บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 9 สำนักกระบี่ดารานภา

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 9 สำนักกระบี่ดารานภา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 9 สำนักกระบี่ดารานภา
บทที่ 9 สำนักกระบี่ดารานภา

พื้นที่ทางทิศตะวันออกของเมืองหมอกสน มีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและมีความระเบียบเรียบร้อย พื้นที่นี้ครอบคลุมไปหนึ่งในสี่ของตัวเมือง สถานที่แห่งนี้เรียกว่า ‘เขตสำนัก’ ซึ่งเต็มไปด้วยนานาสำนักนับไม่ถ้วนอันมีขนาดแตกต่างกันไปอยู่ภายในอาณาเขตนี้

สำนักกระบี่ดารานภาก็เป็นหนึ่งในนั้น

ในบรรดาสำนักต่าง ๆ สำนักกระบี่ดารานภาค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียง อันเนื่องมาจากสำนักนี้อยู่อันดับสองรองจากสำนักหมอกสน และอยู่เหนือสำนักภูผาหมอกซึ่งรั้งเป็นอันดับที่สาม

เหล่าบุพการีในเมืองหมอกสนเมื่อพวกเขาจะต้องเลือกสำนักที่เหมาะสมแก่ตัวบุตรหลาน สำนักหมอกสนจึงเป็นตัวเลือกแรกของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเงื่อนไขการคัดเลือกลูกศิษย์ของสำนักหมอกสนนั้นเข้มงวดยิ่ง จึงมีเพียงเด็กที่โชคดีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมได้

ส่วนสำนักภูผาหมอกนั้นจะคัดเลือกเฉพาะศิษย์หญิงที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดอันยอดเยี่ยมเท่านั้น ทำให้คนส่วนใหญ่หมดโอกาสที่จะเป็นศิษย์ของสำนักนี้

มีเพียงสำนักกระบี่ดารานภาเท่านั้นที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขใด ๆ ตราบใดที่สามารถจ่ายศิลาวิญญาณจำนวนสูงล้ำก็สามารถเข้าสำนักเพื่อเรียนรู้ได้ ดังนั้นในบรรดาสำนักที่ติดอันดับสามอันดับแรก สำนักกระบี่ดารานภาจะเป็นผู้นำในแง่ของจำนวนลูกศิษย์อย่างไม่ต้องสงสัย

ด้านนอกประตูของสำนักกระบี่ดารานภา

ใบหน้าของเฉินฮ่าวนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำ ทว่าเขายังคงยืนอย่างนิ่งเงียบ

ฝั่งตรงข้ามของเขา เป็นชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าชั้นดีซึ่งมีอายุประมาณสิบสามหรือสิบสี่ปี ใบหน้าของเขาถูกทุบตีจนเป็นสีดำฟกช้ำ แต่แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความอิ่มเอมใจ

“เฉินฮ่าวนั้นเป็นผู้ผิดในครานี้และข้าได้จ่ายค่าเยียวยาทั้งหมดแล้ว ข้าหวังว่าท่านผู้ดูแลอู๋จะมีทางออกให้แก่เขาและปล่อยเขาไปสักครา” เป็นไป๋หว่านฉิงนั่นเองที่กำลังเจรจากับชายวัยกลางคน นางกำลังแสดงออกถึงการขออภัยอย่างจริงใจ

ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างผอมแห้งจ้องมองไปยังไป๋หว่านฉิงก่อนจะส่ายศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องอันใดกัน? นายน้อยของข้าเป็นถึงลูกชายคนสุดท้องที่ท่านผู้นำตระกูลใส่ใจมากที่สุด เหตุใดเขาถึงต้องได้รับความอับอายขายหน้าเช่นนี้? พวกเราไม่ต้องการค่ารักษาพยาบาลเพียงแต่ต้องการให้เจ้าเด็กนั้นชดใช้อย่างเหมาะสม ฮึ่ม! บังอาจนักที่กล้ารังแกนายน้อยของตระกูลหลี่ ข้าย่อมไม่อาจปล่อยเจ้าเด็กนี้ไปได้อย่างง่ายดาย”

ไป๋หว่านฉิงพลันฝืนยิ้มและกล่าวว่า “แล้วท่านต้องการสิ่งใดกัน?”

ผู้ดูแลอู๋ลูบคางขณะกล่าวพร้อมกับยิ้ม “ข้ากล่าวไปยังไม่ชัดอีกหรือ? อย่างไรก็ตาม ตัวข้าอาจละเว้นเจ้าเด็กนี้ตราบเท่าที่เขายอมรับความผิดโดยการคุกเข่าลงและก้มหัวให้นายน้อยของข้า รวมถึงมอบศิลาวิญญาณสามร้อยก้อนเป็นการชดเชยจึงจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้ เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”

ไป๋หว่านฉิงอดกลั้นต่อโทสะที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจของนาง ขณะที่กล่าวด้วยทุ้มเสียงต่ำ “ให้ตัวเฉินฮ่าวกล่าวขอโทษ แต่เขาไม่อาจคุกเข่าพอจะเอาอย่างนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านผู้ดูแลอู๋?”

ผู้ดูแลอู๋หัวเราะออกมาเสียงดังพลางกลั้นยิ้ม และกล่าวด้วยความรังเกียจว่า “นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้!”

ไป๋หว่านฉิงไม่รู้ว่าจะต้องทำเยี่ยงไร และนางก็เริ่มวิตกกังวลจนมิอาจรักษาความสุขุมได้อีกต่อไป

“ท่านน้าไป๋ เหตุใดท่านถึงกล่าวเรื่องไร้สาระกับเขาเยี่ยงนี้? เพียงแค่ถูกไล่ออกไม่ใช่หรือ? ตัวข้าเองก็ไม่อยากฝึกฝนที่สำนักนี้อีกต่อไปแล้ว!”

เฉินฮ่าวกลั้นความโกรธอยู่เต็มอก จนต้องกัดฟันและมิอาจทนดูได้อีกต่อไป เมื่อเขาสังเกตเห็นไป๋หว่านฉิงประสบกับช่วงเวลาอันยากลำบากและกำลังหลั่งน้ำตา เด็กหนุ่มยืนขึ้นและชี้ไปที่ชายหนุ่มในเสื้อผ้าชั้นดี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หลี่หมิง ถ้าข้าเจอเจ้าอีก ข้าจะทุบตีเจ้า ไอ้คนใจเสาะ! ต้องคอยให้คนอื่นช่วยเหลือเพียงเพราะฝีมือเจ้ามันอ่อนหัด พอได้คิดว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลี่ ก็รู้สึกสมน้ำหน้าบรรพบุรุษของเจ้าจริง ๆ! น้าไป๋ เราไปกันเถอะขอรับ” เฉินฮ่าวดึงมือของไป๋หว่านฉิงแล้วหันหลังกลับทันทีที่เขากล่าวจบ

หลี่หมิงระเบิดโทสะออกในทันทีพลางตะโกนออกด้วยเสียงที่แสบหู “แกกล้าดูถูกข้าเหรอ? แก…แก…แก… ผู้ดูแลอู๋ เจ้ายังยืนอยู่เพื่ออันใด? เจ้าไม่เห็นว่ามันดูถูกข้าหรือ? ทุบตีไอ้เด็กนี่เพื่อข้าซะ!”

ไอ้เด็กสามหาว ถ้าไม่เห็นแก่หน้าพ่อของเจ้า ข้าคงไม่ปรานีถึงเพียงนี้!

ผู้ดูแลอู๋คำรามก้องดั่งเปลวไฟที่ลุกโชนภายในใจของเขา ตัวเขานั้นโกรธมาก ร่างกายของเขาพุ่งไปปิดกั้นเฉินฮ่าวและไป๋หว่านฉิงไว้ ในขณะที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่มืดมนว่า “เรื่องราวยังไม่ได้สะสาง เจ้าทั้งสองยังคงคิดจากไปไหนอีก?”

เฉินฮ่าวยังคงกล้าหาญเหมือนก่อนหน้านั้นและกล่าวอย่างดูถูกว่า “ข้าสู้กับหลี่หมิงดังนั้นสำนักจึงไล่ข้าออกและตัวข้าก็ได้ยอมรับผลการตัดสินของสำนัก ดังนั้นตามผลตัดสินของผู้อาวุโสอวี๋เจ๋อ เรื่องราวระหว่างข้ากับหลี่หมิงถือว่าคลี่คลาย ดังนั้นแล้วตราบใดที่เจ้ากล้าทำร้ายข้าและน้าไป๋ตอนนี้ เจ้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน!”

ผู้ดูแลอู๋ยิ้มอย่างชั่วร้าย “เจ้าเป็นแค่เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แล้วคิดจริง ๆ หรือว่าเพียงแค่การผลตัดสินถูกผิดเพียงครั้งเดียวจะสามารถคลี่คลายปัญหาทั้งหมดได้? ตอนนี้ข้าชักอยากรู้ว่าเจ้าจะทำให้ข้าเสียใจได้อย่างไร!” หลังจากกล่าวจบ ผู้ดูแลอู๋กางมือออกด้วยท่าทางน่าเกรงขาม ร่างกายทั้งหมดเตรียมพร้อมโจมตีหากประโยคต่อไปของเฉินฮ่าวพูดไม่เข้าหู

“ผู้ดูแลอู๋ เร็วเข้า ทุบตีมันซะ! ไอ้เจ้าเด็กนี่มันโอหังเกินไปแล้ว!” หลี่หมิงตะโกนเสียงดัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและอาฆาต

สีหน้าของเฉินฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มันง่ายมาก ข้าจะบอกสำนักกระบี่ดารานภาว่าตระกูลหลี่ของเจ้าไม่คำนึงถึงคำตัดสินใจของผู้อาวุโสอวี๋เจ๋อ และข้าจะไปที่คฤหาสน์ของท่านแม่ทัพ เพื่อบอกให้ท่านแม่ทัพทราบว่าตระกูลหลี่ของเจ้าท้าทายอำนาจของท่านแม่ทัพ โดยเริ่มสร้างปัญหาและก่อการต่อสู้ภายในเมืองหมอกสน! เว้นเสียแต่เจ้าจะฆ่าข้าในตอนนี้ เพียงแต่เจ้ากล้าพอหรือไม่เล่า?”

สีหน้าของผู้ดูแลอู๋พลันหยุดนิ่ง กายของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม เพราะสิ่งที่เฉินฮ่าวกล่าวนั้นจี้ใจดำเขาเข้าอย่างจัง และเหตุผลเดียวที่เขายังคงลังเลไม่โจมตีอีกฝ่ายก็ด้วยเหตุผลดังกล่าว

ท่านแม่ทัพซึ่งเป็นตัวแทนเจตจำนงของราชวงศ์ซ่งได้สั่งห้ามผู้บ่มเพาะก่อการต่อสู้ภายในเมืองอย่างชัดเจน หากพบการละเมิด การบ่มเพาะของผู้ฝ่าฝืนจะถูกทำให้พิการก่อนที่จะถูกเนรเทศไปยังเขตเหมืองแร่เพื่อตกเป็นทาส ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ดูแลตัวเล็ก ๆ แม้แต่ผู้นำตระกูลหลี่เองก็ยังไม่กล้าที่จะล่วงเกินกฎข้อห้ามนี้

ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของสำนักกระบี่ดารานภาจะเทียบไม่ได้กับตระกูลหลี่ แต่ผู้อาวุโสอวี๋เจ๋อก็เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับสามของเมืองหมอกสน

‘แล้วข้าควรทำเยี่ยงไรดี?’

ผู้ดูแลอู๋ดิ้นรนคิดหาหนทางอยู่ในใจ

ไป๋หว่านฉิงประหลาดใจอย่างยิ่งขณะมองไปที่ใบหน้าเล็ก ๆ ที่สงบนิ่งและยังไม่บรรลุนิติภาวะของเฉินฮ่าว มันยากที่จะนึกถึงว่าเด็กน้อยผู้นี้จะสามารถกล่าวถ้อยวาจาที่เฉียบแหลมได้เช่นนี้

“ผู้ดูแลอู๋ เจ้าเด็กนี่มาจากครอบครัวยากจนที่อาศัยอยู่ในเขตสามัญชนและพี่ชายของเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงอัปมงคล ถึงแม้ว่าเราจะทุบตีมัน แต่เมื่อคำนึงถึงตระกูลหลี่ของเรา จวนแม่ทัพและสำนักกระบี่ดารานภาย่อมเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่งแล้วเจ้าจะยังลังเลอะไรอยู่อีก?”

หลี่หมิงอดไม่ได้ที่จะตะโกนร้องออกมาอย่างวิตกกังวล เมื่อเห็นผู้ดูแลอู๋ยืนลังเล “แม้ว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นเจ้าก็ยังมีข้าอยู่ไม่ใช่หรือ?

จริงด้วย… นายน้อยอยู่ที่นี่เพื่อช่วยข้าให้รอดตัว ทำไมข้าถึงยังกลัวว่าผู้นำตระกูลจะไม่แยแสอีก?

ทันใดนั้น ผู้ดูแลอู๋ก็ตัดสินใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่ต้องกังวลไปขอรับ นายน้อย ถ้าข้าไม่หักขาของเจ้าเด็กนี่ ข้าคงละอายใจต่อท่านผู้นำตระกูลที่คอยเลี้ยงดูข้ามา!”

ชายวัยกลางคนจู่โจมทันทีหลังจากที่เขากล่าวจบ ปราณแท้พวยพุ่งออกจากมือของเขา แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บแหลมคมคู่หนึ่ง จากนั้นตะครุบอย่างดุเดือดใส่เฉินฮ่าว

เฉินฮ่าวสังเกตเห็นว่าท่าไม่ดี ไม่ทันที่ผู้ดูแลอู๋กล่าวจบเขาก็ผลักไป๋หว่านฉิงออกไป และกลิ้งหลบอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหลีกกรงเล็บอันแหลมคมที่พุ่งมาสู่เขา

ลมกระโชกแรงพัดใส่ใบหน้าของเขา กรีดผ่านใบหน้าของเฉินฮ่าวจนเจ็บแสบ และเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจว่า เจ้าสุนัขแก่ตัวนี้อาจเป็นถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้หรือไม่?

“ฮึ! ให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ้าจะหลบได้นานแค่ไหน!” เมื่อเห็นเฉินฮ่าวหลบการโจมตีด้วยกรงเล็บของเขา ผู้ดูแลอู๋พ่นลมหายใจอย่างเย็นชาและปราณแท้ซึ่งโคจรภายในร่างกายของเขาทวีกำลังเพิ่มขึ้น มวลพลังสีดำสนิทปรากฏขึ้นบนฝ่ามือผอมบางราวกับกิ่งไผ่และเปล่งรัศมีอันน่าหวาดเกรง

วูบ!

ร่างของผู้ดูแลอู๋ขยับไปมา ก่อนปรากฏขึ้นต่อหน้าเฉินฮ่าวราวกับภูตผี ฝ่ามือของเขาราวกับผีเสื้อโบยบินผ่านดอกไม้ขณะที่พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นรูปฝ่ามือที่ปกคลุมผืนท้องฟ้า ปิดผนึกเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของเด็กหนุ่มทันใด

เฉินฮ่าวถูกต้อนให้อยู่ในมุมหนึ่ง และทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าแทนโดยไม่สนใจฝ่ามือที่ปกคลุมผืนท้องฟ้า หมัดขวาของเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยปราณแท้ที่หลั่งไหลออกจากร่างกายอย่างบ้าคลั่ง และทุบกำปั้นอย่างดุเดือดไปยังผู้ดูแลอู๋ ด้วยการกระทำนี้แสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มเตรียมใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อที่ได้ทำร้ายคนตรงหน้าแล้ว

เฉินฮ่าวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนี้ แม้เขาเพิ่งบุกทะลวงก้าวเข้ามายังขอบเขตก่อกำเนิด แต่รากฐานยังตื้นเขินและห่างไกลเกินพอที่จะเป็นคู่มือของผู้ดูแลอู๋ ดังนั้นเขาจึงต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง เพื่อเสาะหาโอกาสในหนทางการเอาชีวิตรอด

ตามที่คาดคิดไว้ ผู้ดูแลอู๋นั้นไม่ได้เสี่ยงบาดเจ็บตกตายไปพร้อมกับเฉินฮ่าว และรีบถอยเท้ากลับไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็กำหมัด ก่อนจะกระแทกมันเข้าใส่หมัดของเฉินฮ่าวอย่างดุเดือด

ปัง!

หมัดที่ปะทะกันส่งเสียงกระแทกดังก้องราวกับฟ้าร้อง และปราณแท้ที่สลายไปก็พัดพากระแสลมเข้าทำลายสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทำให้ฝุ่นดินปลิวว่อนไปในอากาศ

เฉินฮ่าวกระทืบพื้นอย่างแรงหลังจากที่เขาถอยไปสิบก้าว ก่อนจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาซีดเซียวลงเนื่องจากได้รับบาดเจ็บภายใน

“เสี่ยวฮ่าว!” ไป๋หว่านฉิงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นางไม่มีทักษะในการต่อสู้และไม่อาจช่วยเหลือได้ ภายในใจของนางรู้สึกเจ็บปวดและวิตกกังวล เพราะไม่รู้ว่าจะทำเยี่ยงไรดี

หลังจากปะทะหมัดกับเฉินฮ่าวอย่างรุนแรง ผู้ดูแลอู๋ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่นิ้วเดียวและไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองไปยังเฉินฮ่าวอย่างดูแคลน จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “แค่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นหนึ่ง เจ้ายังมีหน้ามาประมือกับข้า? เจ้าจงยอมถูกหักขาให้พิการเสียโดยดี!”

ทันทีที่ชายวัยกลางคนกล่าวจบ ร่างกายของเขาขยับเคลื่อนไปมาก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกครั้งข้าง ๆ เฉินฮ่าว ขาขวาของเขาเตะเข้าใส่ขาของเฉินฮ่าวอย่างไร้ปรานี!

หืม?

ขณะที่ขาขวาของผู้ดูแลอู๋กำลังจะเตะใส่เฉินฮ่าว ความรู้สึกอันน่ากลัวได้ผุดขึ้นภายในใจของเขา จากนั้นจึงรีบยั้งการโจมตีอย่างไม่ลังเลและดีดตัวถอยกลับอย่างรวดเร็ว

ปัง!

ทันทีที่ผู้ดูแลอู๋ถอยกลับ แท่งน้ำแข็งที่แหลมคมราวกับกระบี่ก็ปรากฏขึ้นจากอากาศอันเบาบาง เฉือนหนังศีรษะของผู้ดูแลอู๋ขณะที่มันบินผ่าน และพุ่งตรงทะลุพื้นหินปูนโดยเหลือเพียงรูขนาดเท่าชามไว้

ผู้ดูแลอู๋ลูบสัมผัสหนังศีรษะของเขาที่เจ็บแสบเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง หากเขาไม่รีบหลบ แท่งน้ำแข็งนี้คงได้พรากชีวิตเขาไปเป็นแน่

ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ดูแลอู๋เท่านั้น ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหันเช่นกัน และไม่ได้สังเกตถึงร่องรอยของเงาดำที่ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ ที่ด้านข้างของพื้นที่ต่อสู้

“รีบไปกันเถอะ!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้าง ๆ หูของเฉินฮ่าว และก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนองต่อเสียงนั้น ร่างของเด็กหนุ่มก็ถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของอีกคนแล้ว ก่อนจะพุ่งออกไปในระยะไกลอย่างรวดเร็ว

“ท่านพี่!” เฉินฮ่าวรู้สึกยินดีนัก แต่หลังจากที่เขาตระหนักถึงบางสิ่ง เขาก็ร้องตะโกนออกมาว่า “ช้าก่อน! ท่านน้าไป๋ยังคงอยู่ที่นั่น!”

“ข้า… ข้าอยู่ที่นี่แล้ว” เสียงไพเราะอันคุ้นหูดังขึ้น เฉินฮ่าวเงยหน้าขึ้นมองและสังเกตเห็นไป๋หว่านฉิงนอนพาดอยู่บนหลังพี่ชายของเขา ใบหน้าอันสง่างามของนางเผยให้เห็นความเขินอายเล็กน้อย

“ผู้ดูแลอู๋ เจ้ามันไร้ประโยชน์! พวกมันถูกช่วยไปต่อหน้าต่อต่อตาเจ้า! เหตุใดท่านพ่อของข้าถึงส่งคนไร้ประโยชน์อย่างเจ้ามากันนะ?”

หลี่หมิงตวาดขึ้นอย่างเดือดดาลพลางมองร่างของเฉินฮ่าวและไป๋หว่านฉิงที่หายลับไปจากสายตา

ผู้ดูแลอู๋ไม่สนใจกับคำพูดของหลี่หมิง เขานั่งยอง ๆ เพื่อมองดูรูบนพื้นที่แท่งน้ำแข็งเจาะเป็นรู ก่อนจะกล่าวพึมพำ “นี่คือยันต์อักขระลิ่มน้ำแข็งระดับหนึ่ง ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดอย่างแน่นอน แต่คนผู้นี้กลับรู้จักฉวยโอกาส ไม่เพียงแต่จังหวะการโจมตีของเขาจะแม่นยำและไร้ความปรานี ยิ่งกว่านั้นเขายังสามารถใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ข้าตื่นตระหนกเพื่อพาผู้คนหลบหนีได้ การคำนวณและการตัดสินใจระดับนี้ถือได้ว่าเป็นระดับสูงสุด คนที่มาช่วยคงไม่ใช่ไอ้ตัวอัปมงคลนั่นหรอกใช่ไหม”

หลี่หมิงยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกเมื่อสังเกตเห็นผู้ดูแลอู๋ทำเป็นไม่สนใจ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงดุเดือด “ยอดเยี่ยม! ผู้ดูแลอู๋เจ้านี่มันเหลือทนจริง ๆ! ข้าจะไปบอกท่านพ่อตอนนี้ว่าไม่เพียงแต่เจ้าปล่อยศัตรูหลบหนีไปโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เจ้ายังตั้งใจทำให้ข้ารู้สึกอับอายอีกด้วย ถ้าข้าไม่ขับไล่เจ้าออกจากตระกูลหลี่ นายน้อยคนนี้จะเปลี่ยนแซ่เป็นอู๋!”

ผู้ดูแลอู๋ยืนขึ้นอย่างไม่รีบร้อนและกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “นายน้อย ถ้าหากท่านทำเช่นนั้นจริง ๆ ข้าก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแฉถึงความชั่วร้ายทั้งหมดที่ท่านได้ทำตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้”

หลี่หมิงตกตะลึงและไม่อาจสงบสีหน้าได้อีกต่อไป “ผู้ดูแลอู๋ แก… แก… แกกำลังพูดเรื่องไร้สาระอันใด!?” ท่าทางที่จองหองของเขาสลายลง

ผู้ดูแลอู๋โบกมือก่อนที่จะกล่าวอย่างเฉยเมย “นายน้อยไปกันเถอะ และระวังอย่าหุนหันพลันแล่นอีกในภายภาคหน้า มิฉะนั้น จะเป็นการยากที่คำพูดไม่พึงประสงค์บางอย่างจะเข้าไปถึงหูของท่านผู้นำตระกูล ส่วนเฉินฮ่าวนั้นเราจะค่อย ๆ จัดการกับมันในอนาคตท่านคิดอย่างไร?”

หลี่หมิงพยักหน้าอย่างไม่พอใจและยังคงหมกหมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง

ผู้ดูแลอู๋หัวเราะอย่างเหยียดหยามในใจ ‘ถ้าเจ้ามีกำลังเป็นพันเท่าของตัวพี่ชายเจ้า เจ้าคงไม่ถูกรังแกถึงขนาดนี้หรอก’

ทันใดนั้น ภาพร่างอันเย่อหยิ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของชายวัยกลางคนโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเขานึกถึงพี่ชายของหลี่หมิง ความรู้สึกเย็นยะเยียบก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขา จนทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปตามกระดูกสันหลังของเขา

“นายน้อยคนโตเอ็นดูน้องชายของเขามาก เมื่อใดที่เขาออกจากการปิดด่านฝึกตนและรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าเด็กคนนั้นจากตระกูลเฉินคงจะประสบกับหายนะ…”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *