห่งนี้ว่าเป็นข่าวเศร้าสำหรับมนุษยชาติโดยรวมแล้วก็ว่าได้

        “ถ้าหากว่า SEAR ไม่ได้คิดจะให้เราไปลักพาตัวใคร การที่ไปเอารถตู้บุโรทั่งแบบนี้มามันจะมีความหมายอะไรล่ะครับ? เอารถกอล์ฟมาแทนน่าจะดีกว่าอีก”

        “ถ้าเอารถกอล์ฟมา ป่านนี้ทางนี้กับนายก็คงสำลักฝุ่นในอุโมงค์นี้ตายไปนานแล้ว ดีไม่ดีน่าจะกลิ้งตกรถตั้งแต่หลุมแรกที่เจอแล้วมั้ง”

        ชื่อวิทยาศาสตร์ของมนุษย์นั้นคือ Homo sapiens ซึ่งมีคำว่า ‘ปราดเปรื่อง’ อยู่ในชื่อด้วย 

        แต่ถ้าใครก็ตามได้มาเห็นหรือได้ยินบทเสวนาระหว่างอากิโตะกับเซย์จิในตอนนี้ ก็คงต้องคิดว่าการใส่คำนั้นลงไปในชื่อน่าจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองของมนุษย์เป็นแน่

        “อย่างน้อยรถกอล์ฟมันก็อาจจะไปถึงที่หมายได้มากกว่ารถที่กำลังหลุดเป็นชิ้น ๆ คันนี้นะครับ”

        “มันไม่ใช่ความผิดของรถคันนี้เลยนะเฮ้ย ถ้าเป็นรถคันอื่นที่ดูแลแย่แบบนี้เพราะแผนกบางแผนกมันชอบเอาของแปลก ๆ มาติดจนเอาไปให้อู่ช่างซ่อมบำรุงไม่ได้จนต้องดูแลกันเองนี่ ป่านนี้ก็คงวิ่งไม่ได้แล้ว”

        การต่อล้อต่อเถียงกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ปราศจากคำว่า ‘ปราศเปรื่อง’ ของพวกเขาทั้ง 2 คนดำเนินต่อไปพร้อมกับสมาธิที่เริ่มหลุดลอยออกห่างจากตัวถนนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

        และด้วยจำนวนหลุมและเศษวัสดุที่ปรากฏขึ้นในแสงไฟหน้ารถที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวี่แววที่จะลดลง แปลว่าถ้าหากว่าพวกเขายังคงพูดคุยกันอย่างเสียสมาธิเช่นนี้ โอกาสที่จะมีหลุมหรือเศษวัสดุที่ใหญ่เกินกว่าที่ช่วงล่างของรถจะรับได้โผล่มาโดยที่พวกเขาไม่ทันได้หันรถหลบนั้น…

        โครม

        “อั๊ก!!”

        “โอย…”

        Homo stupidus ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริง ๆ

        รถตู้ทรงสั้นแต่สูงคันนี้ตกลงหลุมอย่างจังโดยไม่มีการหักหลบหรือลดความเร็วใด ๆ จนเกิดเป็นเสียงดังราวกับว่าชิ้นส่วนบางชิ้นกำลังจะแยกตัวจากออกไป ก่อนที่จะกระโจนกลับขึ้นมาโดยที่ล้อทั้ง 4 ลงสัมผัสพื้นไม่พร้อมกันส่งผลให้วิ่งโซเซออกนอกเส้นทางก่อนที่อากิโตะสามารถคุมมันให้กลับมาวิ่งเป็นเส้นตรงได้อีกครั้ง

        การที่มันยังวิ่งต่อไปได้โดยที่ไม่มีเสียงอะไรที่ฟังดูแปลกประหลาดเพิ่มเติมก็น่าจะหมายความว่านอกจากภาพลักษณ์ของความ ‘ปราดเปรื่อง’ ของอากิโตะกับเซย์จิแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่น ๆ ในรถคันนี้ได้รับเสียหาย และต้องขอบคุณวิทยาการเชิงวิศวกรรมยานยนต์ของ Homo sapiens ที่แท้จริงจากเมื่อ 3 ทศวรรษก่อน

        “…”

        “…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด