บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ

บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ

ณ ยอดเขาใจสัจธรรม ที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนัก

“คารวะบรรพจารย์อา! เมื่อเห็นเฉินซีเดินเข้ามา ศิษย์ชายและหญิงทั้งที่ยืนอยู่ทั้งสองด้านของห้องโถงหรือกำลังรินน้ำชาให้แขกต่างก็โค้งคำนับทักทายอย่างพร้อมเพรียงด้วยท่าทางที่เคารพเป็นอย่างยิ่ง

ในเดือนที่ผ่านมา ชื่อของยอดเขาใจสัจธรรมได้ทำให้นิกายกระบี่เมฆาพเนจรเกิดความปั่นป่วนเป็นอย่างมาก ซึ่งเจ้าของยอดเขาก็คือเฉินซีที่ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงของเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายต่างก็ต้องพูดถึง

เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่า เฉินซีได้รับการยอมรับเป็นการส่วนตัวโดยบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเขา และนั่นคือความสัมพันธ์ที่มีสถานะเท่าเทียมกัน ดังนั้น ตัวตนเช่นนี้ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนรู้สึกตกตะลึงและอยากรู้ถึงที่มาของชายหนุ่ม

ควบคู่ไปกับความจริงที่ว่า เฉินซีได้เข่นฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหนึ่งคนของตระกูลซูด้วยการบ่มเพาะที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล และในตอนที่อยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เขาได้บดขยี้ค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีของตระกูลซูเพียงลำพัง อีกทั้งยังทำลายล้างผู้บ่มเพาะลึกลับทั้ง 32 คนที่แข็งแกร่ง และยังพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาไว้ในครอบครอง…

การกระทำอันน่าอัศจรรย์มากมายที่ราวกับเป็นปาฏิหาริย์นี้ ทำให้ชื่อของเฉินซีเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองทะเลสาบมังกร และทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะในดินแดนทางตอนใต้ต้องตื่นตระหนก ดังนั้นจะมีผู้ใดยังกล้าดูแคลนผู้เยาว์ที่มาจากเมืองหมอกสนอันไกลโพ้นอีกเล่า?

ด้วยเหตุนี้เองเมื่อหวังหว่าน ตงฟาง และศิษย์สายในอีกเจ็ดสิบคนได้รับใช้เฉินซี พวกเขาจึงให้ความเคารพอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นที่เขาอายุยังน้อย

“พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน” เฉินซีโบกมือขณะที่เขาสั่งให้เหล่าศิษย์ออกไปก่อนจะเดินเข้าไปในห้องโถง จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองไปยังทุกคนทีละคน ก่อนจะประสานมือและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้น้อยเฉินซีขอคารวะผู้อาวุโสทั้งหลาย” หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าให้พวกของตู้ชิงซีและเฉินฮ่าว

เมื่อพวกเขาได้ยินเฉินซีทักทายพวกเขาในฐานะผู้เยาว์ นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนและผู้นำตระกูลทั้งสามแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพวกเขาก็แอบชื่นชมเฉินซีที่มีมารยาท

ก่อนหน้านี้ เมื่อศิษย์สายในเรียกเฉินซีว่าบรรพจารย์อา นอกจากจะทำให้พวกเขารู้สึกตกใจแล้ว พวกเขายังรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะตอนนี้เฉินซีมีสถานะใกล้เคียงกับเป่ยเหิง ซึ่งถ้าจะนับกันจริง ๆ พวกเขาทุกคนจะกลายเป็นผู้เยาว์ของเฉินซีทันที แต่คำกล่าวของเฉินซีได้แก้ไขสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนของทุกคน

ถึงแม้ว่าเฉินซีจะกล่าวเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเห็นด้วยอย่างโจ่งแจ้ง เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เฉินซีก็ยังคงเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเป่ยเหิงผู้เป็นบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอยู่ดี

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อเฉินซีอย่างไรดี

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าทุกคนจะเคยเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกมามากมาย แต่นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับการดำรงอยู่ที่แปลกประหลาดเฉกเช่นเฉินซี จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะสับสนไปชั่วขณะ

“ท่านผู้อาวุโส เราจะรักษาความสัมพันธ์ของเราซึ่งกันและกันแบบเดิม ดังนั้นพวกท่านทุกคนสามารถเรียกข้าว่าเฉินซีได้ ไม่เช่นนั้นน้องชายของข้าอาจจะต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ลุงด้วย ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก” เฉินซียิ้ม

“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะล้ำเส้นและเรียกเจ้าว่าเฉินซีก็แล้วกัน แต่เจ้าอย่าได้เรียกข้าว่าผู้อาวุโสอีก จงเรียกข้าว่าเหวินเสวี่ยนก็พอ” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนยิ้มอย่างอบอุ่น และมองเฉินซีด้วยสายตาชื่นชม

“ใช่แล้ว เราต่างรักษาความสัมพันธ์ของตัวเองเป็นหลัก วิธีนี้จะดีที่สุด” ตู้อู่หยวน และผู้นำตระกูลอีกสองคนกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม และน้ำเสียงของพวกเขาก็อ่อนโยนต่อเฉินซีอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ้ ไอ้เจ้าเด็กนี้จัดการกับความสัมพันธ์ได้ดีมาก เขามีสถานะที่อาวุโสพอ ๆ กันกับพ่อของข้า ดังนั้น ย่อมหมายความว่าข้าต้องเรียกเขาว่าท่านลุงใช่ไหม?” ต้วนมู่เจ๋อใช้ศอกกระทุ้งซ่งหลินขณะที่เขากล่าวอย่างแผ่วเบา

“พวกเขาได้ตกลงที่จะรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาเอง แล้วเจ้ายังจะสนใจอะไรอีก? แต่ถ้าเฉินซีต้องการหาประโยชน์จากตัวเจ้า เจ้าคงต้องเรียกเขาว่าท่านลุง เพราะอย่างไรซะ ท่านพ่อของเจ้าฏ้เป็นผู้ที่มีระดับอาวุโสต่ำกว่านักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน!” ซ่งหลินเหลือบมองต้วนมู่เจ๋อขณะที่เขาตอบกลับ

ทันทีที่ปัญหาเรื่องความอาวุโสได้รับการแก้ไข บรรยากาศในห้องโถงก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอย่างรวดเร็ว

นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนและคนอื่น ๆ มาครั้งนี้ด้วยเรื่องของผู้บ่มเพาะลึกลับที่ไม่ทราบที่มาซึ่งปรากฏตัวในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ พวกมันล้วนโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี และไม่คำนึงถึงชีวิตและความตาย

พวกมันเป็นเหมือนผู้ภักดีที่ได้รับการฝึกฝนจากกองกำลังอันยิ่งใหญ่ แต่พวกเขากลับไม่ค้นพบเบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับผู้บ่มเพาะเหล่านั้น ราวกับว่าพวกมันปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ ซึ่งได้กระตุ้นการเฝ้าระวังของกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ของเมืองทะเลสาบมังกรในทันที

เนื่องจากผู้บ่มเพาะลึกลับเหล่านี้ล้วนเสียชีวิตอย่างอนาถด้วยน้ำมือของเฉินซี ดังนั้นเหวินเสวี่ยน และคนอื่น ๆ จึงมาเยือนโดยหวังว่าจะได้รับเบาะแสบางอย่างจากเขา

เมื่อเหล่าผู้อาวุโสกล่าวถึงผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาเหล่านี้ เฉินซีก็นึกถึงเรื่องหนึ่งได้ในทันที และด้วยคำสั่งในใจของเขา ตราคำสั่งสีดำขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาแล้ว

พื้นผิวของตราคำสั่งนี้เป็นสีดำสนิทและเย็นยะเยือก ดูคล้ายทำขึ้นจากเหล็กก็ไม่ใช่ และบนตราคำสั่งถูกแกะสลักลวดลายของจันทร์เสี้ยวสีแดงเข้ม แต่มันเหมือนเคียวที่เปื้อนเลือดเสียมากกว่า อีกทั้งยังดูน่าขนลุกและลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าได้รับตราคำสั่งนี้จากกระเป๋ามิติของผู้นำกลุ่มพวกมันที่มีชื่อว่าจ้านคง หลังจากที่ข้าทำลายล้างผู้บ่มเพาะลึกลับ 32 คนทั้งหมด ตัวข้าเองก็ไม่ทราบที่มาของมัน แต่ว่าบางทีมันอาจเป็นประโยชน์ต่อพวกท่านทุกคน” เฉินซีส่งตราคำสั่งให้นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน

“จันทร์เสี้ยวสีเลือด… ข้าดูเหมือนจะเคยได้ยินเกี่ยวกับสัญลักษณ์นี้จากที่ไหนสักแห่ง?” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนไตร่ตรองอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะขมวดคิ้วและพึมพำว่า

“มันคือนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต!” ตู้อู่หยวนที่อยู่ใกล้เคียงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ และจากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงขณะที่เขาอุทานออกมา

“เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตถูกทำลายล้างไปเมื่อสามพันปีก่อนหรือ?”

“ใช่แล้ว ในปีนั้น จักรพรรดิซ่งได้เรียกผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมดในต้าซ่งมารวมตัวกัน จากนั้นก็ได้เปิดฉากต่อสู้กับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตในแดนรกร้างนรกโลหิตเป็นเวลาถึงสามเดือน และในที่สุดก็สามารถทำลายพวกมันลงได้ หลังจากนั้นราชวงศ์ซ่งก็ใช้เวลาอีกสองสามปีในการกวาดล้างศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตที่หลงเหลืออยู่ ดังนั้น ในช่วงสามพันปีที่ผ่านมา จึงไม่มีผู้ใดที่ได้พบเห็นร่องรอยของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต แล้วมันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันฟื้นขึ้นมาจากเถ้าถ่านแล้ว?” สีหน้าของซ่งเหวินชงและต้วนมู่อวิ๋นคงกลายเป็นน่าสะพรึงกลัวอย่างพร้อมเพรียง

เมื่อเห็นผู้นำตระกูลทั้งสามที่มีสถานะและอำนาจ สูญเสียความสงบและความสำรวมไปพร้อม ๆ กัน บรรยากาศภายในห้องโถงก็หนักอึ้งขึ้นทันที และทำให้อารมณ์ของผู้อื่นตึงเครียดตามไปด้วย

เฉินซีรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตได้กรำทำการชั่วร้ายเยี่ยงใดขึ้น จนทำให้ผู้บ่มเพาะในโลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมดของราชวงศ์ซ่ง ต้องระดมกำลังเพื่อที่กำจัดพวกมัน?

“มันน่าจะเป็นเช่นนั้น ตราคำสั่งจันทร์เสี้ยวโลหิตนี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ มีเพียงผู้อาวุโสของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเท่านั้นที่สามารถสร้างสิ่งนี้ได้” ท่ามกลางบรรยากาศที่บีบคั้นเช่นนี้ นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งและสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียด “ผู้บ่มเพาะลึกลับเหล่านั้นต้องเป็นพวกซากทัพที่หลงเหลืออยู่จากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเป็นแน่!”

“บัดซบ! เมื่อหลายปีก่อน นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตทำให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ในโลกแห่งการบ่มเพาะของเรา พวกมันสังหารผู้บ่มเพาะไปทุกหนทุกแห่ง และตั้งใจที่จะทำให้ราชวงศ์ซ่งยอมสยบภายใต้อำนาจของพวกมันอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ พวกมันได้ฟื้นขึ้นมาจากกองเถ้าถ่านแล้ว ข้าเกรงว่าโลกแห่งการบ่มเพาะจะตกอยู่ในอันตราย และจะเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่อีกครั้ง” ตู้อู่หยวนลุกขึ้นยืนทันทีและกล่าวด้วยเสียงที่หนักอึ้ง “ไม่สิ เรื่องนี้สำคัญมาก ดังนั้น ข้าต้องกลับไปยังตระกูลของข้าก่อน ทุกท่าน ข้าขอตัวลา”

ในขณะที่เขากล่าว เขาก็จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามองอีก และไม่มีเวลาแม้แต่จะพาลูกสาวของเขาติดตามไปด้วย ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นได้ว่าความรู้สึกของเขาหนักอึ้งเพียงใดในขณะนี้

หลังจากนั้น ซ่งเหวินชงและต้วนมู่อวิ๋นคงก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และพวกเขาก็แยกย้ายกันจากไป เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หัวใจของเฉินซีก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งโดยไม่มีเหตุผล เป็นไปได้หรือไม่ว่า นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นจะน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก?

‘หากมันเป็นเช่นนี้จริง ๆ ยามนี้ ข้าได้เข่นฆ่าศิษย์ทั้ง 32 คนของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตและยังยึดยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมมาไว้ในครอบครอง ก่อนที่จะพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ในภายหลัง ดังนั้น อาจถือได้ว่าข้าได้รุกรานนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตในระดับร้ายแรง ในภายภาคหน้า หากผู้บ่มเพาะของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตกลับเข้าสู่โลกแห่งการบ่มเพาะอีกครั้ง ข้าย่อมกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งในสายตาของพวกมันอย่างแน่นอน…’

“ดูเหมือนโลกแห่งการบ่มเพาะจะพบกับความวุ่นวายอีกครั้ง!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนถอนหายใจ

“ท่านอาจารย์ เหตุใดถึงต้องไปเกรงกลัว? เราจะกำจัดทุกสิ่งที่เข้ามาขวางทาง! นอกจากนี้ ทุกครั้งที่เผชิญกับปัญหา มันจะเป็นเวลาที่วีรบุรุษปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับพวกเราผู้บ่มเพาะ นี่เป็นช่วงเวลาในการขัดเกลาตัวเองที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง โดยกำจัดเหล่าผู้คนโฉดชั่ว! นี่มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือขอรับ?” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยท่าทางที่แน่วแน่ ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ และเผยให้เห็นร่องรอยของความตื่นเต้นเล็กน้อย

“ไอ้เด็กโง่!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ และตำหนิว่า “เจ้ายังเด็กนัก เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด? สามพันปีที่แล้ว ประมุขนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตและผู้อาวุโสของนิกายทั้งสามสิบหกคน ต่างก็มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนปฐพี และพวกมันมีศิษย์มากกว่าล้านคน หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิซ่งได้เรียกรวมผู้บ่มเพาะทั้งหมดในช่วงเวลาวิกฤต ข้าเกรงว่าราชวงศ์ซ่งในตอนนี้คงจะกลายเป็นอาณาเขตของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตไปแล้ว!”

“มันน่าเกรงขามขนาดนั้นเลยหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะแอบประหลาดใจ เพียงนิกายเดียวกลับมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีมากกว่าสามสิบคน แค่คิดถึงความแข็งแกร่งเช่นนั้นก็ทำให้เขาใจสั่นอย่างไม่มีสิ้นสุด

“ไม่ใช่แค่น่าเกรงขาม!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนถอนหายใจอีกครั้ง “แม้ว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตจะถูกทำลายไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ผู้บ่มเพาะชั้นยอดเกือบทั้งหมดของราชวงศ์ซ่งก็ได้ล้มตายเช่นเดียวกัน ทำให้ราชวงศ์ซ่งเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าจะมีการฟื้นตัวตลอดเวลาสามพันปี แต่ก็ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดเมื่อตอนนั้น ยกตัวอย่างเช่น นิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเราที่เคยมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีหกคนเมื่อตอนนั้น แต่หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น มีเพียงอาจารย์ของข้าเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาและผู้อาวุโสอีกห้าคนที่เหลือต่างก็ล้มตายไปหมดแล้ว”

เฉินซีได้แต่รับฟังอย่างนิ่งเงียบและพูดไม่ออกในทันที

“เอาล่ะ ข้าจะไปพบประมุขนิกายหลิงคงจื่อก่อน แล้วเราค่อยหาโอกาสมาสนทนากันในภายหลัง อ้อ จริงสิ ห้ามนำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายแก่ผู้อื่น ไม่เช่นนั้นผู้คนจะแตกตื่นและจะจัดการได้ยาก” เหวินเสวี่ยนสั่ง จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะก่อนจะลุกขึ้นและจากไป

ด้วยเหตุนี้ ในตอนนี้จึงมีเพียงเฉินซี ตู้ชิงซี ซ่งหลิน ต้วนมู่เจ๋อ และ เฉินฮ่าวเท่านั้นที่ยังคงรั้งอยู่ในห้องโถง พวกเขาทั้งหมดยังเด็กอยู่ แม้ว่าจะรู้สึกได้ว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใดจากคำพูดของผู้อาวุโสของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ตกอยู่ในความวิตกกังวลมากเท่าไรนัก

หลังจากสนทนากันครู่หนึ่ง จู่ ๆ เฉินซีก็นึกบางอย่างขึ้นได้ และเขาถามเฉินฮ่าวว่า “ตอนที่เจ้าออกจากเมืองหมอกสน เจ้าไม่ได้อยู่กับอาจารย์เมิ่งคงและท่านน้าไป๋หรอกหรือ? ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด? ข้าจะหาเวลาไปเยี่ยมพวกเขาบ้าง”

ท่านน้าไป๋ย่อมคือ ไป๋หว่านฉิง เพื่อนบ้านของเฉินซีตอนที่เขาอยู่ในเมืองหมอกสน เฉินซีและเฉินฮ่าวได้รับการดูแลจากนางอย่างดีตั้งแต่ยังเด็ก และพวกเขาก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน เฉินฮ่าวเข้าสู่สำนักหมอกสนเพื่อบ่มเพาะ และเข้าสู่เมืองทะเลสาบมังกรเพื่อเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจรด้วยความช่วยเหลือของไป๋หว่านฉิง

“ข้าก็อยากรู้เช่นเดียวกัน ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมนิกาย ท่านน้าไป๋และอาจารย์เมิ่งคงเคยบอกข้าว่าพวกเขาจะอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกรสักสองสามปี และเมื่อซีซีโตขึ้นอีกนิด พวกเขาจะเดินทางไปนครหลวงธารสายไหม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่ง แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่ข้าเข้าไปในเมืองทะเลสาบมังกร ข้ากลับไม่พบกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยความผิดหวัง “แม้แต่ที่พักที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ก็เปลี่ยนเจ้าของ พวกเขาจากไปโดยไม่ร่ำลาและไม่ได้ทิ้งข้อความใด ๆ ไว้เลย”

เฉินซีขมวดคิ้วแน่น ในตอนนี้ก็ถือว่าเขาประสบความสำเร็จอยู่บ้าง และมีทรัพย์สินมากพอประมาณอยู่ในครอบครอง เดิมทีเขาตั้งใจจะขอบคุณท่านน้าไป๋และอาจารย์เมิ่งคงหลังจากที่พบคนทั้งสอง แต่จากสิ่งที่เฉินฮ่าวได้กล่าวออกมา คนทั้งคู่คงออกจากเมืองทะเลสาบมังกรไปนานแล้ว จึงทำให้เฉินซีรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งอยู่ในใจ

“พวกเขาเคยอาศัยอยู่ที่ไหน บางทีพวกเราอาจช่วยตามหาได้” จู่ ๆ ตู้ชิงซีก็ถามขึ้น

“จริงสิ กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังตู้ชิงซี และคนอื่น ๆ ครอบคลุมเมืองทะเลสาบมังกรทั้งหมด ถ้าข้าได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนบางทีอาจจะค้นพบเงื่อนงำบางอย่างได้” เฉินซีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเฉินฮ่าว

“ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยพักอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองทะเลสาบมังกร ที่ดูเหมือนจะเรียกว่า… เรียกว่า…” เฉินฮ่าวยืนขึ้นและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี เอาเป็นว่าข้าขอพาพวกท่านทั้งหมดไปที่นั่นเลยน่าจะดีกว่า”

“ตกลง เราไม่มีอะไรต้องทำแล้ว การไปที่นั่นก็ได้ผลเช่นกัน” ตู้ชิงซีพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นนางก็หันไปถามต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลิน “แล้วเจ้าทั้งสองคนล่ะ”

ต้วนมู่เจ๋อกางแขนออกประหนึ่งว่าทำเสียไม่ได้ “เราจะกล้าขัดคำสั่งของคุณหนูตู้ได้อย่างไร?”

สายตาของสหายคนนี้ช่างสังเกต และเขาสังเกตเห็นได้ในทันทีว่าเหตุผลที่ตู้ชิงซีทุ่มเทให้กับเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะเฉินซี สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาและขมขื่นอยู่ในใจ อีกทั้งยังทำให้ความคิดที่จะแข่งขันกับเฉินซีเพื่อตู้ซิงซีก็ดับลงโดยสิ้นเชิง

‘ทำอย่างไรได้ ความรักเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความรู้สึกร่วมกันและเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้’

กลุ่มของเฉินซีจากไปในทันที พวกเขาออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองทะเลสาบมังกรภายใต้การนำของเฉินฮ่าว เนื่องจากเมืองทะเลสาบมังกรมีขนาดใหญ่เกินไป อีกทั้งยังถูกห้ามบินบนท้องฟ้า เพื่อใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด พวกเขาทั้งหมดจึงนั่งในรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้า ที่คุณชายต้วนมู่ได้ขอมาจากท่านพ่อของเขาอีกครั้ง และมันได้พาพวกเขาทะยานออกไปราวกับสายฟ้าฟาด

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเดินทางไปได้เพียงครึ่งทาง จู่ ๆ เฉินซีก็สังเกตเห็นร่องรอยของบางสิ่ง จากนั้นญาณศักดิ์สิทธิ์อันน่าเกรงขามของเขาก็กวาดออกไปโดยรอบสองร้อยหกสิบลี้ในทันที และเขาก็พบเห็นร่างที่มีการเคลื่อนไหวที่น่าสงสัยอย่างรวดเร็ว

คนผู้นี้สวมชุดสีดำทั้งตัว การเคลื่อนไหวของเขาไม่แน่นอน แต่ความเร็วของเขานั้นรวดเร็วมาก และกำลังตามหลังรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้าอย่างใกล้ชิด เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นั้นกำลังติดตามกลุ่มพวกเขาอยู่

‘ดูเหมือนว่า ตั้งแต่ข้าออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ข้าจะตกเป็นเป้าหมายของคนผู้นี้…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าบุคคลนี้ซ่อนตัวอยู่นอกนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมาเป็นเวลานานแล้ว และทั้งหมดก็เพื่อรอเฉินซีปรากฏตัว!

‘คนผู้นี้คือใครกันแน่?’

‘เขาต้องการสิ่งใดถึงตามพวกเรามา?’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเขาคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่า คนผู้นี้อาจเป็นหน่วยสอดแนมที่ตระกูลซูส่งออกมา หรือไม่ก็เป็นคนที่อยากได้สมบัติอมตะของเขา แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร เจตนาของชายชุดดำนั้นย่อมเป็นอันตรายต่อเฉินซีอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจในทันทีว่าจะมอบบทเรียนแก่คนผู้นี้

โอม!

ญาณศักดิ์สิทธิ์ที่หนาแน่นของเฉินซีควบแน่นกลายเป็นภูเขาสูงตระหง่านและพุ่งไปบดขยี้จิตสำนึกของคนในชุดดำ สิ่งนี้คือเคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพที่เฉินซีบ่มเพาะมาอย่างเชี่ยวชาญ ซึ่งมันสามารถโจมตีดวงจิตได้!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ

ณ ยอดเขาใจสัจธรรม ที่ห้ืองโถงใหญ่ของตำหนัก

“คารวะบรรพจารย์อา! เมื่อเห็นเฉินซีเดินเข้ามา ศิษย์ชายและหญิงทั้งที่ยืนอยู่ทั้งสองด้านของห้องโถงหรือกำลังรินน้ำชาให้แขกต่างก็โค้งคำนับทักทายอย่างพร้อมเพรียงด้วยท่าทางที่เคารพเป็นอย่างยิ่ง

ในเดือนที่ผ่านมา ชื่อของยอดเขาใจสัจธรรมได้ทำให้นิกายกระบี่เมฆาพเนจรเกิดความปั่นป่วนเป็นอย่างมาก ซึ่งเจ้าของยอดเขาก็คือเฉินซีที่ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงของเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายต่างก็ต้องพูดถึง

เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่า เฉินซีได้รับการยอมรับเป็นการส่วนตัวโดยบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเขา และนั่นคือความสัมพันธ์ที่มีสถานะเท่าเทียมกัน ดังนั้น ตัวตนเช่นนี้ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนรู้สึกตกตะลึงและอยากรู้ถึงที่มาของชายหนุ่ม

ควบคู่ไปกับความจริงที่ว่า เฉินซีได้เข่นฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหนึ่งคนของตระกูลซูด้วยการบ่มเพาะที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล และในตอนที่อยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เขาได้บดขยี้ค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีของตระกูลซูเพียงลำพัง อีกทั้งยังทำลายล้างผู้บ่มเพาะลึกลับทั้ง 32 คนที่แข็งแกร่ง และยังพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาไว้ในครอบครอง…

การกระทำอันน่าอัศจรรย์มากมายที่ราวกับเป็นปาฏิหาริย์นี้ ทำให้ชื่อของเฉินซีเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองทะเลสาบมังกร และทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะในดินแดนทางตอนใต้ต้องตื่นตระหนก ดังนั้นจะมีผู้ใดยังกล้าดูแคลนผู้เยาว์ที่มาจากเมืองหมอกสนอันไกลโพ้นอีกเล่า?

ด้วยเหตุนี้เองเมื่อหวังหว่าน ตงฟาง และศิษย์สายในอีกเจ็ดสิบคนได้รับใช้เฉินซี พวกเขาจึงให้ความเคารพอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นที่เขาอายุยังน้อย

“พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน” เฉินซีโบกมือขณะที่เขาสั่งให้เหล่าศิษย์ออกไปก่อนจะเดินเข้าไปในห้องโถง จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองไปยังทุกคนทีละคน ก่อนจะประสานมือและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้น้อยเฉินซีขอคารวะผู้อาวุโสทั้งหลาย” หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าให้พวกของตู้ชิงซีและเฉินฮ่าว

เมื่อพวกเขาได้ยินเฉินซีทักทายพวกเขาในฐานะผู้เยาว์ นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนและผู้นำตระกูลทั้งสามแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพวกเขาก็แอบชื่นชมเฉินซีที่มีมารยาท

ก่อนหน้านี้ เมื่อศิษย์สายในเรียกเฉินซีว่าบรรพจารย์อา นอกจากจะทำให้พวกเขารู้สึกตกใจแล้ว พวกเขายังรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะตอนนี้เฉินซีมีสถานะใกล้เคียงกับเป่ยเหิง ซึ่งถ้าจะนับกันจริง ๆ พวกเขาทุกคนจะกลายเป็นผู้เยาว์ของเฉินซีทันที แต่คำกล่าวของเฉินซีได้แก้ไขสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนของทุกคน

ถึงแม้ว่าเฉินซีจะกล่าวเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเห็นด้วยอย่างโจ่งแจ้ง เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เฉินซีก็ยังคงเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเป่ยเหิงผู้เป็นบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอยู่ดี

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อเฉินซีอย่างไรดี

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าทุกคนจะเคยเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกมามากมาย แต่นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับการดำรงอยู่ที่แปลกประหลาดเฉกเช่นเฉินซี จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะสับสนไปชั่วขณะ

“ท่านผู้อาวุโส เราจะรักษาความสัมพันธ์ของเราซึ่งกันและกันแบบเดิม ดังนั้นพวกท่านทุกคนสามารถเรียกข้าว่าเฉินซีได้ ไม่เช่นนั้นน้องชายของข้าอาจจะต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ลุงด้วย ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก” เฉินซียิ้ม

“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะล้ำเส้นและเรียกเจ้าว่าเฉินซีก็แล้วกัน แต่เจ้าอย่าได้เรียกข้าว่าผู้อาวุโสอีก จงเรียกข้าว่าเหวินเสวี่ยนก็พอ” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนยิ้มอย่างอบอุ่น และมองเฉินซีด้วยสายตาชื่นชม

“ใช่แล้ว เราต่างรักษาความสัมพันธ์ของตัวเองเป็นหลัก วิธีนี้จะดีที่สุด” ตู้อู่หยวน และผู้นำตระกูลอีกสองคนกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม และน้ำเสียงของพวกเขาก็อ่อนโยนต่อเฉินซีอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ้ ไอ้เจ้าเด็กนี้จัดการกับความสัมพันธ์ได้ดีมาก เขามีสถานะที่อาวุโสพอ ๆ กันกับพ่อของข้า ดังนั้น ย่อมหมายความว่าข้าต้องเรียกเขาว่าท่านลุงใช่ไหม?” ต้วนมู่เจ๋อใช้ศอกกระทุ้งซ่งหลินขณะที่เขากล่าวอย่างแผ่วเบา

“พวกเขาได้ตกลงที่จะรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาเอง แล้วเจ้ายังจะสนใจอะไรอีก? แต่ถ้าเฉินซีต้องการหาประโยชน์จากตัวเจ้า เจ้าคงต้องเรียกเขาว่าท่านลุง เพราะอย่างไรซะ ท่านพ่อของเจ้าฏ้เป็นผู้ที่มีระดับอาวุโสต่ำกว่านักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน!” ซ่งหลินเหลือบมองต้วนมู่เจ๋อขณะที่เขาตอบกลับ

ทันทีที่ปัญหาเรื่องความอาวุโสได้รับการแก้ไข บรรยากาศในห้องโถงก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอย่างรวดเร็ว

นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนและคนอื่น ๆ มาครั้งนี้ด้วยเรื่องของผู้บ่มเพาะลึกลับที่ไม่ทราบที่มาซึ่งปรากฏตัวในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ พวกมันล้วนโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี และไม่คำนึงถึงชีวิตและความตาย

พวกมันเป็นเหมือนผู้ภักดีที่ได้รับการฝึกฝนจากกองกำลังอันยิ่งใหญ่ แต่พวกเขากลับไม่ค้นพบเบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับผู้บ่มเพาะเหล่านั้น ราวกับว่าพวกมันปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ ซึ่งได้กระตุ้นการเฝ้าระวังของกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ของเมืองทะเลสาบมังกรในทันที

เนื่องจากผู้บ่มเพาะลึกลับเหล่านี้ล้วนเสียชีวิตอย่างอนาถด้วยน้ำมือของเฉินซี ดังนั้นเหวินเสวี่ยน และคนอื่น ๆ จึงมาเยือนโดยหวังว่าจะได้รับเบาะแสบางอย่างจากเขา

เมื่อเหล่าผู้อาวุโสกล่าวถึงผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาเหล่านี้ เฉินซีก็นึกถึงเรื่องหนึ่งได้ในทันที และด้วยคำสั่งในใจของเขา ตราคำสั่งสีดำขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาแล้ว

พื้นผิวของตราคำสั่งนี้เป็นสีดำสนิทและเย็นยะเยือก ดูคล้ายทำขึ้นจากเหล็กก็ไม่ใช่ และบนตราคำสั่งถูกแกะสลักลวดลายของจันทร์เสี้ยวสีแดงเข้ม แต่มันเหมือนเคียวที่เปื้อนเลือดเสียมากกว่า อีกทั้งยังดูน่าขนลุกและลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าได้รับตราคำสั่งนี้จากกระเป๋ามิติของผู้นำกลุ่มพวกมันที่มีชื่อว่าจ้านคง หลังจากที่ข้าทำลายล้างผู้บ่มเพาะลึกลับ 32 คนทั้งหมด ตัวข้าเองก็ไม่ทราบที่มาของมัน แต่ว่าบางทีมันอาจเป็นประโยชน์ต่อพวกท่านทุกคน” เฉินซีส่งตราคำสั่งให้นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน

“จันทร์เสี้ยวสีเลือด… ข้าดูเหมือนจะเคยได้ยินเกี่ยวกับสัญลักษณ์นี้จากที่ไหนสักแห่ง?” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนไตร่ตรองอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะขมวดคิ้วและพึมพำว่า

“มันคือนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต!” ตู้อู่หยวนที่อยู่ใกล้เคียงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ และจากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงขณะที่เขาอุทานออกมา

“เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตถูกทำลายล้างไปเมื่อสามพันปีก่อนหรือ?”

“ใช่แล้ว ในปีนั้น จักรพรรดิซ่งได้เรียกผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมดในต้าซ่งมารวมตัวกัน จากนั้นก็ได้เปิดฉากต่อสู้กับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตในแดนรกร้างนรกโลหิตเป็นเวลาถึงสามเดือน และในที่สุดก็สามารถทำลายพวกมันลงได้ หลังจากนั้นราชวงศ์ซ่งก็ใช้เวลาอีกสองสามปีในการกวาดล้างศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตที่หลงเหลืออยู่ ดังนั้น ในช่วงสามพันปีที่ผ่านมา จึงไม่มีผู้ใดที่ได้พบเห็นร่องรอยของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต แล้วมันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันฟื้นขึ้นมาจากเถ้าถ่านแล้ว?” สีหน้าของซ่งเหวินชงและต้วนมู่อวิ๋นคงกลายเป็นน่าสะพรึงกลัวอย่างพร้อมเพรียง

เมื่อเห็นผู้นำตระกูลทั้งสามที่มีสถานะและอำนาจ สูญเสียความสงบและความสำรวมไปพร้อม ๆ กัน บรรยากาศภายในห้องโถงก็หนักอึ้งขึ้นทันที และทำให้อารมณ์ของผู้อื่นตึงเครียดตามไปด้วย

เฉินซีรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตได้กรำทำการชั่วร้ายเยี่ยงใดขึ้น จนทำให้ผู้บ่มเพาะในโลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมดของราชวงศ์ซ่ง ต้องระดมกำลังเพื่อที่กำจัดพวกมัน?

“มันน่าจะเป็นเช่นนั้น ตราคำสั่งจันทร์เสี้ยวโลหิตนี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ มีเพียงผู้อาวุโสของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเท่านั้นที่สามารถสร้างสิ่งนี้ได้” ท่ามกลางบรรยากาศที่บีบคั้นเช่นนี้ นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งและสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียด “ผู้บ่มเพาะลึกลับเหล่านั้นต้องเป็นพวกซากทัพที่หลงเหลืออยู่จากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเป็นแน่!”

“บัดซบ! เมื่อหลายปีก่อน นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตทำให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ในโลกแห่งการบ่มเพาะของเรา พวกมันสังหารผู้บ่มเพาะไปทุกหนทุกแห่ง และตั้งใจที่จะทำให้ราชวงศ์ซ่งยอมสยบภายใต้อำนาจของพวกมันอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ พวกมันได้ฟื้นขึ้นมาจากกองเถ้าถ่านแล้ว ข้าเกรงว่าโลกแห่งการบ่มเพาะจะตกอยู่ในอันตราย และจะเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่อีกครั้ง” ตู้อู่หยวนลุกขึ้นยืนทันทีและกล่าวด้วยเสียงที่หนักอึ้ง “ไม่สิ เรื่องนี้สำคัญมาก ดังนั้น ข้าต้องกลับไปยังตระกูลของข้าก่อน ทุกท่าน ข้าขอตัวลา”

ในขณะที่เขากล่าว เขาก็จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามองอีก และไม่มีเวลาแม้แต่จะพาลูกสาวของเขาติดตามไปด้วย ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นได้ว่าความรู้สึกของเขาหนักอึ้งเพียงใดในขณะนี้

หลังจากนั้น ซ่งเหวินชงและต้วนมู่อวิ๋นคงก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และพวกเขาก็แยกย้ายกันจากไป เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หัวใจของเฉินซีก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งโดยไม่มีเหตุผล เป็นไปได้หรือไม่ว่า นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นจะน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก?

‘หากมันเป็นเช่นนี้จริง ๆ ยามนี้ ข้าได้เข่นฆ่าศิษย์ทั้ง 32 คนของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตและยังยึดยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมมาไว้ในครอบครอง ก่อนที่จะพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ในภายหลัง ดังนั้น อาจถือได้ว่าข้าได้รุกรานนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตในระดับร้ายแรง ในภายภาคหน้า หากผู้บ่มเพาะของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตกลับเข้าสู่โลกแห่งการบ่มเพาะอีกครั้ง ข้าย่อมกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งในสายตาของพวกมันอย่างแน่นอน…’

“ดูเหมือนโลกแห่งการบ่มเพาะจะพบกับความวุ่นวายอีกครั้ง!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนถอนหายใจ

“ท่านอาจารย์ เหตุใดถึงต้องไปเกรงกลัว? เราจะกำจัดทุกสิ่งที่เข้ามาขวางทาง! นอกจากนี้ ทุกครั้งที่เผชิญกับปัญหา มันจะเป็นเวลาที่วีรบุรุษปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับพวกเราผู้บ่มเพาะ นี่เป็นช่วงเวลาในการขัดเกลาตัวเองที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง โดยกำจัดเหล่าผู้คนโฉดชั่ว! นี่มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือขอรับ?” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยท่าทางที่แน่วแน่ ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ และเผยให้เห็นร่องรอยของความตื่นเต้นเล็กน้อย

“ไอ้เด็กโง่!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ และตำหนิว่า “เจ้ายังเด็กนัก เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด? สามพันปีที่แล้ว ประมุขนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตและผู้อาวุโสของนิกายทั้งสามสิบหกคน ต่างก็มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนปฐพี และพวกมันมีศิษย์มากกว่าล้านคน หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิซ่งได้เรียกรวมผู้บ่มเพาะทั้งหมดในช่วงเวลาวิกฤต ข้าเกรงว่าราชวงศ์ซ่งในตอนนี้คงจะกลายเป็นอาณาเขตของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตไปแล้ว!”

“มันน่าเกรงขามขนาดนั้นเลยหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะแอบประหลาดใจ เพียงนิกายเดียวกลับมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีมากกว่าสามสิบคน แค่คิดถึงความแข็งแกร่งเช่นนั้นก็ทำให้เขาใจสั่นอย่างไม่มีสิ้นสุด

“ไม่ใช่แค่น่าเกรงขาม!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนถอนหายใจอีกครั้ง “แม้ว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตจะถูกทำลายไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ผู้บ่มเพาะชั้นยอดเกือบทั้งหมดของราชวงศ์ซ่งก็ได้ล้มตายเช่นเดียวกัน ทำให้ราชวงศ์ซ่งเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าจะมีการฟื้นตัวตลอดเวลาสามพันปี แต่ก็ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดเมื่อตอนนั้น ยกตัวอย่างเช่น นิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเราที่เคยมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีหกคนเมื่อตอนนั้น แต่หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น มีเพียงอาจารย์ของข้าเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาและผู้อาวุโสอีกห้าคนที่เหลือต่างก็ล้มตายไปหมดแล้ว”

เฉินซีได้แต่รับฟังอย่างนิ่งเงียบและพูดไม่ออกในทันที

“เอาล่ะ ข้าจะไปพบประมุขนิกายหลิงคงจื่อก่อน แล้วเราค่อยหาโอกาสมาสนทนากันในภายหลัง อ้อ จริงสิ ห้ามนำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายแก่ผู้อื่น ไม่เช่นนั้นผู้คนจะแตกตื่นและจะจัดการได้ยาก” เหวินเสวี่ยนสั่ง จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะก่อนจะลุกขึ้นและจากไป

ด้วยเหตุนี้ ในตอนนี้จึงมีเพียงเฉินซี ตู้ชิงซี ซ่งหลิน ต้วนมู่เจ๋อ และ เฉินฮ่าวเท่านั้นที่ยังคงรั้งอยู่ในห้องโถง พวกเขาทั้งหมดยังเด็กอยู่ แม้ว่าจะรู้สึกได้ว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใดจากคำพูดของผู้อาวุโสของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ตกอยู่ในความวิตกกังวลมากเท่าไรนัก

หลังจากสนทนากันครู่หนึ่ง จู่ ๆ เฉินซีก็นึกบางอย่างขึ้นได้ และเขาถามเฉินฮ่าวว่า “ตอนที่เจ้าออกจากเมืองหมอกสน เจ้าไม่ได้อยู่กับอาจารย์เมิ่งคงและท่านน้าไป๋หรอกหรือ? ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด? ข้าจะหาเวลาไปเยี่ยมพวกเขาบ้าง”

ท่านน้าไป๋ย่อมคือ ไป๋หว่านฉิง เพื่อนบ้านของเฉินซีตอนที่เขาอยู่ในเมืองหมอกสน เฉินซีและเฉินฮ่าวได้รับการดูแลจากนางอย่างดีตั้งแต่ยังเด็ก และพวกเขาก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน เฉินฮ่าวเข้าสู่สำนักหมอกสนเพื่อบ่มเพาะ และเข้าสู่เมืองทะเลสาบมังกรเพื่อเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจรด้วยความช่วยเหลือของไป๋หว่านฉิง

“ข้าก็อยากรู้เช่นเดียวกัน ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมนิกาย ท่านน้าไป๋และอาจารย์เมิ่งคงเคยบอกข้าว่าพวกเขาจะอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกรสักสองสามปี และเมื่อซีซีโตขึ้นอีกนิด พวกเขาจะเดินทางไปนครหลวงธารสายไหม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่ง แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่ข้าเข้าไปในเมืองทะเลสาบมังกร ข้ากลับไม่พบกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยความผิดหวัง “แม้แต่ที่พักที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ก็เปลี่ยนเจ้าของ พวกเขาจากไปโดยไม่ร่ำลาและไม่ได้ทิ้งข้อความใด ๆ ไว้เลย”

เฉินซีขมวดคิ้วแน่น ในตอนนี้ก็ถือว่าเขาประสบความสำเร็จอยู่บ้าง และมีทรัพย์สินมากพอประมาณอยู่ในครอบครอง เดิมทีเขาตั้งใจจะขอบคุณท่านน้าไป๋และอาจารย์เมิ่งคงหลังจากที่พบคนทั้งสอง แต่จากสิ่งที่เฉินฮ่าวได้กล่าวออกมา คนทั้งคู่คงออกจากเมืองทะเลสาบมังกรไปนานแล้ว จึงทำให้เฉินซีรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งอยู่ในใจ

“พวกเขาเคยอาศัยอยู่ที่ไหน บางทีพวกเราอาจช่วยตามหาได้” จู่ ๆ ตู้ชิงซีก็ถามขึ้น

“จริงสิ กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังตู้ชิงซี และคนอื่น ๆ ครอบคลุมเมืองทะเลสาบมังกรทั้งหมด ถ้าข้าได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนบางทีอาจจะค้นพบเงื่อนงำบางอย่างได้” เฉินซีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเฉินฮ่าว

“ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยพักอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองทะเลสาบมังกร ที่ดูเหมือนจะเรียกว่า… เรียกว่า…” เฉินฮ่าวยืนขึ้นและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี เอาเป็นว่าข้าขอพาพวกท่านทั้งหมดไปที่นั่นเลยน่าจะดีกว่า”

“ตกลง เราไม่มีอะไรต้องทำแล้ว การไปที่นั่นก็ได้ผลเช่นกัน” ตู้ชิงซีพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นนางก็หันไปถามต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลิน “แล้วเจ้าทั้งสองคนล่ะ”

ต้วนมู่เจ๋อกางแขนออกประหนึ่งว่าทำเสียไม่ได้ “เราจะกล้าขัดคำสั่งของคุณหนูตู้ได้อย่างไร?”

สายตาของสหายคนนี้ช่างสังเกต และเขาสังเกตเห็นได้ในทันทีว่าเหตุผลที่ตู้ชิงซีทุ่มเทให้กับเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะเฉินซี สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาและขมขื่นอยู่ในใจ อีกทั้งยังทำให้ความคิดที่จะแข่งขันกับเฉินซีเพื่อตู้ซิงซีก็ดับลงโดยสิ้นเชิง

‘ทำอย่างไรได้ ความรักเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความรู้สึกร่วมกันและเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้’

กลุ่มของเฉินซีจากไปในทันที พวกเขาออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองทะเลสาบมังกรภายใต้การนำของเฉินฮ่าว เนื่องจากเมืองทะเลสาบมังกรมีขนาดใหญ่เกินไป อีกทั้งยังถูกห้ามบินบนท้องฟ้า เพื่อใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด พวกเขาทั้งหมดจึงนั่งในรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้า ที่คุณชายต้วนมู่ได้ขอมาจากท่านพ่อของเขาอีกครั้ง และมันได้พาพวกเขาทะยานออกไปราวกับสายฟ้าฟาด

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเดินทางไปได้เพียงครึ่งทาง จู่ ๆ เฉินซีก็สังเกตเห็นร่องรอยของบางสิ่ง จากนั้นญาณศักดิ์สิทธิ์อันน่าเกรงขามของเขาก็กวาดออกไปโดยรอบสองร้อยหกสิบลี้ในทันที และเขาก็พบเห็นร่างที่มีการเคลื่อนไหวที่น่าสงสัยอย่างรวดเร็ว

คนผู้นี้สวมชุดสีดำทั้งตัว การเคลื่อนไหวของเขาไม่แน่นอน แต่ความเร็วของเขานั้นรวดเร็วมาก และกำลังตามหลังรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้าอย่างใกล้ชิด เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นั้นกำลังติดตามกลุ่มพวกเขาอยู่

‘ดูเหมือนว่า ตั้งแต่ข้าออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ข้าจะตกเป็นเป้าหมายของคนผู้นี้…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าบุคคลนี้ซ่อนตัวอยู่นอกนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมาเป็นเวลานานแล้ว และทั้งหมดก็เพื่อรอเฉินซีปรากฏตัว!

‘คนผู้นี้คือใครกันแน่?’

‘เขาต้องการสิ่งใดถึงตามพวกเรามา?’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเขาคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่า คนผู้นี้อาจเป็นหน่วยสอดแนมที่ตระกูลซูส่งออกมา หรือไม่ก็เป็นคนที่อยากได้สมบัติอมตะของเขา แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร เจตนาของชายชุดดำนั้นย่อมเป็นอันตรายต่อเฉินซีอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจในทันทีว่าจะมอบบทเรียนแก่คนผู้นี้

โอม!

ญาณศักดิ์สิทธิ์ที่หนาแน่นของเฉินซีควบแน่นกลายเป็นภูเขาสูงตระหง่านและพุ่งไปบดขยี้จิตสำนึกของคนในชุดดำ สิ่งนี้คือเคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพที่เฉินซีบ่มเพาะมาอย่างเชี่ยวชาญ ซึ่งมันสามารถโจมตีดวงจิตได้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 153 นิกายอสูรปรากฏ

ณ ยอดเขาใจสัจธรรม ที่ห้ืองโถงใหญ่ของตำหนัก

“คารวะบรรพจารย์อา! เมื่อเห็นเฉินซีเดินเข้ามา ศิษย์ชายและหญิงทั้งที่ยืนอยู่ทั้งสองด้านของห้องโถงหรือกำลังรินน้ำชาให้แขกต่างก็โค้งคำนับทักทายอย่างพร้อมเพรียงด้วยท่าทางที่เคารพเป็นอย่างยิ่ง

ในเดือนที่ผ่านมา ชื่อของยอดเขาใจสัจธรรมได้ทำให้นิกายกระบี่เมฆาพเนจรเกิดความปั่นป่วนเป็นอย่างมาก ซึ่งเจ้าของยอดเขาก็คือเฉินซีที่ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงของเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายต่างก็ต้องพูดถึง

เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่า เฉินซีได้รับการยอมรับเป็นการส่วนตัวโดยบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเขา และนั่นคือความสัมพันธ์ที่มีสถานะเท่าเทียมกัน ดังนั้น ตัวตนเช่นนี้ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนรู้สึกตกตะลึงและอยากรู้ถึงที่มาของชายหนุ่ม

ควบคู่ไปกับความจริงที่ว่า เฉินซีได้เข่นฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหนึ่งคนของตระกูลซูด้วยการบ่มเพาะที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล และในตอนที่อยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เขาได้บดขยี้ค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีของตระกูลซูเพียงลำพัง อีกทั้งยังทำลายล้างผู้บ่มเพาะลึกลับทั้ง 32 คนที่แข็งแกร่ง และยังพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาไว้ในครอบครอง…

การกระทำอันน่าอัศจรรย์มากมายที่ราวกับเป็นปาฏิหาริย์นี้ ทำให้ชื่อของเฉินซีเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองทะเลสาบมังกร และทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะในดินแดนทางตอนใต้ต้องตื่นตระหนก ดังนั้นจะมีผู้ใดยังกล้าดูแคลนผู้เยาว์ที่มาจากเมืองหมอกสนอันไกลโพ้นอีกเล่า?

ด้วยเหตุนี้เองเมื่อหวังหว่าน ตงฟาง และศิษย์สายในอีกเจ็ดสิบคนได้รับใช้เฉินซี พวกเขาจึงให้ความเคารพอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นที่เขาอายุยังน้อย

“พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน” เฉินซีโบกมือขณะที่เขาสั่งให้เหล่าศิษย์ออกไปก่อนจะเดินเข้าไปในห้องโถง จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองไปยังทุกคนทีละคน ก่อนจะประสานมือและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้น้อยเฉินซีขอคารวะผู้อาวุโสทั้งหลาย” หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าให้พวกของตู้ชิงซีและเฉินฮ่าว

เมื่อพวกเขาได้ยินเฉินซีทักทายพวกเขาในฐานะผู้เยาว์ นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนและผู้นำตระกูลทั้งสามแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพวกเขาก็แอบชื่นชมเฉินซีที่มีมารยาท

ก่อนหน้านี้ เมื่อศิษย์สายในเรียกเฉินซีว่าบรรพจารย์อา นอกจากจะทำให้พวกเขารู้สึกตกใจแล้ว พวกเขายังรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะตอนนี้เฉินซีมีสถานะใกล้เคียงกับเป่ยเหิง ซึ่งถ้าจะนับกันจริง ๆ พวกเขาทุกคนจะกลายเป็นผู้เยาว์ของเฉินซีทันที แต่คำกล่าวของเฉินซีได้แก้ไขสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนของทุกคน

ถึงแม้ว่าเฉินซีจะกล่าวเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเห็นด้วยอย่างโจ่งแจ้ง เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เฉินซีก็ยังคงเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเป่ยเหิงผู้เป็นบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอยู่ดี

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อเฉินซีอย่างไรดี

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าทุกคนจะเคยเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกมามากมาย แต่นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับการดำรงอยู่ที่แปลกประหลาดเฉกเช่นเฉินซี จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะสับสนไปชั่วขณะ

“ท่านผู้อาวุโส เราจะรักษาความสัมพันธ์ของเราซึ่งกันและกันแบบเดิม ดังนั้นพวกท่านทุกคนสามารถเรียกข้าว่าเฉินซีได้ ไม่เช่นนั้นน้องชายของข้าอาจจะต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ลุงด้วย ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก” เฉินซียิ้ม

“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะล้ำเส้นและเรียกเจ้าว่าเฉินซีก็แล้วกัน แต่เจ้าอย่าได้เรียกข้าว่าผู้อาวุโสอีก จงเรียกข้าว่าเหวินเสวี่ยนก็พอ” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนยิ้มอย่างอบอุ่น และมองเฉินซีด้วยสายตาชื่นชม

“ใช่แล้ว เราต่างรักษาความสัมพันธ์ของตัวเองเป็นหลัก วิธีนี้จะดีที่สุด” ตู้อู่หยวน และผู้นำตระกูลอีกสองคนกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม และน้ำเสียงของพวกเขาก็อ่อนโยนต่อเฉินซีอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ้ ไอ้เจ้าเด็กนี้จัดการกับความสัมพันธ์ได้ดีมาก เขามีสถานะที่อาวุโสพอ ๆ กันกับพ่อของข้า ดังนั้น ย่อมหมายความว่าข้าต้องเรียกเขาว่าท่านลุงใช่ไหม?” ต้วนมู่เจ๋อใช้ศอกกระทุ้งซ่งหลินขณะที่เขากล่าวอย่างแผ่วเบา

“พวกเขาได้ตกลงที่จะรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาเอง แล้วเจ้ายังจะสนใจอะไรอีก? แต่ถ้าเฉินซีต้องการหาประโยชน์จากตัวเจ้า เจ้าคงต้องเรียกเขาว่าท่านลุง เพราะอย่างไรซะ ท่านพ่อของเจ้าฏ้เป็นผู้ที่มีระดับอาวุโสต่ำกว่านักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน!” ซ่งหลินเหลือบมองต้วนมู่เจ๋อขณะที่เขาตอบกลับ

ทันทีที่ปัญหาเรื่องความอาวุโสได้รับการแก้ไข บรรยากาศในห้องโถงก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอย่างรวดเร็ว

นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนและคนอื่น ๆ มาครั้งนี้ด้วยเรื่องของผู้บ่มเพาะลึกลับที่ไม่ทราบที่มาซึ่งปรากฏตัวในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ พวกมันล้วนโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี และไม่คำนึงถึงชีวิตและความตาย

พวกมันเป็นเหมือนผู้ภักดีที่ได้รับการฝึกฝนจากกองกำลังอันยิ่งใหญ่ แต่พวกเขากลับไม่ค้นพบเบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับผู้บ่มเพาะเหล่านั้น ราวกับว่าพวกมันปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ ซึ่งได้กระตุ้นการเฝ้าระวังของกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ของเมืองทะเลสาบมังกรในทันที

เนื่องจากผู้บ่มเพาะลึกลับเหล่านี้ล้วนเสียชีวิตอย่างอนาถด้วยน้ำมือของเฉินซี ดังนั้นเหวินเสวี่ยน และคนอื่น ๆ จึงมาเยือนโดยหวังว่าจะได้รับเบาะแสบางอย่างจากเขา

เมื่อเหล่าผู้อาวุโสกล่าวถึงผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาเหล่านี้ เฉินซีก็นึกถึงเรื่องหนึ่งได้ในทันที และด้วยคำสั่งในใจของเขา ตราคำสั่งสีดำขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาแล้ว

พื้นผิวของตราคำสั่งนี้เป็นสีดำสนิทและเย็นยะเยือก ดูคล้ายทำขึ้นจากเหล็กก็ไม่ใช่ และบนตราคำสั่งถูกแกะสลักลวดลายของจันทร์เสี้ยวสีแดงเข้ม แต่มันเหมือนเคียวที่เปื้อนเลือดเสียมากกว่า อีกทั้งยังดูน่าขนลุกและลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าได้รับตราคำสั่งนี้จากกระเป๋ามิติของผู้นำกลุ่มพวกมันที่มีชื่อว่าจ้านคง หลังจากที่ข้าทำลายล้างผู้บ่มเพาะลึกลับ 32 คนทั้งหมด ตัวข้าเองก็ไม่ทราบที่มาของมัน แต่ว่าบางทีมันอาจเป็นประโยชน์ต่อพวกท่านทุกคน” เฉินซีส่งตราคำสั่งให้นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน

“จันทร์เสี้ยวสีเลือด… ข้าดูเหมือนจะเคยได้ยินเกี่ยวกับสัญลักษณ์นี้จากที่ไหนสักแห่ง?” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนไตร่ตรองอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะขมวดคิ้วและพึมพำว่า

“มันคือนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต!” ตู้อู่หยวนที่อยู่ใกล้เคียงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ และจากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงขณะที่เขาอุทานออกมา

“เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตถูกทำลายล้างไปเมื่อสามพันปีก่อนหรือ?”

“ใช่แล้ว ในปีนั้น จักรพรรดิซ่งได้เรียกผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมดในต้าซ่งมารวมตัวกัน จากนั้นก็ได้เปิดฉากต่อสู้กับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตในแดนรกร้างนรกโลหิตเป็นเวลาถึงสามเดือน และในที่สุดก็สามารถทำลายพวกมันลงได้ หลังจากนั้นราชวงศ์ซ่งก็ใช้เวลาอีกสองสามปีในการกวาดล้างศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตที่หลงเหลืออยู่ ดังนั้น ในช่วงสามพันปีที่ผ่านมา จึงไม่มีผู้ใดที่ได้พบเห็นร่องรอยของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต แล้วมันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันฟื้นขึ้นมาจากเถ้าถ่านแล้ว?” สีหน้าของซ่งเหวินชงและต้วนมู่อวิ๋นคงกลายเป็นน่าสะพรึงกลัวอย่างพร้อมเพรียง

เมื่อเห็นผู้นำตระกูลทั้งสามที่มีสถานะและอำนาจ สูญเสียความสงบและความสำรวมไปพร้อม ๆ กัน บรรยากาศภายในห้องโถงก็หนักอึ้งขึ้นทันที และทำให้อารมณ์ของผู้อื่นตึงเครียดตามไปด้วย

เฉินซีรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตได้กรำทำการชั่วร้ายเยี่ยงใดขึ้น จนทำให้ผู้บ่มเพาะในโลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมดของราชวงศ์ซ่ง ต้องระดมกำลังเพื่อที่กำจัดพวกมัน?

“มันน่าจะเป็นเช่นนั้น ตราคำสั่งจันทร์เสี้ยวโลหิตนี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ มีเพียงผู้อาวุโสของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเท่านั้นที่สามารถสร้างสิ่งนี้ได้” ท่ามกลางบรรยากาศที่บีบคั้นเช่นนี้ นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งและสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียด “ผู้บ่มเพาะลึกลับเหล่านั้นต้องเป็นพวกซากทัพที่หลงเหลืออยู่จากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเป็นแน่!”

“บัดซบ! เมื่อหลายปีก่อน นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตทำให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ในโลกแห่งการบ่มเพาะของเรา พวกมันสังหารผู้บ่มเพาะไปทุกหนทุกแห่ง และตั้งใจที่จะทำให้ราชวงศ์ซ่งยอมสยบภายใต้อำนาจของพวกมันอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ พวกมันได้ฟื้นขึ้นมาจากกองเถ้าถ่านแล้ว ข้าเกรงว่าโลกแห่งการบ่มเพาะจะตกอยู่ในอันตราย และจะเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่อีกครั้ง” ตู้อู่หยวนลุกขึ้นยืนทันทีและกล่าวด้วยเสียงที่หนักอึ้ง “ไม่สิ เรื่องนี้สำคัญมาก ดังนั้น ข้าต้องกลับไปยังตระกูลของข้าก่อน ทุกท่าน ข้าขอตัวลา”

ในขณะที่เขากล่าว เขาก็จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามองอีก และไม่มีเวลาแม้แต่จะพาลูกสาวของเขาติดตามไปด้วย ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นได้ว่าความรู้สึกของเขาหนักอึ้งเพียงใดในขณะนี้

หลังจากนั้น ซ่งเหวินชงและต้วนมู่อวิ๋นคงก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และพวกเขาก็แยกย้ายกันจากไป เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หัวใจของเฉินซีก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งโดยไม่มีเหตุผล เป็นไปได้หรือไม่ว่า นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นจะน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก?

‘หากมันเป็นเช่นนี้จริง ๆ ยามนี้ ข้าได้เข่นฆ่าศิษย์ทั้ง 32 คนของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตและยังยึดยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมมาไว้ในครอบครอง ก่อนที่จะพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ในภายหลัง ดังนั้น อาจถือได้ว่าข้าได้รุกรานนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตในระดับร้ายแรง ในภายภาคหน้า หากผู้บ่มเพาะของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตกลับเข้าสู่โลกแห่งการบ่มเพาะอีกครั้ง ข้าย่อมกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งในสายตาของพวกมันอย่างแน่นอน…’

“ดูเหมือนโลกแห่งการบ่มเพาะจะพบกับความวุ่นวายอีกครั้ง!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนถอนหายใจ

“ท่านอาจารย์ เหตุใดถึงต้องไปเกรงกลัว? เราจะกำจัดทุกสิ่งที่เข้ามาขวางทาง! นอกจากนี้ ทุกครั้งที่เผชิญกับปัญหา มันจะเป็นเวลาที่วีรบุรุษปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับพวกเราผู้บ่มเพาะ นี่เป็นช่วงเวลาในการขัดเกลาตัวเองที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง โดยกำจัดเหล่าผู้คนโฉดชั่ว! นี่มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือขอรับ?” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยท่าทางที่แน่วแน่ ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ และเผยให้เห็นร่องรอยของความตื่นเต้นเล็กน้อย

“ไอ้เด็กโง่!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ และตำหนิว่า “เจ้ายังเด็กนัก เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด? สามพันปีที่แล้ว ประมุขนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตและผู้อาวุโสของนิกายทั้งสามสิบหกคน ต่างก็มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนปฐพี และพวกมันมีศิษย์มากกว่าล้านคน หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิซ่งได้เรียกรวมผู้บ่มเพาะทั้งหมดในช่วงเวลาวิกฤต ข้าเกรงว่าราชวงศ์ซ่งในตอนนี้คงจะกลายเป็นอาณาเขตของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตไปแล้ว!”

“มันน่าเกรงขามขนาดนั้นเลยหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะแอบประหลาดใจ เพียงนิกายเดียวกลับมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีมากกว่าสามสิบคน แค่คิดถึงความแข็งแกร่งเช่นนั้นก็ทำให้เขาใจสั่นอย่างไม่มีสิ้นสุด

“ไม่ใช่แค่น่าเกรงขาม!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนถอนหายใจอีกครั้ง “แม้ว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตจะถูกทำลายไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ผู้บ่มเพาะชั้นยอดเกือบทั้งหมดของราชวงศ์ซ่งก็ได้ล้มตายเช่นเดียวกัน ทำให้ราชวงศ์ซ่งเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าจะมีการฟื้นตัวตลอดเวลาสามพันปี แต่ก็ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดเมื่อตอนนั้น ยกตัวอย่างเช่น นิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเราที่เคยมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีหกคนเมื่อตอนนั้น แต่หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น มีเพียงอาจารย์ของข้าเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาและผู้อาวุโสอีกห้าคนที่เหลือต่างก็ล้มตายไปหมดแล้ว”

เฉินซีได้แต่รับฟังอย่างนิ่งเงียบและพูดไม่ออกในทันที

“เอาล่ะ ข้าจะไปพบประมุขนิกายหลิงคงจื่อก่อน แล้วเราค่อยหาโอกาสมาสนทนากันในภายหลัง อ้อ จริงสิ ห้ามนำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายแก่ผู้อื่น ไม่เช่นนั้นผู้คนจะแตกตื่นและจะจัดการได้ยาก” เหวินเสวี่ยนสั่ง จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะก่อนจะลุกขึ้นและจากไป

ด้วยเหตุนี้ ในตอนนี้จึงมีเพียงเฉินซี ตู้ชิงซี ซ่งหลิน ต้วนมู่เจ๋อ และ เฉินฮ่าวเท่านั้นที่ยังคงรั้งอยู่ในห้องโถง พวกเขาทั้งหมดยังเด็กอยู่ แม้ว่าจะรู้สึกได้ว่านิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใดจากคำพูดของผู้อาวุโสของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ตกอยู่ในความวิตกกังวลมากเท่าไรนัก

หลังจากสนทนากันครู่หนึ่ง จู่ ๆ เฉินซีก็นึกบางอย่างขึ้นได้ และเขาถามเฉินฮ่าวว่า “ตอนที่เจ้าออกจากเมืองหมอกสน เจ้าไม่ได้อยู่กับอาจารย์เมิ่งคงและท่านน้าไป๋หรอกหรือ? ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด? ข้าจะหาเวลาไปเยี่ยมพวกเขาบ้าง”

ท่านน้าไป๋ย่อมคือ ไป๋หว่านฉิง เพื่อนบ้านของเฉินซีตอนที่เขาอยู่ในเมืองหมอกสน เฉินซีและเฉินฮ่าวได้รับการดูแลจากนางอย่างดีตั้งแต่ยังเด็ก และพวกเขาก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน เฉินฮ่าวเข้าสู่สำนักหมอกสนเพื่อบ่มเพาะ และเข้าสู่เมืองทะเลสาบมังกรเพื่อเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจรด้วยความช่วยเหลือของไป๋หว่านฉิง

“ข้าก็อยากรู้เช่นเดียวกัน ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมนิกาย ท่านน้าไป๋และอาจารย์เมิ่งคงเคยบอกข้าว่าพวกเขาจะอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกรสักสองสามปี และเมื่อซีซีโตขึ้นอีกนิด พวกเขาจะเดินทางไปนครหลวงธารสายไหม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่ง แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่ข้าเข้าไปในเมืองทะเลสาบมังกร ข้ากลับไม่พบกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยความผิดหวัง “แม้แต่ที่พักที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ก็เปลี่ยนเจ้าของ พวกเขาจากไปโดยไม่ร่ำลาและไม่ได้ทิ้งข้อความใด ๆ ไว้เลย”

เฉินซีขมวดคิ้วแน่น ในตอนนี้ก็ถือว่าเขาประสบความสำเร็จอยู่บ้าง และมีทรัพย์สินมากพอประมาณอยู่ในครอบครอง เดิมทีเขาตั้งใจจะขอบคุณท่านน้าไป๋และอาจารย์เมิ่งคงหลังจากที่พบคนทั้งสอง แต่จากสิ่งที่เฉินฮ่าวได้กล่าวออกมา คนทั้งคู่คงออกจากเมืองทะเลสาบมังกรไปนานแล้ว จึงทำให้เฉินซีรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งอยู่ในใจ

“พวกเขาเคยอาศัยอยู่ที่ไหน บางทีพวกเราอาจช่วยตามหาได้” จู่ ๆ ตู้ชิงซีก็ถามขึ้น

“จริงสิ กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังตู้ชิงซี และคนอื่น ๆ ครอบคลุมเมืองทะเลสาบมังกรทั้งหมด ถ้าข้าได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนบางทีอาจจะค้นพบเงื่อนงำบางอย่างได้” เฉินซีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเฉินฮ่าว

“ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยพักอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองทะเลสาบมังกร ที่ดูเหมือนจะเรียกว่า… เรียกว่า…” เฉินฮ่าวยืนขึ้นและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี เอาเป็นว่าข้าขอพาพวกท่านทั้งหมดไปที่นั่นเลยน่าจะดีกว่า”

“ตกลง เราไม่มีอะไรต้องทำแล้ว การไปที่นั่นก็ได้ผลเช่นกัน” ตู้ชิงซีพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นนางก็หันไปถามต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลิน “แล้วเจ้าทั้งสองคนล่ะ”

ต้วนมู่เจ๋อกางแขนออกประหนึ่งว่าทำเสียไม่ได้ “เราจะกล้าขัดคำสั่งของคุณหนูตู้ได้อย่างไร?”

สายตาของสหายคนนี้ช่างสังเกต และเขาสังเกตเห็นได้ในทันทีว่าเหตุผลที่ตู้ชิงซีทุ่มเทให้กับเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะเฉินซี สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาและขมขื่นอยู่ในใจ อีกทั้งยังทำให้ความคิดที่จะแข่งขันกับเฉินซีเพื่อตู้ซิงซีก็ดับลงโดยสิ้นเชิง

‘ทำอย่างไรได้ ความรักเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความรู้สึกร่วมกันและเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้’

กลุ่มของเฉินซีจากไปในทันที พวกเขาออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองทะเลสาบมังกรภายใต้การนำของเฉินฮ่าว เนื่องจากเมืองทะเลสาบมังกรมีขนาดใหญ่เกินไป อีกทั้งยังถูกห้ามบินบนท้องฟ้า เพื่อใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด พวกเขาทั้งหมดจึงนั่งในรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้า ที่คุณชายต้วนมู่ได้ขอมาจากท่านพ่อของเขาอีกครั้ง และมันได้พาพวกเขาทะยานออกไปราวกับสายฟ้าฟาด

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเดินทางไปได้เพียงครึ่งทาง จู่ ๆ เฉินซีก็สังเกตเห็นร่องรอยของบางสิ่ง จากนั้นญาณศักดิ์สิทธิ์อันน่าเกรงขามของเขาก็กวาดออกไปโดยรอบสองร้อยหกสิบลี้ในทันที และเขาก็พบเห็นร่างที่มีการเคลื่อนไหวที่น่าสงสัยอย่างรวดเร็ว

คนผู้นี้สวมชุดสีดำทั้งตัว การเคลื่อนไหวของเขาไม่แน่นอน แต่ความเร็วของเขานั้นรวดเร็วมาก และกำลังตามหลังรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้าอย่างใกล้ชิด เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นั้นกำลังติดตามกลุ่มพวกเขาอยู่

‘ดูเหมือนว่า ตั้งแต่ข้าออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ข้าจะตกเป็นเป้าหมายของคนผู้นี้…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าบุคคลนี้ซ่อนตัวอยู่นอกนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมาเป็นเวลานานแล้ว และทั้งหมดก็เพื่อรอเฉินซีปรากฏตัว!

‘คนผู้นี้คือใครกันแน่?’

‘เขาต้องการสิ่งใดถึงตามพวกเรามา?’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเขาคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่า คนผู้นี้อาจเป็นหน่วยสอดแนมที่ตระกูลซูส่งออกมา หรือไม่ก็เป็นคนที่อยากได้สมบัติอมตะของเขา แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร เจตนาของชายชุดดำนั้นย่อมเป็นอันตรายต่อเฉินซีอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจในทันทีว่าจะมอบบทเรียนแก่คนผู้นี้

โอม!

ญาณศักดิ์สิทธิ์ที่หนาแน่นของเฉินซีควบแน่นกลายเป็นภูเขาสูงตระหง่านและพุ่งไปบดขยี้จิตสำนึกของคนในชุดดำ สิ่งนี้คือเคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพที่เฉินซีบ่มเพาะมาอย่างเชี่ยวชาญ ซึ่งมันสามารถโจมตีดวงจิตได้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+