บทละครของคนหลังฉาก 1.3

Now you are reading บทละครของคนหลังฉาก Chapter 1.3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ว่าไปแล้ว…”

        หลังจากที่ไม่ได้ยินคำพูดใด ๆ จากเขามาระยะหนึ่ง เซย์จิที่เลิกพยายามจะกลั้นเสียงหัวเราะอย่างเปล่าประโยชน์ก็กล่าวทักขึ้น

        “หลังจากที่คุณใช้ ‘ภูติ’ ของคุณในการสังเกตการณ์ดูพวกนั้นมาสักระยะแล้ว มีข้อมูลอะไรของกลุ่ม ‘ผู้มาเยือน’ ที่ต่างไปจากในรายงานสรุปที่พวกผมควรรู้ไหมครับ ฮินะ?”

        โทนเสียงของเขานั้นยังคงไว้ซึ่งความเป็นมิตรที่ง่ายต่อการหลงเชื่อ แต่ยากที่จะไว้ใจเมื่อกล่าวถาม

        ฮินะที่เข้าใจความหมายของคำถามที่ฟังดูกำกวมของเซย์จิก็ไม่รีรอใด ๆ 

        เธอกระแอมเสียง 1 ครั้งก่อนที่จะเริ่มกล่าวรายงานด้วยเสียงใสแก้วแฝงด้วยเสน่ห์เร้นลับที่ยังคงอุบัติขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป

        “ขออนุญาตเริ่มต้นที่การยืนยันเป้าหมายก่อนนะคะ จากการสังเกตการณ์ด้วย ‘ภูติ’ ของฉันในตอนนี้ ณ ที่หมายของพวกคุณ ตรงหน้าบังเกอร์ที่ถูก ‘ทิ้งร้าง’ ของ SEAR มีกลุ่มของ ‘ผู้มาเยือน’ ทั้งสิ้น 5 คนค่ะ” 

        เธอกล่าวรายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยการเรียบเรียงคำพูดอย่างชำนาญแต่ก็ไม่ขาดซึ่งความใส่ใจ

        “ลักษณะภายนอกเป็นเชื้อสายเอเชียทั้งหมด เป็นผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 2 คน โดยที่ผู้นำของกลุ่มคือผู้ชายวัยกลางคนที่ดูมีอายุมากที่สุดในกลุ่มค่ะ ผมสีหงอกขาวไว้หนวดแต่ไม่มีเครา รูปร่างขนาดเท่าคนทั่วไปไม่อ้วนไม่ผอม ส่วนผู้ชายอีก 2 คน คนแรกอายุประมาณ 20 กลาง ๆ ผมตรงสีน้ำตาลเข้มยาวพอประมาณ หุ่นผอมสูงสำหรับคนเอเชีย ส่วนอีกคนอยู่ในช่วงวัย 30 ต้น ๆ ผมดำตัดสั้น มีร่างกายสูงใหญ่กำยำเหมือนร่างกายของทหารที่ฝึกมาค่ะ เน้นอีกครั้งว่าสำหรับคนเชื้อสายเอเชียนะคะ”

        ฮินะหยุดและทิ้งช่วงเล็กน้อยเพื่อให้เวลากับผู้ฟังทั้ง 2 ของเธอทำความเข้าใจกับครึ่งแรกของกลุ่มที่เป็นที่สนใจของคนหลังทั้ง 2 คนที่กำลังฟังอย่างตั้งใจ

        “ส่วนผู้หญิงอีก 2 คนในกลุ่มนะคะ คนแรกก็อาจจะอายุมากกว่าพวกเรานิด ๆ เธอมัดผมสีดำของเธอเก็บด้านหลังอย่างเรียบร้อย ส่วนสูงและรูปร่างของเธอดูค่อนข้างสูงโปร่งสำหรับคนเอเชีย แต่นั่นก็เพราะรองเท้าส้นสูงที่เธอใส่นะคะ ส่วนอีกคน…” 

        ฮินะทิ้งช่วงเล็กน้อยราวกับว่าเธอไม่แน่ใจว่าควรจะพูดข้อมูลส่วนนี้ดีไหม

        “เธอตัดผมสั้นบ๊อบสีดำค่ะ เธอคนนี้นั้นตัวเล็กสุดในกลุ่ม เทียบแล้วก็เตี้ยกว่า ‘ตัวฉัน’ ค่ะ”

        เซย์จิที่จับพิรุธของฮินะได้ก็ไม่ย่อมให้มันถูกปล่อยผ่านโดยไม่ทำอะไร

        “คนสุดท้ายนี่ เป็นเด็กอย่างงั้นรึครับ ฮินะ?”

        เขาสะดุดใจกับรายละเอียดของผู้มาเยือนจากอีกฝ่ายคนสุดท้ายที่ถูกฮินะละไว้แตกต่างจากของคนอื่น กล่าวถามขึ้นอย่างเรียบ ๆ ซึ่งอากิโตะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจที่แฝงอยู่นั้นเหมือนกัน

        “ก็ไม่แน่เหมือนกันค่ะ เธอคนนั้นอาจจะตัวเล็กกว่าฉันตอนม.ปลายเล็กน้อย เลยอาจจะทำให้ดูเด็กกว่าอายุจริง ๆ ก็ได้ค่ะ ยังไม่มีความจำเป็นต้องคิดว่าอีกฝ่ายส่งเด็กมาทำงานสกปรกเช่นนี้หรอกค่ะ”

        ฮินะพยายามเสนอความเป็นไปได้อีกข้อหนึ่งเกี่ยวกับเหล่าผู้คนที่มาจากต่างโลกเพื่อกันไม่ให้บรรยากาศกลายเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนที่จะรายงานรายละเอียดอื่น ๆ ต่อไป

        “ต่อไปเรื่องเครื่องแต่งกายของพวกเขานะคะ ทุกคนสวมชุดที่คล้ายกับการแต่งกายของคนญี่ปุ่นแบบไทโชโรมันค่ะ มีรายละเอียดเล็กน้อยแตกต่างไปบ้าง แต่โดยรวมคือ ผู้นำกลุ่มวัยกลางคนสวมกิโมโนพร้อมเสื้อโค้ทยาว ผู้ชายอีก 2 คนสวมชุดสูทคอตั้งคู่กับผ้าคลุมสีดำ ส่วนผู้หญิงตัวสูงนั้นสวมกิโมโนหลากสีพร้อมกางเกงฮากามะสีเข้มภายใต้ผ้าคลุม ส่วนคนร่างเล็กจะสวมเสื้อฮาโอริสีดำคลุมเสื้อเบลาส์คอตั้งสีขาวกับกางเกงฮากามะสีดำค่ะ และก็แน่นอนว่าทุกคนนั้นสวมหมวกค่ะ”

        “ผู้ชายสวมหมวกกับชุดสูทในศตวรรษที่ 21? ล่อสายตาตายชักเลยนะนั่น?”

        “ผมว่าในโลกที่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ครองโลกใบนี้เนี่ย แค่ผ้าคลุมกับชุดสไตล์ไทโชโรมันน่าจะเด่นแบบเห็นมาแต่ไกลมากกว่าหมวกนะครับ อากิโตะ”

        เซย์จิพูดเหน็บเตือนสติอากิโตะในชุดสูทผู้ที่จ้องเขม็งใส่ประเด็นเล็กน้อยเมื่อพูดถึงชุดสูทจนไม่ได้มองภาพที่ใหญ่และเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด

        “หัวข้อถัดไปนะคะ” 

        ฮินะที่ไม่มีรายละเอียดใด ๆ จะอธิบายเพิ่มในหัวข้อปัจจุบันก็เริ่มชักนำพาการกล่าวรายงานข้อมูลของเธอเข้าสู่บทใหม่อย่างลื่นไหล

        “จุดประสงค์การมาเยือนฝั่งเราของพวกเขานั้น ในตอนนี้ก็ชัดเจนค่ะว่าเป็นการพยายามมา ‘ช่วงชิง’ สิ่งที่เป็นของฝั่งเรากลับไปยังฝั่งของพวกเขาค่ะ”

        “พวกโจรยกเค้าข้ามมิติจริง ๆ สินะ?” 

        “ค่ะ ‘ภูติ’ ที่ฉันใช้สอดแนมพวกเขาอยู่ตอนนี้เห็นพวกเขากำลังขนของบางอย่างในกล่องเคลื่อนย้ายออกมาจากในบังเกอร์ที่อยู่ลึกเข้าในอุโมงค์นี้ที่พวกเขาพังประตูฝ่าเข้าไป ฉะนั้นไม่ผิดแน่นอนค่ะ”

        ฮินะตอบอย่างมั่นใจราวกับว่าเธอกำลัง ‘มองเห็น’ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นด้วยตาของเธอเอง 

        “ถ้าแบบนั้น พวกเราก็คงต้องทำตามที่คุยกันไว้สินะครับ?”

        เซย์จิถามถึงรายละเอียดที่เขากับอากิโตะตกลงกันไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะก้าวเข้ามาในอุโมงค์แห่งนี้

        “อืม ‘เจรจา’ กับพวกนั้นก่อน ถ้าไปได้สวยก็เอาของที่พวกนั้นพยายามขโมยกลับเข้าไปเก็บที่เดิม แล้วพาพวกนั้นขึ้นรถกลับไปคุยกันต่อให้รู้เรื่องที่ฐานน่ะนะ ถ้าอะไรนอกเหนือกว่านั้น ก็แผน 2 ทันที”

        “ดูความรอบคอบของแผน 1 ของพวกเราแล้ว ผมว่าแผน 2 คงไม่จำเป็นแล้วแหละครับ”

        เซย์จิตอบอย่างประชดประชัน ซึ่งอากิโตะก็ไม่ได้มีทีท่าจะใส่ใจอะไร ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ฮินะรับฟังบทสนทนาระหว่างทั้ง 2 คนอยู่นึกถึงรายละเอียดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง

        “พูดถึงการเอาของไปเก็บที่เดิม ตอนนี้น่าจะทำแบบนั้นไม่ได้แล้วค่ะ เพราะภายในบังเกอร์เสียหายอย่างหนักจากการบุกรุกเข้าไปของเหล่าผู้มาเยือน คงต้องเอาของว่านั่นกลับไปที่ฐานด้วยอย่างเดียวแล้วค่ะ”

        หน้าผากที่เคยเรียบเฉยไร้อารมณ์ของอากิโตะนั้นมีเส้นเลือดปูดขึ้นภายใต้กำบังของเส้นผมของเขา

        “เป็นพวกโจรที่ไม่มีมารยาทดีนะ บุกมาขโมยของบ้านคนอื่นแล้วก็ทำลายห้องเก็บของด้วยเนี่ย”

        “ถ้ามีมารยาทเขาคงไม่เป็นโจรแต่แรกแล้วแหละครับ อากิโตะ”

        “ช่วยไม่ได้แหละนะคะ มีเหตุผลหลาย ๆ ข้อเลยที่ทำให้ ‘ความเป็นจริง’ ของพวกเรามันค่อนข้างแตกต่างไปจากที่อื่น ๆ เลยตกเป็นเป้าของการ ‘ช่วงชิง’ หรือ ‘ลักพา’ แบบนี้ตลอด”

        ฮินะถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อพูดถึงความจริงที่แสนหนักใจเกี่ยวกับ ‘ความเป็นจริง’ แห่งนี้

        แต่ถึงจะว่าเช่นนั้น ความจริงที่ว่าใครหรืออะไรในโลกใบนี้ ที่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือว่าเมื่อไหร่ ทุกสิ่งนั้นมีสิทธิ์ถูก ’ลักพา’ หรือ ‘ช่วงชิง’ ไปโดยตัวตนจากต่างโลกก็ยังคงไม่ใช่อะไรที่รู้โดยสาธารณชน

        แน่นนอนว่ามันมีการที่ SEAR คอยส่งหน่วยภาคสนามเพื่อออกไปรับมือและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น แต่โดยส่วนใหญ่นั้นก็จะให้เหตุผลว่าเป็นการ ‘หยุดยั้ง’ ความเสียหายมากกว่า

        แต่ในบางครั้ง สิ่งที่ต้องทำจริง ๆ ก็คือ ‘จัดการ’ กับเหตุเหล่านี้โดยไม่ให้ใครรับรู้มากกว่า ซึ่งคนที่สามารถทำอะไรสกปรกได้โดยที่ SEAR สามารถปัดความรับผิดชอบได้อย่างคนหลังฉากเลยเหมาะสมกว่า

        ถ้าถามว่าทำไม SEAR ถึงต้องทำอะไรเช่นนี้…

        ทำไมต้องพยายามหยุดยั้งการ ‘ลักพา’ หรือ ‘ช่วงชิง’ โดยตัวตนที่สามารถฉีกกฎของอากาศและกาลเวลามาจากโลกใบอื่นขนาดนี้?

        คำตอบที่ควรจะทราบในตอนนี้นั้น ก็คืออะไรที่เรียบง่ายในทำนองของแนวคิดที่ว่า ‘ไม่มีใครชอบโดนขโมยของที่อยู่ในบ้านของตัวเองหรอกนะ’ 

        “ต่อไปก็รายละเอียดเรื่องความสามารถของพวกเขาทั้ง 5 คนนะคะ”

        ฮินะที่หลังจากเว้นช่วงให้ผู้รับฟังทั้ง 2 ถกเถียงกันสักพักก็กลับเข้าสู่การรายงานข้อมูลอย่างแข็งขันแล้วขึ้นหัวข้อถัดไปอย่างไม่รอช้า

        “จากการสังเกตการณ์ ก็ยืนยันค่ะว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงและใช้งาน ‘จินตภาพ’ ได้”

        ‘จินตภาพ’ เป็นเพียงคำสั้น ๆ ที่เรียบง่ายอีกหนึ่งคำที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร แต่มันกลับสามารถดึงดูดความสนใจของอากิโตะกับเซย์จิได้อย่างในทันที

        “พวกนั้นใช้ ‘จินตภาพ’ ได้ระดับเดียวกับเธอที่สามารถใช้สร้างและควบคุม ‘ภูติ’ ที่ใช้สอดส่องสถานที่ต่าง ๆ และติดต่อกับพวกทางนี้จากระยะไกลรึเปล่า?”

        “เท่าที่ฉันสังเกตดูรอบ ๆ ทั้ง 5 คน ขีดความสามารถในการใช้ ‘จินตภาพ’ ของพวกเขายังไม่ถึงขั้นที่จะสามารถรังสรรค์สิ่งอย่าง ‘ภูติ’ ทั้ง 2 ตนที่ฉันกำลังใช้ติดต่อพวกคุณในตอนนี้ หรืออีก 7 ตนที่คอยสอดส่องอยู่รอบ ๆ พวกเขาได้ค่ะ”

        ฮินะตอบคำถามที่มีบริบทลึกลับซับซ้อนยากต่อการเข้าใจของอากิโตะอย่างเรียบง่ายไร้การสะดุดหรือเว้นช่วงเพื่อประมวลความหมายของมันแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นความมั่นใจในความรู้และความเข้าใจต่อบริบทที่ถูกละไว้ของทั้งผู้ถามและผู้ตอบ

        “พวกเขาอาศัยหลักการทำให้ ‘มวลสาร’ ตอบสนองต่อ ‘จินตภาพ’ เพื่อแปรสภาพไปเป็น ‘พลังงาน’ รูปแบบต่าง ๆ ในมวลสารนั้นค่ะ ยกตัวอย่างเช่น แปรเปลี่ยน ‘จินตภาพ’ เป็นพลังงานจลน์ในลูกบอลโลหะแล้วใช้มันเป็นลูกตุ้มในการทุบทำลายสิ่งต่าง ๆ หรือเปลี่ยนไปเป็นพลังงานความร้อนในขดลวดโลหะในลูกแก้วใสเพื่อใช้ส่องสว่างค่ะ”

        ฮินะอธิบายอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนราวกับว่าตัวเธอนั้นยืนสังเกตการณ์อยู่กับกลุ่ม ‘ผู้มาเยือน’ ที่ถูกกล่าวถึงด้วยอีกครั้ง ซึ่งก็อาจจะไม่ไกลจากความจริงเท่าไหร่ เพราะถ้าหากว่าเสียงอุบัติขึ้นในการรับรู้ของคนหลังฉากทั้ง 2 นั้นเป็นผลมาจาก ‘ภูติ’ อยู่ภายใต้การควบคุมของเธอ การที่เธอจะ ‘เห็น’ สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในที่ ๆ ไกลออกไปโดย ‘ภูติ’ อีก 7 ตนที่เธอกล่าวถึงก็ไม่ใช่อะไรที่จะเป็นไปไม่ได้

        “พอคนธรรมดาปกติทั่วไปอย่างผมหรืออากิโตะที่ใช้หรือสัมผัสของอย่าง ‘จินตภาพ’ ไม่ได้แม้แต่น้อย แต่ต้องไปรับมืออะไรแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ ก็เซ็งเหมือนกันนะครับ”

        เซย์จิบ่นกับตัวเอง

        “คนธรรมดาแบบเรา ๆ ใน Back ก็ต้องทำใจแหละนะ ยังไงก็คงต้องโดนโยนไปเผชิญหน้ากับอะไรที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชินแน่ ๆ แบบนี้อยู่เป็นประจำจนกว่าจะตายกันไปข้างแน่ ๆ”

        อากิโตะเสริมอย่างไม่สบอารมณ์ที่ทำให้เซย์จิถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มถามต่อ

        “ขอถามอะไรนิดนะครับ ฮินะ ‘มวลสาร’ ที่พวกเขาสามารถทำให้ตอบสนองต่อ ‘จินตภาพ’ ได้เนี่ย พวกลูกบอลโลหะกับหลอดแก้วนั้นมาจาก ‘ความเป็นจริง’ ฝั่งเรา หรือว่าเป็นของที่เอามาจากฝั่งเขานะครับ?”

        “จากที่สังเกตมา ทั้งหมดนั้นเป็นของที่มาจาก ‘ความเป็นจริง’ ฝั่งของพวกเขาค่ะ พวกเขาไม่สามารถใช้จินตภาพกับมวลสารของฝั่งเราได้ เลยทำให้ต้องใช้การใส่พลังงานจลน์ในลูกบอลโลหะที่นำมาจากฝั่งของพวกเขาเพื่อใช้ทำลายประตูทางเข้าบังเกอร์ แล้วก็เป็นเหตุผลว่าทำไมภายในของบังเกอร์ถึงถูกทำลายค่ะ”

        เซย์จิพยักหน้ากับตัวเองเบา ๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่เหมือนเป็นข่าวดีเล็กน้อยในข่าวร้ายสุด ๆ

        “แปลว่าพวกนั้นไม่สามารถโจมตีใส่พวกผมได้ด้วย ‘จินตภาพ’ โดยตรงสินะครับ?”

        “ถึงจะเป็นคนธรรมดา แต่ร่างกายพวกคุณก็เป็นมวลสารของ ‘ความเป็นจริง’ ฝั่งนี้ และอย่างที่ได้รายงานไป พวกเขาไม่สามารถทำให้มวลสารใน ‘ความเป็นจริง’ ฝั่งนี้ให้ตอบสนองกับ ‘จินตภาพ’ ที่มาจาก ‘ระนาบภพ’ ของพวกเขาได้ค่ะ ฉะนั้นโดยรวมแล้ว พวกคุณก็ปลอดภัยในระดับหนึ่งเลยค่ะ”

        “แต่ก็ยังเหลืออันตรายจากการโจมตีโดย ‘กายภาพ’ อยู่สินะ อย่างถ้าหากว่าพวกเราโดนลูกเหล็กที่ได้พลังงานจลน์ที่แปลงมาจาก ‘จินตภาพ’ นั่นเข้า ก็คงเละเหมือนสภาพบังเกอร์ที่พวกนั้นทำลายไปแน่ ๆ”

        “ถ้าแค่ตรงนั้นล่ะก็ ผมว่าไม่น่าเป็นอะไรที่คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่สามารถรับมือได้นะครับ”

        “ตราบที่ไม่โดนจ้องแล้วร่างกายระเบิดเป็นชิ้น ๆ โดยจินตภาพในทันที ก็ไม่น่ายากเกินมือแหละนะ”

        คนหลังฉากทั้ง 2 ก็ได้ข้อสรุปที่เห็นตรงกันในเรื่องแม้ในกรณีที่ดีที่สุดก็ยังฟังอันตราย

        “ที่เหลือ ข้อมูลต่าง ๆ อย่างนิสัยท่าที การสื่อสาร ความประพฤติ หรืออะไรต่าง ๆ ก็ตรงตามที่พวกคุณเห็นในรายงานสรุปที่ฐานให้มาค่ะ เอาจริง ๆ คนที่ไปหาข้อมูลพวกนั้นส่วนใหญ่มาลงรายงานพวกนั้นก็คือตัวฉันนี่แหละค่ะ ฉะนั้นไว้ใจเรื่องความถูกต้องของพวกมันได้เลย”

        “พอจะคาดเดาได้ตั้งแต่ตอนที่รายงานสรุปที่ปกติแทบไม่เคยมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย แต่ในคราวนี้มีข้อมูลละเอียดยิบจนน่าประหลาดใจแหละนะ ขอบคุณนะ ฮินะ”

        “เซอร์วิสพิเศษสำหรับคนใกล้ตัวค่ะ”

        ฮินะกล่าวรับคำขอบคุณของอากิโตะอย่างภาคภูมิ

        “มีคำถามอะไรเพิ่มเติมไหมคะ?”

        “ถึงมีก็ไม่มีเวลาถามแล้วแหละนะ”

        “นั่นสินะครับ”

        ภายไปในความมืดมิดที่เลยห่างออกไปจากกระจกหน้าของรถตู้ พวกเขาทั้ง 2 เริ่มสังเกตเห็นแสงสว่างสีเหลืองทองที่อยู่ห่างไกลออกไปปรากฎขึ้น

        มันมีการไหวไปมาของความสว่างและริบหรี่ที่เป็นจังหวะ ๆ ให้ความรู้สึกราวเปลวแสงเทียนรำไร ที่เมื่อเวลาผ่านไปและยานพาหนะคันนี้สามารถครอบคลุมระยะทางได้มากขึ้น ความสว่างของมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

        “นั่นน่าจะใช่แล้วสินะครับ”

        “อ่า ไม่น่ามีแหล่งแสงอะไรในอุโมงค์ที่โดนทิ้งร้างแบบนี้แล้วแหละ” 

        “ขอยืนยันอีกเสียงค่ะ”

        และนั่นก็เป็นบทสรุปที่แสนจะแอนตี้ไคลแมกซ์ของการรายงานสารที่ยากต่อการเข้าใจด้วยความรู้ความเข้าใจมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ในอีกมุม ทั้ง 3 คนก็ไม่ได้กำลังพยายามที่จะอธิบายให้ใครอื่นฟังเหมือนกัน เลยไม่มีการอธิบายรายละเอียดที่พวกเขาทุกคนทราบกันอยู่แล้วเพื่อเป็นการประหยัดเวลา

        แต่ก็ไม่แน่ ในอนาคตอันใกล้จะมาถึงหรือยังคงห่างไกลออกไป มันอาจจะมีเรื่องราวที่ทำให้พวกเขาต้องทำการอธิบายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียดเกิดขึ้นก็เป็นไปได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตน่ะนะ

        “นายก็เตรียมตัวได้แล้ว”

        “คิดอย่างงั้นเหมือนกันครับ”

        เมื่อขานตอบความคิดเห็นที่ตรงกันของเพื่อนของเขา เซย์จิก็ล้วงมือเข้าไปใต้ปกเสื้อแลปโค้ทของเขาแล้วหยิบแว่นตาป้องกันที่กรอบมีขอบยางอย่างดีออกมาแล้วก็สวมใส่

        จากนั้นเขาก็นำหูฟัง หรือถ้าจะให้เรียกอย่างถูกต้อง ‘อุปกรณ์ป้องกันหู’ ที่แขวนพักไว้ที่คอของเขาขึ้นครอบประกบหูทั้ง 2 ข้างอย่างระมัดระวังพร้อมกับการปรับขยับเล็กน้อยเพื่อความแน่นหนาในสวมใส่

        “ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากจะต้องใช้สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าในนี้เลยน่ะนะครับ แต่ผมก็ไม่อยากสถานการณ์ที่ผมต้องใช้มันแล้วไม่ได้เตรียมไว้มากกว่า ช่วยไม่ได้น่ะนะ…”

        เขาถอนหายใจพร้อมเปิดกระเป๋าพลาสติกบนหน้าตักของเขาออก แล้วหยิบ ‘สิ่งที่เขาไม่อยากใช้’ ที่ถูกเก็บอยู่ภายในออกมาอย่างระแวดระวัง

        พื้นผิวภายนอกส่วนใหญ่ของมันถูกปกคลุมไปด้วยโพลิเมอร์ขึ้นรูปสีเทา ด้ามจับที่ดูโค้งกลมมีรูตรงกลางเหมือนโดนัท 2 ชิ้นที่บิดเบี้ยวที่เชื่อมต่อเข้ากับโครงสร้างหลักทรงกล่องที่เรียวยาวของมันทำให้รูปทรงโดยรวมนั้นเป็นเหมือนอุปกรณ์ที่ออกมาจากหนังไซไฟ

        มันคือปืน FN P90 นวัตกรรมการออกแบบจากเบลเยียมตั้งแต่ยุคสมัยปลายยุค 80 ที่ปัจจุบันแม้ผ่านมาเกือบ 4 ทศวรรษก็ยังคงเป็นการออกแบบที่ดูล้ำสมัยที่เหมือนมาจากอนาคต

        ปลายปากกระบอกโลหะของมันนั้นไม่ได้ถูกทาเป็นสีแดง เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าสิ่ง ๆ นี้นั้นไม่ใช่ปืนจำลองหรือปืนบีบี แต่เป็นอาวุธของจริงที่สามารถส่งหัวกระสุนขนาด 5.7 × 28 มม. ออกไปด้วยความเร็วเหนือเสียงที่อัตรายิง 850 – 1,100 นัดต่อนาที

        เซย์จิจับถือตัวปืนตรงด้านด้วยมือขวาให้ปลายปากลำกล้องชี้ออกไปทางซ้ายมือของเขาในทิศที่ไม่มีคน ก่อนที่จะหมุนข้อมือไปมาเพื่อตรวจสอบตัวปืนโดยที่นิ้วชี้อยู่นอกโกร่งไกปืนอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่มีอาการทุกข์ร้อนหรือประหม่าใด ๆ 

        จากนั้นเขาก็ใช้มือซ้ายหยิบแมกกาซีนพลาสติกสีขุ่นบรรจุกระสุนปืน FN 5.7×28 มม. 50 นัดที่เก็บไว้ในช่องเสียบแบบพอดีตัวของฝากระเป๋าด้านบน แล้วบรรจุมันเข้ากับตัวปืนทางด้านบนแล้วดึงคันรั้งกลับ 1 ครั้งเพื่อบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงก่อนที่จะหมุนเซฟตี้ไปยังตำแหน่งห้ามไก ก่อนที่จะหยิบแมกกาซีนที่เหลืออีก 4 อันในช่องของฝาด้านบนของกระเป๋าไปซุกแนบไว้ตามช่องกระเป๋าต่าง ๆ ในฝั่งด้านในของเสื้อแลปโค้ทของเขา

        คงไม่ต้องอธิบายมาก แต่สำหรับประเทศที่ประชาชนและคนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้อย่างญี่ปุ่น การที่เซย์จิกหยิบจับและถือครองอาวุธที่สามารถยิงในระบบอัตโนมัติกระบอกนี้ได้ก็เป็นเครื่องย้ำเตือนที่ชัดเจนถึงการเป็นคนหลังฉากของเขา… ไม่ก็เป็นลูกไล่ของมาเฟียหรืออะไรทำนองนั้น แต่ ณ จุดนี้ก็คงต้องเชื่อคำพูดของเขาเรื่องคนหลังฉากไปก่อน

        อากิโตะที่ยังทำสีหน้าเมินเฉยและไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ต่อ P90 ในมือเพื่อนของเขาก็ยังคงเพ่งสมาธิไปข้างหน้าเพื่อขับรถปิดระยะเข้าหาแสงไฟที่พวกเขากำลังเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ อย่างแน่นิ่ง พร้อมกับกล่าวพูดเตือนเพื่อนของเขา

        “อย่าลืมเอาบานพับที่หลุดคามือนายนั่นเสียบกลับเข้าที่เดิม แล้วเปิดเอาโทรโข่งในนั้นออกมาด้วย”

        “อ่ะ ผมเกือบลืมไปเลยแฮะ”

        ว่าแล้วเซย์จิก็วาง P90 ลงบนตักแล้วทำตามที่เพื่อนของเขาเตือน 

        อาจจะมีการติดขัดบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าหากว่าการเสียบบานพับกลับเพื่อเปิดช่องเก็บของยังทำไม่ได้ ความน่าเชื่อถือของกลุ่มคนหลังฉากโดยรวมก็คงดิ่งลงเหวอย่างยากที่จะนำกลับมาสู่ระดับภาคพื้นได้ ซึ่งในกรณีนี้ มันก็ ‘เกือบ’ จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็แค่ ‘เกือบ’ น่ะนะ

        “เกือบจะต้องกระชากลิ้นชักนี่เปิดออกแล้วครับ แต่ยังดีนะครับที่เสียบบานพับนี่กลับเข้าไปได้”

        เซย์จิป่าวประกาศความสำเร็จของตัวเองที่ไม่น่าประกาศแม้แต่น้อยอย่างยิ้มแย้มพร้อมด้วยโทรโข่งขนาดเล็กในมือซ้ายที่มีไมโครโฟนแยกที่เชื่อมต่อเข้ากับตัวอุปกรณ์ด้วยสายขดเหมือนสายโทรศัพท์ที่เขาถืออยู่ในมือขวาก่อนที่จะลองกดปุ่มแล้วทดสอบการทำงานด้วยคำพูด 2-3 คำ

        “หวังว่าผมจะต้องใช้แค่โทรโข่งนะครับ”

        “ถ้าไม่จำเป็น ทางนี้ก็ไม่อยากจะเจอสถานการณ์ที่นายต้องใช้เครื่องพ่นหัวตะกั่วหรอกนะ”

        ระยะห่างระหว่างรถที่พวกเขาโดยสารอยู่กับต้นกำเนิดของแสงนั้นก็ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ที่โดนส่องสว่างได้ชัดเจนมากขึ้น จนเริ่มเห็นเป็นเงาลาง ๆ ของคน 5 คนที่ยืนอยู่กันเป็นกลุ่ม รอบ ๆ แหล่งกำเนิดของแสงที่ลอยอยู่สูงกว่าระดับศีรษะของพวกเขา

        “ฮินะ หลังจากนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอห้ามแสดงตัวตนของเธอหรือพวกภูติให้พวกนั้นรับรู้ได้โดยเด็ดขาดเข้าใจไหม? แล้วก็ถ้าหากว่าทางนี้หรือเซย์จิเป็นอะไร ก็ทำเหมือนอย่างที่เคยบอกนะ”

        ด้วยเวลาที่เหลือไม่มากก่อนที่ ‘งาน’ ของพวกเขาจะเริ่มต้นขึ้น อากิโตะพูดกล่าวย้ำเตือนที่อาจจะเป็นคำพูดสุดท้าย ๆ ของเขากับผู้สมรู้ที่มิอาจมองเห็นหรือสัมผัสได้

        “…”

        “ฮินะ?”

        “‘ทุกสิ่งทุกอย่างในที่แห่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น…’ สินะคะ…?”

        “ตามนั้นแหละ”

        “รับทราบค่ะ…”

        ฮินะขานรับคำขอของเพื่อนของเธออย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้

        เหลือช่องว่างอีกเพียง 200 เมตรระหว่างรถตู้ Domingo ของคนหลังฉากทั้ง 2 คนกับแหส่งกำเนิดของแสงที่ตอนนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นลูกแก้วขนาดประมาณลูกบาสเกตบอลที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างน่าพิศวงเหนือรูปร่างเงาย้อนแสงของมนุษย์ 5 คนที่ยืนอยู่รายรอบ ที่ทางด้านข้างที่ห่างออกไป กล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่วางตั้งแน่นิ่งอยู่บนพื้น

        ราวกับโลกทั้งใบนั้นเงียบสงบลงเฉกเช่นโรงมหรสพในช่วงระหว่างการเปลี่ยนฉากของการแสดงที่กำลังจะเข้าสู่บทสำคัญที่เหล่าผู้ชมตั้งตารอ และเหลือไว้เพียงเสียงของการบรรเลงจากดนตรีประกอบจากเครื่องยนต์ที่กำลังผลักดันยานยนต์หนัก 1 ตันคันนี้เข้าสู่ฉากของการแสดงที่ถูกซ่อนเร้น

        อีก 100 เมตรก่อนจะถึงที่หมาย คันเร่งของรถเริ่มถูกผ่อน รอบเครื่องยนต์ก็เริ่มลดลงพร้อม ๆ กับเข็มความเร็วบนหน้าปัดที่ค่อย ๆ หมุนทวนเข็มนาฬิกาลงหาเลข 0 อย่างช้า ๆ 

        ม่านพร้อมจะถูกยก แสงไฟพร้อมที่จะสาดส่อง และเหล่านักแสดงก็กำลังเข้าประจำที่

        อีก 50 เมตรจะถึงการเผชิญหน้า ไฟหน้าของรถตู้เริ่มฉายสว่างสวนทางกับแสงจากลูกแก้วที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศจนทำให้สามารถมองเห็นหน้าตาและรูปร่างของเหล่าผู้มาเยือนทั้ง 5 ได้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

        เงาที่ทอดยาวที่ไหวไปมาตามจังหวะไกวแกว่งของไฟหน้าขยับสั่นไปตามพื้นถนนที่ตัวรถำลังวิ่งผ่านสร้างเป็นภาพของความน่าเกรงขามราวกับว่าเหล่าผู้มาเยือนนั้นเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตาเห็น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นรายละเอียดรูปพรรณสัณฐานของแต่ละคนที่อย่างชัดเจน 

        ผู้ชายวัยกลางคนใส่เสื้อโค้ทยาวทับกิโมโน

        ผู้ชาย 2 คนในชุดสูทคอตั้งพร้อมผ้าคลุม

        ผู้หญิงที่ผ้าคลุมสีครึ้มทับชุดกิโมโนคู่กางเกงฮากามะ

        ผู้หญิงตัวเล็กที่สวมฮาโอริทับชุดเสื้อเบลาส์คอตั้งกับกางเกงฮากามะ

        เป็นการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่คนหลังฉากทั้ง 2 ได้รับมาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง และนั่นก็เป็นสัญญาณเริ่มต้นของการแสดงบทใหม่พร้อมกับม่านที่ถูกยกและแสงไฟที่ถูกเปิดฉาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด