บทละครของคนหลังฉาก 2.2

Now you are reading บทละครของคนหลังฉาก Chapter 2.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ท่ามกลางเขาวงกตของป่าคอนกรีตที่อยู่เบื้องหลังอาคารของหน่วยงานประชาสัมพันธ์ ตรงกลุ่มของอาคารในพื้นที่ทางทิศตะวันออกขององค์กรก็จะมีอาคารสีขาวสะอาดตาแห่งหนึ่งตั้งเด่นอยู่เป็นศูนย์กลาง

        รูปร่างของตัวอาคารหลังนี้นั้นก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานเรียบง่ายสูง 3 ชั้น และวางตัวทอดยาวไปตามแนวด้านนอกของถนนรถวิ่งที่เป็นเส้นโค้งที่ตัดผ่านด้านหน้าของมัน

        มันคือสถานพยาบาลประจำองค์กรที่มีขนาดพอ ๆ กับโรงพยาบาลขนาดกลาง

        ภายนอกของตัวอาคารนั้นประกอบไปด้วยพื้นผิวคอนกรีตสีขาวสะอาดตาที่ถูกประดับประดาไปด้วยแผ่นกระจกใสบานใหญ่จำนวนมากที่กำลังสะท้อนแสงตะวันอย่างระยิบระยับ เป็นผลให้มันกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างที่โดดเด่นที่สุดในละแวกนี้

        พื้นที่บริเวณชั้น 1 ที่โค้งไปตามขอบถนนนั้นมีรถตู้พยาบาลที่มีความพร้อมจะออกไปปฏิบัติการได้ในทันทีที่มีการแจ้งเหตุเข้ามา จอดเรียงรายอยู่หลายคัน 

        ในขณะเดียวกัน ห่างออกไปทางด้านข้างของตัวอาคาร ก็มีลานจอดและโรงเก็บที่มีเฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ภายใน พร้อมที่จะรับคำสั่ง และออกไปปฏิบัติงานได้ทุกเมื่อเช่นกัน

        เรียกได้ว่าสถานที่แห่งนี่นั้นเป็นสถานพยาบาลที่มีความพร้อมเป็นอย่างมาก อาจจะเพียบพร้อมเกินไปจนน่าสงสัยเลยด้วยซ้ำ

        แต่ในขณะเดียวกัน การมีความเพียบพร้อมที่มากเกินไปก็เป็นสิ่งที่ดีกว่าการมีความเพียบพร้อมไม่พอเมื่อถึงเวลาจำเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย

        “ก็อย่างที่ผมบอกไปกับคุณพยาบาลข้างหน้าห้องน่ะครับ ว่าผม ‘หกล้ม’ มาในระหว่างที่ออกไปทำ ‘ธุระในเมือง’ มาน่ะนะครับ”

        เซย์จิกล่าวพูดอย่างยิ้มแย้มกับนายแพทย์ช่วงวัย 30 ปลาย ๆ ในชุดกาวน์สีขาวที่กำลังนั่งวินิจฉัยอาการบาดเจ็บของเขาบนแขนซ้ายท่อนล่างที่ถอดผ้าพันออกแล้ว

        ในตอนนี้ภายในห้องตรวจที่มีกำแพงรายล้อม 4 ด้านที่ถูกฉายสว่างโดยหลอดไฟสีขาวจากด้านบน ก็มีเพียงแค่เซย์จิและนายแพทย์ผู้ตรวจอยู่ภายในเท่านั้น ไม่ได้มีพยาบาลผู้ช่วยหรือใครอื่น ๆ อีก 

        บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะที่กั้นระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ผู้รักษานั้นก็กำลังแสดงผลภาพถ่ายของแขนซ้ายที่บาดเจ็บของเซย์จิที่เพิ่งถูกเอกซเรย์ไป

        “สำหรับการหกล้มนี่ คุณมีเศษโลหะฝังอยู่ตามแขนเยอะเลยนะครับ”

        นายแพทย์คนนั้นกำลังกล่าวถึงจุดสีขาวสว่างหลายจุดที่ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายเอกซเรย์ของแขนซ้ายของเซย์จิ ซึ่งจุดเหล่านั้นก็คือเศษโลหะที่ฝังตัวอยู่ในแขนของเขาจากเหตุการณ์ในอุโมงค์ก่อนหน้านี้

        สีหน้าของนายแพทย์คนนั้นกำลังแสดงถึงความสงสัยหลาย ๆ ข้อที่ติดอยู่ภายในลำคอ รอคอยที่จะถูกไถ่ถามออกมา แต่ด้วยเหตุผลด้านความเป็นมืออาชีพ ทำให้ในตอนนี้เขาต้องแจงรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาให้ผู้มารับการรักษาที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาก่อน

        “ยังดีนะครับ ที่เศษวัสดุพวกนี้ฝังอยู่ไม่ลึก ถ้านำเศษเหล่านี้ออกหมดแล้ว แค่ทำความสะอาดกับปิดปากแผลก็น่าจะกลับไปทำงานและกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้อย่างไม่มีปัญหาครับ”

        “แล้วผมสามารถใช้งานแขนซ้ายทำงานที่ใช้แรงเยอะ หรือไม่ก็งานที่มีความละเอียดสูงได้ไหมครับ?”

        “ผมไม่แนะนำครับ ในช่วงที่แผลมันกำลังสมานตัวนี่ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่าครับ”

        “เป็นแบบนั้นสินะครับ”

        เซย์จิขานรับพร้อมกับพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ 

        “แล้วต้องใช้เวลาประมาณไหร ผมถึงจะสามารถกลับไปใช้งานแขนได้ตามปกติครับ?”

        “ตรงนั้นก็แล้วแต่ตัวบุคคลครับ แล้วก็ขึ้นอยู่ประเภทงานด้วย ซึ่งสำหรับกรณีของคุณ ถ้าไม่ได้ไปยกของหนักอะไรในห้องแลปก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ และถ้าเป็นไปได้ ผมก็แนะนำให้คุณเลี่ยงการไปทำธุระที่ทำให้คุณเจ็บตัวแบบนี้ไปก่อน อย่างน้อยก็ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้นะครับ”

        แม้ว่าตัวเขาจะเป็นคนพูดเองว่า ในแต่ละกรณีก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล แต่คำพูดที่เขาใช้ตอบคำถามของเซย์จิก็ฟังดูมีความเจาะจงอย่างน่าประหลาด

        “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ อาจารย์ ผมจะพยายามเลี่ยงการใช้มือซ้ายในตอนที่ไปทำธุระในเมืองในช่วงนี้แล้วกันนะครับ”

        เซย์จิยังคงแสดงรอยยิ้มอย่างไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ ออกมาเมื่อกล่าวตอบอย่างมีนัยแฝงว่า ตัวเขานั้นน่าจะต้องขัดคำสั่งแพทย์เป็นแน่ ซึ่งนั่นก็ทำให้แพทย์ผู้ที่กำลังทำการรักษาเขานั้นถึงกับต้องถอนหายใจถอดสีหน้าให้เห็นอย่างชัดเจน

        “ต่อให้ผมเขียนลงไปในใบคำสั่งแพทย์ ยังไงคุณก็จะต้องออกไปทำธุระสินะครับ?” 

        เขาถามเซย์จิอย่างเหนื่อยใจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่จะถามถึงข้อสงสัยที่ติดข้างคาอยู่ในใจของเขามาสักพักเช่นกัน

        “ถ้าเป็นแบบนั้น มีอะไรที่คุณอยากจะบอกผมเพิ่มเติม ก่อนที่ผมจะส่งตัวคุณไปทำแผลไหมครับ?”

        “ก็มีอยู่ 2-3 เรื่องครับ”

        เซย์จิที่ถูกถามเช่นนั้นก็ตอบกลับได้อย่างในทันทีทันใด ราวกับว่าตัวเขานั้นคาดหวังและตั้งตารอคำถามข้อนั้นมาตั้งแต่แรก

        เขาวางเสื้อแลปโค้ทที่ถอดแขวนไว้กับแขนขวาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ล้วงหาสิ่งที่เขาแนบเก็บไว้ในช่องกระเป๋าช่องหนึ่ง แล้วก็หยิบถุงซิปล็อคพลาสติกสีดำสนิทขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะ

        “เรื่องแรกก็เหมือนกับทุกทีครับ ช่วยเก็บเศษทั้งหมดที่นำออกมาจากแผลของผมใส่ในถุงใบนี้ด้วย”

        การแสดงท่าทีของนายแพทย์คนนั้นมีการสะดุดขัดเล็กน้อยเมื่อได้เห็นถุงใบนั้น แต่ไม่นานนัก เขาก็รวบรวมความสุขุมกลับมาได้ แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาซุกเก็บในช่องกระเป๋าตรงอกเสื้อของเขา

        “เหมือนเดิมสินะครับ? ไม่ให้วางพวกเศษวัสดุทั้งหลายไว้บนถาด หรือว่าโยนทิ้งไปโดยเด็ดขาด แต่ให้รีบนำพวกมันใส่ในถุงใบนี้ทันทีที่เอาออกมาจากแผลของคุณสินะ?”

        “ตามนั้นเลยครับ”

        เซย์จิตอบด้วยรอยยิ้มที่ยากจะตีความหมายพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

        “ว่าไปแล้ว ช่วงนี้ก็กลางเดือนสิงหาแล้วนี่นะครับ ลูกของอาจารย์ก็คงใกล้จะหมดวันหยุดฤดูร้อนแล้วด้วย สนใจลางานแล้วพาครอบครัวไปเที่ยวพักร้อนนอกเมืองประมาณ 1 สัปดาห์ไหมครับ? เริ่มพรุ่งนี้เลยก็ดี”

        เขาเปลี่ยนประเด็นหัวข้อสนทนาอย่างในทันทีทันใดเมื่อได้โอกาส

        แม้ว่าบริบทของมันนั้นจะเป็นอะไรที่พอเข้าใจได้ แต่ด้วยการเจาะจงรายละเอียดอย่างชัดเจนในหลาย ๆ ส่วน มันก็ทำให้คู่สนทนาของเขารู้สึกว่าประโยคที่ว่านั้นเป็นมากกว่าประโยคคำถามเกี่ยวกับสภาพสารทุกข์สุกดิบของครอบครัวของเขา

        “เอ่อ… ขอคำอธิบายเพิ่มเติมหน่อยได้ไหมครับ?”

        “ก็ตามนั้นเลยครับ ช่วงสัปดาห์นี้ ผมแนะนำให้อาจารย์พาครอบครัวไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ที่อยู่ไกลตัวเมืองแห่งนี้สักหน่อยนะครับ คิดว่ามันเป็นการสานสัมพันธ์ครอบครัวก็ได้ ไม่ก็เพื่อความปลอดภัยน่ะนะ”

        ความขี้เล่นและบรรยากาศสบาย ๆ นั้นยังคงแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเซย์จิอย่างที่เป็นมา แต่ด้วยเหตุผลบางประกาศ ตัวของนายแพทย์คนนั้นกลับไม่ให้ความรู้สึกเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย

        “อยู่ ๆ ให้ผมมาลางานยาวขนาดนั้นอย่างกะทันหันก็คงจะเป็นไปไม่ได้แหละนะครับ”

        นายแพทย์คนนั้นตอบอย่างไม่มีการอ้อมค้อม

        “ที่สำคัญ ถ้าหากว่าภายใน 1 สัปดาห์นี้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในตัวเมืองแห่งนี้ ผมก็ควรจะต้องอยู่เตรียมพร้อมรับมือมากกว่าจะไปอยู่ที่อื่นนะครับ”

        “นั่นสินะครับ ผมก็กะไว้แล้วแหละนะ ว่าอาจารย์จะต้องตอบแบบนี้”

        เซย์จิหลับตาลงแล้วเปลี่ยนรอยยิ้มไปเป็นรอยยิ้มอย่างฝีน ๆ เพื่อเป็นการประชดความรู้สึกท้อใจที่ตัวเขานั้นคิดถูก

        “และเพราะแบบนั้นแหละนะครับ ผมเลยมีอีกเรื่องที่จะต้องให้อาจารย์รู้ด้วย”

        เขายื่นไปหยิบแผ่นกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งที่ถูกพับทบเก็บไว้ในช่องกระเป๋ากางเกงของเขา แล้วก็ยื่นส่งมันให้กับนายแพทย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าแบบถึงมือ

        “5 คนที่คุณเขียนถึงไว้ในนี้นี่…”

        นายแพทย์คนนั้นทำสีหน้าฉงนเมื่อพยายามตั้งคำถามหลังจากที่ได้อ่านข้อมูลที่ถูกเขียนไว้บนแผ่นกระดาษที่ถูกยื่นส่งมาให้

        “ผมคงต้องขอความร่วมมืออาจารย์นะครับ ถ้าหากว่าเจอคนที่มีลักษณะตรงกับ 5 คนนี้ ก็ให้รีบติดต่อผมในทันทีเลย และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้พวกเขาบาดเจ็บปางตายหรือขอให้ช่วยยังไง ก็อย่าเข้าไปยุ่งกับพวกเขาโดยเด็ดขาดนะครับ”

        เป็นอีกครั้งที่เซย์จิใช้ประโยคที่ฟังเหมือนเป็นการขอความร่วมมือเมื่อฟังแบบผ่าน ๆ แต่นายแพทย์คนนี้ก็เข้าใจดีว่า คำพูดที่เขากำลังได้ยินนั้นไม่ใช่การขอร้องแต่อย่างใด

        “ขอคำอธิบายเพิ่มเติมหน่อยได้ไหมครับ? เพราะที่คุณกำลังจะขอให้ผมทำนี่ มันก็เหมือนกับการให้ผมหันหลังให้จรรยาบรรณวิชาชีพของผมเลยนะ”

        “พวกนั้นไม่เลือกวิธีการครับ การไปให้ความช่วยเหลือพวกนั้น ก็เป็นการเอาตัวเองไปเสี่ยงอย่างสูญเปล่าครับ”

        คำตอบสั้น ๆ ของเซย์จินั้นสูญสิ้นซึ่งบรรยากาศของการล้อเล่นไปอย่างหมดสิ้น ซึ่งก็ทำให้นายแพทย์ตรงหน้าของเขาต้องเป่าปากถอนหายใจออกมาให้โล่งท้อง แล้วก็หลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิเพื่อคิดกับตัวเอง 3-4 วินาที ก่อนที่จะลืมตากลับเข้ามาในบทสนทนาอีกครั้ง

        “ถ้าคนพวกนั้นไม่ได้ถูกส่งมาให้รักษากับผมโดยตรง ผมก็จะถือว่าอยู่นอกเวลางานแล้วกันนะครับ”

        “ขอบคุณที่เข้าใจครับ อาจารย์”

        ท่าทียิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรของเซย์จิกลับมาอีกครั้งอย่างในทันทีทันใดเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ราวกับว่าตัวเขานั้นสามารถเปลี่ยนท่าทีของตัวเองได้ด้วยการสับสวิตช์

        “นั่นก็น่าจะเป็นทุกอย่างที่อาจารย์จำเป็นต้องรู้แล้วแหละนะครับ”

        หลังจากนั้นที่บรรยากาศภายในห้องกลับมาเป็นปกติ นายแพทย์คนนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบหูโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้น แล้วก็รหัสเลขติดต่อภายในองค์กร

        “ขอพยาบาลจากกลุ่มงานพิเศษมาพาคนไข้ไปที่ห้องเฉพาะกิจด้วยครับ”

        จากนั้นเขาก็วางสายโทรศัพท์ลง แล้วหันไปพูดกับเซย์จิอีกครั้ง

        “เดี๋ยวก็เดินตามพยาบาลไปนั่งรอที่ห้องทำแผลนะครับ แล้วผมจะตามไปทีหลัง”

        “อ้อ เหมือนผมจะนึกได้ว่าผมก็มีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกเรื่องหนึ่งครับ”

        เซย์จิพูดออกมาอย่างกะทันหัน ราวกับว่าเขาเพิ่งนึกอะไรออกได้ในนาทีสุดท้าย

        “มีอะไรอย่างงั้นรึครับ?”

        “ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ แต่ว่าไงดี ผมมีอะไรอยากขอร้องอาจารย์หน่อย เกี่ยวกับการทำแผลของผมครับ”

        นายแพทย์คนนั้นรู้สึกประหลาดใจในทันทีเมื่อได้เห็นท่าทีประหม่าเช่นนั้นของเซย์จิ

        “ก็ลองว่ามาสิครับ เผื่อผมจะช่วยอะไรได้”

        “พอดีว่าก่อนหน้านี้มีประเด็นมานิด ๆ หน่อย ๆ ฉะนั้นตอนปิดแผลนี่… ช่วยเลี่ยงการใช้ผ้าพันแผล แล้วขอเป็นพลาสเตอร์ปิดแผลแทนได้ไหมครับ?”

⬭⬭⬭⬭⬭⬭⬭

        หลังจากที่ปล่อยให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญจัดการกับอาการบาดเจ็บของเขาจนเสร็จ เซย์จิก็ค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาจากห้องที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวอาคาร และกำลังมุ่งหน้ากลับไปยังบริเวณทางเข้าด้านหน้า

        ‘พอใช้พลาสเตอร์ปิดแผลหลาย ๆ อันแทนที่จะใช้ผ้าพันแผลแล้ว มันก็ดูพิลึกเหมือนกันแฮะ’

        เซย์จิคิดกับตัวเองไปพร้อม ๆ กับมองที่แขนซ้ายท่อนล่างที่ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลาสเตอร์ปิดแผลแบบกันน้ำหลายชิ้นที่มาอยู่แทนที่ผ้าพันแผลก่อนหน้า

        หมายเหตุว่า ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ภายในอาคารที่มีระบบปรับอากาศที่เย็นจนถึงหนาวในหลาย ๆ จุด แต่ด้วยแขนเสื้อทั้ง 2 ชั้นที่ฉีกขาดเสียหาย เขาก็เลยยังต้องม้วนแขนเสื้อทั้ง 2 ขึ้นเอาไว้ พร้อมกับยังคงถอดเสื้อแลปโค้ทไปพาดแขวนไว้ที่แขนขวาเหมือนอย่างที่เคย

        ‘ถึงจะเอาเศษต่าง ๆ ออกไปหมดและทำแผลเรียบร้อยแล้ว มันก็ยังเจ็บ ๆ ตึง ๆ อยู่เลยแฮะ’

        มือซ้ายของเขาสั่นเกร็งอย่างชัดเจนเมื่อเขาลองพยายามกำและแบมันอย่างช้า ๆ 

        มันไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รุนแรงจนทำให้ไม่สามารถใช้มือซ้ายได้แต่อย่างใด แต่ที่ต้องรู้สึกราวกับโดนไฟฟ้าดูดทุกครั้งที่กล้ามเนื้อหดหรือคลายตัวก็ทำให้การทำงานหลาย ๆ อย่างไม่สะดวกเช่นกัน

        ‘น่าจะใช้มือซ้ายช่วยประคองปืนไม่ได้สักพักแหละนะ อาจารย์บอกว่าประมาณ 1 หรือ 2 สัปดาห์ถึงจะหาย แปลมันจะเป็น 1 หรือ 2 สัปดาห์ที่ปัญหาหลายอย่างจะยุ่งยากกว่าเดิมสินะ’

        ณ จุดนี้ เซย์จิเลิกที่จะคิดอะไรตื้น ๆ อย่างเช่น การคิดว่าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในช่วงที่เขาบาดเจ็บไปนานแล้ว 

        ‘คงจะไปถือ P90 ไล่ยิงอีกฝ่ายแบบก่อนหน้านี้ไม่ได้ไปสักพัก น่าจะต้องเตรียมหาวิธีรับมือด้วยสภาพแบบนี้ไปก่อนแหละนะในตอนนี้’

        จากนั้นเขาก็ชูมือขวาที่กำลังถือถุงซิปล็อคสีดำสนิทที่ทึบแสงจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด ๆ ที่ถูกบรรจุอยู่ภายในได้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับสายตา

        มันคือถุงที่เขาส่งให้นายแพทย์ผู้รักษาเขาในตอนที่อยู่ภายในห้องตรวจ ซึ่งในตอนนี้นั้น มันก็พองนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากเศษของลิ่มเหล็กที่ถูกนำมาออกมาจากบาดแผลของเขา

        ‘ด้วยความสามารถในการใช้จินตภาพของอีกฝ่ายแล้ว ตราบที่ถุงใบนี้ยังคงถูกปิดอยู่แบบนี้ พวกนั้นก็ไม่น่าจะเชื่อมต่อหรือว่าหาข้อมูลอะไรจากเศษที่เหลือพวกนี้ได้แหละนะ’

        เขาจ้องมองถุงใบนั้นด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความอาฆาตที่ราวกับว่าสามารถมองทะลุผ่านไปถึงสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ภายในได้

        ‘นั่นก็จัดการปัญหาเรื่องการโดนตามรอยเศษวัสดุพวกนี้ด้วยจินตภาพไปได้แหละนะ’

        จากนั้นเขาก็ลดมือขวาลง แล้วก็นำถุงซิปล็อคใบนั้นลงไปแนบเก็บในช่องกระเป๋าของกางเกงขายาวสีเทาที่เขากำลังสวมใส่อยู่

        ‘ปัญหาข้อถัดไปก็คงเป็นเรื่องของคนนอกที่โดนลากมาพัวพันด้วย อย่างเช่น อาจารย์ที่รักษาผมน่ะนะ’ 

        เขาถอนหายใจออกมาอย่างชัดเจนในขณะที่ฝีเท้ายังคงก้าวต่อไปในระเบียงทางเดินพื้นหินขัด

        ‘เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหลังฉากเลยแท้ ๆ แต่โดนพวกเบื้องบนสับรางให้มารักษา ‘พวกผม’ ตลอด ทำให้เขาสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง จนตอนนี้ก็พูดคุยกับพวกหลังฉากได้แบบตรง ๆ แล้วเนี่ย’ 

        ว่าเช่นไรได้ ถ้าหากว่ามีกลุ่มคนที่ไม่ควรบาดเจ็บจากการทำงานต้องมารักษาตัวอยู่บ่อย ๆ ด้วยอาการบาดเจ็บแปลก ๆ ภายในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับตำนานกลางเมืองอย่างเรื่องคนหลังฉากแล้ว ก็คงต้องมีการเอะใจบ้างเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

        ‘ก็ต้องเคารพอาจารย์คนนั้นจริง ๆ แหละนะ ที่เขานั้นไม่นำเรื่องที่ ‘คิด’ หรือ ‘รู้’ ไปพูดต่อให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว ทำให้ไม่มีการรั่วไหลของข้อมูลของกลุ่มหลังฉากจากทางเขาแม้แต่น้อย’

        ในมุมหนึ่ง เซย์จินั้นก็พอใจกับสถานการณ์นี้ เพราะมันทำให้เขาและพรรคพวกสามารถรักษาตัวได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการรั่วไหลของข้อมูล

        แต่ในอีกมุมหนึ่ง

        ‘ตอนนี้ผมก็คงทำได้แต่เตือนเขาแบบนี้ แล้วก็หวังว่า ถ้าหากมันเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ เขาที่จะไม่โดนลูกหลงอะไรเข้าน่ะนะ’

        รู้ตัวอีกทีหลังจากที่หลงอยู่ในวังวนความคิดของตัวเองมาได้ครู่หนึ่ง เขาก็เดินกลับมาจะเกือบจะถึงโถงทางเข้าออกของโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

        มันเป็นพื้นที่สูงโปร่งจนสามารถมองตรงขึ้นไปถึงหลังคากระจกชั้นบนสุดของตัวอาคารอย่างไม่มีการกำบัง ต่างจากทางเดินปิดทึบที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา 

        บริเวณต่าง ๆ ของโถงแห่งนี้นั้นก็เต็มไปด้วยกิจกรรมและการกระทำของผู้คนในชุดเครื่องแบบต่าง ๆ มากมายอย่างมีชีวิตชีวา

        ยิ่งเข้ามาใกล้โถงทางเข้าแห่งนี้เท่าไหร่ เสียงต่าง ๆ ของฝีเท้าและการพูดคุยของเหล่าบุรุษและนางพยาบาลที่กำลังเดินไปมาอย่างเร่งรีบก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดก็กลบเสียงผีเท้าของเซย์จิจนมิด 

        ในขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีสายตาจากผู้คนในอริยาบถต่าง ๆ จับจ้องมาทางเขาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนท่าทีไปเป็นการปั้นยิ้มตามแบบฉบับอีกครั้งเพื่อไม่ให้ดูผิดแปลกไปจะที่เคยเป็น

        หลังจากที่กลับไปใส่หน้ากากสีหน้ายิ้มแย้มดั่งเดิมแล้ว เขาก็เริ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ เพื่อสำรวจดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างระแวดระวัง

        นอกจากกลุ่มของพยาบาลที่กำลังง่วนอยู่กับภาระงานตรงหน้าแล้ว สภาพของผู้คนโดยรวมที่อยู่ภายในพื้นที่แห่งนี้ก็ถือว่าอยู่ในสภาวะสงบเรียบร้อยเป็นอย่างดี

        อาจจะเป็นเพราะว่า สถานที่แห่งนี่ก็ยังถือเป็นโรงพยาบาล เลยทำให้ผู้คนในชุดเครื่องแบบอื่น ๆ ที่กำลังนั่งรออยู่ในส่วนพื้นที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ต้องอยู่ในอิริยาบถสำรวมกันถ้วนหน้า พร้อม ๆ กับมีการเคารพกฎกติกามารยาทในเรื่องการใช้เสียงเป็นอย่างดี

        กระนั้น การที่มีคนในชุดเครื่องแบบจากแผนกต่าง ๆ มานั่งรอคิวทำการรักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งนี้อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยในช่วงเวลางานก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ‘มาหาหมอในเวลางานกันเยอะแบบนี้ องค์กรแห่งนี้มันจะไปรอดจริง ๆ ไหมเนี่ย?’ ซึ่งเซย์จิก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน

        แต่ก็นั่นแหละ ตัวเขาที่เพิ่งมาใช้บริการโรงพยาบาลแห่งนี้ไปในเวลางานก็คงไม่มีสิทธิ์บ่นว่าอะไรคนอื่นที่กำลังนั่งรอใช้สิทธิ์รักษาตัวแหละนะ

        เซย์จิหยุดการกวาดสายตามองเมื่อเขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และกำลังส่งสายตากวาดมองไปรอบ ๆ เช่นเดียวกับเขา ราวกับว่าตัวเธอนั้นก็กำลังจดจ้องมองหาใครสักคนอยู่เช่นกัน

        และก่อนที่เซย์จิจะได้ตัดสินใจลงมือทำอะไร หญิงสาวคนนั้นก็หันหน้ามาในทิศทางของเขา แล้วก็เปลี่ยนไปชักสีหน้าแสดงความไม่พอใจออกมา พร้อม ๆ กับลุกขึ้นแล้วก็เริ่มเดินตรงมาทางเขาอย่างในทันทีทันใด

        เธอเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากันบนทางเดินหินขัด พร้อมกับส่งสายตาจ้องเขม็งตรงไปยังเซย์จิ ที่ทำให้ทำได้แต่เพียงหัวเราะแห้ง ๆ เพื่อกลบเกลื่อน

        เมื่อเทียบกันแล้ว กับเซย์จิที่สูง 173 เซนติเมตร ส่วนสูงของเธอคนนี้ เมื่อไม่รวมกับรองเท้าส้นเตี้ยที่เธอกำลังสวมใส่ ก็อยู่ที่ระดับประมาณ 160 เซนติเมตรต้น ๆ ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างสูงพอตัวสำหรับหญิงสาวชาวญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน

        เส้นผมสีน้ำตาลลูกไม้ยาวพอประมาณของเธอที่ถูกมัดรวบไปเป็นหางม้าเล็ก ๆ อย่างเรียบง่ายยังคงสะบัดไหวไปมาไปเบา ๆ จากการก้าวเดินที่เพิ่งหยุดลง

        ภายใต้แว่นสายตากรอบใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมมุมโค้งที่เธอสวมใส่อยู่นั้น ก็คือดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ลืมเปิดอย่างพอดีพองามที่แฝงไปด้วยความจริงจัง และกำลังเพ่งเล็งไปยังใบหน้าที่ยังคงยิ้มระรื่นของเซย์จิอย่างไม่ก้าวร้าว พร้อม ๆ กับเบ้มุมปากที่ทาลิปมันสีใสลงอย่างชัดเจนไม่พอใจ 

        เธอสวมแลปโค้ทยาวถึงหน้าขาคลุมทับเสื้อแขนยาวสีเขียวอ่อนที่เข้ารูปอย่างพอเหมาะกับร่างกายท่อนบนที่สมส่วนและมีส่วนโค้งอย่างพอดีพองาม และก็เก็บชายเสื้อไว้ในเอวของกางเกงขายาวทรงเล็กสีดำที่เข้าทรงเผยให้เห็นทรงของสะโพกกับขาที่เรียวยาวของเธอ

        ขอบเอวของกางเกงนั้นก็ถูกคาดรัดอยู่อย่างพอดีพอเหมาะโดยเข็มขัดเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง เพื่อไม่ให้ชายเสื้อและตัวกางเกงนั้นดูหละหลวมเกินไปบนร่างกายของเธอ

        โดยรวมนั้น เธอก็การแต่งตัวของเธอก็สุภาพตามมาตรฐานของผู้ใหญ่ในวัยทำงาน และก็ไม่มีการเปิดเผยอย่างมากเกินไปแต่อย่างใด

        และถึงแม้ว่าเสื้อแลปโค้ทกำลังที่สวมใส่อยู่อย่างหลวม ๆ นั้นจะปกคลุมร่างกายส่วนใหญ่ของเธอ แต่ร่างกายในช่วงเริ่มต้นของช่วงวัยผู้ใหญ่ชองเธอก็ยังมีเสน่ห์ของส่วนโค้งและเว้าให้สังเกตเห็นอยู่ได้ แม้ด้วยการกวาดสายตามองผ่าน ๆ

        ชื่อของเธอคือ อันโด อายะ อายุ 23 ปี

        เธอเป็นนักวิจัยอีกคนหนึ่งที่ถูกว่าจ้างโดยองค์กรวิจัยแห่งนี้ และก็เป็นนักวิจัยที่สังกัดอยู่ทีมวิจัยเดียวกันกับที่เซย์จิ แต่ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนหลังฉากแต่อย่างใด หรืออย่างน้อยก็ควรจะเป็นเช่นนั้น

        “อ้าว มาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย อันโด?”

        เซย์จิกล่าวถามด้วยท่าทียิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรทักทายเพื่อลดความตึงเครียดของบรรยากาศโดยรวมลง แต่ด้วยหน้าตาที่ยังคงบึ้งตึงอย่างไม่เปลี่ยนแปลงของอายะ ก็คงบอกได้ว่ามันไม่ได้ผลแม้แต่น้อย

        “พอดี ฉันกำลังมองหาใครบางคนอยู่น่ะ”

        อายะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบ ๆ แต่ก็มีเปลวเพลิงของความฉุนเฉียวปะปนหลุดมาด้วย

        “กำลังมองหาอีตาบ้าคนหนึ่งที่ออกไป ‘ทำธุระในเมือง’ แล้วดัน ‘หกล้ม’ เป็นแผลกลับมา จนต้องมาทำแผลที่โรงพยาบาลน่ะ นายพอจะเห็นคนที่มีลักษณะตรงกับที่ว่ามาไหม?”

        การพูดของเธอนั้นมีการเน้นคำสำคัญอย่างชัดเจน ราวกับว่าเธอนั้นเข้าใจถึงความหมายแฝงของพวกมัน ซึ่งก็ต้องขอย้ำอีกครั้งว่า เธอคนนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มเคนหลังฉากแต่อย่างใด แต่เป็นคนธรรมดาอีกคนหนึ่งที่ถูกลากมาพัวพันกับเรื่องราวเหล่านี้ เช่นเดียวกับนายแพทย์คนก่อนหน้า

        และถ้าหากว่ามีใครยังคงสงสัยว่า ‘อีตาบ้า’ ที่เธอมามองหาอยู่นั้นเป็นใคร คำใบ้อีกชิ้นก็คือ คนที่นามสกุล ‘มิคิจิ’ ที่ชื่อจริงขึ้นต้นด้วยเสียง ‘เซ’ ลงท้ายด้วย ‘จิ’

        “ผมว่าผมเคยเห็นคนที่คลับคล้ายกับที่คุณว่ามาเดินอยู่ที่อีกฝั่งขององค์กรนะครับ ถ้ารีบวิ่งไปตอนนี้ ก็อาจจะยังตามไปทันนะครับ”

        “ขอบคุณสำหรับเบาะแสนะ แต่เบาะแสอีกชิ้นที่ได้มาก่อนหน้านี้บอกว่าคน ๆ นั้นน่าจะต้องอยู่ที่นี่แน่ ๆ และฉันก็คิดว่าตอนนี้ฉันอยู่ห่างจากอีตาบ้าที่ว่าคนนั้นไม่เกิน 1 เมตรแล้วด้วย”

        หรือราว ๆ 0.010936 สนามฟุตบอลสำหรับคนที่ต้องการระบบการวัดรูปแบบอื่น 

        “เบาะแสนี่… ได้มาจากพยานนามสมมุติ ‘อา’ อย่างงั้นรึครับ?”

        “อืม ได้มาจากพยานที่เป็นช่างซ่อมนามสมมุติ ‘คิ’ น่ะ”

        ว่าไปแล้ว ก็ขอต้องพูดถึงเกร็ดข้อมูลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบทสนทนานี้เลยแม้แต่น้อยเสียหน่อย

        นามสกุลของอากิโตะที่เป็นช่างซ่อมบำรุง (พิเศษ) ขององค์กรแห่งนี้คือ คิริซากิ และนั่นก็คือเกร็ดข้อมูลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับบทสนทนาของอายะกับเซย์จิที่กำลังเกิดขึ้น จบการอธิบาย

        “แล้ว… เป็นไงบ้างล่ะ แขนของนายน่ะ?”

        อายะลดความแข็งกร้าวของเสียงของเธอลงเมื่อเบนสายตาลงไป แล้วสังเกตเห็นพลาสเตอร์ปิดแผลหลายชิ้นที่ถูกแปะอยู่บนแขนซ้ายของเซย์จิ 

        “ก็อย่างที่เห็นครับ ยังอยู่ดี ไม่ได้แขนขาดหรือพิการอะไร”

        เซย์จิพยายามกัดฟันฝืนยิ้มในขณะที่ขยับแขนซ้ายขึ้นลงพร้อม ๆ กับการกำและแบรัว ๆ หลายครั้ง เพื่อแสดงให้อายะเห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร

        “…”

        ด้วยประสบการณ์ที่ทำงานกับเขามาหลายปี สายตาที่คมกริบของอายะนั้นสามารถจ้องมองทะลุผ่านรอยยิ้มฝืน ๆ ของเซย์จิได้อย่างดาย แต่ด้วยท่าทีที่กำลังพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นนั้นอย่างชัดเจน เธอก็เลือกที่จะไม่ซักถามเพิ่มเติม

        “สนใจออกไปเดินคุยข้างนอกที่ไม่มีคนแทนไหม?”

        อายะยื่นข้อเสนอให้กับเซย์จิหลังจากที่เธอมองดูรอบ ๆ แล้วก็สังเกตเห็นสายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้องมาทางเธอกับคู่สนทนาจนเริ่มรู้สึกอึดอัด

        “แบบนั้นได้ก็ดีครับ”

        เซย์จิตอบกลับ แล้วก็เริ่มออกเดินไปพร้อม ๆ กับอายะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด