บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 198 ศิลาปีศาจ

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 198 ศิลาปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 198 ศิลาปีศาจ

ในระหว่างทางนั้น เฉินซีกลับต้องตกตะลึงทันทีที่พบว่าถันไถหงกำลังพาเขาออกจากไปเมือง และดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ ส่วนถันไถจื่อเซวียนเองก็ได้จากไปอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ภายในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะอันกว้างใหญ่ แสงไฟเจิดจ้ามากมายได้สาดส่องผ่านท้องฟ้ามาจากทุกทิศทุกทาง และกระแสลมก็ส่งเสียงหวีดหวิวยามที่พวกเขาบินออกจากเมือง

หากมองจากที่ห่างไกล แสงไฟหลากสีสันนั้นได้ผสานรวมกันเป็นดั่งก้อนเมฆหลากสีสัน พวกมันต่างก็ส่องประกายและส่งเสียงหวีดหวิวยามที่พวกเขาบินผ่าน จึงทำให้เกิดเป็นทิวทัศน์ที่งดงามยิ่ง

ที่เบื้องหลังของเมืองห้วงทะเลทรายมรณะนั้น คือห้วงทะเลทรายมรณะที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต ด้วยการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มันจึงถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความตาย

ครั้งหนึ่ง เฉินซีเคยได้เข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะมาก่อน แต่เขาเข้ามาจากทางด้านข้างของทุ่งหญ้าพเนจร ซึ่งในช่วงเวลานั้น พายุทรายกำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายในห้วงทะเลทรายมรณะ ราวกับเทพเจ้าที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว และปรารถนาจะระบายความโกรธแค้นที่อยู่ในอกของเขาทั้งหมด จึงทำให้เต็มไปด้วยอานุภาพทำลายล้างและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ห้วงทะเลทรายมรณะกลับสงบลงเป็นอย่างมาก แม้ว่าสายลมและเม็ดทรายจะปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า แต่พลังของมันกลับลดลงไปอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าห้วงทะเลทรายมรณะได้เข้าสู่ช่วงพักตัวจริง ๆ เช่นเดียวกับข่าวที่เล่าลือ

แม้ว่าห้วงทะเลทรายมรณะจะขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความตาย แต่กลับมีสมบัติมากมายจากสวรรค์และโลกเก็บซ่อนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ดินแดนเร้นลับ และแม้แต่เคหาเซียนหรือขุมทรัพย์ที่เก็บซ่อนสมบัติล้ำค่าโบราณ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้มันยังอันตรายเกินไป จึงไม่มีผู้ใดกล้าจะเข้าไป

แต่ในขณะนี้ มันกลับต่างออกไป เมื่อห้วงทะเลทรายมรณะเข้าสู่ช่วงพักตัว มันก็เสมือนกับสัตว์ป่าที่ถอนเขี้ยวเล็บออก ทำให้ความอันตรายของมันลดลงไปอย่างมาก และตราบใดที่ไม่ได้มุ่งหน้าเข้าไปในห้วงลึกของทะเลทรายมรณะ มันก็พอจะค้นหาและทำกำไรอย่างมหาศาลจากสมบัติล้ำค่าและหายากที่มีอยู่นับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในนั้น

ด้วยเหตุนี้ ช่วงพักตัวของห้วงทะเลทรายมรณะจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ที่จะเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ เพื่อค้นหาสมบัติล้ำค่าหรือฝึกฝนหาประสบการณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพ่อค้าบางคนได้จัดตั้งกองคาราวานที่เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะ มุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ เพื่อเก็บรวบรวมวัตถุดิบล้ำค่าต่าง ๆ และสร้างผลกำไรมหาศาลจากสมบัติเหล่านั้น

เฉินซีเห็นพ่อค้าหลายคนกำลังรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ ใบหน้าของพวกเขาทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น ราวกับว่าพวกเขากำลังจะเข้าไปในภูเขาเงินและทองเพื่อเริ่มร่อนหาสิ่งของล้ำค่า

ภายในฝูงชนที่แน่นขนัด ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มาจากสถานที่ต่าง ๆ ของราชวงศ์ซ่งนั้นโดดเด่นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาล้วนเป็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ ซึ่งเป็นเสาหลักของนิกายต่าง ๆ และขณะที่พวกเขาบินผ่านท้องฟ้า ก็มักจะได้รับการเยินยอสรรเสริญจากผู้คนทั่วไป และแน่นอนว่าย่อมมีผู้อิจฉาบางส่วน

เฉินซีได้พบเห็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่น่าเกรงขามมากมาย ซึ่งไม่ได้ด้อยกว่าเซวี่ยเฉินและเผยจงเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่เหนือล้ำกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเป็นการยากสำหรับพวกเขา ที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก

“มีเหล่าผู้กล้ามากมายได้มารวมกัน และเต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะกับมวลก้อนเมฆ แต่น่าเสียดาย ที่คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้บ่มเพาะจากนอกดินแดนทางตอนใต้ และมีผู้บ่มเพาะที่มาจากดินแดนทางใต้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างแท้จริง” เฉินซีถอนหายใจกับตัวเอง เพราะสิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า โลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้นั้นต่ำต้อยเกินไป และไม่อาจเทียบกับแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ทะเลตะวันออก หรือที่ราบตอนกลางได้อย่างสิ้นเชิง

“หลานเฉินเค่อ ในบรรดาผู้บ่มเพาะเหล่านั้น สองคนเป็นลูกศิษย์ของผู้มีพระคุณของตระกูลถันไถของข้า และการบ่มเพาะของพวกเขาก็ดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นศิษย์สายหลักที่มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของกองกำลังต่าง ๆ ในที่ราบตอนกลาง พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ซึ่งมากความสามารถ และต้องการจะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ดังนั้นเจ้าต้องระมัดระวังตัวหากต้องเผชิญกับพวกเขาในภายหลัง และต้องไม่เป็นศัตรูกับพวกเขาเป็นอันขาด” ในระหว่างทาง ถันไถหงกล่าวเตือนอย่างจริงจัง

เฉินซีพยักหน้ารับ แต่เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ อยู่ในใจ การร่วมมือกับศิษย์ของนิกายอื่นเพื่อทำภารกิจหรือค้นหาสมบัตินั้น มักจะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทุกคนไม่ได้มาจากนิกายเดียวกัน จึงไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่จะควบคุมพวกเขาได้ ดังนั้นการขโมยหรือฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงสมบัติของผู้อื่น จึงเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย

“เจ้ากังวลว่าพวกเขาจะทำตัวไร้ยางอาย เพราะลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติหรือ?” ถันไถหงแย้มยิ้มออกมาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะขุมสมบัติของเฉียนหยวนถูกทิ้งไว้โดยเซียนสวรรค์ที่ไร้เทียมทาน และมันถูกปกคลุมด้วยข้อจำกัดมากมาย จึงทำให้ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัว จนแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังต้องได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา เพื่อเป็นสิ่งรับประกันว่าข้าจะสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างปลอดภัย แน่นอนว่าที่พวกเขายอมร่วมมือกับข้านั้น ก็เป็นเพราะแผนที่ขุมทรัพย์ที่อยู่ในการครอบครองของข้า อีกทั้งตัวข้าก็ตระหนักถึงเหตุผลได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ข้าจึงกำชับให้เจ้าคอยระมัดระวังตัวและปรับตัวตามสถานการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ”

“ท่านลุงถันไถจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างฉลาดล้ำเลิศ ดังนั้นข้าจึงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป” เฉินซียิ้มพร้อมกับกล่าวออกไป

“ไม่ต้องกังวล หากเราเข้าสู่คลังขุมสมบัติของเฉียนหยวนในครั้งนี้ เจ้าย่อมได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน” ถันไถหงหัวเราะเสียงดัง และเร่งความเร็วขึ้น เพื่อบินไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ

ถึงแม้ว่าห้วงทะเลทรายมรณะจะเข้าสู่ช่วงพักตัวแล้ว แต่มันก็ยังคงอันตรายอยู่ดี เนื่องจากสภาพอากาศภายในห้วงทะเลทรายมรณะนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดที่น่าสะพรึงกลัวและรอยแยกมิติที่สามารถกลืนกินทุกสิ่ง ภายในนั้นยังมีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังจำนวนนับไม่ถ้วนออกอาละวาดอยู่ สัตว์อสูรเหล่านี้บางตัวเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ แม้กระทั่งบางตัวก็มีขอบเขตที่เหนือกว่าขอบเขตจุติ ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรเหล่านี้มักรวมตัวกันเป็นฝูงและไม่เกรงกลัวต่อความตายใด ๆ

แน่นอนว่าในสายตาของผู้บ่มเพาะ สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนเป็นขุมทรัพย์ก้อนโต การล่าสัตว์อสูรเหล่านี้เพื่อเอาแก่นเลือด แผ่นหนัง และขนของพวกมัน มาใช้ขัดเกลาสมบัติวิเศษหรือขายพวกมันเพื่อสร้างรายได้มหาศาล อย่างไรก็ตาม ยอดฝีมือเหล่านี้กลับไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้น การทะเล่อทะล่าเข้าไปในฝูงสัตว์อสูร อาจทำให้ต้องตายอย่างไร้ที่กลบฝัง

ฟิ้ว!

เฉินซีและถันไถหงทะยานผ่านท้องฟ้าและได้เข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ ก่อนที่จะมาถึงเนินหินที่เกิดจากการกัดเซาะของสายลมและเม็ดทราย

“ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า ‘ศิลาปีศาจ’ และถ้าหากมุ่งหน้าเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะ ก็จะพบกับสถานที่ที่อันตรายอย่างแท้จริง เช่น ซากปรักหักพังห้าธาตุ สุสานอสูรร้าย เขตพายุฝนฟ้าคะนอง และสถานที่อันตรายอื่น ๆ ล้วนอยู่ภายในนั้น อีกทั้งหากประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เจ้าต้องสูญเสียชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ปราณวิญญาณที่นี่ก็เบาบางและหาได้ยากยิ่งนัก ดังนั้นเราต้องเตรียมเม็ดยาให้เพียงพอ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูร่างกายของเรา มิฉะนั้น ในไม่ช้าก็เร็ว เราอาจติดอยู่ภายในนั้นจนตาย” ถันไถหงยืนอยู่บนเนินหินและกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น “เราจะรออยู่ที่นี่ อีกไม่นานพวกเขาก็จะมาถึงแล้ว”

เฉินซีพยักหน้าและมองไปที่ศิลาปีศาจนี้ พื้นที่ของมันมีขนาดประมาณสิบลี้ ก่อตัวเป็นเนินหินที่มีสีดำสนิทและเป็นมันเงา พื้นผิวของมันมีรูอยู่มากมายที่มีรูปร่างและขนาดที่แปลกประหลาด ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของสายลมและเม็ดทราย

เนินหินเช่นนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในห้วงทะเลทรายมรณะ สายลมและเม็ดทรายโหมกระหน่ำผ่านศิลาปีศาจอยู่ตลอดเวลา และในชั้นทรายที่หนาทึบ เฉินซียังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันดุร้ายของบางสิ่งที่แฝงตัวอยู่ในนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยด้วยเนินทรายและภูเขาที่สูงตะหง่านไปถึงท้องฟ้ามากมาย แม้แต่ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าก็ยังสาดส่องแสงแดดแรงกล้า จนทำให้ผิวหนังรู้สึกแสบร้อนราวกับว่ามันกำลังจะละลาย

อุณหภูมิของที่แห่งนี้ดูเหมือนกับอยู่ในหม้อกลั่นยา มันแผดเผาและร้อนแรงเป็นอย่างมาก หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปอาจต้องแห้งตายกลายเป็นศพไปตั้งนานแล้ว

อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ทั้งที่ภายในทะเลทรายนั้น สภาพอากาศร้อนจนแม้แต่โลหะก็อาจละลายได้ นอกจากนี้ยังมีกระแสลมที่ซัดกระหน่ำจนทำให้มวลอากาศยังต้องบิดเบี้ยว แต่มันกลับไม่มีผลต่อเขา ทันทีที่กระแสลมพัดผ่านร่างของเฉินซี ก็จะถูกดูดซับโดยอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราอัคคีที่สามและอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยางที่อยู่บนแผ่นหลังของเขา ก่อนที่มันจะถูกแปรสภาพและขัดเกลาร่างกายของเขาให้แข็งแกร่ง

ตู้ม!

ในขณะที่พวกเขารอ ถันไถหงดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่ง และทันใดนั้น เขาก็โคจรปราณแท้ของเขาพร้อมกับคว้าไปที่เนินทรายเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปราวสองลี้อย่างรุนแรง ทันใดนั้น เขาก็ได้จับกิ้งก่าทะเลทรายที่มีขนาดมหึมาเหมือนช้าง อีกทั้งกลิ่นอายของมันก็เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ และอยู่ห่างจากการบรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำเพียงก้าวเดียว

เฉินซีประเมินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “กิ้งก่าทะเลทรายตัวนี้ได้บ่มเพาะจนถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ มันยังบ่มเพาะโดยใช้เส้นชีพจรวิญญาณและหินแร่จำนวนมากที่อยู่ใต้ทะเลทรายด้วย แต่น่าเสียดาย ที่มันไม่มีใครคอยชี้แนะ มิฉะนั้น การบ่มเพาะของมันจะไม่มีทางบรรลุขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างแน่นอน”

“สถานที่นี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยอยู่พอสมควร อีกทั้งยังอยู่ที่ชายขอบของห้วงทะเลทรายมรณะ หากเราเข้าไปลึกมากกว่านี้ สัตว์อสูรที่อยู่ภายในนั้นจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า โดยเฉพาะซากปรักหักพังห้าธาตุนั้น มักมีสัตว์อสูรหลายชนิดรวมตัวกันเป็นฝูง และพวกมันทั้งหมดล้วนมีพลังเทียบได้กับขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบ เมื่อพวกมันออกหากินก็จะเคลื่อนตัวเป็นฝูงหลายพันตัว จึงทำให้พวกมันน่ากลัวเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น เคยมีผู้บ่มเพาะขอบเขตกึ่งจุติเช่นเดียวกับข้า ติดอยู่ในวงล้อมของพวกมันและถูกฆ่าตายอยู่ในนั้น” ถันไถหงถอนหายใจ จากนั้นจึงฆ่ากิ้งก่าทะเลทรายและเก็บมันไว้ในคลังสมบัติมิติของเขา

ขอบเขตกึ่งจุติ เป็นการบ่มเพาะที่อยู่เหนือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ และมันมีความได้เปรียบต่อสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่ถ้าถูกสัตว์อสูรขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบหลายพันตัวถาโถมเข้ามา พวกมันก็สามารถฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนี่เป็นข้อได้เปรียบที่เกิดขึ้นจากจำนวน และมันก็เหมือนกับกระแสน้ำอันทรงพลังที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้

“หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่อาจดูแคลนฝูงสัตว์อสูรได้” เฉินซีจินตนาการอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงฝูงสัตว์อสูรจำนวนมหาศาล ก็ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกดำ

ฟุ่บ!

ในขณะนี้ เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้าจากระยะไกล ปราณกระบี่พุ่งลงมาราวกับสายฟ้าอย่างรุนแรง จนทำให้เสื้อผ้าของเฉินซีปลิวไสวไปตามสายลม

ปราณกระบี่นี้รุนแรงและรวดเร็ว แต่กระบวนกระบี่กลับเรียบง่ายและหยาบกระด้าง ในขณะที่มันตกลงสู่พื้น พลังกระบี่ก็ได้ถูกยับยั้งไว้ ก่อนจะเผยให้เห็นถึงชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีเหลืองเข้ม

ชายหนุ่มผู้นี้สูงโปร่งและมีใบหน้าหล่อเหลา และดูสง่าผ่าเผย กลิ่นอายของเขาดูเหมือนผืนดินที่กว้างใหญ่ ลึกล้ำและสูงส่ง ราวกับเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่

ทันทีที่ชายหนุ่มลงมาที่พื้น เขาก็พยักหน้าให้กับถันไถหงทันที แต่ เมื่อเขาเห็นเฉินซี คิ้วของเขากลับขมวดแทน และร่องรอยความไม่พอใจก็ส่องประกายในแววตาของเขา

เฉินซีตระหนักถึงสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน แต่สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

“หลานเฉินเค่อ คนผู้นี้คือหลินโม่เซวียนแห่งนิกายสวรรค์ปฐพีจากที่ราบตอนกลาง และเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือของคนรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะ”

ถันไถหงยิ้มในขณะที่เขาแนะนำ “สหายเต๋าหลิน นี่คือเฉินเค่อ เขาเป็นสหายที่ดีที่สุดของบุตรสาวข้า”

หลินโม่เซวียนไม่แม้แต่จะเหลือบมองเฉินซี ก่อนจะขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ถันไถ เราจะไปค้นหาขุมสมบัติของเฉียนหยวนในครั้งนี้ และมันเต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย เหตุใดถึงพาตัวภาระมาด้วย? นอกจากนี้ เรายังได้ตกลงกันมาตั้งนานแล้วว่า จะไม่พาผู้อื่นติดตามมาด้วย มิฉะนั้น มันคงจะไม่เป็นการดี ถ้าหากมีคนเก็บงำเจตนาซ่อนเร้นหรือต้องการนั่งเฉย ๆ ในขณะที่รับผลประโยชน์กับผลงานที่ผู้อื่นกระทำ”

คำพูดของหลินโม่เซวียนนั้นพุ่งไปที่เฉินซีราวกับเขาเป็นตัวภาระ นอกจากนี้ คำพูดและการกระทำของเขายังแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่า และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับถันไถหงสักเท่าใดนัก ดังนั้น การที่เขาสามารถทำตัวหยิ่งยโสและจองหองเช่นนี้ ราวกับว่าเขามีพลังอำนาจที่สามารถดูถูกทุกสิ่ง จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้

“ไม่ต้องห่วง หลานชายของข้าคนนี้จะไม่เป็นภาระของทุกคนอย่างแน่นอน ข้าสามารถรับประกันได้ด้วยเกียรติของข้า” ถันไถหงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยจึงรีบอธิบายออกไป เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า หลินโม่เซวียนจะเป็นคนขวานผ่าซากขนาดนี้ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอยู่ในใจว่า “ข้าสงสัยว่าจื่อเซวียนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ถึงบังคับให้ข้าพาเจ้าเด็กคนนี้มาด้วย อีกทั้งยังทำให้ข้าเสียหน้าไปพร้อมกับเขาอีก”

หลินโม่เซวียนขมวดคิ้วยิ่งขึ้น และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ก็ได้ แต่ถ้าเขาขัดแข้งขัดขาข้าและกลายเป็นภาระเมื่อใด ข้าจะเป็นคนแรกที่ฆ่าเขา!”

เมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เฉินซียังคงรักษาสีหน้าที่สงบและไร้กังวล และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

ตู้ม!

ทันใดนั้น เกิดคลื่นระเบิดรุนแรงดังขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน ก้อนเมฆที่ถูกไฟลุกไหม้พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพียงชั่วพริบตา มันก็ได้มาถึงที่เบื้องหน้าศิลาปีศาจ เมื่อก้อนเมฆที่ถูกไฟลุกไหม้ได้ดับลงก็เผยให้เห็นหญิงสาวนางหนึ่งที่อยู่ในชุดคลุมหรูหราสีแดงเพลิง นางมีเรือนร่างที่ร้อนแรงและรูปลักษณ์ที่น่าหลงใหล นางเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มีความแข็งแกร่งอย่างล้นเหลือเช่นเดียวกัน!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 198 ศิลาปีศาจ

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 198 ศิลาปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 198 ศิลาปีศาจ

ในระหว่างทางนั้น เฉินซีกลับต้องตกตะลึงทันทีที่พบว่าถันไถหงกำลังพาเขาออกจากไปเมือง และดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ ส่วนถันไถจื่อเซวียนเองก็ได้จากไปอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ภายในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะอันกว้างใหญ่ แสงไฟเจิดจ้ามากมายได้สาดส่องผ่านท้องฟ้ามาจากทุกทิศทุกทาง และกระแสลมก็ส่งเสียงหวีดหวิวยามที่พวกเขาบินออกจากเมือง

หากมองจากที่ห่างไกล แสงไฟหลากสีสันนั้นได้ผสานรวมกันเป็นดั่งก้อนเมฆหลากสีสัน พวกมันต่างก็ส่องประกายและส่งเสียงหวีดหวิวยามที่พวกเขาบินผ่าน จึงทำให้เกิดเป็นทิวทัศน์ที่งดงามยิ่ง

ที่เบื้องหลังของเมืองห้วงทะเลทรายมรณะนั้น คือห้วงทะเลทรายมรณะที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต ด้วยการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มันจึงถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความตาย

ครั้งหนึ่ง เฉินซีเคยได้เข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะมาก่อน แต่เขาเข้ามาจากทางด้านข้างของทุ่งหญ้าพเนจร ซึ่งในช่วงเวลานั้น พายุทรายกำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายในห้วงทะเลทรายมรณะ ราวกับเทพเจ้าที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว และปรารถนาจะระบายความโกรธแค้นที่อยู่ในอกของเขาทั้งหมด จึงทำให้เต็มไปด้วยอานุภาพทำลายล้างและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ห้วงทะเลทรายมรณะกลับสงบลงเป็นอย่างมาก แม้ว่าสายลมและเม็ดทรายจะปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า แต่พลังของมันกลับลดลงไปอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าห้วงทะเลทรายมรณะได้เข้าสู่ช่วงพักตัวจริง ๆ เช่นเดียวกับข่าวที่เล่าลือ

แม้ว่าห้วงทะเลทรายมรณะจะขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความตาย แต่กลับมีสมบัติมากมายจากสวรรค์และโลกเก็บซ่อนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ดินแดนเร้นลับ และแม้แต่เคหาเซียนหรือขุมทรัพย์ที่เก็บซ่อนสมบัติล้ำค่าโบราณ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้มันยังอันตรายเกินไป จึงไม่มีผู้ใดกล้าจะเข้าไป

แต่ในขณะนี้ มันกลับต่างออกไป เมื่อห้วงทะเลทรายมรณะเข้าสู่ช่วงพักตัว มันก็เสมือนกับสัตว์ป่าที่ถอนเขี้ยวเล็บออก ทำให้ความอันตรายของมันลดลงไปอย่างมาก และตราบใดที่ไม่ได้มุ่งหน้าเข้าไปในห้วงลึกของทะเลทรายมรณะ มันก็พอจะค้นหาและทำกำไรอย่างมหาศาลจากสมบัติล้ำค่าและหายากที่มีอยู่นับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในนั้น

ด้วยเหตุนี้ ช่วงพักตัวของห้วงทะเลทรายมรณะจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ที่จะเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ เพื่อค้นหาสมบัติล้ำค่าหรือฝึกฝนหาประสบการณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพ่อค้าบางคนได้จัดตั้งกองคาราวานที่เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะ มุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ เพื่อเก็บรวบรวมวัตถุดิบล้ำค่าต่าง ๆ และสร้างผลกำไรมหาศาลจากสมบัติเหล่านั้น

เฉินซีเห็นพ่อค้าหลายคนกำลังรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ ใบหน้าของพวกเขาทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น ราวกับว่าพวกเขากำลังจะเข้าไปในภูเขาเงินและทองเพื่อเริ่มร่อนหาสิ่งของล้ำค่า

ภายในฝูงชนที่แน่นขนัด ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มาจากสถานที่ต่าง ๆ ของราชวงศ์ซ่งนั้นโดดเด่นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาล้วนเป็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ ซึ่งเป็นเสาหลักของนิกายต่าง ๆ และขณะที่พวกเขาบินผ่านท้องฟ้า ก็มักจะได้รับการเยินยอสรรเสริญจากผู้คนทั่วไป และแน่นอนว่าย่อมมีผู้อิจฉาบางส่วน

เฉินซีได้พบเห็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่น่าเกรงขามมากมาย ซึ่งไม่ได้ด้อยกว่าเซวี่ยเฉินและเผยจงเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่เหนือล้ำกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเป็นการยากสำหรับพวกเขา ที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก

“มีเหล่าผู้กล้ามากมายได้มารวมกัน และเต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะกับมวลก้อนเมฆ แต่น่าเสียดาย ที่คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้บ่มเพาะจากนอกดินแดนทางตอนใต้ และมีผู้บ่มเพาะที่มาจากดินแดนทางใต้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างแท้จริง” เฉินซีถอนหายใจกับตัวเอง เพราะสิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า โลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้นั้นต่ำต้อยเกินไป และไม่อาจเทียบกับแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ทะเลตะวันออก หรือที่ราบตอนกลางได้อย่างสิ้นเชิง

“หลานเฉินเค่อ ในบรรดาผู้บ่มเพาะเหล่านั้น สองคนเป็นลูกศิษย์ของผู้มีพระคุณของตระกูลถันไถของข้า และการบ่มเพาะของพวกเขาก็ดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นศิษย์สายหลักที่มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของกองกำลังต่าง ๆ ในที่ราบตอนกลาง พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ซึ่งมากความสามารถ และต้องการจะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ดังนั้นเจ้าต้องระมัดระวังตัวหากต้องเผชิญกับพวกเขาในภายหลัง และต้องไม่เป็นศัตรูกับพวกเขาเป็นอันขาด” ในระหว่างทาง ถันไถหงกล่าวเตือนอย่างจริงจัง

เฉินซีพยักหน้ารับ แต่เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ อยู่ในใจ การร่วมมือกับศิษย์ของนิกายอื่นเพื่อทำภารกิจหรือค้นหาสมบัตินั้น มักจะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทุกคนไม่ได้มาจากนิกายเดียวกัน จึงไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่จะควบคุมพวกเขาได้ ดังนั้นการขโมยหรือฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงสมบัติของผู้อื่น จึงเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย

“เจ้ากังวลว่าพวกเขาจะทำตัวไร้ยางอาย เพราะลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติหรือ?” ถันไถหงแย้มยิ้มออกมาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะขุมสมบัติของเฉียนหยวนถูกทิ้งไว้โดยเซียนสวรรค์ที่ไร้เทียมทาน และมันถูกปกคลุมด้วยข้อจำกัดมากมาย จึงทำให้ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัว จนแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังต้องได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา เพื่อเป็นสิ่งรับประกันว่าข้าจะสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างปลอดภัย แน่นอนว่าที่พวกเขายอมร่วมมือกับข้านั้น ก็เป็นเพราะแผนที่ขุมทรัพย์ที่อยู่ในการครอบครองของข้า อีกทั้งตัวข้าก็ตระหนักถึงเหตุผลได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ข้าจึงกำชับให้เจ้าคอยระมัดระวังตัวและปรับตัวตามสถานการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ”

“ท่านลุงถันไถจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างฉลาดล้ำเลิศ ดังนั้นข้าจึงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป” เฉินซียิ้มพร้อมกับกล่าวออกไป

“ไม่ต้องกังวล หากเราเข้าสู่คลังขุมสมบัติของเฉียนหยวนในครั้งนี้ เจ้าย่อมได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน” ถันไถหงหัวเราะเสียงดัง และเร่งความเร็วขึ้น เพื่อบินไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ

ถึงแม้ว่าห้วงทะเลทรายมรณะจะเข้าสู่ช่วงพักตัวแล้ว แต่มันก็ยังคงอันตรายอยู่ดี เนื่องจากสภาพอากาศภายในห้วงทะเลทรายมรณะนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดที่น่าสะพรึงกลัวและรอยแยกมิติที่สามารถกลืนกินทุกสิ่ง ภายในนั้นยังมีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังจำนวนนับไม่ถ้วนออกอาละวาดอยู่ สัตว์อสูรเหล่านี้บางตัวเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ แม้กระทั่งบางตัวก็มีขอบเขตที่เหนือกว่าขอบเขตจุติ ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรเหล่านี้มักรวมตัวกันเป็นฝูงและไม่เกรงกลัวต่อความตายใด ๆ

แน่นอนว่าในสายตาของผู้บ่มเพาะ สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนเป็นขุมทรัพย์ก้อนโต การล่าสัตว์อสูรเหล่านี้เพื่อเอาแก่นเลือด แผ่นหนัง และขนของพวกมัน มาใช้ขัดเกลาสมบัติวิเศษหรือขายพวกมันเพื่อสร้างรายได้มหาศาล อย่างไรก็ตาม ยอดฝีมือเหล่านี้กลับไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้น การทะเล่อทะล่าเข้าไปในฝูงสัตว์อสูร อาจทำให้ต้องตายอย่างไร้ที่กลบฝัง

ฟิ้ว!

เฉินซีและถันไถหงทะยานผ่านท้องฟ้าและได้เข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ ก่อนที่จะมาถึงเนินหินที่เกิดจากการกัดเซาะของสายลมและเม็ดทราย

“ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า ‘ศิลาปีศาจ’ และถ้าหากมุ่งหน้าเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะ ก็จะพบกับสถานที่ที่อันตรายอย่างแท้จริง เช่น ซากปรักหักพังห้าธาตุ สุสานอสูรร้าย เขตพายุฝนฟ้าคะนอง และสถานที่อันตรายอื่น ๆ ล้วนอยู่ภายในนั้น อีกทั้งหากประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เจ้าต้องสูญเสียชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ปราณวิญญาณที่นี่ก็เบาบางและหาได้ยากยิ่งนัก ดังนั้นเราต้องเตรียมเม็ดยาให้เพียงพอ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูร่างกายของเรา มิฉะนั้น ในไม่ช้าก็เร็ว เราอาจติดอยู่ภายในนั้นจนตาย” ถันไถหงยืนอยู่บนเนินหินและกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น “เราจะรออยู่ที่นี่ อีกไม่นานพวกเขาก็จะมาถึงแล้ว”

เฉินซีพยักหน้าและมองไปที่ศิลาปีศาจนี้ พื้นที่ของมันมีขนาดประมาณสิบลี้ ก่อตัวเป็นเนินหินที่มีสีดำสนิทและเป็นมันเงา พื้นผิวของมันมีรูอยู่มากมายที่มีรูปร่างและขนาดที่แปลกประหลาด ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของสายลมและเม็ดทราย

เนินหินเช่นนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในห้วงทะเลทรายมรณะ สายลมและเม็ดทรายโหมกระหน่ำผ่านศิลาปีศาจอยู่ตลอดเวลา และในชั้นทรายที่หนาทึบ เฉินซียังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันดุร้ายของบางสิ่งที่แฝงตัวอยู่ในนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยด้วยเนินทรายและภูเขาที่สูงตะหง่านไปถึงท้องฟ้ามากมาย แม้แต่ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าก็ยังสาดส่องแสงแดดแรงกล้า จนทำให้ผิวหนังรู้สึกแสบร้อนราวกับว่ามันกำลังจะละลาย

อุณหภูมิของที่แห่งนี้ดูเหมือนกับอยู่ในหม้อกลั่นยา มันแผดเผาและร้อนแรงเป็นอย่างมาก หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปอาจต้องแห้งตายกลายเป็นศพไปตั้งนานแล้ว

อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ทั้งที่ภายในทะเลทรายนั้น สภาพอากาศร้อนจนแม้แต่โลหะก็อาจละลายได้ นอกจากนี้ยังมีกระแสลมที่ซัดกระหน่ำจนทำให้มวลอากาศยังต้องบิดเบี้ยว แต่มันกลับไม่มีผลต่อเขา ทันทีที่กระแสลมพัดผ่านร่างของเฉินซี ก็จะถูกดูดซับโดยอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราอัคคีที่สามและอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยางที่อยู่บนแผ่นหลังของเขา ก่อนที่มันจะถูกแปรสภาพและขัดเกลาร่างกายของเขาให้แข็งแกร่ง

ตู้ม!

ในขณะที่พวกเขารอ ถันไถหงดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่ง และทันใดนั้น เขาก็โคจรปราณแท้ของเขาพร้อมกับคว้าไปที่เนินทรายเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปราวสองลี้อย่างรุนแรง ทันใดนั้น เขาก็ได้จับกิ้งก่าทะเลทรายที่มีขนาดมหึมาเหมือนช้าง อีกทั้งกลิ่นอายของมันก็เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ และอยู่ห่างจากการบรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำเพียงก้าวเดียว

เฉินซีประเมินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “กิ้งก่าทะเลทรายตัวนี้ได้บ่มเพาะจนถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ มันยังบ่มเพาะโดยใช้เส้นชีพจรวิญญาณและหินแร่จำนวนมากที่อยู่ใต้ทะเลทรายด้วย แต่น่าเสียดาย ที่มันไม่มีใครคอยชี้แนะ มิฉะนั้น การบ่มเพาะของมันจะไม่มีทางบรรลุขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างแน่นอน”

“สถานที่นี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยอยู่พอสมควร อีกทั้งยังอยู่ที่ชายขอบของห้วงทะเลทรายมรณะ หากเราเข้าไปลึกมากกว่านี้ สัตว์อสูรที่อยู่ภายในนั้นจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า โดยเฉพาะซากปรักหักพังห้าธาตุนั้น มักมีสัตว์อสูรหลายชนิดรวมตัวกันเป็นฝูง และพวกมันทั้งหมดล้วนมีพลังเทียบได้กับขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบ เมื่อพวกมันออกหากินก็จะเคลื่อนตัวเป็นฝูงหลายพันตัว จึงทำให้พวกมันน่ากลัวเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น เคยมีผู้บ่มเพาะขอบเขตกึ่งจุติเช่นเดียวกับข้า ติดอยู่ในวงล้อมของพวกมันและถูกฆ่าตายอยู่ในนั้น” ถันไถหงถอนหายใจ จากนั้นจึงฆ่ากิ้งก่าทะเลทรายและเก็บมันไว้ในคลังสมบัติมิติของเขา

ขอบเขตกึ่งจุติ เป็นการบ่มเพาะที่อยู่เหนือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ และมันมีความได้เปรียบต่อสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่ถ้าถูกสัตว์อสูรขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบหลายพันตัวถาโถมเข้ามา พวกมันก็สามารถฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนี่เป็นข้อได้เปรียบที่เกิดขึ้นจากจำนวน และมันก็เหมือนกับกระแสน้ำอันทรงพลังที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้

“หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่อาจดูแคลนฝูงสัตว์อสูรได้” เฉินซีจินตนาการอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงฝูงสัตว์อสูรจำนวนมหาศาล ก็ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกดำ

ฟุ่บ!

ในขณะนี้ เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้าจากระยะไกล ปราณกระบี่พุ่งลงมาราวกับสายฟ้าอย่างรุนแรง จนทำให้เสื้อผ้าของเฉินซีปลิวไสวไปตามสายลม

ปราณกระบี่นี้รุนแรงและรวดเร็ว แต่กระบวนกระบี่กลับเรียบง่ายและหยาบกระด้าง ในขณะที่มันตกลงสู่พื้น พลังกระบี่ก็ได้ถูกยับยั้งไว้ ก่อนจะเผยให้เห็นถึงชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีเหลืองเข้ม

ชายหนุ่มผู้นี้สูงโปร่งและมีใบหน้าหล่อเหลา และดูสง่าผ่าเผย กลิ่นอายของเขาดูเหมือนผืนดินที่กว้างใหญ่ ลึกล้ำและสูงส่ง ราวกับเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่

ทันทีที่ชายหนุ่มลงมาที่พื้น เขาก็พยักหน้าให้กับถันไถหงทันที แต่ เมื่อเขาเห็นเฉินซี คิ้วของเขากลับขมวดแทน และร่องรอยความไม่พอใจก็ส่องประกายในแววตาของเขา

เฉินซีตระหนักถึงสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน แต่สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

“หลานเฉินเค่อ คนผู้นี้คือหลินโม่เซวียนแห่งนิกายสวรรค์ปฐพีจากที่ราบตอนกลาง และเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือของคนรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะ”

ถันไถหงยิ้มในขณะที่เขาแนะนำ “สหายเต๋าหลิน นี่คือเฉินเค่อ เขาเป็นสหายที่ดีที่สุดของบุตรสาวข้า”

หลินโม่เซวียนไม่แม้แต่จะเหลือบมองเฉินซี ก่อนจะขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ถันไถ เราจะไปค้นหาขุมสมบัติของเฉียนหยวนในครั้งนี้ และมันเต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย เหตุใดถึงพาตัวภาระมาด้วย? นอกจากนี้ เรายังได้ตกลงกันมาตั้งนานแล้วว่า จะไม่พาผู้อื่นติดตามมาด้วย มิฉะนั้น มันคงจะไม่เป็นการดี ถ้าหากมีคนเก็บงำเจตนาซ่อนเร้นหรือต้องการนั่งเฉย ๆ ในขณะที่รับผลประโยชน์กับผลงานที่ผู้อื่นกระทำ”

คำพูดของหลินโม่เซวียนนั้นพุ่งไปที่เฉินซีราวกับเขาเป็นตัวภาระ นอกจากนี้ คำพูดและการกระทำของเขายังแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่า และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับถันไถหงสักเท่าใดนัก ดังนั้น การที่เขาสามารถทำตัวหยิ่งยโสและจองหองเช่นนี้ ราวกับว่าเขามีพลังอำนาจที่สามารถดูถูกทุกสิ่ง จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้

“ไม่ต้องห่วง หลานชายของข้าคนนี้จะไม่เป็นภาระของทุกคนอย่างแน่นอน ข้าสามารถรับประกันได้ด้วยเกียรติของข้า” ถันไถหงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยจึงรีบอธิบายออกไป เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า หลินโม่เซวียนจะเป็นคนขวานผ่าซากขนาดนี้ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอยู่ในใจว่า “ข้าสงสัยว่าจื่อเซวียนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ถึงบังคับให้ข้าพาเจ้าเด็กคนนี้มาด้วย อีกทั้งยังทำให้ข้าเสียหน้าไปพร้อมกับเขาอีก”

หลินโม่เซวียนขมวดคิ้วยิ่งขึ้น และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ก็ได้ แต่ถ้าเขาขัดแข้งขัดขาข้าและกลายเป็นภาระเมื่อใด ข้าจะเป็นคนแรกที่ฆ่าเขา!”

เมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เฉินซียังคงรักษาสีหน้าที่สงบและไร้กังวล และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

ตู้ม!

ทันใดนั้น เกิดคลื่นระเบิดรุนแรงดังขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน ก้อนเมฆที่ถูกไฟลุกไหม้พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพียงชั่วพริบตา มันก็ได้มาถึงที่เบื้องหน้าศิลาปีศาจ เมื่อก้อนเมฆที่ถูกไฟลุกไหม้ได้ดับลงก็เผยให้เห็นหญิงสาวนางหนึ่งที่อยู่ในชุดคลุมหรูหราสีแดงเพลิง นางมีเรือนร่างที่ร้อนแรงและรูปลักษณ์ที่น่าหลงใหล นางเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มีความแข็งแกร่งอย่างล้นเหลือเช่นเดียวกัน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 198 ศิลาปีศาจ

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 198 ศิลาปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 198 ศิลาปีศาจ

ในระหว่างทางนั้น เฉินซีกลับต้องตกตะลึงทันทีที่พบว่าถันไถหงกำลังพาเขาออกจากไปเมือง และดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ ส่วนถันไถจื่อเซวียนเองก็ได้จากไปอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ภายในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะอันกว้างใหญ่ แสงไฟเจิดจ้ามากมายได้สาดส่องผ่านท้องฟ้ามาจากทุกทิศทุกทาง และกระแสลมก็ส่งเสียงหวีดหวิวยามที่พวกเขาบินออกจากเมือง

หากมองจากที่ห่างไกล แสงไฟหลากสีสันนั้นได้ผสานรวมกันเป็นดั่งก้อนเมฆหลากสีสัน พวกมันต่างก็ส่องประกายและส่งเสียงหวีดหวิวยามที่พวกเขาบินผ่าน จึงทำให้เกิดเป็นทิวทัศน์ที่งดงามยิ่ง

ที่เบื้องหลังของเมืองห้วงทะเลทรายมรณะนั้น คือห้วงทะเลทรายมรณะที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต ด้วยการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มันจึงถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความตาย

ครั้งหนึ่ง เฉินซีเคยได้เข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะมาก่อน แต่เขาเข้ามาจากทางด้านข้างของทุ่งหญ้าพเนจร ซึ่งในช่วงเวลานั้น พายุทรายกำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายในห้วงทะเลทรายมรณะ ราวกับเทพเจ้าที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว และปรารถนาจะระบายความโกรธแค้นที่อยู่ในอกของเขาทั้งหมด จึงทำให้เต็มไปด้วยอานุภาพทำลายล้างและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ห้วงทะเลทรายมรณะกลับสงบลงเป็นอย่างมาก แม้ว่าสายลมและเม็ดทรายจะปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า แต่พลังของมันกลับลดลงไปอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าห้วงทะเลทรายมรณะได้เข้าสู่ช่วงพักตัวจริง ๆ เช่นเดียวกับข่าวที่เล่าลือ

แม้ว่าห้วงทะเลทรายมรณะจะขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความตาย แต่กลับมีสมบัติมากมายจากสวรรค์และโลกเก็บซ่อนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ดินแดนเร้นลับ และแม้แต่เคหาเซียนหรือขุมทรัพย์ที่เก็บซ่อนสมบัติล้ำค่าโบราณ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้มันยังอันตรายเกินไป จึงไม่มีผู้ใดกล้าจะเข้าไป

แต่ในขณะนี้ มันกลับต่างออกไป เมื่อห้วงทะเลทรายมรณะเข้าสู่ช่วงพักตัว มันก็เสมือนกับสัตว์ป่าที่ถอนเขี้ยวเล็บออก ทำให้ความอันตรายของมันลดลงไปอย่างมาก และตราบใดที่ไม่ได้มุ่งหน้าเข้าไปในห้วงลึกของทะเลทรายมรณะ มันก็พอจะค้นหาและทำกำไรอย่างมหาศาลจากสมบัติล้ำค่าและหายากที่มีอยู่นับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในนั้น

ด้วยเหตุนี้ ช่วงพักตัวของห้วงทะเลทรายมรณะจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ที่จะเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ เพื่อค้นหาสมบัติล้ำค่าหรือฝึกฝนหาประสบการณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพ่อค้าบางคนได้จัดตั้งกองคาราวานที่เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะ มุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ เพื่อเก็บรวบรวมวัตถุดิบล้ำค่าต่าง ๆ และสร้างผลกำไรมหาศาลจากสมบัติเหล่านั้น

เฉินซีเห็นพ่อค้าหลายคนกำลังรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ ใบหน้าของพวกเขาทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น ราวกับว่าพวกเขากำลังจะเข้าไปในภูเขาเงินและทองเพื่อเริ่มร่อนหาสิ่งของล้ำค่า

ภายในฝูงชนที่แน่นขนัด ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มาจากสถานที่ต่าง ๆ ของราชวงศ์ซ่งนั้นโดดเด่นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาล้วนเป็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ ซึ่งเป็นเสาหลักของนิกายต่าง ๆ และขณะที่พวกเขาบินผ่านท้องฟ้า ก็มักจะได้รับการเยินยอสรรเสริญจากผู้คนทั่วไป และแน่นอนว่าย่อมมีผู้อิจฉาบางส่วน

เฉินซีได้พบเห็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่น่าเกรงขามมากมาย ซึ่งไม่ได้ด้อยกว่าเซวี่ยเฉินและเผยจงเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่เหนือล้ำกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเป็นการยากสำหรับพวกเขา ที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก

“มีเหล่าผู้กล้ามากมายได้มารวมกัน และเต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะกับมวลก้อนเมฆ แต่น่าเสียดาย ที่คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้บ่มเพาะจากนอกดินแดนทางตอนใต้ และมีผู้บ่มเพาะที่มาจากดินแดนทางใต้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างแท้จริง” เฉินซีถอนหายใจกับตัวเอง เพราะสิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า โลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้นั้นต่ำต้อยเกินไป และไม่อาจเทียบกับแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ทะเลตะวันออก หรือที่ราบตอนกลางได้อย่างสิ้นเชิง

“หลานเฉินเค่อ ในบรรดาผู้บ่มเพาะเหล่านั้น สองคนเป็นลูกศิษย์ของผู้มีพระคุณของตระกูลถันไถของข้า และการบ่มเพาะของพวกเขาก็ดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นศิษย์สายหลักที่มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของกองกำลังต่าง ๆ ในที่ราบตอนกลาง พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ซึ่งมากความสามารถ และต้องการจะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ดังนั้นเจ้าต้องระมัดระวังตัวหากต้องเผชิญกับพวกเขาในภายหลัง และต้องไม่เป็นศัตรูกับพวกเขาเป็นอันขาด” ในระหว่างทาง ถันไถหงกล่าวเตือนอย่างจริงจัง

เฉินซีพยักหน้ารับ แต่เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ อยู่ในใจ การร่วมมือกับศิษย์ของนิกายอื่นเพื่อทำภารกิจหรือค้นหาสมบัตินั้น มักจะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทุกคนไม่ได้มาจากนิกายเดียวกัน จึงไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่จะควบคุมพวกเขาได้ ดังนั้นการขโมยหรือฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงสมบัติของผู้อื่น จึงเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย

“เจ้ากังวลว่าพวกเขาจะทำตัวไร้ยางอาย เพราะลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติหรือ?” ถันไถหงแย้มยิ้มออกมาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะขุมสมบัติของเฉียนหยวนถูกทิ้งไว้โดยเซียนสวรรค์ที่ไร้เทียมทาน และมันถูกปกคลุมด้วยข้อจำกัดมากมาย จึงทำให้ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัว จนแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังต้องได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา เพื่อเป็นสิ่งรับประกันว่าข้าจะสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างปลอดภัย แน่นอนว่าที่พวกเขายอมร่วมมือกับข้านั้น ก็เป็นเพราะแผนที่ขุมทรัพย์ที่อยู่ในการครอบครองของข้า อีกทั้งตัวข้าก็ตระหนักถึงเหตุผลได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ข้าจึงกำชับให้เจ้าคอยระมัดระวังตัวและปรับตัวตามสถานการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ”

“ท่านลุงถันไถจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างฉลาดล้ำเลิศ ดังนั้นข้าจึงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป” เฉินซียิ้มพร้อมกับกล่าวออกไป

“ไม่ต้องกังวล หากเราเข้าสู่คลังขุมสมบัติของเฉียนหยวนในครั้งนี้ เจ้าย่อมได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน” ถันไถหงหัวเราะเสียงดัง และเร่งความเร็วขึ้น เพื่อบินไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ

ถึงแม้ว่าห้วงทะเลทรายมรณะจะเข้าสู่ช่วงพักตัวแล้ว แต่มันก็ยังคงอันตรายอยู่ดี เนื่องจากสภาพอากาศภายในห้วงทะเลทรายมรณะนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดที่น่าสะพรึงกลัวและรอยแยกมิติที่สามารถกลืนกินทุกสิ่ง ภายในนั้นยังมีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังจำนวนนับไม่ถ้วนออกอาละวาดอยู่ สัตว์อสูรเหล่านี้บางตัวเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ แม้กระทั่งบางตัวก็มีขอบเขตที่เหนือกว่าขอบเขตจุติ ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรเหล่านี้มักรวมตัวกันเป็นฝูงและไม่เกรงกลัวต่อความตายใด ๆ

แน่นอนว่าในสายตาของผู้บ่มเพาะ สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนเป็นขุมทรัพย์ก้อนโต การล่าสัตว์อสูรเหล่านี้เพื่อเอาแก่นเลือด แผ่นหนัง และขนของพวกมัน มาใช้ขัดเกลาสมบัติวิเศษหรือขายพวกมันเพื่อสร้างรายได้มหาศาล อย่างไรก็ตาม ยอดฝีมือเหล่านี้กลับไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้น การทะเล่อทะล่าเข้าไปในฝูงสัตว์อสูร อาจทำให้ต้องตายอย่างไร้ที่กลบฝัง

ฟิ้ว!

เฉินซีและถันไถหงทะยานผ่านท้องฟ้าและได้เข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ ก่อนที่จะมาถึงเนินหินที่เกิดจากการกัดเซาะของสายลมและเม็ดทราย

“ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า ‘ศิลาปีศาจ’ และถ้าหากมุ่งหน้าเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะ ก็จะพบกับสถานที่ที่อันตรายอย่างแท้จริง เช่น ซากปรักหักพังห้าธาตุ สุสานอสูรร้าย เขตพายุฝนฟ้าคะนอง และสถานที่อันตรายอื่น ๆ ล้วนอยู่ภายในนั้น อีกทั้งหากประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เจ้าต้องสูญเสียชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ปราณวิญญาณที่นี่ก็เบาบางและหาได้ยากยิ่งนัก ดังนั้นเราต้องเตรียมเม็ดยาให้เพียงพอ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูร่างกายของเรา มิฉะนั้น ในไม่ช้าก็เร็ว เราอาจติดอยู่ภายในนั้นจนตาย” ถันไถหงยืนอยู่บนเนินหินและกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น “เราจะรออยู่ที่นี่ อีกไม่นานพวกเขาก็จะมาถึงแล้ว”

เฉินซีพยักหน้าและมองไปที่ศิลาปีศาจนี้ พื้นที่ของมันมีขนาดประมาณสิบลี้ ก่อตัวเป็นเนินหินที่มีสีดำสนิทและเป็นมันเงา พื้นผิวของมันมีรูอยู่มากมายที่มีรูปร่างและขนาดที่แปลกประหลาด ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของสายลมและเม็ดทราย

เนินหินเช่นนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในห้วงทะเลทรายมรณะ สายลมและเม็ดทรายโหมกระหน่ำผ่านศิลาปีศาจอยู่ตลอดเวลา และในชั้นทรายที่หนาทึบ เฉินซียังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันดุร้ายของบางสิ่งที่แฝงตัวอยู่ในนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยด้วยเนินทรายและภูเขาที่สูงตะหง่านไปถึงท้องฟ้ามากมาย แม้แต่ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าก็ยังสาดส่องแสงแดดแรงกล้า จนทำให้ผิวหนังรู้สึกแสบร้อนราวกับว่ามันกำลังจะละลาย

อุณหภูมิของที่แห่งนี้ดูเหมือนกับอยู่ในหม้อกลั่นยา มันแผดเผาและร้อนแรงเป็นอย่างมาก หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปอาจต้องแห้งตายกลายเป็นศพไปตั้งนานแล้ว

อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ทั้งที่ภายในทะเลทรายนั้น สภาพอากาศร้อนจนแม้แต่โลหะก็อาจละลายได้ นอกจากนี้ยังมีกระแสลมที่ซัดกระหน่ำจนทำให้มวลอากาศยังต้องบิดเบี้ยว แต่มันกลับไม่มีผลต่อเขา ทันทีที่กระแสลมพัดผ่านร่างของเฉินซี ก็จะถูกดูดซับโดยอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราอัคคีที่สามและอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยางที่อยู่บนแผ่นหลังของเขา ก่อนที่มันจะถูกแปรสภาพและขัดเกลาร่างกายของเขาให้แข็งแกร่ง

ตู้ม!

ในขณะที่พวกเขารอ ถันไถหงดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่ง และทันใดนั้น เขาก็โคจรปราณแท้ของเขาพร้อมกับคว้าไปที่เนินทรายเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปราวสองลี้อย่างรุนแรง ทันใดนั้น เขาก็ได้จับกิ้งก่าทะเลทรายที่มีขนาดมหึมาเหมือนช้าง อีกทั้งกลิ่นอายของมันก็เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ และอยู่ห่างจากการบรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำเพียงก้าวเดียว

เฉินซีประเมินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “กิ้งก่าทะเลทรายตัวนี้ได้บ่มเพาะจนถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ มันยังบ่มเพาะโดยใช้เส้นชีพจรวิญญาณและหินแร่จำนวนมากที่อยู่ใต้ทะเลทรายด้วย แต่น่าเสียดาย ที่มันไม่มีใครคอยชี้แนะ มิฉะนั้น การบ่มเพาะของมันจะไม่มีทางบรรลุขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างแน่นอน”

“สถานที่นี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยอยู่พอสมควร อีกทั้งยังอยู่ที่ชายขอบของห้วงทะเลทรายมรณะ หากเราเข้าไปลึกมากกว่านี้ สัตว์อสูรที่อยู่ภายในนั้นจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า โดยเฉพาะซากปรักหักพังห้าธาตุนั้น มักมีสัตว์อสูรหลายชนิดรวมตัวกันเป็นฝูง และพวกมันทั้งหมดล้วนมีพลังเทียบได้กับขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบ เมื่อพวกมันออกหากินก็จะเคลื่อนตัวเป็นฝูงหลายพันตัว จึงทำให้พวกมันน่ากลัวเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น เคยมีผู้บ่มเพาะขอบเขตกึ่งจุติเช่นเดียวกับข้า ติดอยู่ในวงล้อมของพวกมันและถูกฆ่าตายอยู่ในนั้น” ถันไถหงถอนหายใจ จากนั้นจึงฆ่ากิ้งก่าทะเลทรายและเก็บมันไว้ในคลังสมบัติมิติของเขา

ขอบเขตกึ่งจุติ เป็นการบ่มเพาะที่อยู่เหนือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ และมันมีความได้เปรียบต่อสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่ถ้าถูกสัตว์อสูรขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบหลายพันตัวถาโถมเข้ามา พวกมันก็สามารถฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนี่เป็นข้อได้เปรียบที่เกิดขึ้นจากจำนวน และมันก็เหมือนกับกระแสน้ำอันทรงพลังที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้

“หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่อาจดูแคลนฝูงสัตว์อสูรได้” เฉินซีจินตนาการอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงฝูงสัตว์อสูรจำนวนมหาศาล ก็ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกดำ

ฟุ่บ!

ในขณะนี้ เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้าจากระยะไกล ปราณกระบี่พุ่งลงมาราวกับสายฟ้าอย่างรุนแรง จนทำให้เสื้อผ้าของเฉินซีปลิวไสวไปตามสายลม

ปราณกระบี่นี้รุนแรงและรวดเร็ว แต่กระบวนกระบี่กลับเรียบง่ายและหยาบกระด้าง ในขณะที่มันตกลงสู่พื้น พลังกระบี่ก็ได้ถูกยับยั้งไว้ ก่อนจะเผยให้เห็นถึงชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีเหลืองเข้ม

ชายหนุ่มผู้นี้สูงโปร่งและมีใบหน้าหล่อเหลา และดูสง่าผ่าเผย กลิ่นอายของเขาดูเหมือนผืนดินที่กว้างใหญ่ ลึกล้ำและสูงส่ง ราวกับเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่

ทันทีที่ชายหนุ่มลงมาที่พื้น เขาก็พยักหน้าให้กับถันไถหงทันที แต่ เมื่อเขาเห็นเฉินซี คิ้วของเขากลับขมวดแทน และร่องรอยความไม่พอใจก็ส่องประกายในแววตาของเขา

เฉินซีตระหนักถึงสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน แต่สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

“หลานเฉินเค่อ คนผู้นี้คือหลินโม่เซวียนแห่งนิกายสวรรค์ปฐพีจากที่ราบตอนกลาง และเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือของคนรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะ”

ถันไถหงยิ้มในขณะที่เขาแนะนำ “สหายเต๋าหลิน นี่คือเฉินเค่อ เขาเป็นสหายที่ดีที่สุดของบุตรสาวข้า”

หลินโม่เซวียนไม่แม้แต่จะเหลือบมองเฉินซี ก่อนจะขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ถันไถ เราจะไปค้นหาขุมสมบัติของเฉียนหยวนในครั้งนี้ และมันเต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย เหตุใดถึงพาตัวภาระมาด้วย? นอกจากนี้ เรายังได้ตกลงกันมาตั้งนานแล้วว่า จะไม่พาผู้อื่นติดตามมาด้วย มิฉะนั้น มันคงจะไม่เป็นการดี ถ้าหากมีคนเก็บงำเจตนาซ่อนเร้นหรือต้องการนั่งเฉย ๆ ในขณะที่รับผลประโยชน์กับผลงานที่ผู้อื่นกระทำ”

คำพูดของหลินโม่เซวียนนั้นพุ่งไปที่เฉินซีราวกับเขาเป็นตัวภาระ นอกจากนี้ คำพูดและการกระทำของเขายังแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่า และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับถันไถหงสักเท่าใดนัก ดังนั้น การที่เขาสามารถทำตัวหยิ่งยโสและจองหองเช่นนี้ ราวกับว่าเขามีพลังอำนาจที่สามารถดูถูกทุกสิ่ง จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้

“ไม่ต้องห่วง หลานชายของข้าคนนี้จะไม่เป็นภาระของทุกคนอย่างแน่นอน ข้าสามารถรับประกันได้ด้วยเกียรติของข้า” ถันไถหงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยจึงรีบอธิบายออกไป เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า หลินโม่เซวียนจะเป็นคนขวานผ่าซากขนาดนี้ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอยู่ในใจว่า “ข้าสงสัยว่าจื่อเซวียนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ถึงบังคับให้ข้าพาเจ้าเด็กคนนี้มาด้วย อีกทั้งยังทำให้ข้าเสียหน้าไปพร้อมกับเขาอีก”

หลินโม่เซวียนขมวดคิ้วยิ่งขึ้น และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ก็ได้ แต่ถ้าเขาขัดแข้งขัดขาข้าและกลายเป็นภาระเมื่อใด ข้าจะเป็นคนแรกที่ฆ่าเขา!”

เมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เฉินซียังคงรักษาสีหน้าที่สงบและไร้กังวล และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

ตู้ม!

ทันใดนั้น เกิดคลื่นระเบิดรุนแรงดังขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน ก้อนเมฆที่ถูกไฟลุกไหม้พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพียงชั่วพริบตา มันก็ได้มาถึงที่เบื้องหน้าศิลาปีศาจ เมื่อก้อนเมฆที่ถูกไฟลุกไหม้ได้ดับลงก็เผยให้เห็นหญิงสาวนางหนึ่งที่อยู่ในชุดคลุมหรูหราสีแดงเพลิง นางมีเรือนร่างที่ร้อนแรงและรูปลักษณ์ที่น่าหลงใหล นางเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มีความแข็งแกร่งอย่างล้นเหลือเช่นเดียวกัน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด