พลิกชะตาชายาสยบแค้น 12 เป็นโรคฝีดาษ

Now you are reading พลิกชะตาชายาสยบแค้น Chapter 12 เป็นโรคฝีดาษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 12 เป็นโรคฝีดาษ

ทันทีที่อันอิงเฉิงสั่งการ ก็มีคนรับใช้เข้ามารับคำสั่งในทันที เวลาผ่านไปมิถึงครึ่งก้านธูป ก็มีหมอชราชุดเทาเดินเข้ามา

“คารวะท่านโหว” หมอชราคนนั้นคำนับอย่างเชื่องช้า

อันอิงเฉิงยกมือขึ้นทันที “รีบไปตรวจคุณหนูใหญ่เร็วเข้า นางเป็นเยี่ยงไรบ้าง เหตุใดถึงได้มีผื่นขึ้นเยอะถึงเพียงนี้ได้”

หมอชราจึงได้เงยหน้าขึ้นมองเห็นผื่นแดงที่น่ากลัวบนใบหน้าของอันหลิงเกอก็รู้สึกตกใจ จึงมิกล้าประมาท รีบนำเส้นไหมออกมาจากกล่องยา ให้ปี้จูเป็นคนนำมันไปผูกไว้ที่ข้อมือของอันหลิงเกอ จากนั้นจึงเริ่มตรวจอย่างละเอียด “ชีพจรของคุณหนูใหญ่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง บวกกับใบหน้าที่แดงและร้อน ผื่นแดงแพร่กระจายเต็มไปหมด เกรงว่า……”

หมอชราลูบที่หนวดของตน มิได้กล่าวคำพูดที่เหลือออกมา ทำให้อันหลิงเฉิงและและหลี่ซื่อร้อนใจขึ้นมา

“เกรงว่าอันใด ? ” หลี่ซื่อทนมิไหว จึงเอ่ยถามขึ้นถามขึ้นทันที

หมอชราจ้องมองไปยังอันอิงเฉิงและฮูหยินรอง ก็รู้สึกยากที่จะกล่าวถ้อยคำที่เหลือออกมา แต่ด้วยความเป็นหมอ เขามิควรทำให้ทั้งสองคนนั้นต้องกังวลใจ จึงกล่าวออกไปว่า “อาการนี้มีส่วนคล้ายกับโรคฝีดาษอยู่บ้าง แต่ก็มิได้เหมือนทั้งหมด อาจเป็นไปได้ที่ข้าน้อยฝีมือยังมิถึงขั้น มิสู้ท่านโหวเข้าวังไปเชิญหมอหลวงให้ลองมาตรวจดูอาการอีกคราจะดีกว่า”

โรคฝีดาษ !

อันอิงเฉิงเมื่อได้รับฟังก็คล้ายกับหายใจติดขัด มิมีกะจิตกะใจจะไปเชิญหมอหลวงมาตรวจยืนยันโรคด้วยซ้ำ เขาโบกมืออย่างเหนื่อยหน่ายให้กับหมอชรา แล้วหันมองไปทางอันหลิงเกอด้วยสายตาที่ยากจะบรรยาย ในความเย็นชาที่แฝงไว้ด้วยความรังเกียจ

“ท่านพ่อ”

ใบหน้าอันแดงก่ำของอันหลิงเกอเปลี่ยนเป็นขาวซีด พร้อมทั้งกัดริมฝีปากเอาไว้ และยังคงมองอันอิงเฉิงด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพ

“หลิงเกอรู้ดีว่าตนนั้นเป็นโรคร้ายแรง มิอยากให้ติดถึงคนอื่นในจวน จึงขอออกไปจากจวนเอง แค่เพียงก่อนจากไปได้เห็นหน้าท่านพ่อสักครา หลิงเกอก็มิต้องการสิ่งใดอีกแล้วเจ้าค่ะ”

ใบหน้าของนางแสดงถึงความจริงใจ แววตาอันสดใสที่มองมาทำให้อันอิงเฉิงรู้สึกผิดขึ้นมา ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นพ่อที่รักลูกสาวคนนี้มาก เพียงแต่หลังจากที่ได้แต่งหลี่ซื่อเข้ามา อีกทั้งยังมีอันหลิงอีลูกสาวที่ปากหวานช่างประจบขึ้นมาอีก จึงเป็นเหตุให้หลงลืมบุตรสาวคนโตที่ขี้ขลาดและนิ่งเงียบอย่างอันหลิงเกอไป

ในตอนนี้เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้นของอันหลิงเกอ อันอิงเฉิงรู้สึกเหมือนภายในใจของเขามีบางอย่างพุ่งชนจนรู้สึกเจ็บไปหมด เขาจึงได้กระแอมไอแก้ขัดออกมา แล้วครุ่นคิดภายในใจว่า ‘มิรู้ว่าควรจะปลอบใจแล้วให้อันหลิงเกออยู่ในจวนต่อไป หรือควรส่งนางออกไปนอกจวนดี’

“ยังมิแน่ว่าจะเป็นฝีดาษ เจ้ากลับ..”

“เจ้าไปพักรักษาตัวที่วัดชิงอวิ๋นด้านนอกเมืองก่อนก็แล้วกัน ข้ากับนายท่านจะหาหมอที่ดีที่สุดไปรักษาเจ้า”

หลี่ซื่อกล่าวตัดประโยคของอันอิงเฉิง เมื่อเห็นสายตามิพอใจของอันอิงเฉิง นางจึงได้กล่าวอธิบายออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “โรคนี้เป็นโรคติดต่อ เพื่อชีวิตของทุกคนในจวน เกอเอ๋อออกไปพักรักษาตัวที่นอกจวนจะดีกว่านะเจ้าคะ”

คำกล่าวเพียงประโยคเดียวของนางนั้นได้ตัดสินแล้วว่าอันหลิงเกอเป็นโรคฝีดาษอย่างแน่แท้ แต่แสร้งทำเป็นเห็นแก่ทุกคนจึงต้องส่งอันหลิงเกอออกจากจวน แต่หารู้ไม่ว่าที่นางทำเยี่ยงนี้ก็เท่ากับทำให้อันหลิงเกอนั้นสมปรารถนา

อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นในแววตาก็ฉายแววดีใจขึ้นมา แต่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ ในขณะเดียวกันนางก็แสร้งรู้สึกเศร้าใจ เป็นเหตุให้ขอบตาแดงขึ้นมาในทันที ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตา

“หากครั้งนี้ลูกมิรอดกลับมา ฝากอี๋เหนียงดูแลท่านพ่อด้วยนะเจ้าคะ”

“เจ้าเด็กโง่ อย่าได้เอ่ยวาจาเหลวไหลออกมา” อันอิงเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ก็ยังทำตามที่หลี่ซื่อกล่าว

 “รอเจ้าถึงวัดชิวอวิ๋นแล้ว พ่อจะรีบเข้าวังไปเชิญหมอหลวงมา”

“ขอบพระคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอพยักหน้าทั้งน้ำตา ซาบซึ้งใจอย่างมาก ทำให้อันอิงเฉิงรู้สึกผิดและเริ่มรู้สึกสงสารนางมิน้อย

“ถ้าเจ้าขาดเหลืออันใด สั่งคนให้ไปบอกกับพ่อบ้านได้เลย คุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวจะลำบากมิได้เป็นอันขาด”

อันอิงเฉิงพูดจบ ปี้จูก็เดินออกมาพร้อมห่อผ้าขนาดเล็ก ที่มิรู้ว่าปี้จูหยิบมาตั้งแต่เมื่อใด

“ของใช้ของคุณหนูเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ สามารถออกเดินทางได้ทันทีเจ้าค่ะ” นางหันไปเอ่ยกับอันหลิงเกอ อีกฝ่ายพยักหน้าให้ จากนั้นจึงหันมองไปทางอันหลิงเฉิง ราวกับต้องการจะเอ่ยบางอย่างออกมา

“มีอันใดก็เอ่ยออกมา”

อันอิงเฉิงนั้นเมื่อความรักของพ่อบังเกิดก็มีความอดทนเพิ่มขึ้น

อันหลิงเกอจึงกัดที่ริมฝีปาก แววตาลังเลและลำบากใจพร้อมหันมองไปทางหลี่ซื่อ

“โรคฝีดาษของหลิงเกอนั้นติดมาจากน้องหญิง อาการของหลิงเกอหนักถึงเพียงนี้ เกรงว่าน้องหญิงก็คงมิต่างกันสักเพียงใด ท่านพ่อจะให้น้องหญิงไปอยู่ที่วัดชิงอวิ๋นกับข้าด้วยหรือไม่ พวกเราพี่น้องจะได้ดูแลกันและกัน”

เมื่ออันหลิงเกอกล่าวจบ เป็นเหตุให้หลี่ซื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที ในใจนางนึกเพียงแค่อยากจะส่งอันหลิงเกอตัวแสบออกไป คาดมิถึงว่าจะพัวพันไปถึงอีเอ๋อของตนด้วย และครู่หนึ่งก็ตระหนักได้ว่าแท้ที่จริงนี่ก็คือแผนการที่อันหลิงเกอได้วางเอาไว้นั้นเอง

เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงขบกรามแน่นแล้วจ้องมองไปที่อันหลิงเกอ รอยยิ้มที่เสแสร้งบนใบหน้าก็เกือบที่จะรักษาเอาไว้มิอยู่ นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อข่มความรู้สึกโกรธเอาไว้ แล้วฝืนยิ้มพร้อมเอ่ยออกไปว่า “เกอเอ๋อพูดเยี่ยงนี้ก็มิถูก เจ้าติดโรคฝีดาษและได้รับการตรวจจากท่านหมอแล้วมิผิดแน่ แต่เจ้าจะมากล่าวว่าติดโรคนี้มาจากอีเอ๋อก็มิถูก อีเอ๋อแค่เพียงเกิดอาการแพ้เพียงเท่านั้น บนตัวจึงมีผื่นขึ้นอาจจะมิใช่โรคฝีดาษก็ได้”

หลี่ซื่อเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ แล้วหันไปมองอันหลิงเกอด้วยสีหน้าที่เหนือกว่า แล้วกล่าวออกไปว่า “ระยะเวลาที่เกอเอ๋อสัมผัสกับอีเอ๋อนั้น สู้ระยะเวลาที่ข้าสัมผัสกับอีเอ๋อมิได้ หากอีเอ๋อเป็นฝีดาษจริง ข้าก็ควรจะติดเป็นคนแรกมิใช่หรือ?แต่เจ้าดูซิ ตอนนี้ข้ายังมิมีอาการอันใดเลย”

 เมื่อนางกล่าวจบ แววตาเคลือบแคลงของอันอิงเฉิงจ้องมองไปทางนาง เมื่อคิดตริตรองดูแล้วนางก็มิได้กล่าวสิ่งใดผิดไป จึงเริ่มคล้อยตามสิ่งที่นางเอ่ย

“มิสู้ให้ท่านหมอลองตรวจน้องหญิงดูเสียก่อน หากนางมิเป็นโรคฝีดาษก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ถือว่าตรวจอาการของน้องหญิงไปด้วย แต่หากนางเป็นโรคฝีดาษจริง อาจทำให้คนทั้งจวนตกอยู่ในอันตรายได้นะเจ้าคะ”

อันหลิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนนุ่มนวลตอบกลับออกไป แต่ถ้านึกให้ดีมันเป็นการยอกย้อนคำเอ่ยของหลี่ซื่อกลับไป ทำให้หลี่ซื่อถึงกลับนิ่งไปและพูดอันใดออกไปมิได้ เป็นเหตุให้ทั้งสองคนสบตากันคล้ายกับมีไฟลุกโชนออกมาจากดวงตาทั้งสอง โดยไร้เสียงอันใด

อันอิงเฉิงจึงมิทันได้รับรู้อันใด เขาเพียงแต่ขมวดคิ้วครุ่นคิดตามคำกล่าวของอันหลิงเกออยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า กล่าวกับหมอที่ยังอยู่ว่า “รบกวนท่านหมอซุนช่วยตรวจอาการให้ลูกสาวคนเล็กของข้าด้วย”

หมอชราพยักหน้ารับ ขณะกำลังจะตามคนรับใช้ไปที่เรือนของอันหลิงอี ข้างนอกนอกเรือนกลับมีเสียงฝีเท้าตึงตังดังขึ้นมาเสียก่อน

“อันหลิงเกอ เรื่องวันนี้เป็นแผนการของเจ้าใช่หรือไม่ ? ”

อันหลิงอีเดินเข้ามาด้วยอารมณ์โมโห เพิ่งจะเอ่ยถามคำถามจบ กลับต้องตกใจอย่างมากเมื่อเห็นคนที่อยู่เบื้องหน้า

“ท่านพ่อ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”

นางก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างสำนึกผิด มิกล้าเผชิญหน้ากับพ่อของตนเอง อันอิงเฉิงจ้องมองลูกสาวของตนด้วยใบหน้าที่นิ่งครึม

“เจ้าพูดกับพี่สาวของเจ้าเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? เรียกชื่อตรง ๆ มิมีสัมมาคารวะ กิริยามารยาทที่เรียนมาหายไปอยู่ไหนหมด หา ! ”

 หากมิใช่เห็นเองกับตา เขาคงมิมีทางเชื่อว่าลูกสาวที่น่ารักและเชื่อฟังยามอยู่ต่อหน้าเขา จะยโสโอหังได้ถึงเพียงนี้

อันหลิงอีที่มิเคยถูกต่อว่ารุนแรงเพียงนี้มาก่อน ขอบตาจึงแดงก่ำขึ้นมาทันที แต่อันอิงเฉิงกลับมิมองหน้านาง และหันไปพูดกับท่านหมอว่า “คุณหนูรองอยู่นี่พอดี ถ้าเช่นนั้นรบกวนท่านหมอซุนช่วยตรวจอาการให้นางหน่อยเถิด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด