บัลลังก์พญาหงส์ 472 คุณสมบัติ

Now you are reading บัลลังก์พญาหงส์ Chapter 472 คุณสมบัติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตกดึกตอนที่พบหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็บอกความคิดของไทเฮาให้หลี่เย่รับรู้ “ความหมายของไทเฮาคือ อยากคัดตัวเลือกชายาเอกคนใหม่ให้เสร็จสิ้นเพคะ”

 

 

หลี่เย่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่กลับไม่ได้ตื่นตกใจมากนัก ทว่าแสดงท่าทีสงบนิ่งและเย็นชา “อืม”

 

 

เห็นหลี่เย่ไม่เอ่ยปฏิเสธเช่นนี้ ในใจของถาวจวินหลันก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิด อดกัดลิ้นของตนไม่ได้ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ นางกลัวว่าจะควบคุมความหงุดหงิดนี้ไว้ไม่ได้ แม้ในใจของนางจะรู้ดีว่าไม่มีอะไรน่าหงุดหงิด แต่นางก็ยังควบคุมไม่ได้ มองดูหลี่เย่มีท่าทีเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ

 

 

คิดอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายแล้วนางก็ถามตามใจคิด “แล้วท่านเล่า? คิดว่าอย่างไร?”

 

 

หลี่เย่เงยหน้าขึ้นมา สายตาย้ายจากหนังสือที่อยู่ในมือไปยังใบหน้าของถาวจวินหลัน ยิ้มเล็กน้อย “ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถามเช่นนี้? ตอนนี้หลิวซื่อเพิ่งเสียชีวิตไป อย่างไรก็รอผ่านไปสักครึ่งปีก่อนเรื่องนี้ก็ยังไม่สายเกินไป”

 

 

ตอนที่หลี่เย่พูดออกมา ทั้งมีท่าทีเป็นธรรมชาติและหนักแน่นมั่นคง เห็นได้ชัดว่าเขาคิดเช่นนี้มาตลอด

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ยังคงแสดงความคิดของไทเฮาอีกครั้ง “แต่ไทเฮาคิดอยากจะคัดเลือกชายาคนใหม่ให้เสร็จในเร็ววัน หรือท่านคิดว่าเร่งรีบมากเกินไป?”

 

 

“มีอะไรต้องเร่งรีบกัน?” หลี่เย่ยิ้มพลางพูดออกมา มองไปทางถาวจวินหลันอย่างแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าใส่ใจเรื่องนี้เสียนี่” แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้นมากอีกหลายส่วน มองดูมีความสุขยิ่งนัก

 

 

ถาวจวินหลันมองปฏิกิริยาของเขา รู้สึกอายแกมโมโห จึงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “จะไม่เร่งรีบได้อย่างไร? ข้าเป็นอนุภรรยาก็ควรต้องรู้ว่าฮูหยินใหญ่จะมาเมื่อไรมิใช่หรือ? ควรต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนมิใช่หรือ!”

 

 

“จะต้องเตรียมทำอะไร?” เห็นถาวจวินหลันร้อนรน หลี่เย่กลับหัวเราะ “แล้วทำไมเจ้าจะต้องเตรียมพร้อม? ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่มีทางข้ามเจ้าไปได้ ฮูหยินใหญ่ ถ้าไม่ใช่เจ้าก็ย่อมมิใช่คนอื่น ก่อนหน้านี้ข้าเลือกด้วยตนเองไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่องค์ชายรองที่ให้คนคอยชักจูงได้อีกแล้ว”

 

 

ที่ถาวจวินหลันร้อนรนเช่นนี้ก็อธิบายแล้วว่านางใส่ใจเรื่องนี้ ดังนั้นเขาย่อมต้องดีใจ

 

 

ถาวจวินหลันกลับคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะตอบเช่นนี้ จึงตื่นตะลึงจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา พูดได้ว่าหลังจากวันนี้นางกลับจากวังหลวงมาอารมณ์ก็ย่ำแย่มาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงเรื่องหลี่เย่ต้องตบแต่งชายาเอกคนใหม่ อารมณ์ของนางจึงมีแต่แย่ลง

 

 

และที่นางหงุดหงิดเมื่อครู่นี้ ก็ด้วยเหตุนี้เหมือนกัน พูดจากใจแล้ว นางหวังมากว่าหลี่เย่จะปฏิเสธเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ที่หลี่เย่พูดปฏิเสธเรื่องนี้ด้วยตนเองนั้น และพูดคำพูดนั้นออกมานางกลับรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย

 

 

หลังจากซาบซึ้งแล้ว สุดท้ายก็ทำได้แค่ฝืนยิ้มออกมา “อย่ามาล้อข้าเล่นเลยเพคะ ไฉนตัวข้าจะเหมาะสมกับตัวเลือกของไทเฮา? เพียงแค่พูดถึงชาติตระกูลก็มากพอแล้ว”

 

 

หลี่เย่ก็เพียงแค่พูดให้นางอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้น ต่อให้ตอนที่หลี่เย่พูดจะเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับเป็นเรื่องตลกที่ไม่มีวันเป็นไปได้

 

 

ถ้าบอกว่าผ่านไปอีกสักสองสามปี สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปทำให้นางมีโอกาส นางยังพอเชื่อได้ แต่ตอนนี้…นางกลับรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีโอกาสเป็นจริง อย่างไรโทษของขุนนางนักโทษตระกูลถาวก็ยังไม่ตกไป ถาวจิ้งผิงก็เพียงแค่ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้บ้างเท่านั้น ถ้าจะพูดว่ามีอำนาจล้นฟ้าจนไม่มีใครกล้าแตะต้อง ก็ยังห่างไกลยิ่งนัก

 

 

ถาวจวินหลันเริ่มไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ จึงตัดสินใจส่ายหน้าจงใจพูดว่า “เอาเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปดูว่ามีของว่างยามดึกอะไรบ้าง” พอพูดจบก็คิดจะเดินออกไปข้างนอก

 

 

หลี่เย่กลับจับข้อมือของนางเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย พูดออกมาอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้ล้อเล่น ตอนหลิวซื่อนั้นเพราะว่าไม่อาจทำตามใจตนเองได้ สถานการณ์เช่นนี้ข้าไม่มีทางให้เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ตำแหน่งชายาเอกตวนอ๋องมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่นั่งได้”

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงนิ่งไปเล็กน้อย ความรู้สึกเจ็บปวดและอ่อนหวานค่อยๆ เกิดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ สุดท้ายแล้วก็กระจายไปทั่วใจ และปิดกลั้นคอของนางเอาไว้ ทำให้นางสะอึกสะอื้นพูดอะไรไม่ออก

 

 

นางเห็นความจริงใจ จริงจัง และหัวแข็งของหลี่เย่

 

 

ความจริงใจนี้ทำให้นางร้องไห้ เรื่องที่อัดอั้นตันใจมาตลอดได้คลายลง ที่จริงแล้วขอแค่หลี่เย่ดีต่อนาง แล้วทำไมนางยังจะต้องใส่ใจเรื่องมากมายเช่นนี้ด้วย? เป็นชายารองไปตลอดแล้วจะทำไม? เป็นรองคนอื่นแล้วจะทำไม? ก่อนหน้านี้ก็มีหลิวซื่อ ถ้าหลังจากนี้จะมีหลิวซื่อ โจวซื่อ หลี่ซื่อมาอีกคนก็ไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ยังต้องใช้ชีวิตเหมือนเดิมมิใช่หรืออย่างไร? ทำไมจะต้องน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ด้วย?

 

 

เมื่อคิดเรื่องนี้เข้าใจ ถาวจวินหลันก็เก็บความรู้สึกอื่นลงไป ส่งยิ้มให้หลี่เย่น้อยๆ “จะเป็นชายาเอกหรือไม่มีความสำคัญอะไร ขอเพียงท่านคิดเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วเพคะ”

 

 

หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็หัวเราะสดใสมากกว่าเดิม “เจ้าวางใจ ข้าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือหรืออย่างไรกัน? ในเมื่อข้าพูดเช่นนี้แล้วข้าย่อมต้องวางแผนเอาไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล เพียงแค่รอก็พอ”

 

 

“เพคะ” คราวนี้ถาวจวินหลันไม่ได้พูดตอบโต้ เพียงแค่เอ่ยรับคำเสียงเบา แล้วโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของหลี่เย่อีกครั้ง ในใจกลับคิดว่าจะทำได้หรือไม่ ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ขอแค่เพียงได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ตลอดไป นางก็พอใจแล้ว

 

 

วันนี้หลังจากหลี่เย่ทานอาหารและออกไปเดินชมบรรยากาศ ก็ถามอย่างกะทันหัน “พรุ่งนี้เจ้าไปที่จวนขององค์หญิงแปดสักรอบหนึ่งเถิด”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็อดตะลึงไม่ได้ ถามกลับตามสัญชาตญาณ “องค์หญิงแปดเป็นอะไรหรือ?”

 

 

“ผู้ลอบสังหารคราวที่แล้วถูกจับตัวแล้ว” หลี่เย่พูดเสียงเบา แต่สิ่งที่ปากพูดและการกระทำกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ฟังแค่เสียงก็จะรู้สึกเข้มงวด แต่การกระทำกลับอ่อนหวานอ่อนโยน ร่างกายของถาวจวินหลันยังคงอ่อนแรงอยู่ หมอหลวงบอกว่าทางที่ดีจะต้องคลายกล้ามเนื้อทุกวัน ดังนั้นเขาจึงจูงนางออกมาเดินเล่นทุกวัน

 

 

ถาวจวินหลันตื่นตะลึงเพราะคำพูดนี้ของหลี่เย่ “พบแล้วหรือ?” นี่ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว ในที่สุดก็หาพบแล้วอย่างนั้นหรือ? ก่อนหน้าหลี่เย่พูดว่าเบาะแสขาดตอน นางยังคิดว่าคงจะหาตัวไม่ได้แล้ว เรื่องนี้จึงได้ปล่อยผ่านไปเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่า… จะพูดว่าไม่แปลกใจก็เป็นเรื่องโกหก หลังจากความตื่นตกใจแล้ว นางก็รีบถามว่า “ถ้าเช่นนั้นสุดท้ายแล้วเป็นใครที่ทำเรื่องนี้?”

 

 

“เป็นเฝินหยางโหวจริง แต่ระหว่างนั้นก็มีฝีมือขององค์รัชทายาทอยู่ด้วย” หลี่เย่ย่อมไม่ปิดบัง แล้วพูดผลที่สืบได้ให้นางฟัง “เฝินหยางโหวทำเพราะไม่พอใจเรื่องน้องเก้าปฏิเสธการแต่งงาน คิดจะแก้แค้นอยู่ตลอด องค์รัชทายาทช่วยเฝินหยางโหวจัดการเรื่องปิดบัง ส่วนฮองเฮารู้หรือไม่นั้นก็ไม่อาจรู้ได้”

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิด พูดออกมาอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาจะต้องรู้เรื่องนี้เป็นแน่ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่รู้ แต่หลังจากองค์รัชทายาทช่วยเฝินหยางโหวแล้วต้องรู้เป็นแน่” องค์รัชทายาทคงไม่ปิดบังฮองเฮาเป็นแน่

 

 

อีกอย่างเพียงแค่กำลังขององค์รัชทายาทเอง พูดตามตรงนางยังสงสัยว่าองค์รัชทายาทมีความสามารถเช่นนี้จริงหรือ

 

 

หลี่เย่หัวเราะเบาๆ แต่พอได้ยินก็เย็นวาบไม่น้อย “ไม่ว่าฮองเฮาจะรู้เรื่องนี้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรหนี้แค้นครั้งนี้ควรจะต้องแก้แค้นอย่างไรก็ควรต้องทำเช่นนั้น ขอเพียงแค่ทำให้องค์รัชทายาทสั่นคลอน ฮองเฮาก็ต้องไม่สบายใจเป็นแน่”

 

 

“เรื่องโรคระบาดครั้งนี้ สุดท้ายแล้วหลี่ว์หลิ่วติดโรคระบาดได้อย่างไรสืบออกมาได้แล้วหรือยังเพคะ?” ถาวจวินหลันไม่อยากพูดเรื่องเหล่านั้นข้างนอกอีก อย่างไรถ้าไม่ระวังปล่อยให้คนได้ยินเข้า นั่นก็จะไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางใส่ใจตั้งแต่แรก และหากมีคนได้ยินก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัว

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้า “สืบได้ครึ่งหนึ่งเบาะแสก็ขาดไป รู้เพียงแค่ว่าโรคระบาดนี้เริ่มมานางกำนัลข้างกายของหลี่ว์หลิ่ว ส่วนต้นเหตุมาจากที่ใดกลับไม่รู้แล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่มาคิดดูแล้วต้นสายนั้นจะต้องควบคุมเป็นอย่างดีแน่นอน มิเช่นนั้นบรรดานางกำนัลในวังหลวงแต่ละวันต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากมายไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่กลับไม่ระบาดไปยังคนเยอะกว่านี้ แน่นอนว่าต้องลงมือไปไม่น้อยเป็นแน่ คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ในวังหลวงได้ มีไม่เยอะนักเพคะ”

 

 

หลี่เย่ย่อมต้องเข้าใจความหมายของนาง จึงแค่นหัวเราะออกมา “แต่ขาดก็แค่หลักฐานเท่านั้น คราวนี้ฮ่องเต้ให้สืบเรื่องนี้อย่างหนัก ขอเพียงมีความเกี่ยวข้องกับฮองเฮาแม้แต่นิดเดียว ฮองเฮาก็ไม่รอดแน่ แต่น่าเสียดาย…”

 

 

ถาวจวินหลันเองก็นิ่งไปเช่นกัน ถูกแล้ว ไม่มีหลักฐานต่อให้ในใจจะเข้าใจมากเพียงใด นั่นก็ไร้ประโยชน์

 

 

“พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนองค์หญิงแปดสักครั้ง ไปเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นการชดเชยแก่นาง” ถาวจวินหลันคิดถึงสถานการณ์ในตอนนั้นขึ้นมา ก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ แล้วก็ถอนหายใจ “เกรงว่าองค์หญิงเก้าก็คงคิดไม่ถึง ว่าคำพูดปฏิเสธตอนนั้นสร้างเรื่องเดือดร้อนมากมายจนถึงตอนนี้”

 

 

เมื่อพูดถึงองค์หญิงเก้า หลี่เย่ก็คิดถึงคำพูดที่นางพูดกับเขา จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ แล้วจึงพูดว่า “ถ้าหากเจ้ามีเวลา ก็ไปมาหาสู่กับนางให้บ่อยหน่อยเถิด ปกติแล้วนางเป็นคนอ่อนไหวยิ่งนัก ในเมื่อเจ้าเป็นทั้งพี่สะใภ้และพี่สามี จะใส่ใจนางให้มากก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

 

 

จากคำพูดในวันนั้น เกรงว่าองค์หญิงเก้าคงจะมีความคิดอะไรต่อถาวจวินหลันเป็นแน่ ด้วยเป็นน้องสาวที่คิดว่าสนิทอย่างหาได้ยาก หลี่เย่ย่อมไม่คาดหวังให้ระหว่างองค์หญิงเก้าและถาวจวินหลันมีปัญหากัน ดังนั้นถึงได้พูดเช่นนี้

 

 

แม้ถาวจวินหลันจะแปลกใจที่หลี่เย่พูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่นึกว่าหลี่เย่เป็นห่วงองค์หญิงเก้า นางจึงตกปากรับคำว่า “เพคะ”

 

 

คนหนึ่งไม่ได้อธิบายให้ละเอียด อีกคนหนึ่งก็ไม่ได้คิดลึก ทั้งสองคนที่ปกติแล้วเข้ากันได้เป็นอย่างดีกลับไม่เข้าใจกันอย่างหาได้ยาก ผลที่ออกมาทำให้ผลลัพธ์และสิ่งที่คาดเอาไว้ไปกันคนละทิศละทาง

 

 

แต่นั่นถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องที่วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันไปจวนองค์หญิงแปด ความจริงแล้วถาวจวินหลันไปเพียงแค่บอกกล่าวข่าวหนึ่ง แต่ยังได้รับอีกข่าวมาจากทางองค์หญิงแปดด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด