บัลลังก์พญาหงส์ 370 ไฟโกรธ

Now you are reading บัลลังก์พญาหงส์ Chapter 370 ไฟโกรธ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในเมื่อเข้าวังหลวงมาแล้ว หลังจากที่ถาวจวินหลันอยู่ดูแลหลี่เย่ให้กินของว่าง ดื่มยาและนอนไปแล้วนั้น ก็ขาดไม่ได้ที่จะไปหาไทเฮาและฮองเฮาเพื่อทำความเคารพ

ด้วยไทเฮาเป็นผู้อาวุโส จึงไม่ดีหากจะมาหาคนที่เด็กกว่า ดังนั้นจึงไม่ได้มาเยี่ยมหลี่เย่ด้วยตนเอง เพียงแค่ให้คนส่งของจำนวนมากมา ยามนี้พอถาวจวินหลันมาทำความเคารพ ไทเฮาจึงซักถามอยู่หลายคำถามนัก

แน่นอนว่าล้วนเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของหลี่เย่

ด้วยไทเฮาอายุมากแล้ว ถาวจวินหลันจึงไม่กล้าพูดความจริงทั้งหมดออกไป จึงได้แค่ลดความรุนแรงลงและพยายามพูดอย่างอ้อมค้อม

ไทเฮากลับไม่เชื่อ เพียงแค่พูดว่า “หมอหลวงพูดว่ารุนแรงขนาดนั้น เหตุใดจะไม่เป็นอะไร? เจ้าอย่ามัวแต่มาหลอกคนแก่อย่างข้า”

ถาวจวินหลันรีบอธิบายออกมาในทันใด “แม้ว่าบนศีรษะจะถูกกระแทก แต่ว่าเป็นแค่อาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้นเพคะ มีแค่กระดูกขาหักที่ค่อนข้างจะรุนแรงเสียหน่อย ด้วยเหตุนี้จึงลงมาจาเตียงหรือขยับไปไหนได้ อย่างไรบาดแผลกระทบถึงกระดูกจำต้องพักหนึ่งร้อยวันมิใช่หรืออย่างไรเพคะ? ท่านอ๋องได้สติดี และสามารถทานอาหารได้ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ไทเฮาอย่าได้ละเลยสุขภาพของพระองค์จนแย่ลงเพราะว่าท่านอ๋องเลยเพคะ เช่นนั้นกลายเป็นว่าท่านอ๋องจะอกตัญญูเสียแล้ว”

เมื่อได้ยินว่าหลี่เย่ไม่เพียงแค่ดื่มยาถ้วยหนึ่งเท่านั้น แล้วยังทานซุปเห็ดหูหนูอีกถ้วยหนึ่ง ถั่วลันเตาตุ๋นอีกสามถ้วยไทเฮาก็สบายใจไปเปราะหนึ่ง ยิ้มและพูดว่า “ขอแค่เพียงทานอาหารได้ ก็ถือว่าไม่เป็นอะไรแล้ว”

ตอนนี้ขอแค่เพียงคนป่วยแล้วยังอยากอาหารก็ถือว่าไม่เป็นอะไรมาก ที่น่ากลัวที่สุดคือป่วยแล้วไม่อยากอาหาร กินอะไรไม่ลง อย่างไรหากจะฟื้นฟูแต่ไม่มีกำลังกายจะทำได้อย่างไร? แต่หากไม่ทานอาหารเข้าไปแล้วจะมีแรงกายจากที่ใด?

ด้วยกลัวว่าไทเฮาจะเป็นกังวล ถาวจวินหลันจึงตั้งใจถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “เมื่อเทียบกับท่านอ๋องแล้วกลับเป็นซวนเอ๋อร์ที่น่าเป็นห่วงเสียมากกว่าเพคะ หมิงจูยังเด็กขอแค่มีแม่นมก็จัดการได้แล้ว ตอนนี้ซวนเอ๋อร์ซนมาก คราวที่แล้วยังแอบไปตกปลาที่สระภายในสวนดอกไม้ แขนเสื้อเปียกไปกว่าครึ่ง แถมยังแทบจะตกลงไปด้วยซ้ำเพคะ ไม่มีคนดูแลช่างไม่น่าวางใจเสียจริง”

พูดได้ว่าซวนเอ๋อร์เป็นยอดดวงใจของไทเฮาก็ไม่มากเกินไป ดังนั้นเมื่อไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็ร้อนรนทันที “เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เขามีนิสัยเอาแต่ใจ แม่นมโจวก็บังคับเอาไว้ไม่อยู่”

หยุดไปครู่หนึ่ง ไทเฮาก็พูดอย่างมุ่งมั่นว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ให้ซวนเอ๋อร์เข้ามาในวังหลวง ไม่ว่าอย่างไรในวังหลวงก็ใช่ว่าจะอาศัยไม่ได้ วังของพวกเจ้าพักไม่ได้ ก็ให้เขาอยู่กับข้า ตอนกลางวันค่อยอุ้มไปก็ได้”

ถาวจวินหลันพูดด้วยจุดประสงค์นี้ จึงแย้มยิ้มและรับปาก พูดว่า “วันพรุ่งนี้หม่อมฉันจะหาเวลากลับไปรับซวนเอ๋อร์เข้ามาเพคะ” หยุดไปครู่หนึ่งและพูดอีกว่า “ไทเฮายังไม่เห็นหมิงจูใช่หรือไม่เพคะ? มิเช่นนั้นรับมาพร้อมกันเลย ไทเฮาเองก็จะได้เห็นนาง พระองค์ต้องไม่รู้ว่าซวนเอ๋อร์เอ็นดูน้องสาวคนนี้มากเพียงใดแน่เพคะ คราวที่แล้วให้ขนมผลึกกับเขาชิ้นหนึ่ง เขาเองยังทำใจกินไม่ได้ อยากจะให้หมิงจูกิน ทำให้หน้าของหมิงจูนั้นเปื้อนไปกว่าครึ่ง ผลก็คือหมิงจูอมนิ้วเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย”

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่ที่ถาวจวินหลันไม่ได้พูดก็คือหลี่เย่เกือบจะตีซวนเอ๋อร์สักทีสองที จะต้องรู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะแม่นมเอาไปแอบได้เร็ว ขนมชิ้นนั้นก็คงถูกยัดเข้าไปในปากของหมิงจูเต็มชิ้น ไม่ใช่เพียงสำลัก หากหมิงจูกลืนเข้าไปจริง ท้องคงย่อยไม่ได้เป็นแน่

ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ว่าก็ยังตีสีหน้าพูดว่า “หมิงจูยังเล็กถึงเพียงนั้น อย่าปล่อยให้ซวนเอ๋อร์ทำตามใจ หากกินเข้าไปเยอะ ท้องจะไม่ย่อย แต่ก็เห็นได้ว่าซวนเอ๋อร์เป็นพี่ชายแสนดีที่รักและเอ็นดูน้องของตน”

ถาวจวินหลันคิดว่าแม้นซวนเอ๋อร์จะไม่ค่อยสนใจต่อเซิ่นเอ๋อร์นัก แต่เขากลับสนใจน้องสาวทั้งสองคนเป็นอย่างมาก ทุกวันจะต้องไปเยี่ยมหา มีทั้งของอร่อยและของให้เล่นสนุก เขายอมแบ่งให้น้องสาวทั้งสองคน ก็ถือได้ว่าเป็นพี่ชายที่แสนดี

พูดเรื่องซวนเอ่อร์อยู่อีกครู่หนึ่ง ไทเฮาก็กำชับเรื่องการดูแลหลี่เย่อีกบางอย่าง แล้วถึงได้ปล่อยถาวจวินหลันให้ไปทำความเคารพฮองเฮา ไม่รู้ว่าตั้งใจหรืออว่าอย่างไรจึงพูดออกมาอีกประโยคหนึ่ง “เวลาไม่เช้าแล้ว อย่าได้รั้งตัวอยู่นาน ถึงเวลาที่เหมาะสมก็ควรกลับไปดูแลตวนอ๋องให้รับประทานอาหารเย็น”

ถาวจวินหลันกลับคิดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้พูดขึ้นมาว่าจะร่วมโต๊ะอาหารเย็น จึงยิ้มและพูดให้ไทเฮาฟัง แสดงออกว่าตนเองจะต้องรีบกลับไปเตรียมตัวอย่างแน่นอน

ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ยินดีเป็นอย่างมาก พอถาวจวินหลันจากไปแล้ว ก็กำชับหลิวหมัวหมัวว่า “ให้ห้องครัวเล็กทำอาหารที่ตวนอ๋องและฮ่องเต้ชอบทานไปสองสามอย่าง แม้นสิ่งที่ห้องเครื่องทำจะค่อนข้างดี แต่ด้วยประณีตมากเกินไปจนรสชาติสูญหาย”

อาหารที่ห้องเครื่องไม่เพียงแค่ประณีต รสชาติก็ยังดีเป็นมาก แต่ด้วยละเอียดอ่อนเช่นนี้กลับทำให้ดูทางการมากเกินไป ขาดรสชาติดั้งเดิมของอาหาร ไทเฮาไม่ชอบมาโดยตลอด

หลิวหมัวหมัวยิ้มรับ “ตอนนี้ท่านอ๋องค่อยๆ ฟื้นตัว ต่อจากนี้คิดว่าพ่อลูกจะต้องใกล้ชิดกันมากขึ้นแน่นอนเพคะ”

ไทเฮาเองก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “คราวนี้ตวนอ๋องได้รับบาดเจ็บคราวนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรกลับมาเลย” พอพูดจบสายตาก็เย็นเยียบลง น้ำเสียงก็เย็นชา “แต่เจ้าโจรโองหังเช่นนั้นก็ควรได้รับโทษ พรุ่งนี้ตอนบ่ายเรียกให้ฮ่องเต้มาสักครั้ง ข้าจะถามเขาให้ดีว่าเขาจะจัดการกับภูเขานี้อย่างไร”

หลิวหมัวหมัวได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่าไทเฮากริ้วจริงๆ แล้ว คราวที่แล้วไทเฮาก็กริ้วเช่นกัน แต่สุดท้ายด้วยไม่ได้ก้าวก่ายถึงจุดตายและไม่ได้เกิดไฟโกรธที่แท้จริง แต่คราวนี้…

หลิวหมัวหมัวพูดกล่อม “ไทเฮาเองก็อย่าทำให้ฮ่องเต้รู้สึกลำบากพระทัยเลยเพคะ ฮ่องเต้ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่อาจะเสียหน้าได้”

ไทเฮามองไปทางหลิวหมัวหมัวทีหนึ่ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขบขันอีกครั้ง “ข้ารู้แล้ว”

และทางด้านนี้ถาวจวินหลันก็ไปทำความเคารพฮองเฮา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพระชายาคังอ๋องก็อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นจึงรู้สึกว่าตัวเองมาไม่ถูกเวลา แต่ในเมื่อมาแล้วนางก็วางแผนแค่ทำความเคารพและขอตัวกลับไป

ฮองเฮาและพระชายาคังอ๋องไม่ได้มีท่าทีสนิทสนมกันเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าฮองเฮาจะยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตรเช่นเดิม แต่ว่าความห่างเหินในดวงตานั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหลบซ่อนได้ ส่วนพระชายาคังอ๋องก็ดึงหน้าตึง

ถาวจวินหลันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ทำความเคารพอย่างเรียบร้อยและนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

กลับเป็นฮองเฮาที่เอ่ยถามอาการบาดเจ็บของหลี่เย่เล็กน้อย อาจด้วยต้องการไว้หน้า ดังนั้นพระชายาคังอ๋องจึงต้องตามน้ำไปด้วย

ถาวจวินหลันตอบทุกอย่าง แต่กลับพูดไม่เหมือนกับเวลาอยู่ต่อหน้าไทเฮาเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้นางพูดอาการของหลี่เย่ไปในทางที่หนัก นางพูดเช่นนี้ก็เพื่อลดความกระอักกระอวนในใจของไทเฮา อย่างไรถ้าหากว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้หนักจริง แล้วยังอาศัยอยู่ภายในวังหลวง ฮองเฮาคงจะสงสัยเป็นแน่

เวลานี้หลี่เย่ได้รับบาดเจ็บ และรักษาตัวอยู่ภายในวังหลวง หากทำให้ฮองเฮากริ้วคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ หากฮองเฮาตัดสินใจลงมือจริง ถึงตอนนั้นจะมานั่งร้องไห้ก็คงไม่ทัน

ดังนั้นจะใช้คำพูดเกินจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น

ถาวจวินหลันพูดอย่างเศร้าโศกเป็นกังวลใจ ฮองเฮาเองก็ให้ความร่วมมือโดยการส่งสายตาเป็นห่วงออกมา และส่งเสียงกำชับ “ข้าจำได้ว่าในห้องเก็บของเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้คังอ๋องส่งโสมแก่มาให้ ไปเอามาให้ชายารองตวนอ๋องเสียเถิด”

ถาวจวินหลันรีบเอ่ยปฏิเสธ “นี่เป็นของที่คังอ๋องมอบให้ฮองเฮา พวกเราจะกล้าใช้ได้อย่างไรเพคะ? เหนียงเหนียงเก็บเอาไว้เถิด นี่ถือว่าเป็นนความกตัญญูของคังอ๋องนะเพคะ”

ฮองเฮายิ้มอย่างเป็นมิตร “ถือว่าคังอ๋องเป็นพี่ชายที่สงสารน้องชายก็แล้วกัน อีกทั้งให้ตวนอ๋องใช้กับให้ข้าใช้ก็เหมือนกัน เขาหายเร็วขึ้นข้าก็สบายใจ”

ถาวจวินหลันทำได้เพียงขอบพระทัยของประทานครั้งนี้ ในใจกลับคิดแล้วว่าของสิ่งนี้กลับไปควรจะต้องไปโยนทิ้ง

ฉับพลันฮองเฮาก็ถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าตวนอ๋องพูดได้แล้ว? เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงหรือ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด