บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ

บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ

นิกายพุทธหรือ?

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินว่ามีนิกายการบ่มเพาะพิเศษในยุคบรรพกาล พวกศิษย์ในนิกายต่างนุ่งจีวร โกนศีรษะโล้น เดินด้วยเท้าเปล่า ท่องพระไตรปิฎก สวดมนต์ทั้งวันทั้งคืน พวกเขาล้วนมีปัญญาที่ลึกล้ำดั่งท้องทะเลและความสามารถอันไร้ขอบเขต

แต่นิกายพุทธนี้ได้หายสาบสูญไปเมื่อล้านปีก่อน ราวกับว่ามันระเหยไปในอากาศ และมรดกของนิกายก็ได้ถูกฝังอยู่ในพงศาวดารของประวัติศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบัน เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนิกายพุทธได้กลายเป็นตำนานที่มีอยู่ในจินตนาการหรือเรื่องเล่าเท่านั้น

“อักขระเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมสยบวิญญาณของนิกายพุทธ… เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้ต้องการใช้มันเพื่อครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์?” เฉินซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หืม? บำเพ็ญทุกข์หรือ? ข้าจำได้แล้ว!” หลิงไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้น “คำว่า บำเพ็ญทุกข์ หมายถึงเจดีย์ของชาวพุทธในยุคบรรพกาล ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของนิกายพุทธเพื่อใช้ถ่ายทอดบทเรียน และถ้าขาดเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไป ก็จะไม่สามารถถ่ายทอดได้ หากข้าจำไม่ผิด เจดีย์บำเพ็ญทุกข์นี้ต้องเป็นสมบัติอมตะของนิกายพุทธ!”

ทันใดนั้น เฉินซีก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ง่าย อักขระสยบวิญญาณเก้าพยางค์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการครอบครองเจดีย์อย่างแน่นอน”

“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในตอนนี้เหลือเพียงเจ้าที่ยังอยู่ในเจดีย์ หลังจากนี้เจ้าจะถูกส่งไปยังชั้นเอกภาพ และบางทีเจ้าอาจจะใช้ยันต์นี้ได้” หลิงไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “หากเจ้าสามารถครอบครองเจดีย์นี้ได้จริง ๆ ก็เท่ากับว่าเจ้าได้รับสมบัติอมตะ! การดำรงอยู่ของมันสามารถทำลายล้างโลกใบเล็ก ๆ ได้ทั้งใบ”

“แต่เจ้าอย่าเพิ่งด่วนดีใจเร็วไป เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตอนนี้ยังคงเสียหาย และไม่รู้จะซ่อมได้เมื่อไร” เฉินซีส่ายศีรษะ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ไม่รู้วิธีซ่อมแซม และกระเป๋ามิติของจ้านคงก็ไม่มีเบาะแสใดที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเจดีย์ด้วย”

“ไม่เป็นไร เจ้าค่อย ๆ ทำไป แม้ว่ามันจะเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าของสมบัติอมตะ แต่ก็ยังทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่ง” หลิงไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เฉินซียิ้มและเขาก็คาดหวังสิ่งนี้ไว้ในใจเช่นกัน

ตอนนี้เขากำลังรอที่จะเข้าสู่ชั้นเอกภาพของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์

ในขณะที่เฉินซีกำลังสื่อสารกับหลิงไป๋ผ่านกระแสปราณ บรรยากาศภายนอกเจดีย์ตอนนี้กลับเงียบสงัด

ทุกคนที่รับชมอยู่ในตอนนี้ต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก หน้าอกของพวกเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แม้พวกเขาต้องการโห่ร้องให้กำลังใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเปิดปากได้แม้เวลาจะผ่านไปสักพัก สีหน้าของพวกเขาดูพิลึกและเต็มไปด้วยความละอาย

ซึ่งพวกเขาก็รู้สึกละอายจริง ๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าเฉินซีได้สมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายเหล่านั้นและกลายเป็นคนทรยศที่ช่วยคนชั่วกระทำเรื่องต่ำทราม ซึ่งเขาก็ได้กลายเป็นอาชญากรชั่วร้ายอยู่ในใจของผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากการฉีกเฉินซีออกเป็นพัน ๆ ชิ้น ก่อนที่จะเผากระดูกของเขาและโปรยเถ้ากระดูกทิ้ง

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีทำลายล้างคนร้ายทั้งหมดโดยปราศจากการลังเล จึงทำให้พวกเขาตะหนักว่าตนเองคิดผิดอย่างมหันต์ ดังนั้นจึงต้องการให้กำลังใจแก่ชายหนุ่ม ทว่ากลับไม่สามารถเปิดปากออกมาแม้แต่น้อยเพราะความรู้สึกละอาย!

ต้วนมู่เจ๋อรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เขาไม่ให้อภัยผู้คนที่เคยดูแคลนเฉินซี “ฮึ่ม! ไอ้พวกงี่เง่าช่างน่าหัวเราะจริง ๆ! พวกเจ้าสมควรถูกคนอื่นหลอกลวงไปตลอดชีวิต”

“กล่าวได้ดี” ซ่งหลินกล่าวอย่างชื่นชม

“ช่างเถอะ พวกเขาเพียงถูกซูเจิ่นเทียนหลอกลวงเท่านั้น” ตู้ชิงซีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อนางเห็นเฉินซีทำลายล้าคนร้ายทั้งหมดด้วยพลังอันไร้เทียมทาน นางก็รู้สึกยินดีแก่เขา อีกทั้งยังรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

“ยอดเยี่ยม! พลังมหาศาลเช่นนี้เทียบได้กับความแข็งแกร่งของเหล่าเทพจากยุคบรรพกาล!” ที่บนแท่นหยก ประมุขของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกไป ก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ในทันที

ก่อนหน้านี้เฟยเหลิ่งชุ่ยและศิษย์อีกกว่าสองร้อยคน ไม่อาจต้านทานคนร้ายเหล่านั้นและถูกบีบบังคับให้ต้องหลบหนีออกจากเจดีย์ แต่ในตอนนี้ เฉินซีได้ทำลายล้างวายร้ายทั้ง 32 คนด้วยตัวคนเดียวอย่างง่ายดาย เมื่อนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน ก็ยิ่งทำให้ความสามารถของเฉินซีดูโดดเด่นยิ่งกว่า

ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ล้วนเป็นบุคคลที่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถแยกแยะสาเหตุที่เป็นแก่นสำคัญของเหตุการณ์นี้ ซึ่งเหตุผลที่เฉินซีทรงพลังนั้นก็มาจากพลังอิทธิฤทธิ์ที่ชายหนุ่มแสดงออกมา อานุภาพของมันสามารถบดขยี้ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทั้งหลายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และพลังอิทธิฤทธิ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

มีเพียงผู้นำตระกูลซู ซูเจิ่นเทียนเท่านั้นที่มีสีหน้าเศร้าหมองเป็นอย่างมาก เพราะว่ายิ่งเฉินซีประสบความสำเร็จมากสักเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น และมันได้ตอกย้ำความเกลียดชังที่อยู่ในใจเขาอย่างมหาศาล

ในขณะนี้ เมื่อเขาได้ยินคำชื่นชมของเหล่าผู้นำที่มีต่อเฉินซี มันก็เหมือนกับคมดาบที่ทิ่มแทงหัวใจของเขา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความคับข้องและความโกรธแค้นในใจของเขาเลย

“ไอ้พวกไร้ประโยชน์บัดซบ! มีคนอยู่ตั้งมากมาย แต่กลับไม่สามารถฆ่าคน ๆ เดียวได้!” ในมุมมืดที่ห่างไกลจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่ปกปิดร่างกายด้วยชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน ตามความคิดของข้า เรื่องราวครั้งนี้ไม่อาจตำหนิพวกเขาได้ เนื่องจากคู่ต่อสู้ของพวกเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป และแม้แต่ข้าเองก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้เฝ้าดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมได้ตกอยู่ในมือของมันแล้ว มันย่อมเป็นปัญหาใหญ่หลวง เพราะสิ่งนั้นคือสมบัติอันล้ำค่าของนิกายพุทธที่นายท่านใช้สติปัญญาและฝ่าฟันความยากลำบากมากมายเพื่อให้ได้มา ถ้าหากเราเสียมันไป ข้าเกรงว่า…” เฟิ่งหมิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวอย่างระมัดระวัง

“ฮึ่ม! ข้าย่อมรู้ผลที่ตามมาอย่างแน่นอน” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านคำรามอย่างเย็นชา “แม้ว่ามันจะสามารถพิชิตเจดีย์โดยใช้อักขระสยบวิญญาณ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซ่อมแซมเจดีย์ได้อย่างไร ดังนั้น เราแค่หาโอกาสที่จะติดต่อกับมัน หลังจากนั้นค่อยฆ่ามันเพื่อแย่งชิงยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาในภายหลัง”

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง” เฟิ่งหมิงยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ข้าแค่หวังว่ามันจะรักษาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไว้ได้ เพราะความมั่งคั่งที่มันกำลังจะได้รับย่อมกระตุ้นความโลภของผู้คน ในยามที่มันได้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ภายใต้การจ้องมองของผู้คนที่อยู่ตรงนั้น เมื่อนั้นอาจจะเป็นเวลาตายของมัน และย่อมเป็นปัญหาที่บานปลายอย่างแท้จริง” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านถอนหายใจ

บนชั้นเอกภาพของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์

ชั้นนี้มีพื้นที่ที่ครอบคลุมเพียงร้อยยี่สิบจั้ง ผนังของมันถูกแกะสลักด้วยรูปมังกรที่กำลังทะยานไปทั่วท้องฟ้า ดอกบัวสีทองบานสะพรั่ง และดอกไม้สวรรค์ที่ล่องลอยท่ามกลางท้องฟ้า มีพระภิกษุบางรูปขี่อยู่บนหลังมังกร บางรูปก็นั่งอยู่บนดอกบัวสีทองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และมีแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปทั่วทั้งชั้น เผยให้เห็นความเมตตา ความสงบ เสรีภาพ และความชื่นชมยินดีอย่างลึกซึ้ง

บางทีนี่อาจจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายพุทธในตำนาน ตามที่คาดไว้ มันแตกต่างจากนิกายอื่น ๆ มันมีบรรยากาศและโลกเป็นของตัวเอง เมื่อเฉินซีถูกพาตัวเข้ามาในชั้นนี้ เขาก็ถูกดึงดูดจากฉากต่าง ๆ ที่อยู่บนผนังโดยรอบ และในขณะที่เขามองดูฉากที่เต็มไปด้วยความมงคล ความสุข และความงดงามต่าง ๆ เขาก็รู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจไม่รู้จบ

หลังจากสังเกตอย่างเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเฉินซีก็กวาดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจและถูกดึงดูดโดยก้อนหินที่มีขนาดสูงพอ ๆ กับคนผู้หนึ่งที่ถูกตั้งอยู่ตรงกลางของชั้นเอกภาพ หินก้อนนี้เป็นเหมือนยอดเขาที่หดตัวนับครั้งไม่ถ้วน และเมื่อตั้งใจมองดูอย่างละเอียด เขาก็สามารถเห็นสันเขาที่ทอดยาวออกไป ลำธาร น้ำตก หน้าผา ต้นสนเขียวขจี และสิ่งมหัศจรรย์อื่น ๆ อีกมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น ตรงกลางของก้อนหินที่หันหน้าเข้าหาเฉินซีมีถ้อยคำสลักว่า ‘เขาพระสุเมรุ’ ซึ่งเปล่งประกายแสงที่เปี่ยมไปด้วยความเก่าแก่และความสงบออกมาอย่างบางเบา ยิ่งไปกว่านั้นหากเฉินซีไม่ตั้งใจมองดูอย่างละเอียดเขาคงไม่อาจสังเกตเห็นมันได้

“หรือว่าก้อนหินนี้ถูกเรียกว่า เขาพระสุเมรุ?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ

โอม!

ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เฉินซีก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากภายในแหวนมิติของเขา เมื่อเขาตรวจสอบดู ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมาและได้เปล่งแสงสีทองอ่อนโยนและบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่ากุญแจสำคัญที่จะใช้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์คือหินก้อนที่เหมือนภูเขาก้อนนี้?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ จู่ ๆ ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมก็พุ่งออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

ฟุ่บ!

ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบสนอง แผ่นยันต์ก็ร่อนลงบนก้อนหินและปิดทับคำว่า ‘เขาพระสุเมรุ’ ทันใดนั้น เขาพระสุเมรุก็เริ่มสั่นไหวอย่างกะทันหัน ราวกับเทพเจ้าที่หลับใหลมานานนับพันปีได้ตื่นขึ้นมา และกลิ่นอายอันบริสุทธิ์และเงียบสงบได้ถาโถมออกมาราวกับการระเบิด จากนั้นมันก็ปกคลุมชั้นเอกภาพทั้งหมดด้วยม่านแสงสีทองอันเจิดจ้า

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นฉากที่อยู่บนผนังรอบด้านซึ่งดูคล้ายจะมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ดอกไม้สวรรค์โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ดอกบัวสีทองผุดขึ้นจากพื้นดิน และมังกรคำรามผ่านหมู่เมฆขณะที่มันร่ายรำอย่างสง่างามบนท้องฟ้า อีกทั้งแว่วเสียงสวดมนต์ของชาวพุทธที่เคร่งขรึมและครุมเครือ ยังพุ่งออกมาจากผนังและดังก้องไปทั่วทั้งชั้นเอกภาพ

“ทุกสิ่งเกิดจากโชคชะตา แต่โชคชะตาไม่เคยคงอยู่ และทุกสิ่งก็เช่นกัน พระพุทธเจ้ามักจะเตือนเราให้แสวงหาปัญญาแทนที่จะจมอยู่กับชะตากรรม…” ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ที่เหมือนกับเสียงระฆังในอาราม

เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ราวกับดำดิ่งสู่อีกโลกหนึ่ง มันเป็นโลกที่สว่างไสวด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ชั่วนิจนิรันดร์ โลกทั้งใบเป็นสถานที่แห่งความสุขสูงสุดที่ปกคลุมไปด้วยความสงบสุขและความยินดี ดอกบัวสีทองผลิบานราวกับดอกไม้สวรรค์โปรยปรายลงมาให้เห็นได้ทุกหนทุกแห่ง พระภิกษุหลายรูปที่มีท่าทีสงบปรากฏอยู่ท่ามกลางขุนเขาและแม่น้ำหรือตามมวลหมู่ดอกไม้ ขณะที่นั่งอยู่ในฐานดอกบัวก็ได้แสดงความรู้ สวดมนต์ และเข้าใจพุทธธรรมอย่างลึกซึ้ง

ในขณะที่เขาจมดิ่งอยู่ในดินแดนที่ลึกซึ้งจนไม่สามารถบรรยายได้ มุมปากของเฉินซีก็โค้งเล็กน้อยซึ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มที่บางเบา และประกายแสงสีทองอันสงบก็แผ่ออกมาจากร่างของเขาอย่างเงียบ ๆ

อย่างไรก็ตาม ที่ด้านนอกของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ผู้คนเพียงเห็นเฉินซียืนอย่างเหม่อลอยเงียบงันอยู่บนชั้นเอกภาพราวกับหุ่นเชิดที่ถูกปีศาจเข้าสิง มันเหมือนกับว่าเขาสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเอง

ปัง!

ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงที่คล้ายกับฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าดิน จากนั้นทุกคนก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่มีขนาดสูงมาก กำลังหดตัวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…

“ที่นายท่านเคยกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมเป็นยันต์ที่สามารถสยบสมบัติทางพุทธศาสนาได้” ในเงามืดที่อยู่ไกลออกไป หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่สวมชุดคลุมสีดำบ่นพึมพำกับตัวเอง

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน เราไม่อาจปล่อยให้ยันต์นี้ตกไปอยู่ในมือของเจ้าเด็กคนนั้น มิฉะนั้น หากนายท่านทราบถึงเรื่องนี้ ทั้งท่านและข้าคงไม่อาจรับผลที่ตามมาได้” เฟิ่งหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อนขณะมองไปยังเจดีย์ที่หดตัวไม่หยุดหย่อน

“แน่นอน หากมันไม่ส่งมอบมาแต่โดยดี ข้าจะฆ่ามันและสกัดวิญญาณออกมาก่อนที่จะกักขังมันไว้ในตะเกียงขัดเกลาวิญญาณ และจะทำให้มันต้องทนทุกข์ทรมานตลอดกาล” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านกล่าวอย่างเย็นชา

โอม!

จู่ ๆ ก็เกิดเสียงประหลาดที่คล้ายเสียงระฆังดังก้องในทันใด จากนั้นผู้คนก็รู้สึกว่าการมองเห็นของพวกเขาพร่ามัวลง ก่อนที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์จะหายวับไปกับตา ซึ่งตรงจุดที่มันหายไป มีเพียงเฉินซียืนอยู่ตามลำพัง ในขณะที่เขาหลับตาและมีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก ร่างกายของเขาได้ปล่อยกลิ่นอายที่เงียบสงบและมีมนต์ขลัง

“หรือว่า… คนผู้นี้จะพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้แล้ว?”

“เป็นไปได้อย่างไร? เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติอมตะที่ได้รับความเสียหาย แต่ก็มีผู้คนที่คอยเฝ้าจับตาดูมาตลอดหลายปี ดังนั้นจะมีผู้ใดยินยอมให้เขานำมันกลับบ้านมือเปล่า?”

“ข้าว่าต้องเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้ต้องพิชิตมันได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้น จู่ ๆ มันจะหายไปโดยปราศจากร่องรอยได้อย่างไร! ให้ตายเถอะ! หากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์หายไป เมืองทะเลสาบมังกรจะดำเนินงานเทียบอันดับมังกรซ่อนได้อย่างไรในภายภาคหน้า?”

เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่ผู้คนภายในเมืองทะเลสาบมังกรต่างก็รู้ดีว่ามันไม่อาจพิชิตได้ แต่ในตอนนี้มันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาพวกเขา และนอกจากการตกตะลึงแล้ว ยังทำให้เกิดคลื่นของสนทนาอย่างดุเดือดกระจายไปโดยรอบในทันที

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ครั้งนี้เฉินซีได้ชักนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ตัวเองแล้ว!” ตู้ชิงซีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ไอ้เจ้านี่มันบ้าบิ่นจริง ๆ ถึงขั้นกล้าเอาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไปต่อหน้าต่อตาผู้คน หากเป็นเช่นนี้ เหล่าผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ จะนิ่งเฉยได้อย่างไร” ต้วนมู่เจ๋อหัวเราะอย่างขมขื่น

“หากไม่มีผู้ใดพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้ก็นับว่าไม่เป็นอะไร แต่เมื่อใดก็ตามที่มันถูกพิชิตได้ มันจะกลายเป็นสมบัติที่ผู้คนปรารถนาในทันใด ดั่งคำกล่าว ความมั่งคั่งจะนำความพินาศมาสู่ตนเองเพราะมันได้กระตุ้นความโลภของผู้คน คราวนี้เฉินซีได้ชักนำปัญหามาสู่ตัวเองแล้ว!” ซ่งหลินกล่าวด้วยความกังวลขณะที่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

“เจ้าโจรน้อย! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงขโมยเจดีย์บำเพ็ญทุกข์แห่งเมืองทะเลสาบมังกรของข้าอย่างโจ่งแจ้ง การกระทำเช่นนี้ ยังถือว่าเจ้าไว้หน้าแก่พวกข้าอยู่อีกหรือ? จงมอบคืนมาแต่โดยดี!” ในขณะนี้ เสียงโพล่งตะโกนอย่างรุนแรงดังขึ้นที่บนแท่นหยก จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าร่างของซูเจิ่นเทียนผู้นำตระกูลซูได้ทะยานออกไป กลายเป็นเงาดำขณะที่เอื้อมมือคว้าตัวเฉินซีที่อยู่ห่างออกไป

ในเวลาเดียวกับที่ซูเจิ่นเทียนลงมือ ประมุขนิกายพระราชวังข่ายดารา เถี่ยอวิ๋นจื่อ ผู้เฒ่าแห่งตระกูลฉาง ฉางเสี่ยวหลง และประมุขสำนักเมฆาอนันต์ เจียงเจิ้นอวี่ก็โจมตีอย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน

ทันใดนั้นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติทั้งสี่คนก็ได้ลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน และพวกเขาก็ปิดล้อมเฉินซีจากทั่วทุกทิศทาง ก่อนที่ผู้คนจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ

นิกายพุทธหรือ?

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินว่ามีนิกายการบ่มเพาะพิเศษในยุคบรรพกาล พวกศิษย์ในนิกายต่างนุ่งจีวร โกนศีรษะโล้น เดินด้วยเท้าเปล่า ท่องพระไตรปิฎก สวดมนต์ทั้งวันทั้งคืน พวกเขาล้วนมีปัญญาที่ลึกล้ำดั่งท้องทะเลและความสามารถอันไร้ขอบเขต

แต่นิกายพุทธนี้ได้หายสาบสูญไปเมื่อล้านปีก่อน ราวกับว่ามันระเหยไปในอากาศ และมรดกของนิกายก็ได้ถูกฝังอยู่ในพงศาวดารของประวัติศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบัน เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนิกายพุทธได้กลายเป็นตำนานที่มีอยู่ในจินตนาการหรือเรื่องเล่าเท่านั้น

“อักขระเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมสยบวิญญาณของนิกายพุทธ… เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้ต้องการใช้มันเพื่อครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์?” เฉินซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หืม? บำเพ็ญทุกข์หรือ? ข้าจำได้แล้ว!” หลิงไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้น “คำว่า บำเพ็ญทุกข์ หมายถึงเจดีย์ของชาวพุทธในยุคบรรพกาล ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของนิกายพุทธเพื่อใช้ถ่ายทอดบทเรียน และถ้าขาดเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไป ก็จะไม่สามารถถ่ายทอดได้ หากข้าจำไม่ผิด เจดีย์บำเพ็ญทุกข์นี้ต้องเป็นสมบัติอมตะของนิกายพุทธ!”

ทันใดนั้น เฉินซีก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ง่าย อักขระสยบวิญญาณเก้าพยางค์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการครอบครองเจดีย์อย่างแน่นอน”

“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในตอนนี้เหลือเพียงเจ้าที่ยังอยู่ในเจดีย์ หลังจากนี้เจ้าจะถูกส่งไปยังชั้นเอกภาพ และบางทีเจ้าอาจจะใช้ยันต์นี้ได้” หลิงไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “หากเจ้าสามารถครอบครองเจดีย์นี้ได้จริง ๆ ก็เท่ากับว่าเจ้าได้รับสมบัติอมตะ! การดำรงอยู่ของมันสามารถทำลายล้างโลกใบเล็ก ๆ ได้ทั้งใบ”

“แต่เจ้าอย่าเพิ่งด่วนดีใจเร็วไป เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตอนนี้ยังคงเสียหาย และไม่รู้จะซ่อมได้เมื่อไร” เฉินซีส่ายศีรษะ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ไม่รู้วิธีซ่อมแซม และกระเป๋ามิติของจ้านคงก็ไม่มีเบาะแสใดที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเจดีย์ด้วย”

“ไม่เป็นไร เจ้าค่อย ๆ ทำไป แม้ว่ามันจะเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าของสมบัติอมตะ แต่ก็ยังทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่ง” หลิงไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เฉินซียิ้มและเขาก็คาดหวังสิ่งนี้ไว้ในใจเช่นกัน

ตอนนี้เขากำลังรอที่จะเข้าสู่ชั้นเอกภาพของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์

ในขณะที่เฉินซีกำลังสื่อสารกับหลิงไป๋ผ่านกระแสปราณ บรรยากาศภายนอกเจดีย์ตอนนี้กลับเงียบสงัด

ทุกคนที่รับชมอยู่ในตอนนี้ต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก หน้าอกของพวกเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แม้พวกเขาต้องการโห่ร้องให้กำลังใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเปิดปากได้แม้เวลาจะผ่านไปสักพัก สีหน้าของพวกเขาดูพิลึกและเต็มไปด้วยความละอาย

ซึ่งพวกเขาก็รู้สึกละอายจริง ๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าเฉินซีได้สมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายเหล่านั้นและกลายเป็นคนทรยศที่ช่วยคนชั่วกระทำเรื่องต่ำทราม ซึ่งเขาก็ได้กลายเป็นอาชญากรชั่วร้ายอยู่ในใจของผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากการฉีกเฉินซีออกเป็นพัน ๆ ชิ้น ก่อนที่จะเผากระดูกของเขาและโปรยเถ้ากระดูกทิ้ง

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีทำลายล้างคนร้ายทั้งหมดโดยปราศจากการลังเล จึงทำให้พวกเขาตะหนักว่าตนเองคิดผิดอย่างมหันต์ ดังนั้นจึงต้องการให้กำลังใจแก่ชายหนุ่ม ทว่ากลับไม่สามารถเปิดปากออกมาแม้แต่น้อยเพราะความรู้สึกละอาย!

ต้วนมู่เจ๋อรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เขาไม่ให้อภัยผู้คนที่เคยดูแคลนเฉินซี “ฮึ่ม! ไอ้พวกงี่เง่าช่างน่าหัวเราะจริง ๆ! พวกเจ้าสมควรถูกคนอื่นหลอกลวงไปตลอดชีวิต”

“กล่าวได้ดี” ซ่งหลินกล่าวอย่างชื่นชม

“ช่างเถอะ พวกเขาเพียงถูกซูเจิ่นเทียนหลอกลวงเท่านั้น” ตู้ชิงซีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อนางเห็นเฉินซีทำลายล้าคนร้ายทั้งหมดด้วยพลังอันไร้เทียมทาน นางก็รู้สึกยินดีแก่เขา อีกทั้งยังรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

“ยอดเยี่ยม! พลังมหาศาลเช่นนี้เทียบได้กับความแข็งแกร่งของเหล่าเทพจากยุคบรรพกาล!” ที่บนแท่นหยก ประมุขของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกไป ก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ในทันที

ก่อนหน้านี้เฟยเหลิ่งชุ่ยและศิษย์อีกกว่าสองร้อยคน ไม่อาจต้านทานคนร้ายเหล่านั้นและถูกบีบบังคับให้ต้องหลบหนีออกจากเจดีย์ แต่ในตอนนี้ เฉินซีได้ทำลายล้างวายร้ายทั้ง 32 คนด้วยตัวคนเดียวอย่างง่ายดาย เมื่อนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน ก็ยิ่งทำให้ความสามารถของเฉินซีดูโดดเด่นยิ่งกว่า

ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ล้วนเป็นบุคคลที่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถแยกแยะสาเหตุที่เป็นแก่นสำคัญของเหตุการณ์นี้ ซึ่งเหตุผลที่เฉินซีทรงพลังนั้นก็มาจากพลังอิทธิฤทธิ์ที่ชายหนุ่มแสดงออกมา อานุภาพของมันสามารถบดขยี้ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทั้งหลายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และพลังอิทธิฤทธิ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

มีเพียงผู้นำตระกูลซู ซูเจิ่นเทียนเท่านั้นที่มีสีหน้าเศร้าหมองเป็นอย่างมาก เพราะว่ายิ่งเฉินซีประสบความสำเร็จมากสักเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น และมันได้ตอกย้ำความเกลียดชังที่อยู่ในใจเขาอย่างมหาศาล

ในขณะนี้ เมื่อเขาได้ยินคำชื่นชมของเหล่าผู้นำที่มีต่อเฉินซี มันก็เหมือนกับคมดาบที่ทิ่มแทงหัวใจของเขา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความคับข้องและความโกรธแค้นในใจของเขาเลย

“ไอ้พวกไร้ประโยชน์บัดซบ! มีคนอยู่ตั้งมากมาย แต่กลับไม่สามารถฆ่าคน ๆ เดียวได้!” ในมุมมืดที่ห่างไกลจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่ปกปิดร่างกายด้วยชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน ตามความคิดของข้า เรื่องราวครั้งนี้ไม่อาจตำหนิพวกเขาได้ เนื่องจากคู่ต่อสู้ของพวกเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป และแม้แต่ข้าเองก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้เฝ้าดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมได้ตกอยู่ในมือของมันแล้ว มันย่อมเป็นปัญหาใหญ่หลวง เพราะสิ่งนั้นคือสมบัติอันล้ำค่าของนิกายพุทธที่นายท่านใช้สติปัญญาและฝ่าฟันความยากลำบากมากมายเพื่อให้ได้มา ถ้าหากเราเสียมันไป ข้าเกรงว่า…” เฟิ่งหมิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวอย่างระมัดระวัง

“ฮึ่ม! ข้าย่อมรู้ผลที่ตามมาอย่างแน่นอน” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านคำรามอย่างเย็นชา “แม้ว่ามันจะสามารถพิชิตเจดีย์โดยใช้อักขระสยบวิญญาณ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซ่อมแซมเจดีย์ได้อย่างไร ดังนั้น เราแค่หาโอกาสที่จะติดต่อกับมัน หลังจากนั้นค่อยฆ่ามันเพื่อแย่งชิงยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาในภายหลัง”

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง” เฟิ่งหมิงยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ข้าแค่หวังว่ามันจะรักษาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไว้ได้ เพราะความมั่งคั่งที่มันกำลังจะได้รับย่อมกระตุ้นความโลภของผู้คน ในยามที่มันได้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ภายใต้การจ้องมองของผู้คนที่อยู่ตรงนั้น เมื่อนั้นอาจจะเป็นเวลาตายของมัน และย่อมเป็นปัญหาที่บานปลายอย่างแท้จริง” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านถอนหายใจ

บนชั้นเอกภาพของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์

ชั้นนี้มีพื้นที่ที่ครอบคลุมเพียงร้อยยี่สิบจั้ง ผนังของมันถูกแกะสลักด้วยรูปมังกรที่กำลังทะยานไปทั่วท้องฟ้า ดอกบัวสีทองบานสะพรั่ง และดอกไม้สวรรค์ที่ล่องลอยท่ามกลางท้องฟ้า มีพระภิกษุบางรูปขี่อยู่บนหลังมังกร บางรูปก็นั่งอยู่บนดอกบัวสีทองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และมีแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปทั่วทั้งชั้น เผยให้เห็นความเมตตา ความสงบ เสรีภาพ และความชื่นชมยินดีอย่างลึกซึ้ง

บางทีนี่อาจจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายพุทธในตำนาน ตามที่คาดไว้ มันแตกต่างจากนิกายอื่น ๆ มันมีบรรยากาศและโลกเป็นของตัวเอง เมื่อเฉินซีถูกพาตัวเข้ามาในชั้นนี้ เขาก็ถูกดึงดูดจากฉากต่าง ๆ ที่อยู่บนผนังโดยรอบ และในขณะที่เขามองดูฉากที่เต็มไปด้วยความมงคล ความสุข และความงดงามต่าง ๆ เขาก็รู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจไม่รู้จบ

หลังจากสังเกตอย่างเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเฉินซีก็กวาดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจและถูกดึงดูดโดยก้อนหินที่มีขนาดสูงพอ ๆ กับคนผู้หนึ่งที่ถูกตั้งอยู่ตรงกลางของชั้นเอกภาพ หินก้อนนี้เป็นเหมือนยอดเขาที่หดตัวนับครั้งไม่ถ้วน และเมื่อตั้งใจมองดูอย่างละเอียด เขาก็สามารถเห็นสันเขาที่ทอดยาวออกไป ลำธาร น้ำตก หน้าผา ต้นสนเขียวขจี และสิ่งมหัศจรรย์อื่น ๆ อีกมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น ตรงกลางของก้อนหินที่หันหน้าเข้าหาเฉินซีมีถ้อยคำสลักว่า ‘เขาพระสุเมรุ’ ซึ่งเปล่งประกายแสงที่เปี่ยมไปด้วยความเก่าแก่และความสงบออกมาอย่างบางเบา ยิ่งไปกว่านั้นหากเฉินซีไม่ตั้งใจมองดูอย่างละเอียดเขาคงไม่อาจสังเกตเห็นมันได้

“หรือว่าก้อนหินนี้ถูกเรียกว่า เขาพระสุเมรุ?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ

โอม!

ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เฉินซีก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากภายในแหวนมิติของเขา เมื่อเขาตรวจสอบดู ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมาและได้เปล่งแสงสีทองอ่อนโยนและบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่ากุญแจสำคัญที่จะใช้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์คือหินก้อนที่เหมือนภูเขาก้อนนี้?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ จู่ ๆ ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมก็พุ่งออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

ฟุ่บ!

ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบสนอง แผ่นยันต์ก็ร่อนลงบนก้อนหินและปิดทับคำว่า ‘เขาพระสุเมรุ’ ทันใดนั้น เขาพระสุเมรุก็เริ่มสั่นไหวอย่างกะทันหัน ราวกับเทพเจ้าที่หลับใหลมานานนับพันปีได้ตื่นขึ้นมา และกลิ่นอายอันบริสุทธิ์และเงียบสงบได้ถาโถมออกมาราวกับการระเบิด จากนั้นมันก็ปกคลุมชั้นเอกภาพทั้งหมดด้วยม่านแสงสีทองอันเจิดจ้า

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นฉากที่อยู่บนผนังรอบด้านซึ่งดูคล้ายจะมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ดอกไม้สวรรค์โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ดอกบัวสีทองผุดขึ้นจากพื้นดิน และมังกรคำรามผ่านหมู่เมฆขณะที่มันร่ายรำอย่างสง่างามบนท้องฟ้า อีกทั้งแว่วเสียงสวดมนต์ของชาวพุทธที่เคร่งขรึมและครุมเครือ ยังพุ่งออกมาจากผนังและดังก้องไปทั่วทั้งชั้นเอกภาพ

“ทุกสิ่งเกิดจากโชคชะตา แต่โชคชะตาไม่เคยคงอยู่ และทุกสิ่งก็เช่นกัน พระพุทธเจ้ามักจะเตือนเราให้แสวงหาปัญญาแทนที่จะจมอยู่กับชะตากรรม…” ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ที่เหมือนกับเสียงระฆังในอาราม

เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ราวกับดำดิ่งสู่อีกโลกหนึ่ง มันเป็นโลกที่สว่างไสวด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ชั่วนิจนิรันดร์ โลกทั้งใบเป็นสถานที่แห่งความสุขสูงสุดที่ปกคลุมไปด้วยความสงบสุขและความยินดี ดอกบัวสีทองผลิบานราวกับดอกไม้สวรรค์โปรยปรายลงมาให้เห็นได้ทุกหนทุกแห่ง พระภิกษุหลายรูปที่มีท่าทีสงบปรากฏอยู่ท่ามกลางขุนเขาและแม่น้ำหรือตามมวลหมู่ดอกไม้ ขณะที่นั่งอยู่ในฐานดอกบัวก็ได้แสดงความรู้ สวดมนต์ และเข้าใจพุทธธรรมอย่างลึกซึ้ง

ในขณะที่เขาจมดิ่งอยู่ในดินแดนที่ลึกซึ้งจนไม่สามารถบรรยายได้ มุมปากของเฉินซีก็โค้งเล็กน้อยซึ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มที่บางเบา และประกายแสงสีทองอันสงบก็แผ่ออกมาจากร่างของเขาอย่างเงียบ ๆ

อย่างไรก็ตาม ที่ด้านนอกของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ผู้คนเพียงเห็นเฉินซียืนอย่างเหม่อลอยเงียบงันอยู่บนชั้นเอกภาพราวกับหุ่นเชิดที่ถูกปีศาจเข้าสิง มันเหมือนกับว่าเขาสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเอง

ปัง!

ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงที่คล้ายกับฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าดิน จากนั้นทุกคนก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่มีขนาดสูงมาก กำลังหดตัวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…

“ที่นายท่านเคยกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมเป็นยันต์ที่สามารถสยบสมบัติทางพุทธศาสนาได้” ในเงามืดที่อยู่ไกลออกไป หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่สวมชุดคลุมสีดำบ่นพึมพำกับตัวเอง

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน เราไม่อาจปล่อยให้ยันต์นี้ตกไปอยู่ในมือของเจ้าเด็กคนนั้น มิฉะนั้น หากนายท่านทราบถึงเรื่องนี้ ทั้งท่านและข้าคงไม่อาจรับผลที่ตามมาได้” เฟิ่งหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อนขณะมองไปยังเจดีย์ที่หดตัวไม่หยุดหย่อน

“แน่นอน หากมันไม่ส่งมอบมาแต่โดยดี ข้าจะฆ่ามันและสกัดวิญญาณออกมาก่อนที่จะกักขังมันไว้ในตะเกียงขัดเกลาวิญญาณ และจะทำให้มันต้องทนทุกข์ทรมานตลอดกาล” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านกล่าวอย่างเย็นชา

โอม!

จู่ ๆ ก็เกิดเสียงประหลาดที่คล้ายเสียงระฆังดังก้องในทันใด จากนั้นผู้คนก็รู้สึกว่าการมองเห็นของพวกเขาพร่ามัวลง ก่อนที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์จะหายวับไปกับตา ซึ่งตรงจุดที่มันหายไป มีเพียงเฉินซียืนอยู่ตามลำพัง ในขณะที่เขาหลับตาและมีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก ร่างกายของเขาได้ปล่อยกลิ่นอายที่เงียบสงบและมีมนต์ขลัง

“หรือว่า… คนผู้นี้จะพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้แล้ว?”

“เป็นไปได้อย่างไร? เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติอมตะที่ได้รับความเสียหาย แต่ก็มีผู้คนที่คอยเฝ้าจับตาดูมาตลอดหลายปี ดังนั้นจะมีผู้ใดยินยอมให้เขานำมันกลับบ้านมือเปล่า?”

“ข้าว่าต้องเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้ต้องพิชิตมันได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้น จู่ ๆ มันจะหายไปโดยปราศจากร่องรอยได้อย่างไร! ให้ตายเถอะ! หากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์หายไป เมืองทะเลสาบมังกรจะดำเนินงานเทียบอันดับมังกรซ่อนได้อย่างไรในภายภาคหน้า?”

เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่ผู้คนภายในเมืองทะเลสาบมังกรต่างก็รู้ดีว่ามันไม่อาจพิชิตได้ แต่ในตอนนี้มันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาพวกเขา และนอกจากการตกตะลึงแล้ว ยังทำให้เกิดคลื่นของสนทนาอย่างดุเดือดกระจายไปโดยรอบในทันที

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ครั้งนี้เฉินซีได้ชักนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ตัวเองแล้ว!” ตู้ชิงซีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ไอ้เจ้านี่มันบ้าบิ่นจริง ๆ ถึงขั้นกล้าเอาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไปต่อหน้าต่อตาผู้คน หากเป็นเช่นนี้ เหล่าผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ จะนิ่งเฉยได้อย่างไร” ต้วนมู่เจ๋อหัวเราะอย่างขมขื่น

“หากไม่มีผู้ใดพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้ก็นับว่าไม่เป็นอะไร แต่เมื่อใดก็ตามที่มันถูกพิชิตได้ มันจะกลายเป็นสมบัติที่ผู้คนปรารถนาในทันใด ดั่งคำกล่าว ความมั่งคั่งจะนำความพินาศมาสู่ตนเองเพราะมันได้กระตุ้นความโลภของผู้คน คราวนี้เฉินซีได้ชักนำปัญหามาสู่ตัวเองแล้ว!” ซ่งหลินกล่าวด้วยความกังวลขณะที่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

“เจ้าโจรน้อย! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงขโมยเจดีย์บำเพ็ญทุกข์แห่งเมืองทะเลสาบมังกรของข้าอย่างโจ่งแจ้ง การกระทำเช่นนี้ ยังถือว่าเจ้าไว้หน้าแก่พวกข้าอยู่อีกหรือ? จงมอบคืนมาแต่โดยดี!” ในขณะนี้ เสียงโพล่งตะโกนอย่างรุนแรงดังขึ้นที่บนแท่นหยก จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าร่างของซูเจิ่นเทียนผู้นำตระกูลซูได้ทะยานออกไป กลายเป็นเงาดำขณะที่เอื้อมมือคว้าตัวเฉินซีที่อยู่ห่างออกไป

ในเวลาเดียวกับที่ซูเจิ่นเทียนลงมือ ประมุขนิกายพระราชวังข่ายดารา เถี่ยอวิ๋นจื่อ ผู้เฒ่าแห่งตระกูลฉาง ฉางเสี่ยวหลง และประมุขสำนักเมฆาอนันต์ เจียงเจิ้นอวี่ก็โจมตีอย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน

ทันใดนั้นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติทั้งสี่คนก็ได้ลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน และพวกเขาก็ปิดล้อมเฉินซีจากทั่วทุกทิศทาง ก่อนที่ผู้คนจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ

นิกายพุทธหรือ?

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินว่ามีนิกายการบ่มเพาะพิเศษในยุคบรรพกาล พวกศิษย์ในนิกายต่างนุ่งจีวร โกนศีรษะโล้น เดินด้วยเท้าเปล่า ท่องพระไตรปิฎก สวดมนต์ทั้งวันทั้งคืน พวกเขาล้วนมีปัญญาที่ลึกล้ำดั่งท้องทะเลและความสามารถอันไร้ขอบเขต

แต่นิกายพุทธนี้ได้หายสาบสูญไปเมื่อล้านปีก่อน ราวกับว่ามันระเหยไปในอากาศ และมรดกของนิกายก็ได้ถูกฝังอยู่ในพงศาวดารของประวัติศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบัน เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนิกายพุทธได้กลายเป็นตำนานที่มีอยู่ในจินตนาการหรือเรื่องเล่าเท่านั้น

“อักขระเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมสยบวิญญาณของนิกายพุทธ… เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้ต้องการใช้มันเพื่อครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์?” เฉินซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หืม? บำเพ็ญทุกข์หรือ? ข้าจำได้แล้ว!” หลิงไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้น “คำว่า บำเพ็ญทุกข์ หมายถึงเจดีย์ของชาวพุทธในยุคบรรพกาล ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของนิกายพุทธเพื่อใช้ถ่ายทอดบทเรียน และถ้าขาดเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไป ก็จะไม่สามารถถ่ายทอดได้ หากข้าจำไม่ผิด เจดีย์บำเพ็ญทุกข์นี้ต้องเป็นสมบัติอมตะของนิกายพุทธ!”

ทันใดนั้น เฉินซีก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ง่าย อักขระสยบวิญญาณเก้าพยางค์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการครอบครองเจดีย์อย่างแน่นอน”

“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในตอนนี้เหลือเพียงเจ้าที่ยังอยู่ในเจดีย์ หลังจากนี้เจ้าจะถูกส่งไปยังชั้นเอกภาพ และบางทีเจ้าอาจจะใช้ยันต์นี้ได้” หลิงไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “หากเจ้าสามารถครอบครองเจดีย์นี้ได้จริง ๆ ก็เท่ากับว่าเจ้าได้รับสมบัติอมตะ! การดำรงอยู่ของมันสามารถทำลายล้างโลกใบเล็ก ๆ ได้ทั้งใบ”

“แต่เจ้าอย่าเพิ่งด่วนดีใจเร็วไป เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตอนนี้ยังคงเสียหาย และไม่รู้จะซ่อมได้เมื่อไร” เฉินซีส่ายศีรษะ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ไม่รู้วิธีซ่อมแซม และกระเป๋ามิติของจ้านคงก็ไม่มีเบาะแสใดที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเจดีย์ด้วย”

“ไม่เป็นไร เจ้าค่อย ๆ ทำไป แม้ว่ามันจะเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าของสมบัติอมตะ แต่ก็ยังทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่ง” หลิงไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เฉินซียิ้มและเขาก็คาดหวังสิ่งนี้ไว้ในใจเช่นกัน

ตอนนี้เขากำลังรอที่จะเข้าสู่ชั้นเอกภาพของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์

ในขณะที่เฉินซีกำลังสื่อสารกับหลิงไป๋ผ่านกระแสปราณ บรรยากาศภายนอกเจดีย์ตอนนี้กลับเงียบสงัด

ทุกคนที่รับชมอยู่ในตอนนี้ต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก หน้าอกของพวกเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แม้พวกเขาต้องการโห่ร้องให้กำลังใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเปิดปากได้แม้เวลาจะผ่านไปสักพัก สีหน้าของพวกเขาดูพิลึกและเต็มไปด้วยความละอาย

ซึ่งพวกเขาก็รู้สึกละอายจริง ๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าเฉินซีได้สมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายเหล่านั้นและกลายเป็นคนทรยศที่ช่วยคนชั่วกระทำเรื่องต่ำทราม ซึ่งเขาก็ได้กลายเป็นอาชญากรชั่วร้ายอยู่ในใจของผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากการฉีกเฉินซีออกเป็นพัน ๆ ชิ้น ก่อนที่จะเผากระดูกของเขาและโปรยเถ้ากระดูกทิ้ง

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีทำลายล้างคนร้ายทั้งหมดโดยปราศจากการลังเล จึงทำให้พวกเขาตะหนักว่าตนเองคิดผิดอย่างมหันต์ ดังนั้นจึงต้องการให้กำลังใจแก่ชายหนุ่ม ทว่ากลับไม่สามารถเปิดปากออกมาแม้แต่น้อยเพราะความรู้สึกละอาย!

ต้วนมู่เจ๋อรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เขาไม่ให้อภัยผู้คนที่เคยดูแคลนเฉินซี “ฮึ่ม! ไอ้พวกงี่เง่าช่างน่าหัวเราะจริง ๆ! พวกเจ้าสมควรถูกคนอื่นหลอกลวงไปตลอดชีวิต”

“กล่าวได้ดี” ซ่งหลินกล่าวอย่างชื่นชม

“ช่างเถอะ พวกเขาเพียงถูกซูเจิ่นเทียนหลอกลวงเท่านั้น” ตู้ชิงซีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อนางเห็นเฉินซีทำลายล้าคนร้ายทั้งหมดด้วยพลังอันไร้เทียมทาน นางก็รู้สึกยินดีแก่เขา อีกทั้งยังรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

“ยอดเยี่ยม! พลังมหาศาลเช่นนี้เทียบได้กับความแข็งแกร่งของเหล่าเทพจากยุคบรรพกาล!” ที่บนแท่นหยก ประมุขของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกไป ก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ในทันที

ก่อนหน้านี้เฟยเหลิ่งชุ่ยและศิษย์อีกกว่าสองร้อยคน ไม่อาจต้านทานคนร้ายเหล่านั้นและถูกบีบบังคับให้ต้องหลบหนีออกจากเจดีย์ แต่ในตอนนี้ เฉินซีได้ทำลายล้างวายร้ายทั้ง 32 คนด้วยตัวคนเดียวอย่างง่ายดาย เมื่อนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน ก็ยิ่งทำให้ความสามารถของเฉินซีดูโดดเด่นยิ่งกว่า

ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ล้วนเป็นบุคคลที่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถแยกแยะสาเหตุที่เป็นแก่นสำคัญของเหตุการณ์นี้ ซึ่งเหตุผลที่เฉินซีทรงพลังนั้นก็มาจากพลังอิทธิฤทธิ์ที่ชายหนุ่มแสดงออกมา อานุภาพของมันสามารถบดขยี้ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทั้งหลายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และพลังอิทธิฤทธิ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

มีเพียงผู้นำตระกูลซู ซูเจิ่นเทียนเท่านั้นที่มีสีหน้าเศร้าหมองเป็นอย่างมาก เพราะว่ายิ่งเฉินซีประสบความสำเร็จมากสักเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น และมันได้ตอกย้ำความเกลียดชังที่อยู่ในใจเขาอย่างมหาศาล

ในขณะนี้ เมื่อเขาได้ยินคำชื่นชมของเหล่าผู้นำที่มีต่อเฉินซี มันก็เหมือนกับคมดาบที่ทิ่มแทงหัวใจของเขา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความคับข้องและความโกรธแค้นในใจของเขาเลย

“ไอ้พวกไร้ประโยชน์บัดซบ! มีคนอยู่ตั้งมากมาย แต่กลับไม่สามารถฆ่าคน ๆ เดียวได้!” ในมุมมืดที่ห่างไกลจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่ปกปิดร่างกายด้วยชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน ตามความคิดของข้า เรื่องราวครั้งนี้ไม่อาจตำหนิพวกเขาได้ เนื่องจากคู่ต่อสู้ของพวกเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป และแม้แต่ข้าเองก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้เฝ้าดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมได้ตกอยู่ในมือของมันแล้ว มันย่อมเป็นปัญหาใหญ่หลวง เพราะสิ่งนั้นคือสมบัติอันล้ำค่าของนิกายพุทธที่นายท่านใช้สติปัญญาและฝ่าฟันความยากลำบากมากมายเพื่อให้ได้มา ถ้าหากเราเสียมันไป ข้าเกรงว่า…” เฟิ่งหมิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวอย่างระมัดระวัง

“ฮึ่ม! ข้าย่อมรู้ผลที่ตามมาอย่างแน่นอน” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านคำรามอย่างเย็นชา “แม้ว่ามันจะสามารถพิชิตเจดีย์โดยใช้อักขระสยบวิญญาณ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซ่อมแซมเจดีย์ได้อย่างไร ดังนั้น เราแค่หาโอกาสที่จะติดต่อกับมัน หลังจากนั้นค่อยฆ่ามันเพื่อแย่งชิงยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาในภายหลัง”

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง” เฟิ่งหมิงยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ข้าแค่หวังว่ามันจะรักษาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไว้ได้ เพราะความมั่งคั่งที่มันกำลังจะได้รับย่อมกระตุ้นความโลภของผู้คน ในยามที่มันได้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ภายใต้การจ้องมองของผู้คนที่อยู่ตรงนั้น เมื่อนั้นอาจจะเป็นเวลาตายของมัน และย่อมเป็นปัญหาที่บานปลายอย่างแท้จริง” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านถอนหายใจ

บนชั้นเอกภาพของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์

ชั้นนี้มีพื้นที่ที่ครอบคลุมเพียงร้อยยี่สิบจั้ง ผนังของมันถูกแกะสลักด้วยรูปมังกรที่กำลังทะยานไปทั่วท้องฟ้า ดอกบัวสีทองบานสะพรั่ง และดอกไม้สวรรค์ที่ล่องลอยท่ามกลางท้องฟ้า มีพระภิกษุบางรูปขี่อยู่บนหลังมังกร บางรูปก็นั่งอยู่บนดอกบัวสีทองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และมีแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปทั่วทั้งชั้น เผยให้เห็นความเมตตา ความสงบ เสรีภาพ และความชื่นชมยินดีอย่างลึกซึ้ง

บางทีนี่อาจจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายพุทธในตำนาน ตามที่คาดไว้ มันแตกต่างจากนิกายอื่น ๆ มันมีบรรยากาศและโลกเป็นของตัวเอง เมื่อเฉินซีถูกพาตัวเข้ามาในชั้นนี้ เขาก็ถูกดึงดูดจากฉากต่าง ๆ ที่อยู่บนผนังโดยรอบ และในขณะที่เขามองดูฉากที่เต็มไปด้วยความมงคล ความสุข และความงดงามต่าง ๆ เขาก็รู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจไม่รู้จบ

หลังจากสังเกตอย่างเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเฉินซีก็กวาดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจและถูกดึงดูดโดยก้อนหินที่มีขนาดสูงพอ ๆ กับคนผู้หนึ่งที่ถูกตั้งอยู่ตรงกลางของชั้นเอกภาพ หินก้อนนี้เป็นเหมือนยอดเขาที่หดตัวนับครั้งไม่ถ้วน และเมื่อตั้งใจมองดูอย่างละเอียด เขาก็สามารถเห็นสันเขาที่ทอดยาวออกไป ลำธาร น้ำตก หน้าผา ต้นสนเขียวขจี และสิ่งมหัศจรรย์อื่น ๆ อีกมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น ตรงกลางของก้อนหินที่หันหน้าเข้าหาเฉินซีมีถ้อยคำสลักว่า ‘เขาพระสุเมรุ’ ซึ่งเปล่งประกายแสงที่เปี่ยมไปด้วยความเก่าแก่และความสงบออกมาอย่างบางเบา ยิ่งไปกว่านั้นหากเฉินซีไม่ตั้งใจมองดูอย่างละเอียดเขาคงไม่อาจสังเกตเห็นมันได้

“หรือว่าก้อนหินนี้ถูกเรียกว่า เขาพระสุเมรุ?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ

โอม!

ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เฉินซีก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากภายในแหวนมิติของเขา เมื่อเขาตรวจสอบดู ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมาและได้เปล่งแสงสีทองอ่อนโยนและบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่ากุญแจสำคัญที่จะใช้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์คือหินก้อนที่เหมือนภูเขาก้อนนี้?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ จู่ ๆ ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมก็พุ่งออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

ฟุ่บ!

ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบสนอง แผ่นยันต์ก็ร่อนลงบนก้อนหินและปิดทับคำว่า ‘เขาพระสุเมรุ’ ทันใดนั้น เขาพระสุเมรุก็เริ่มสั่นไหวอย่างกะทันหัน ราวกับเทพเจ้าที่หลับใหลมานานนับพันปีได้ตื่นขึ้นมา และกลิ่นอายอันบริสุทธิ์และเงียบสงบได้ถาโถมออกมาราวกับการระเบิด จากนั้นมันก็ปกคลุมชั้นเอกภาพทั้งหมดด้วยม่านแสงสีทองอันเจิดจ้า

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นฉากที่อยู่บนผนังรอบด้านซึ่งดูคล้ายจะมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ดอกไม้สวรรค์โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ดอกบัวสีทองผุดขึ้นจากพื้นดิน และมังกรคำรามผ่านหมู่เมฆขณะที่มันร่ายรำอย่างสง่างามบนท้องฟ้า อีกทั้งแว่วเสียงสวดมนต์ของชาวพุทธที่เคร่งขรึมและครุมเครือ ยังพุ่งออกมาจากผนังและดังก้องไปทั่วทั้งชั้นเอกภาพ

“ทุกสิ่งเกิดจากโชคชะตา แต่โชคชะตาไม่เคยคงอยู่ และทุกสิ่งก็เช่นกัน พระพุทธเจ้ามักจะเตือนเราให้แสวงหาปัญญาแทนที่จะจมอยู่กับชะตากรรม…” ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ที่เหมือนกับเสียงระฆังในอาราม

เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ราวกับดำดิ่งสู่อีกโลกหนึ่ง มันเป็นโลกที่สว่างไสวด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ชั่วนิจนิรันดร์ โลกทั้งใบเป็นสถานที่แห่งความสุขสูงสุดที่ปกคลุมไปด้วยความสงบสุขและความยินดี ดอกบัวสีทองผลิบานราวกับดอกไม้สวรรค์โปรยปรายลงมาให้เห็นได้ทุกหนทุกแห่ง พระภิกษุหลายรูปที่มีท่าทีสงบปรากฏอยู่ท่ามกลางขุนเขาและแม่น้ำหรือตามมวลหมู่ดอกไม้ ขณะที่นั่งอยู่ในฐานดอกบัวก็ได้แสดงความรู้ สวดมนต์ และเข้าใจพุทธธรรมอย่างลึกซึ้ง

ในขณะที่เขาจมดิ่งอยู่ในดินแดนที่ลึกซึ้งจนไม่สามารถบรรยายได้ มุมปากของเฉินซีก็โค้งเล็กน้อยซึ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มที่บางเบา และประกายแสงสีทองอันสงบก็แผ่ออกมาจากร่างของเขาอย่างเงียบ ๆ

อย่างไรก็ตาม ที่ด้านนอกของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ผู้คนเพียงเห็นเฉินซียืนอย่างเหม่อลอยเงียบงันอยู่บนชั้นเอกภาพราวกับหุ่นเชิดที่ถูกปีศาจเข้าสิง มันเหมือนกับว่าเขาสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเอง

ปัง!

ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงที่คล้ายกับฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าดิน จากนั้นทุกคนก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่มีขนาดสูงมาก กำลังหดตัวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…

“ที่นายท่านเคยกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมเป็นยันต์ที่สามารถสยบสมบัติทางพุทธศาสนาได้” ในเงามืดที่อยู่ไกลออกไป หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่สวมชุดคลุมสีดำบ่นพึมพำกับตัวเอง

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน เราไม่อาจปล่อยให้ยันต์นี้ตกไปอยู่ในมือของเจ้าเด็กคนนั้น มิฉะนั้น หากนายท่านทราบถึงเรื่องนี้ ทั้งท่านและข้าคงไม่อาจรับผลที่ตามมาได้” เฟิ่งหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อนขณะมองไปยังเจดีย์ที่หดตัวไม่หยุดหย่อน

“แน่นอน หากมันไม่ส่งมอบมาแต่โดยดี ข้าจะฆ่ามันและสกัดวิญญาณออกมาก่อนที่จะกักขังมันไว้ในตะเกียงขัดเกลาวิญญาณ และจะทำให้มันต้องทนทุกข์ทรมานตลอดกาล” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านกล่าวอย่างเย็นชา

โอม!

จู่ ๆ ก็เกิดเสียงประหลาดที่คล้ายเสียงระฆังดังก้องในทันใด จากนั้นผู้คนก็รู้สึกว่าการมองเห็นของพวกเขาพร่ามัวลง ก่อนที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์จะหายวับไปกับตา ซึ่งตรงจุดที่มันหายไป มีเพียงเฉินซียืนอยู่ตามลำพัง ในขณะที่เขาหลับตาและมีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก ร่างกายของเขาได้ปล่อยกลิ่นอายที่เงียบสงบและมีมนต์ขลัง

“หรือว่า… คนผู้นี้จะพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้แล้ว?”

“เป็นไปได้อย่างไร? เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติอมตะที่ได้รับความเสียหาย แต่ก็มีผู้คนที่คอยเฝ้าจับตาดูมาตลอดหลายปี ดังนั้นจะมีผู้ใดยินยอมให้เขานำมันกลับบ้านมือเปล่า?”

“ข้าว่าต้องเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้ต้องพิชิตมันได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้น จู่ ๆ มันจะหายไปโดยปราศจากร่องรอยได้อย่างไร! ให้ตายเถอะ! หากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์หายไป เมืองทะเลสาบมังกรจะดำเนินงานเทียบอันดับมังกรซ่อนได้อย่างไรในภายภาคหน้า?”

เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่ผู้คนภายในเมืองทะเลสาบมังกรต่างก็รู้ดีว่ามันไม่อาจพิชิตได้ แต่ในตอนนี้มันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาพวกเขา และนอกจากการตกตะลึงแล้ว ยังทำให้เกิดคลื่นของสนทนาอย่างดุเดือดกระจายไปโดยรอบในทันที

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ครั้งนี้เฉินซีได้ชักนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ตัวเองแล้ว!” ตู้ชิงซีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ไอ้เจ้านี่มันบ้าบิ่นจริง ๆ ถึงขั้นกล้าเอาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไปต่อหน้าต่อตาผู้คน หากเป็นเช่นนี้ เหล่าผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ จะนิ่งเฉยได้อย่างไร” ต้วนมู่เจ๋อหัวเราะอย่างขมขื่น

“หากไม่มีผู้ใดพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้ก็นับว่าไม่เป็นอะไร แต่เมื่อใดก็ตามที่มันถูกพิชิตได้ มันจะกลายเป็นสมบัติที่ผู้คนปรารถนาในทันใด ดั่งคำกล่าว ความมั่งคั่งจะนำความพินาศมาสู่ตนเองเพราะมันได้กระตุ้นความโลภของผู้คน คราวนี้เฉินซีได้ชักนำปัญหามาสู่ตัวเองแล้ว!” ซ่งหลินกล่าวด้วยความกังวลขณะที่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

“เจ้าโจรน้อย! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงขโมยเจดีย์บำเพ็ญทุกข์แห่งเมืองทะเลสาบมังกรของข้าอย่างโจ่งแจ้ง การกระทำเช่นนี้ ยังถือว่าเจ้าไว้หน้าแก่พวกข้าอยู่อีกหรือ? จงมอบคืนมาแต่โดยดี!” ในขณะนี้ เสียงโพล่งตะโกนอย่างรุนแรงดังขึ้นที่บนแท่นหยก จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าร่างของซูเจิ่นเทียนผู้นำตระกูลซูได้ทะยานออกไป กลายเป็นเงาดำขณะที่เอื้อมมือคว้าตัวเฉินซีที่อยู่ห่างออกไป

ในเวลาเดียวกับที่ซูเจิ่นเทียนลงมือ ประมุขนิกายพระราชวังข่ายดารา เถี่ยอวิ๋นจื่อ ผู้เฒ่าแห่งตระกูลฉาง ฉางเสี่ยวหลง และประมุขสำนักเมฆาอนันต์ เจียงเจิ้นอวี่ก็โจมตีอย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน

ทันใดนั้นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติทั้งสี่คนก็ได้ลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน และพวกเขาก็ปิดล้อมเฉินซีจากทั่วทุกทิศทาง ก่อนที่ผู้คนจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด