บทละครของคนหลังฉาก 2.6

Now you are reading บทละครของคนหลังฉาก Chapter 2.6 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        หลังจากนั้นไม่นาน ทั้ง 2 คนเดินมาจนถึงตัวอาคาร และหลังจากที่เดินไปตามระเบียงภายในสักพัก พวกเขาก็มายืนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องทำงานของอากิโตะ

        ก๊อก ก๊อก

        เซย์จิเคาะประตูไม้ด้วยความแรงพอตัว เป็นผลให้เสียงการเคาะนั้นออกไปทางหยาบกร้านมากกว่าที่จะเป็นเสียงเคาะที่ระดับที่พอสุภาพเรียบร้อย

        “อากิโตะครับ ผมเอง เปิดประตูหน่อยครับ”

        “เอ่อ…”

        เสียงอู้อี้ของอากิโตะที่เหมือนกับว่าถูกพูดมาจากจุดที่อยู่ห่างไกลออกไปจากเบื้องหลังบานประตูปิดอยู่ดังตอบกลับมา

        “เปิดเข้-…มาได้เล-.. เร็วหน่อยก็ดีนะ”

        เซย์จิที่พอจับใจความได้ก็ลองบิดลูกบิดของบานประตูหลังจากที่ได้ยินเพื่อนของเขาพูดเช่นนั้น แต่ไม่ว่าเขาจะใส่แรงแค่ไหน มันก็ไม่มีวี่แววที่ลูกบิดจะหมุน หรือบานประตูจะเปิดออกแม้แต่น้อย

        “ประตูล็อกอยู่ครับ อากิโตะ ช่วยมาปลดล็อกให้หน่อยครับ”

        “อ่า ฮินะ เธอว่าเธ-…เดินอ้อ-…ไปเปิ-…ได้ไหมน่ะ?”

        “ฉันว่าด้ว-…สถา-..การณ์แบบนี้ คงจะไม่…ค่ะ…”

        ““ฟ่อ!!””

        เสียงการคุยปรึกษากันที่ฟังดูอู้อี้ของทั้ง 2 คนในห้องนั้นถูกกลบและแทรกด้วยเสียงที่เหมือนกับการกระแทกหรือเสียงคำรามขู่ของสัตว์อยู่เรื่อย ๆ ทำให้การจับใจความนั้นยากยิ่งกว่าเดิม

        “ข้างในนั้นเป็นอะไรไหมครับ อากิโตะ?”

        โครม!

        “ก็… พอไห…นะ แต่ไ…คนเข้า…ช่วยหน่อ…ก็…ไม่เล…”

        “หมอนั่นกำลังสู้กับสัตว์ป่าอยู่ในห้องรีไงเนี่ย?”

        อายะที่ไม่ได้พูดอะไรมาสักพักเป็นฝ่ายพูดบ้างด้วยหน้าตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ที่อีกใจหนึ่งก็กำลังรู้สึกว่าตัวเธอนั้นไม่อยากจะรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดอยู่ภายในห้องเท่าไหร่

        “เอ่อ แต่ประตูมันยังล็อกอยู่นะครับ อากิโตะ จะให้ผมเข้าไปยังไงล่ะเนี่ย?”

        “ก็ช่างหัวลูกบิดมัน แล้วก็รีบ ๆ สะเดาะกลอนเปิดประตูเข้ามาได้แล้ว!!”

        อากิโตะลั่นตระโกนอย่างเสียงดังออกมาจากภายในห้อง

        “งั้นก็ไม่เกรงใจแล้วนะครับ”

        เซย์จิใช้มือซ้ายล้วงหยิบกล่องเครื่องมือขนาดเท่ากล่องไขควงแบบพกพาออกมาจากช่องกระเป๋าในเสื้อแลปโค้ทที่เขาพาดพักเอาไว้บนแขนขวา แล้วก็เปิดมันออกเพื่อหยิบแท่งเหล็กชิ้นหนึ่งที่มีรูปทรงแบนยาวที่มีส่วนปลายโค้งงอเป็นเหมือนตะขอ กับแท่งเหล็กที่ชิ้นถูกงอเป็นรูปตัว L ออกมา

        “มานี่ ฉันช่วยถือ”

        “อ่ะ ขอบคุณครับ” 

        อายะยื่นมือเข้าไปช่วยถือกล่องเครื่องมือกับแลปโค้ทของเซย์จิ เพื่อให้เขาทำงานได้สะดวก

        และหลังจากที่ไม่ต้องถืออะไรแล้ว เซย์จิก็เริ่มการสะเดาะกลอนประตูตรงหน้าเขาได้อย่างคล่องแคล้วว่องไว และในไม่ช้ามีก็เสียงคลิกของกลอนประตูที่ถูกปลดออกดังขึ้น

        “เข้าไปล่ะนะครับ”

        “รบกวนด้วยค่ะ”

        และเซย์จิก็ผลักบานประตูเข้าไปด้านใน เพื่อให้เขากับอายะสามารถเข้าไปภายในห้องได้

        “เอ่อ…”

        “อะไรเนี่ย…?”

        “สวัสดีค่ะ คุณอันโด แล้วก็ยินดีที่ได้เจออีกครั้งนะคะ เซย์จิ”

        “กว่าจะเปิดเข้ามาได้นะ… อ้อ แล้วก็สวัสดี อันโด”

        ฮินะและอากิโตะกล่าวทักทายเซย์จิกับอายะด้วยท่าทีที่เหมือนกับว่าทุกอย่างนั้นปกติสุขดี ซึ่งในความจริงนั้น สภาพภายในห้องทำงานแห่งนี้ในตอนนี้นั้น มันก็ห่างไกลจากคำว่า ‘ปกติสุข’ เป็นอย่างมาก ชนิดที่ว่าสามารถสร้างสนามบินภายในพื้นที่ว่างระหว่างทั้ง 2 คำได้เลย

        อากิโตะนั้นกำลังยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของห้องทำงาน และกำลังใช้ตัวของเขาเองเป็นโล่กำบังให้กับฮินะที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา 

        มือทั้ง 2 ข้างของเขานั้นก็กำลังถือขวดสเปรย์ฉีดน้ำชี้ที่ตรงไปข้างหน้า โดยที่นิ้วชี้ทั้ง 2 ข้างนั้นก็อยู่บนไกฉีดน้ำราวกับว่าพวกมันนั้นเป็นปืนพก

        ขวดสเปรย์ทั้ง 2 นั้นกำลังถูกถือชี้ตรงไปยังโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้อง ที่ถ้ามองจากจุดที่เซย์จิกับอายะยืนอยู่ก็จะอยู่ทางซ้ายมือ

        บนเบาะผ้าของโซฟาที่ถูกกางออกมาเป็นเตียงนั้นก็มีหญิงสาวฝาแฝดที่มีสีผมแตกต่างกันในชุดเดรสวันพีชกำลัง ‘ยืน’ แบบเคียงบ่าเคียงไหล่ใกล้ชิดกันอยู่

        ดวงตาของพวกเธอทั้ง 2 คนนั้นลืมเปิดอยู่อย่างเต็มที่ เผยให้เห็นนัยน์ตากลมโตที่มีสีสันที่แตกต่างกันไปอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับเส้นผมของพวกเธอ โดยที่คนผมสีขาวนั้นมีนัยน์ตาสีทองสว่างราวกับแสงดวงตะวันบนฟากฟ้า ในขณะที่คนผมสีดำนั้นมีนัยน์ตาสีดำเฉกเช่นแสงจันทร์ยามค่ำคืน

        การลืมตาตื่นของพวกเธอทั้ง 2 คนนั้นก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนหลังฉากที่ช่วยพวกเธอออกมา เพราะในที่สุด พวกเขาก็จะได้สอบถามถึงเกี่ยวกับพวกเธอโดยตรงเสียที หรืออย่างน้อยก็ควรจะเป็นเช่นนั้น

        แทนที่จะอยู่อริยาบถของมนุษย์ เธอทั้ง 2 คนนั้นกำลัง ‘ยืน’ อยู่ในท่าย่อตัวต่ำโดยที่แขนและขาของพวกเธอนั้นติดอยู่กับพื้น ราวกับสัตว์นักล่า 4 เท้าที่พร้อมจะกระโจนจู่โจมใส่เป้าหมายในทุกเมื่อ

        “ฟ่อ!!”

        “กรอด…”

        เสียงที่ออกมาจากปากของพวกเธอนั้น มันไม่ใช่เสียงคำพูดคำจาของมนุษย์แต่อย่างใด แต่ก็การขู่เตือนและการคุกคามของสัตว์ป่าตามสัญชาตญาณอย่างชัดเจน

        “รีบ ๆ เข้ามา แล้วก็ปิดประตูได้แล้ว”

        อากิโตะที่ยังคงเล็งขวดสเปรย์ฉีดน้ำในมือทั้ง 2 ข้างของเขาตรงไปยังหญิงสาวฝาแฝดหันไปพูดกับเซย์จิที่ยังคงยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงประตู

        ในจังหวะนั้นเอง ฝาแฝดทั้ง 2 คนที่เห็นอากิโตะเบนสายตาออกไปก็กระโจนจากบนเบาะนั่งแล้วพุ่งไปทางเขาอย่างพร้อมเพรียง

        ““แฮ่!!!””

        ฉีด ฉีด

        ““แง้ว!!””

        ด้วยการฉีดละอองน้ำออกมาใส่พวกเธออย่างถูกจังหวะ การจู่โจมของฝาแฝดก็ถูกทำให้เสียจังหวะไป จนทำให้พวกเธอต้องกระโดดกลับขึ้นไปอยู่บนโซฟาในท่าก้มตัวติดพื้นอีกครั้ง

        “มัวรออะไรอยู่ล่ะ เซย์จิ? เข้ามาช่วยกันหน่อยสิ!”

        อากิโตะกล่าวเน้นย้ำอีกครั้งอย่างร้อนรน ซึ่งนั่นก็ทำให้เซย์จิต้องคิดทบทวนกับตัวเองอีกครั้ง

        ในตอนนี้เพื่อนสนิทของเขา 2 คน อากิโตะกับฮินะ กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย

        แต่ในมุมหนึ่ง สถานการณ์ตรงหน้านั้น มันก็ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าปกติสุขแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่สนามบินเลย เอาท่าอากาศยานนานาชาติมาตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของความห่างระหว่างคำทั้ง 2 ก็ยังได้

        และหลังจากที่เขาลองนึกถึงความลำบากทั้งหลายที่เขาได้เผชิญผ่านมาพร้อม ๆ กับทั้ง 2 คนแล้วนั้น…

        เซย์จิใช้แขนขวากั้นอายะไม่ให้ล้ำหน้าออกไป

        “ถอยไปหน่อยครับ อายะ”

        “อะ อืม…”

        อายะมีท่าทีสะดุดและหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกเช่นนั้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

        “อากิโตะครับ”

        เซย์จิที่มั่นใจแล้วว่าอายะนั้นอยู่ในที่ปลอดภัยก็หันกลับไปมองเพื่อนของเขาแบบตาต่อตา

        “วันนี้นี่ ผมว่าผมใช้โควตาเจ็บตัวครบแล้วแหละนะ”

        แล้วเขาก็ดึงประตูกลับมาปิด แล้วก็ขังอากิโตะกับฮินะไว้ภายในห้องกับฝาแฝดทั้ง 2 คน

        อา… มิดตะพาบ สิ่งที่อยู่เหนือกว่าของที่หาได้ตามท้องถนนทั่วไปอย่าง มิตรภาพ เป็นอะไรที่สวยงามและไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทนได้จริง ๆ

        “ไอ้บ้าเซย์จิ!!!!!”

         อากิโตะตระโกนปนใส่คำด่าอยู่อีกหลายชุดไปยังบานประตูที่ถูกปิด แต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา

        “เอายังไงต่อดีล่ะคะทีนี้?”

        “ก็คงต้องหาวิธีทำให้ 2 แฝดนี้สงบลงให้ได้ก่อนแหละนะ หวังว่าทางนี้จะไม่ต้องใช้อะไรที่รุนแรงกว่าสเปรย์ฉีดน้ำ- เหวอ!!”

        ““แฮ่!!!!””

        ในจังหวะที่อากิโตะละสมาธิไปเล็กน้อยเพื่อประเมิณสถานการณ์ สัตว์ร้ายในร่างมนุษย์ฝาแฝดทั้ง 2 ก็กระโดดจู่โจมใส่เขาอีกครั้ง

        ร่างกายของพวกเธอทั้ง 2 เข้าปะทะกับอากิโตะอย่างจัง เป็นผลให้เขาสูญเสียการควบคุมสมดุลของร่างกายจนไม่สามารถยืนตัวตรงอยู่ได้ และก็เริ่มล้มตัวลงบนพื้นห้อง

        แต่ในจังหวะสุดท้ายก่อนที่จะเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์ อากิโตะก็พยายามบิดลำตัวของเขาให้เอนเอียงออกไปอีกทาง เพื่อให้วิถีการล้มของเขานั้นพ้นจากฮินะที่ยืนหลบอยู่เบื้องหลัง

        “อั๊ก!!”

        เขาหลุดเสียงครางออกมาอย่างเจ็บปวดหลังจากที่ล้มลงตัวเอาแผ่นหลังลงกระแทกบนพื้นอย่างจัง

        “ปะ- เป็นอะไรไหมคะ?”

        ฮินะที่ตกใจกับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพูดถามอย่างสะดุดขัดออกมา ก่อนที่ตัวเธอเองก็ต้องขยับถอยหลังไปอีก 2-3 ก้าว เมื่อ 2 ฝาแฝดเดิน 4 ขาเข้ามาหาร่างของอากิโตะที่กำลังนอนเจ็บอยู่บนพื้น

        “ฟ่อ…”

        “กรอด…”

        สัตว์ป่าในร่างมนุษย์ทั้ง 2 ก็กระโดดขึ้นคร่อมร่างของอากิโตะ แล้วก็กดเขาไว้กับพื้นคอนกรีตของห้อง โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาลุกขึ้นยืนหรือทำการโต้ตอบใด ๆ แล้วก็จัดร่างกายของเขาให้อยู่ในสภาพราวกับว่ากำลังถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนโดยที่ยังคงนอนราบหลังติดอยู่กับพื้น

        ด้วยการพยายามดิ้นและสลัดพวกเธอให้ลงไปจากร่างของเขาของอากิโตะ ทำให้พวกเธอทั้ง 2 คนต้องเบียดเสียดร่างกายของพวกเธอลงมาประกบติดบนร่างกายของเขาเพื่อเพิ่มความแน่นหนาของการตราตรึง เป็นผลให้ร่างกายของทั้ง 2 ฝั่งต้องสัมผัสกันในหลาย ๆ จุดอย่างเลี่ยงไม่ได้

        อนึ่ง ก็ต้องขอบอกกล่าวเอาไว้ก่อนว่า อากิโตะนั้นเคยได้สัมผัสกับร่างกายพวกเธอมาก่อนแล้ว ในตอนที่ช่วยพวกเธอออกมาจากกล่องภายในอุโมงค์ กับตอนที่พากลับมายังห้องทำงานแห่งนี้ แต่สัมผัสที่เขารู้สึกได้ในตอนนั้นที่พวกเธอกำลังหลับใหล กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้นั้น ก็มันก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน

        ท่อนแขนและขาที่เรียวยาวของพวกเธอที่กำลังออกแรงกดลงบนร่างกายของอากิโตะนั้นให้ความรู้สึกที่อ่อนนุ่มและเต่งตึงอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน

        ในขณะเดียวกัน เนินอกขนาดมหึมาเกินกว่าที่มือจะจับได้ทั้ง 2 คู่ของพวกเธอก็กำลังเบียดเสียดลงบนร่างกายของเขาด้วยพื้นที่ผิวสัมผัสจำนวนมหาศาล ราวกับว่าพวกมันกำลังกลืนกินเขาเข้าไปทั้งเป็นโดยใช้สัมผัสอันแสนนุ่มนิ่มเกินกว่าที่จะอธิบายหรือต้านทานได้

        และถึงแม้ว่าบั้นท้ายที่โค้งงอนและต้นขาอ่อนที่สมบูรณ์อวบอิ่มของพวกเธอนั้นกับตัวเขาก็กำลังชี้โด่งขึ้นฟ้า ทำให้ส่วนหน้าท้องตรงที่ไร้ส่วนเกินตั้งแต่บริเวณเอวที่เรียวบางจนลงไปถึงสะโพกที่ผายกว้างออกของพวกเธอนั้นจะไม่ได้กำลังสัมผัสกับตัวเขา

        เพียงแค่ได้เห็นความโค้งที่ดูอัดแน่นอย่างเต็มเปี่ยม และความเว้าสวยที่ดูบอบบางอย่างถูกต้องในทุก ๆ จุดแล้วนั้น มันก็ทำให้การนึกความรู้สึกเมื่อได้สัมผัสกับพวกมันนั้นเป็นอะไรที่เกินกว่าที่จะจินตการถึงได้

        เรียกได้ว่าร่างกายของพวกเธอนั้นที่ได้แจ็คพอตทางพันธุกรรมมาอย่างครบถ้วน และผ่านการเติบโตมาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนั่นก็ทำให้อากิโตะต้องตกอยู่ในสภาพอึ้งและตกตะลึงจนถึงกับต้องตั้งคำถามกับตัวเอง

        ‘มันเป็นไปได้จริง ๆ รึ ที่ร่างกายของมนุษย์นั้นจะสามารถเติบโตได้ถึงเพียงนี้?’

        ถ้าหากว่าในตอนนี้นั้นเขาไม่ได้กำลังสัมผัสและจ้องมองร่างกายของหญิงสาวทั้ง 2 คนที่อยู่ เขาก็คงไม่สามารถนึกฝันถึงความเป็นไปของร่างกายมนุษย์ในระดับนี้เป็นแน่

        “ฉันจะช่วยยังไงดีคะเนี่ย…”

        ฮินะที่ทำได้แต่เพียงยืนดูอยู่ห่าง ๆ โดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เริ่มมองไปรอบ ๆ ตัวเธออย่างลนลานเพื่อหาวิธีช่วยเหลือเพื่อนของเธอ แต่สิ่งที่อยู่ในระยะที่เธอเอื้อมถึงนั้น ก็มีเพียงสมุดโน้ต 2 เล่มที่อากิโตะนำกลับมา และวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะทำงานข้าง ๆ

        ‘ฉันอาจจะใช้สมุดพวกนี้ปัดไล่พวกเธอทั้ง 2 คนได้ไหมเนี่ย…?’

        ฮินะที่หยิบสมุดโน้ตทั้ง 2 เล่มขึ้นมาถือไว้ในมือครุ่งคิดกับตัวเองอย่างเคร่งเครียด

        ‘อา สภาพดูไม่จืดเลยแฮะ… ช่วยไม่ได้ นี่ คุณพี่สาว’

        ‘หือ?’

        ในขณะเดียวกันนั้นเอง อากิโตะที่ยังคงไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ก็กำลังถูกหญิงสาวทั้ง 2 คนที่อยู่บนร่างของเขาก้มหน้าลงมาจดจ้องมองตรงเข้าไปภายในนัยน์ตาของเขาที่ระยะประชิด ชนิดที่หน้าผากของเขากับของพวกเธอนั้นเกือบจะสัมผัสติดกัน ทำให้เขาสามารถเห็นใบหน้าของพวกเธออย่างชัดเจน

        ใบหน้าที่ดูสงบเสงี่ยมยามหลับใหลของเหล่าเจ้าหญิงนิทรานั้นถูกแทนที่ด้วยแววตาของสัตว์ร้ายที่ดิบเถื่อน แต่ก็ดูงดงามและน่าเกรงขามไปพร้อม ๆ กัน

        ในขณะเดียวกัน ความสวยงามโดยธรรมชาติอื่น ๆ บนใบหน้าของพวกเธอ อย่างเช่น ขนตาที่เรียวยาว กับริมฝีปากที่ดูอวบอิ่มที่ทั้ง 2 คนมีเหมือนกันก็ทำให้เป็นการยากที่จะละสายตาไปได้หลังจากที่ได้จดจ้องมอง

        และพอบวกปัจจัยเหล่านี้เข้ากับแรงมหาศาลของพวกเธอที่กดลงบนตัวของอากิโตะ มันก็ทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ และต้องอยู่ในสภาพที่เป็นเพียงเหยื่อที่ถูกล่าเช่นนี้

        การดิ้นรนขัดขืนอย่างไม่เป็นผลนั้นก็ยิ่งทำให้เขาอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ซึ่งในขณะเดียวกัน มันก็ช่วยเพิ่มเสริมความมั่นใจให้กับสัตว์นักล่าทั้ง 2 ไปพร้อม ๆ กัน

        ซึ่งในไม่ช้า อากิโตะก็จะหมดซึ่งแรงจะขัดขืน แล้วก็ต้องปล่อยให้ร่างกายของเขาต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เขาไม่สามารถสู้กลับได้…

 

        คิดว่าคนหลังฉากจะยอมแบบนั้นจริง ๆ หรือ?

 

        อากิโตะที่แขนทั้ง 2 ข้างโดนกดอยู่บนพื้นในท่าตรึงกางเขนก็พลิกข้อมือทั้ง 2 ข้างของเขาเข้าหากัน แล้วก็เล็งขวดสเปรย์ทั้ง 2 ที่ยังคงอยู่ในมือเขาเข้าที่ใบหน้าของหญิงสาวทั้ง 2 คนที่ยืน 4 ขาทับอยู่บนร่างของเขา แล้วก็กดฉีกไกของขวดสเปรย์ทั้ง 2 อย่างพร้อมเพรียง

        ““แง้ว!!””

        ละอองน้ำที่ถูกฉีดออกมาอย่างกะทันหันก็ทำให้สัตว์ร้ายทั้ง 2 ตื่นตกในจนต้องผละตัวถอยออกห่างไปจากใบหน้าของเขา ทำให้มีช่วงในการขยับตัวมากขึ้นเล็กน้อย

        ‘โอเค พอมีช่องแล้ว อุก…’

        บั้นท้ายกับขาอ่อนของพวกเธอกระแทกลงบนลำตัวของอากิโตะอย่างพร้อมเพรียง ทำให้เขาได้สัมผัสกับนุ่มนิ่มแบบอัดแน่นเต็มพิกัดที่แตกต่างไปจากสัมผัสที่ราวกับจะดูดกลืนเขาเข้าไปของหน้าอกขนาดมหึมาของพวกเธออย่างชัดเจน

        แต่นอกเหนือจากความจุกเสียดจากการโดนอัดกระแทกแล้ว การทิ้งน้ำหนักลงไปเบื้องหลังเช่นนั้นของพวกเธอก็ทำให้อากิโตะนั้นสามารถขยับตัวได้มากขึ้น ทำให้สถานการณ์โดยรวมไม่เลวร้ายเท่าก่อนหน้านี้นัก 

        ‘ไปทำอีท่าไหนมา ถึงโตได้ทุกจุดแบบนี้เน- ไม่! คิดเรื่องจะสลัดให้หลุดก่อน’

        มีคนเกือบจะสมาธิหลุดหนึ่งราย

        ‘โอเค ถ้าฉีดน้ำใส่ได้อีกที พวกเธอก็น่าจะกระโดดหนีออกไป แล้วก็น่าจะมีช่องให้ทางนี้มากพอ และก็น่าจะพาฮินะหนีออกจากห้องได้…’

        อากิโตะเหลือบไปมองฮินะยังคงยืนนิ่ง และตาจับจ้องตรงไปยังสมุดโน้ตทั้ง 2 โดยไม่มีการกะพริบ

        ‘ถ้าถึงตอนนั้น ก็หวังว่าเธอจะยอมวิ่งออกไปนะ แล้วหลังจากนั้น… ก็ค่อยว่ากัน’

        เขาก้มลงไปมองสิ่งที่เขาคาดแนบไว้ที่เอวอย่างไม่สบอารมณ์นัก

        แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงมือตามแผนการที่วางอย่างรวดเร็วนั้น ฝาแฝดที่นั่งอยู่บนตัวเขาก็ใช้มือของพวกเธอที่งอนิ้วจนดูเหมือนอุ้งเท้าตบขวดสเปรย์ในมือทั้ง 2 ข้างของเขาให้หลุดกระเด็นกระดอนออกไปในคนละทิศคนละทางกัน

        ‘อ่ะ ซวยล่ะ ทำไมแรงเยอะขนาดนี้เนี่ย’

        จากนั้น พวกเธอทั้ง 2 คนก็หันหน้ามองลงไปยังอากิโตะที่ยังคงนอนราบอยู่ภายใต้การนั่งคร่อมของพวกเธอด้วยสายตาอาฆาตอย่างชัดเจน

        “Well… Shi-”

        ““แฮ่!!!!!!!””

        ยังไม่ทันได้จะสบถเสร็จ พวกเธอทั้ง 2 ก็เริ่มโจมตีด้วยการใช้เล็บมือของพวกเธอข่วนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของอากิโตะนับครั้งไม่ถ้วนด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ 

        “อ๊ากกก เจ็บ ๆ ๆ  ๆ ๆ ไอ้บ้ามิคิจิ เซย์จิ ถ้าทางนี้รอดไปได้ แกเจอดีแน่ อ๊ากกกกกกก”

        ในขณะที่เรื่องทั้งหมดนั้นกำลังเกิดขึ้น ฮินะที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ต่อท่าทีหรือเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของอากิโตะแม้แต่น้อย

        เธอยืนนิ่งไม่มีการขยับไหว พร้อม ๆ กับส่งสายตาจับจ้องไปยังสมุดโน้ตทั้ง 2 เล่มในมืออย่างแน่นิ่ง ว่างเปล่า ไร้ซึ่งการกะพริบ ราวกับกาลเวลาและการดำเนินรอบ ๆ ตัวเธอนั้นหยุดนิ่งลง

        “มอบให้…”

        เธอกล่าวพูดพึมพำด้วยเสียงที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา แตกต่างจากที่ผ่านมา

        “มอบให้พวกเธอ…”

        เธอเริ่มออกเดินอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใย แล้วก็มาหยุดยืนตรงอยู่ในบริเวณเหนือศีรษะของอากิโตะที่กำลังโดนหญิงสาวฝาแฝดจิกข่วนอย่างไร้ซึ่งความปราณี

        ““แง้ว?””

        การเดินมาถึงด้วยฝีเท้าที่ไร้ซึ่งเสียงและไร้ซึ่งชีวิตของฮินะนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้กับคู่ฝาแฝดไม่น้อย และก็เป็นผลให้พวกเธอต้องหยุดการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ลง

        “หือ…”

        อากิโตะที่เคยตกอยู่ภายใต้การโจมตีอย่างหนักหน่วงอย่างไม่หยุดหย่อนเงยหน้าขึ้นเมื่อความสงบที่เขาไม่เคยคาดฝันมาถึงมาเยือน

        “ฮินะ!? มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย? ถอยไป!!”

        เขาตระโกนบอกฮินะด้วยเสียงที่แตกตื่นอย่างชัดเจนเมื่อเห็นเธอยืนอยู่เหนือศีรษะของเขา แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ ออกมาจากเธอ ราวกับว่าเสียงของเขานั้นไม่สามารถส่งไปถึงได้

        ““แฮ่!!!!””

        สัตว์ร้ายทั้ง 2 ที่ถูกคุกคามพื้นที่เข้ามาก็แยกเขี้ยวพร้อมส่งเสียงคำรามขู่ใส่ผู้ไม่พึงประสงค์อีกคน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ฮินะนั้นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ออกมา ราวกับว่าเธอไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ โดยรอบได้

        “บ้าเอ๊ย”

        อากิโตะที่ไม่สามารถเรียกความสนใจหรือทำให้ฮินะถอยห่างออกไปได้สบถออกมาอย่างหัวเสีย

        เขารู้สึกได้ถึงแรงที่กดลงบนตัวเขาที่กำลังเพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณเตือนว่า ทั้ง 2 คนที่คร่อมอยู่บนตัวเขานั้นก็กำลังเก็บรวบรวมแรง เพื่อที่จะกระโจนใส่ฮินะ

        เมื่อเวลาสำหรับการตัดสินใจและการลงมือทำลดลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับเข็มวินาทีที่เคลื่อนที่ไปอย่างไม่หยุดหย่อน อากิโตะก็ตัดสินใจใช้มือซ้ายเอื้อมลงไปยังสิ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ในซองที่คาดอยู่ที่เอวของเขา

        ‘ไม่อยากให้ลงเอยแบบนี้เลย แต่ก็เอาฟะ’

        เขาใช้นิ้วโป้งดีดสายล็อกที่ปิดทางเข้าออกของซองใส่ออก จากนั้นก็ใช้มือจับด้ามโลหะที่ถูกประกบด้วยแผ่นไม้อย่างเต็มไม้เต็มมือ แล้วก็ดึงสิ่งที่บรรจุอยู่ในซองออกมาอย่างรวดเร็ว

        มันคือปืนพกแบบ M1911 ที่อยู่ในสภาพบรรจุกระสุนและขึ้นลำแล้ว เหลือเพียงแค่ปลดเซฟตี้ด้วยนิ้วโป้ง มันก็พร้อมจะลั่นไกในทันที

        ‘อย่าถือสากันเลยนะ’

        ถ้าไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากจะต้องพรากชีวิตของใครหรืออะไรโดยไม่จำเป็น แต่ในสถานการณ์นี้ ถ้าหากว่าฮินะโดนทำร้ายแบบที่เขาเพิ่งโดนไปล่ะก็ มันอาจจะเป็นอะไรที่เจ็บสาหัสมากเกินกว่าที่เธอจะทนได้เป็นแน่ ซึ่งตัวเขานั้นก็จะไม่ยอมเสี่ยงเช่นนั้นโดยเด็ดขาด

        กริ๊ก

        เซฟตี้ที่ถูกปรับแต่งให้ใช้งานได้จากทั้ง 2 ข้างของปืนพกโลหะในมือของเขาถูกปลดลง และนิ้วชี้ที่เคยอยู่นอกโกร่งไกก็เข้าไปประจำที่อยู่บนไกปืน

        ที่ระยะเผาขนเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ศูนย์เล็งแต่อย่างใด ขอแค่หันลำกล้องไปให้ถูกทางแล้วเหนี่ยวไก กระสุนก็คงถูกเป้าแน่ ๆ แต่ถึงแบบนั้น…

        ‘ชิ เกลียดความโลเลของตัวเองชะมัดเลย’

        ในวินาทีสุดท้าย แทนที่จะหันปากลำกล้องของอาวุธในมือเขาใส่ทั้ง 2 คนตรงหน้า ที่โดยหลักการแล้ว นอกจากการพยายามในการป้องกันตัวเองแล้ว ก็ยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย อากิโตะก็เลือกที่จะหันปากลำกล้องปืนพกในมือของเขาไปทางอื่นที่ไม่มีคนแทน

        ‘หวังว่าเสียงจากกระสุน .45 ACP นี่ มันจะดังพอทำให้พวกเธอตกใจแล้วถอยหนีไปนะ’

        แต่ก่อนที่เขาจะเหนี่ยวไก เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

        ‘แรงที่กดลงบนตัวของทางนี้เบาลงแล้ว’

        ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เสียงขู่และคำรามของพวกเธอก็หายไปด้วย

        ‘เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?’

        เขาเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง แล้วก็ต้องเป็นอันงงกับภาพที่เห็น

        ฮินะที่ยืนนิ่งอย่างไร้ซึ่งอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ ยื่นสมุดโน้ตทั้ง 2 เล่มให้กับฝาแฝดตรงหน้าของเธอ โดยที่ยื่นเล่มที่มีปกสีดำกับสันห่วงสีเงินให้กับแฝดคนที่เส้นผมสีดำและมีดวงตาสีเงิน ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยื่นเล่มที่มีปกสีขาวกับสันห่วงสีทองให้แฝดคนที่มีผมสีขาวกับดวงตาสีทอง

        เป็นชั่วครู่หนึ่งที่ภายในห้องนั้นไม่มีเสียงหรือความเคลื่อนไหวใด ๆ เลย ราวกับว่ามีแรงหรือพลังบางอย่างมาตราตรึงทุกสิ่งให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้

        ฟุดฟิด

        ฝาแฝดทั้ง 2 ที่ท่าทางดูสงบเสงี่ยมลง ขยับหน้าเข้าไปใกล้สมุดโน้ตเหล่านั้น แล้วก็ใช้จมูกสูดดมพวกมัน 2-3 ทีก่อนที่จะยื่นมือไปรับพวกมันไปจากมือของฮินะ แล้วก็ก้าวลงจากตัวของอากิโตะแต่โดยดี

        “เอ๊ะ!?”

        ฮินะแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา หลังจากสมุดทั้ง 2 เล่มถูกหยิบไปจามือเธอไปแล้ว

        “เกิดอะไรขึ้นคะ? เอ๊ะ คุณจัดการพวกเธอได้แล้วรึคะ? เป็นอะไรมากไหมคะ อากิโตะ?”

        “…”

        อากิโตะที่ยังคงนอนหมดสภาพอยู่บนพื้นนั้น เขาก็ใช้นิ้วดันเซฟตี้ของ 1911 กลับเข้าที่ แล้วก็เก็บมันกลับเข้าไปในซองเก็บที่เอวของเขา

        “ก็ไม่รู้สินะ”

        ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์หรือเรี่ยวแรงใด ๆ เหลือจะประมวลผลสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว

 

จากผู้เขียน:

        กล่าวสวัสดีอีกครั้งครับ

ก็จบกันไปแล้วนะครับกับตอนที่ 2 ของนิยายเรื่องนี้ หวังว่าทุก ๆ ท่านจะยังคงมีความสนใจเรื่องนี้อยู่นะครับ

ในตอนที่ 2 นั้น เนื้อหาโดยรวมคือการอธิบายถึงเซ็ตติ้งต่างในเรื่องเรื่องนี้ เลยทำให้มีหลาย ๆ ส่วนที่เรื่องราวดำเนินไปด้วยการอธิบายสิ่งต่าง ๆ มากกว่าจะเป็นการเกิดขึ้นของเหตุการณ์น่ะนะครับ

แค่หลังจากนี้ ตั้งแต่ตอนที่ 3 เป็นต้นไป ก็จะเป็นการเน้นการเล่าเรื่องด้วยการดำเนินเหตุการณ์มากกว่าการอธิบายแล้ว 

แปลว่าหลังจากนี้ เรื่องราวของแต่ละคนในเรื่องนี้ก็จะได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริง ๆ จัง ๆ กันเสียที! (หลังจากที่ผ่านมาเป็น 10 ตอน)

ฉะนั้นก็คงต้องฝากทุกท่านติดตามด้วยนะครับ

และก็หวังว่าพวกท่านจะเพลิดเพลินไปกับการอ่านเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้นะครับ

-Geoffig-
23 July 2022

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด