บัลลังก์พญาหงส์ 573 ความสุขและความโกรธ

Now you are reading บัลลังก์พญาหงส์ Chapter 573 ความสุขและความโกรธ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สำหรับคนที่เคยมีความสัมพันธ์ร่วมกันในอดีต ถาวจวินหลันไม่อาจพูดได้ว่าโกรธแค้นหรืออะไรอื่น สำหรับนางแล้วเรื่องเหล่านั้นก็เหมือนกับช่วงเวลายาวนานคล้ายผ่านไปอีกชาติหนึ่ง เหมือนหมอกควันที่ผ่านตา

 

 

แต่น้อยนักที่จิ้งหลิงจะเปิดปากขอร้องนางสักครั้ง นางเองก็ต้องไว้หน้าจิ้งหลิงบ้าง ซิ่วหลิงดีหรือไม่นางเองก็ไม่รู้ ย่อมไม่กล้าส่งไปไว้ข้างกายเซิ่นเอ๋อร์มั่วซั่ว แต่เดิมคิดจะให้ซิ่วหลิงอยู่สักที่ภายในจวน แต่ดูท่าทีรู้สึกผิดของจิ้งหลิงแล้ว นางก็เปลี่ยนคำพูด

 

 

ด้านถาวจวินหลันและจิ้งหลิงยังไม่ต้องพูดถึง กลับมาทางหลี่เย่ หลังจากเขาได้รับของกินที่ส่งมาจากจวนก็ตกใจเป็นที่ยิ่ง อย่างแรกเพราะเขาไม่ได้กินอาหารฝีมือถาวจวินหลันนานแล้ว อย่างที่สอง นางสั่งคนให้มาส่งเช่นนี้เป็นครั้งแรก

 

 

หลี่เย่ได้แต่ลอบมองขุนนางที่กำลังอภิปรายด้วยหน้าตาแดงก่ำ พลางพูดเรียบๆ “นี่ก็สายแล้ว ทุกท่านไปทานของว่างก่อน แล้วค่อยมาอภิปรายกันต่อก็ยังไม่สาย” พูดจบก็เข้าไปในห้องของตนเอง ภายในนั้นนอกจากโต๊ะหนังสือแล้ว ก็ยังมีเตียงเล็กๆ ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้เขาเวลานอนพักกลางวัน หรือวันใดที่ต้องนอนค้างคืนที่นี่

 

 

หลี่เย่ไม่คิดจะแบ่งอาหารของตัวเองให้คนอื่น ด้านนอกมีคนมากมายขนาดนั้นแล้วจะแบ่งพอได้อย่างไร? ถาวจวินหลันลงมือทำเองกับมือ เขาจะทำใจแบ่งให้คนนอกกินได้อย่างไร? ในวังเตรียมของว่างและน้ำชาไว้ให้อย่างดีแล้ว พวกเขากินของเหล่านั้นก็พอ

 

 

พอตักน้ำแกงเข้าปาก หลี่เย่ก็ต้องหรี่ตาลงด้วยเพราะพึงพอใจ รสชาตินี้ยังไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย

 

 

พอกัดแป้งอบดอกเหมยเข้าไปคำหนึ่ง หลี่เย่ไม่เพียงหลับตารับรสสัมผัส ริมฝีปากก็ยังยกยิ้มบางเบา

 

 

พอกินน้ำแกงนมวัวและของว่างแล้ว หลี่เย่ก็ให้หวังหรูเก็บจานชามไป หัวเราะพูดว่า “ฝากไปบอกชายารองว่า รสชาติดีมาก ส่งมาได้เวลาข้ากำลังหิวพอดีเลย”

 

 

ด้วยเพราะกินแต่มังสวิรัติจึงหิวเร็ว ทุกวันตอนบ่ายในเวลานี้ก็ต้องกินของว่างสักชิ้นสองชิ้น

 

 

หวังหรูครุ่นคิดอยู่ในใจ ท่านอ๋องของตนเองพูดเช่นนี้ ดูท่าทางคงจะพอใจมาก หรือบางทีอาจจะหมายความให้ชายารองทำมาอีกเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ?

 

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าหลี่เย่หมายถึงเช่นนี้ ดังนั้นหวังหรูจึงเอาเรื่องนี้ไปบอกถาวจวินหลัน

 

 

เรื่องนี้ไม่ได้ลำบากอะไร ต่อให้นางต้องลงมือทำเองทุกวันก็ไม่เป็นไร เมื่อเทียบกับตอนที่เป็นนางกำนัลแล้ว วัตถุดิบในตอนนี้มีคนเตรียมให้ทั้งนั้น นางเพียงแค่ลงมือทำอย่างเดียว แม้แต่กำลังไฟก็ไม่ต้องเฝ้าเอง ย่อมไม่ได้ใช้เวลานานนัก

 

 

แน่นอนว่าที่จริงแล้วทุกวันนี้นางก็ไม่ได้ยุ่งจริงอย่างที่เห็น เรื่องเล็กน้อยภายในจวนก็ยกให้หงหลัวช่วยจัดการไป อย่างไรก็มีตัวอย่างไว้อยู่แล้ว เพียงแค่ทำตามแบบเดิมเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาล ปกติแล้วนางก็ไม่ต้องลงไปทำเอง

 

 

ด้วยเพราะองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อเพิ่งสวรรคต ปีนี้ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลหยวนเซียวหรือวันที่สองเดือนสอง ล้วนดำเนินการอย่างเรียบง่าย ไม่กล้าจัดโต๊ะเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่

 

 

ดังนั้นถาวจวินหลันจึงตัดสินใจว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางจะทำของหวานและของว่างส่งไปให้หลี่เย่ทุกวัน

 

 

ตกดึกตอนหลี่เย่กลับมา ก็ร่วมโต๊ะทานอาหารเย็นกันพร้อมหน้า แล้วยังอยู่เล่นกับลูกๆ อีกครู่หนึ่ง นางถึงเรียกหลี่เย่เข้าไปในห้องหนังสือเพื่อพูดเรื่องสำคัญ

 

 

ที่บอกว่าเรื่องสำคัญย่อมเป็นเรื่องที่ไทเฮาเสนอวิธีจัดการนักพรตกู่

 

 

ถาวจวินหลันบอกแผนของไทเฮาให้หลี่เย่ฟัง

 

 

หลี่เย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ขมวดคิ้วมุ่น “เกรงว่าคงหาโอกาสไม่ได้ อีกทั้งถ้าเป็นพิษธรรมดา แค่ตรวจสอบความก็แตกแล้ว ถึงเวลานั้นจะยิ่งวุ่นวายกว่าเดิม” ดูจากความสำคัญที่ฮ่องเต้ให้นักพรตกู่ เห็นได้ว่าถ้านักพรตกู่ตายไป เขาคงไม่ปล่อยผ่านไปง่ายแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีการตรวจสอบ

 

 

“ไทเฮาต้องการให้ลงมือแน่นอน ถ้าหาโอกาสไม่ได้จริงๆ ก็ให้ลงมือในตำหนักของนาง แล้วไทเฮายังยินยอมลงมือด้วยตนเองอีกเพคะ ไม่ยินยอมให้นักพรตกู่ล่อลวงฮ่องเต้และปั่นป่วนราชสำนักอีก” ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ พูดแผนการของไทเฮา แล้วยังพูดอีกว่า “ไทเฮาก็เพียงเป็นห่วงลูกตามประสาคนเป็นแม่เท่านั้นเพคะ”

 

 

หลี่เย่เห็นไทเฮาดึงดันเช่นนี้ ก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขึ้น ที่จริงแล้วตอนนี้ฮ่องเต้ไม่ได้เสวยโอสถแล้ว อาการหนักขนาดนั้น แม้แต่นักพรตกู่เองก็ไม่กล้าให้เสวยอีก แต่บอกว่าจะผสมโอสถเม็ดตัวใหม่อีกประเภทขึ้นมา ให้ฮ่องเต้รอก่อน

 

 

หรือจะบอกว่าพวกของฮองเฮายังไม่ยอมให้ฮ่องเต้สวรรคต ถ้าฮ่องเต้สวรรคตไปจะต้องมีการแต่งตั้งฮ่องเต้คนใหม่ และตอนนี้ถ้าเป็นเช่นนี้จริง จวนตวนชินอ๋องย่อมได้รับผลประโยชน์มากที่สุด

 

 

ฮองเฮาย่อมไม่ยินยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้แน่นอน

 

 

“ที่จริงแล้วข้ากำลังคิดว่า นักพรตกู่คนนั้นคงมีพี่น้องร่วมสำนักใช่หรือไม่เพคะ? ไม่รู้ว่าเขายังมีพี่น้องร่วมสำนักเหลืออยู่บ้างหรือไม่ และยิ่งไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากอาจารย์ของเขายังอยู่ เราก็ลงมือจากตรงนี้ได้เพคะ” วันนี้ตลอดช่วงบ่ายถาวจวินหลันเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องนี้ ย่อมได้ผลรับอะไรบ้าง

 

 

หลี่เย่เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็เห็นด้วยจึงพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปสืบดู”

 

 

“หากเรื่องในราชสำนักหนักเกินไป ท่านก็อย่ารับเอาไว้คนเดียวเลยเพคะ ให้คนช่วยแบ่งเบาท่านบ้าง” ถาวจวินหลันครุ่นคิด แล้วก็พูดอีกว่า “วันนี้พระชายาจวงอ๋องก็พูดเรื่องนี้ ข้าคิดว่าลากเขามารับแทนก็คงดี มิเช่นนั้นท่านรับหน้าอยู่คนเดียว ข้าเจ็บปวดใจนักเพคะ”

 

 

นางรู้สึกเจ็บปวดใจจริง อีกทั้งยังรู้สึกว่าให้หลี่เย่ทำเรื่องเหล่านี้ไม่เพียงไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วยังทำให้คนหันมาปฏิปักษ์ อึดอัด และขุ่นเคือง

 

 

“เรื่องที่กินแรงหรือสร้างความรังเกียจให้ผู้คนก็โยนให้จวงอ๋อง อู่อ๋องทำแทนได้ไม่ใช่หรือเพคะ? ให้พวกเขาว่างอยู่ก็จะเกิดเรื่องง่ายนะเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่งสายตาให้หลี่เย่ “ท่านอ๋องคิดว่าอย่างนั้นหรือไม่เพคะ?”

 

 

หลี่เย่อดหัวเราะไม่ได้ หัวเราะไปพลางพยักหน้าไปพลาง “จริงอย่างเจ้าว่า” ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมแบ่งอำนาจ แต่เพราะถึงเวลานั้นเกรงว่าพี่น้องของเขาคงจะไม่ยอมรับ

 

 

“องค์ชายเจ็ดยังไม่กลับมาหรือเพคะ? ปีนี้น่าจะเลือกพระชายาให้เขาแล้วมิใช่หรือ?” ถาวจวินหลันพลันนึกเรื่องขององค์ชายเจ็ดได้ จึงเอ่ยถาม

 

 

พอพูดถึงองค์ชายเจ็ด หลี่เย่ก็ส่ายหน้าน้อยๆ “ข้าให้เขาอยู่จัดการเรื่องขุนนางทุจริตกับพวกเฉินฟู่ เฉินฟู่ยังอายุน้อยเกรงว่าไม่อาจซื้อใจขุนนางได้ ให้เขาอยู่ที่นั้นด้วยคงพอควบคุมได้บ้าง”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่รู้ว่าอี้เฟยจะเป็นกังวลมากเพียงใด

 

 

ที่จริงแล้วถาวจวินหลันยังอยากถามเรื่องการคัดหญิงสาวในปีนี้ แต่ว่าร่างกายของฮ่องเต้เป็นอย่างนั้น สุดท้ายนางก็ไม่ได้เอ่ยถาม คิดดูแล้วน่าจะยุติแล้วกระมัง? อย่างไรฮ่องเต้ก็อ่อนแอมากแล้ว เกรงว่าแม้แต่ลุกจากเตียงก็ยังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าใกล้สตรีเลย

 

 

ตอนที่กำลังพูดคุยอยู่นั้น เจียงอวี้เหลียนก็ส่งคนมาเชิญหลี่เย่ไปพบ

 

 

หลี่เย่ยังไม่รู้เรื่องเจียงอวี้เหลียน จึงถามขึ้นว่า “เจียงซื่อกลับมาแล้วหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันถึงนึกเรื่องนี้ได้ ว่าลืมบอกเรื่องที่ตนเองทำผิดจากที่ตกลงไว้ จึงมองเขาด้วยท่าทีน่าสงสาร ดึงแขนเสื้อของเขาแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องต้องบอกท่านเพคะ ท่านอย่าเพิ่งไป”

 

 

หลี่เย่มองนางด้วยความสงสัย “เรื่องอะไรหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันพูดอึกอัก “วันนี้ตอนกลับจวน พวกเราบังเอิญพบเจียงฟู่ที่หน้าประตูเพคะ พวกเขาพี่น้องก็เลยได้พบหน้ากันพอดี”

 

 

หลี่เย่ขมวดคิ้ว ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ “ในเมื่อพบแล้วก็ช่างเถิด”

 

 

“ข้าทำเรื่องที่รับปากเอาไว้ไม่ได้เพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ แฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด

 

 

หลี่เย่อึ้งไป จากนั้นหุบยิ้มทันที เขาคิดว่ามีเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง แต่เดิมนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่พอเห็นท่าทีกระวนกระวายของถาวจวินหลัน กลับทำให้เขาอยากเย้าแหย่สักเล็กน้อย

 

 

คิดดูแล้วหลี่เย่ก็พูดว่า “ควรลงโทษ”

 

 

ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะพูดเช่นนี้ จึงนิ่งอึ้งไป “เพคะ?”

 

 

แล้วหลี่เย่ก็ฉวยโอกาสนี้ดึงถาวจวินหลันเข้ามา จนนางเซไปซบเข้ากับอกแกร่งของเขา ก่อนฉวยโอกาสจุมพิตลงบนริมฝีปากของนาง “นี่ถือเป็นการทำโทษ ห้ามมีครั้งหน้าอีก”

 

 

พอพูดจบก็รีบปล่อยมือตั้งแต่ตอนที่ถาวจวินหลันยังไม่ได้สติ ยิ้มแล้วเดินไปยังเรือนชิวอี๋ของเจียงอวี้เหลียน

 

 

พอหลี่เย่ออกพ้นประตูไปแล้ว ถาวจวินหลันถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองถูกเย้าแหย่เข้าแล้ว จึงรู้สึกเขินอาย ยิ่งนึกถึงการกระทำเมื่อครู่ของหลี่เย่ ใบหน้าก็แดงเป็นลูกตำลึง แต่ก็แอบรู้สึกผิดเล็กน้อย แม้จะบอกว่าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แต่ทำตัวรักใคร่เช่นนี้ก็คงไม่เป็นไรกระมัง?

 

 

หลี่เย่เพิ่งเคยได้ตอดเล็กตอดน้อยแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ให้เขาลำพองใจ อย่างน้อยก่อนพบเจียงอวี้เหลียนก็ยังอารมณ์ดีอยู่มาก

 

 

ทว่าพอเห็นเจียงอวี้เหลียนทำทีร้องไห้เศร้าโศก อารมณ์ดีของหลี่เย่ก็ถูกทำลายไปโดยพลัน

 

 

“มีเรื่องอะไร” หลี่เย่เป็นคนอบอุ่น แต่ก็ไม่ได้อยากทะนุถนอมนัก หรือควรบอกว่าเก็บไว้ให้ถาวจวินหลันคนเดียว ดังนั้นสำหรับคนอื่นย่อมไม่มีเหลือ

 

 

เจียงอวี้เหลียนมีบุญคุณกับเขา ดังนั้นหลี่เย่ยังถือว่าอดทน มีท่าทีเป็นมิตร ไม่ได้หมุนตัวเดินออกไป แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้คิดจะรั้งตัวอยู่ต่อด้วยซ้ำ

 

 

เจียงอวี้เหลียนเห็นหลี่เย่ไม่สนใจ ก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาไหลออกมาด้วยความร้อนรน “ท่านอ๋องรังเกียจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ? เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายแท้ๆ ของข้า ท่านอ๋องอย่าแย่งเขาไปเลยเพคะ! ไม่มีเซิ่นเอ๋อร์ หม่อมฉันยังจะเหลืออะไรอีก? ไม่สู้ให้หม่อมฉันตายไปเลยดีกว่า!”

 

 

ที่บอกว่าหนึ่งร้องไห้ สองส่งเสียงโวยวาย สามผูกคอตายนั้น เจียงอวี้เหลียนเห็นผู้หญิงมากมายใช้วิธีเช่นนี้ อีกทั้งยังรู้ว่าวิธีนี้ได้ผลดี พอหลี่เย่มานางจึงเลือกใช้วิธีตามนี้

 

 

แน่นอนว่าจุดประสงค์มีเพียงหนึ่งเดียว คือรั้งเซิ่นเอ๋อร์เอาไว้! ด้วยเพราะนี่เกี่ยวข้องกับชีวิตที่เหลือของนาง ดังนั้นจึงไม่นับว่าร้องไห้เสียใจเป็นการแสดงไปเสียหมด อย่างน้อยก็มีความจริงแฝงอยู่บ้างเจ็ดแปดส่วน

 

 

แต่ที่นางไม่รู้ก็คือหลี่เย่ไม่ได้เห็นใจนาง และยังไม่หลงกลมารยานี้ ในทางกลับกัน หลี่เย่ขมวดคิ้วน้อยๆ ถามนางกลับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าจะข่มขู่เราอย่างนั้นหรือ?”

 

 

หลี่เย่ไม่ชอบแทนตนว่า ‘เรา’ นอกจากเวลาที่ไม่พอใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด