พลิกชะตาชายาสยบแค้น 84 สหายเก่า

Now you are reading พลิกชะตาชายาสยบแค้น Chapter 84 สหายเก่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 84 สหายเก่า แม้ว่านิสัยหวังซื่อจักมีความประมาท แต่เมื่อโดนผู้อื่นกระตุ้นแล้วจักมิสนใจได้อย่างไร อันหลิงอีใช้คำพูดกระตุ้นนาง นางก็ได้แต่ยิ้มอย่างย่ามใจ “อีเอ๋ออย่าใช้คำพูดมากระตุ้นข้าเลย หากข้าอารมณ์มิคงที่จนส่งผลกระทบต่อบุตรในครรภ์ เกรงว่าท่านแม่จักกล่าวโทษเจ้าอีก” “อีเอ๋อเพียงถามหวังซื่อด้วยความหวังดี นางอยากให้เจ้าระวังบุตรในครรภ์ เป็นคำกล่าวที่ใช้กระตุ้นเจ้าที่ไหนเล่า ผู้คนก็มักกล่าวว่าหญิงตั้งครรภ์ชอบคิดมาก ข้าเห็นว่าเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว” หลี่ซื่อเอ่ยปกป้องอันหลิงอี เดิมทีเป็นคำที่อันหลิงอีกล่าวมิดีออกมาก่อน แต่นางเอ่ยเหมือนหวังซื่อเข้าใจอันหลิงอีผิด เมื่อได้ฟังหลี่ซื่อเอ่ยปกป้องอันหลิงอีเยี่ยงนั้น หวังซื่อก็มิอยากพูดให้มากความ เพียงแค่ยิ้มส่งไป “อย่างไรก็ตาม อีเอ๋อต้องระวังคำพูดและการกระทำให้มาก ตอนนี้ท่านแม่ลงโทษให้เจ้าคุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษ 3 วัน หากอีเอ๋อทำผิดอีกก็มิรู้จักทำเยี่ยงไรกับนางแล้ว” หลี่ซื่อหันไปมองหน้าหวังซื่อ ทั้งสองคนต่อสู้กันทางสายตาซึ่งเป็นศึกไร้เสียง “หวังซื่อมิต้องเป็นห่วงเพราะจักต้องมิมีวันนั้นอย่างแน่นอน” เมื่อหลี่ซื่อพูดจบก็พาอันหลิงอีเดินออกไปจากเรือนหวังซื่อทันที จากนั้นก็ไปเตรียมเสื้อคลุมหนา ๆ ให้นางโดยเฉพาะ แล้วยืนมองอันหลิงอีถูกนำตัวไปที่โถงบรรพบุรุษ อันหลังเกอยังอยู่ที่เรือนของหวังซื่อ เมื่อสองแม่ลูกหลี่ซื่อออกไปแล้ว ตนจึงนำยาขวดสีเขียวออกมาจากแขนเสื้อเพื่อมอบให้หวังซื่อ “อาสะใภ้รองตั้งครรภ์ นี่เป็นเรื่องมงคลในจวน เดิมทีควรสั่งให้ทางครัวระวังเรื่องอาหารของท่าน แต่เสียดายที่ข้าทำได้เพียงมอบยาเหล่านี้ให้อาสะใภ้รองไว้บำรุงร่างกาย อย่างอื่นข้ามิสามารถทำได้” เมื่อกล่าวจบนางก็ส่งมอบยาให้สาวใช้ของหวังซื่อ “ยานี้เป็นยาที่ข้าใช้บำรุงร่างกาย จักดีต่ออาสะใภ้รองยิ่งนัก” “เกอเอ๋อ เจ้าช่างเป็นคนรอบคอบเสียจริง” หวังซื่อกล่าวชื่นชมออกมาพร้อมแววตาอ่อนลง มิได้เคร่งขรึมเช่นก่อนหน้านี้แล้ว “เจ้าดีต่อข้า ข้าจักจดจำไว้ในใจ เมื่ออยู่กับเจ้าทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่นใจที่สุด” หวังซื่อมีบุตรชาย 2 คน ฝั่งบิดามารดาก็มีอำนาจใหญ่โต ตำแหน่งนายหญิงรองจึงมั่นคง หากมิใช่นายท่านรองหลายใจ ชีวิตของหวังซื่อจักเพียบพร้อมยิ่งนัก ทว่าอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใด ตำแหน่งมั่งคงแค่ไหน ท้ายสุดก็มิมีคนรักคอยอยู่ข้างกาย จนวันนี้นางตั้งครรภ์แล้วก็มิเห็นแม้แต่เงาของสามีผู้เป็นที่รัก เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้หวังซื่อก็เริ่มรู้สึกน้อยใจขึ้นมา อันหลิงเกอเห็นใบหน้าของหวังซื่อหมองเศร้าเพราะอารมณ์อ่อนไหวของคนท้อง นางก็ยกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน ดวงตากลมโตฉายยิ้มออกมางดงามราวกับจันทราในยามค่ำคืน “อาสะใภ้รองล้อข้าเล่นแล้ว ผู้ที่ทำให้ท่านอบอุ่นใจที่สุดก็คือบุตรในครรภ์ต่างหากเล่า” “เมื่อครู่ท่านหมอกล่าวแล้วว่าอาสะใภ้รองตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน แต่มิเคยมีการอาเจียนแต่อย่างใด บุตรในครรภ์คงกลัวท่านลำบากเป็นแน่” คำกล่าวของอันหลิงเกอช่างเอาใจผู้ฟังยิ่งนัก เป็นเหตุให้หวังซื่อหัวเราะชอบใจ นางดึงอันหลิงเกอมานั่งลงด้านข้างเพื่อสนทนา สักพักนางก็ให้สาวใช้ไปส่งอันหลิงเกอกลับเรือน อันหลิงเกอเดินทางกลับเรือนต้องผ่านเรือนเพียน ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาชนนาง ข้าวของที่สาวใช้ผู้นั้นถือก็ตกกระจายไปทั่วพื้น เมื่อรู้ว่าชนเข้ากับผู้ใด สีหน้าก็เปลี่ยนโดยพลัน นางรีบคุกเข่าแล้วขออภัยออกมา “คุณหนูใหญ่โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวเร่งรีบเดินมิดูคนจึงมิเห็นคุณหนูใหญ่ที่เดินผ่านมาทางนี้ เป็นความผิดของบ่าวเอง ได้โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอหันไปมองของที่ตกกระจายอยู่เต็มพื้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “เจ้าเป็นสาวใช้ของเรือนใด ? “ “ข้าน้อย…เป็นสาวใช้ข้างกายเว่ยอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นั้นตอบออกมาติดขัดแล้วรีบก้มหน้าลง เว่ยอี๋เหนียงอย่างนั้นหรือ ? อันหลิงเกอพึมพำชื่อนี้ออกมาราวกับว่ารู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ปี้จูนึกออกเป็นคนแรกจึงกระซิบที่ข้างหูของอันหลิงเกอ “เว่ยอี๋เหนียงเดิมทีเป็นสาวใช้ของฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ ต่อมาตอนที่ฮูหยินใหญ่ตั้งครรภ์ซื่อจื่อ เว่ยอี๋เหนียงก็ไปมีสัมพันธ์กับท่านโหว จากนั้นก็คลอดบุตรสาวออกมา ต่อมาฮูหยินรองแต่งเข้าจวน  ฝ่ายเว่ยอี๋เหนียงได้แต่อาศัยอยู่ที่เรือนเพียนมิได้ออกไปไหน แม้แต่เทศกาลต่าง ๆ ก็มิยอมออกมาเจ้าค่ะ” ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงหันไปตักเตือนสาวใช้ผู้นั้น “ในเมื่อเจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายเว่ยอี๋เหนียง ต่อไปทำอันใดให้ระมัดระวังหน่อย อย่าประมาทอีก” ครานี้คนที่โดนพุ่งชนคือนาง แน่นอนว่านางมิใส่ใจเรื่องนี้มากนัก แต่หากเป็นอันหลิงอีก็คงลำบากแน่ สาวใช้รีบพยักหน้า  “รับทราบเจ้าค่ะ บ่าวจักจดจำไว้ ขอบคุณในความใจกว้างของคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” หลังจากนั้นนางก็รีบเก็บของที่กระจายขึ้นมาแล้วเดินจากไป พลันก็บังเกิดเสียงที่อ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน “ฉุนเซี่ยน เหตุใดยังมิรีบเข้ามา อวี่เอ๋อรอเจ้านานแล้ว” เว่ยซื่อเดินออกจากเรือน เมื่อนางเห็นอันหลิงเกอ รอยยิ้มบนใบหน้าก็นิ่งค้างทันที “คุณหนูใหญ่ ท่านคือคุณหนูใหญ่ใช่หรือไม่ ? “ เว่ยอี๋เหนียงพักอยู่ในเรือนมาทั้งปี แม้บางครั้งจักได้ออกมาเดินเล่นบ้าง ก็แค่เดินอยู่รอบเรือนของตนเอง นอกจากคนมิกี่คนในเรือนแล้วแทบมิเคยพบเห็นผู้อื่นเลย ในยามที่เห็นอันหลิงเกอก็เป็นเหตุให้เว่ยอี๋เหนียงตกตะลึงทันที นางจ้องมองเค้าโครงหน้าที่คุ้นเคยแล้วเดาออกว่าคือผู้ใด อันหลิงเกอมองตามเสียงนั้นไปก็พบกับใบหน้าเรียวเล็กและเปี่ยมเสน่ห์ของเว่ยอี๋เหนียง จำได้ว่าเมื่อชาติก่อนเว่ยอี๋เหนียงแทบมิออกจากเรือนเพียน ตัวตนในจวนโหวก็ตกต่ำยิ่งนักจึงทำให้หลังฟื้นจากความตายในชาตินี้มิเคยพบนาง หากมิได้พบในวันนี้อันหลิงเกอคงมินึกถึงนางอย่างแน่นอน ตอนนี้ได้พบเว่ยอี๋เหนียงแล้ว อันหลิงเกอก็พยักหน้ารับแล้วกล่าวทักทายเว่ยอี๋เหนียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คารวะเว่ยอี๋เหนียง ท่านคงมิได้ออกมานอกเรือนนานแล้วใช่หรือไม่ ? “ คำถามของอันหลิงเกอเป็นเหตุให้ดวงตาของเว่ยอี๋เหนียงแดงก่ำพร้อมมีน้ำตาคลออยู่ แววตาที่มองอันหลิงเกอทั้งซาบซึ้งและตื้นตันใจ “ถูกต้อง ข้ามิชอบออกมาจากเรือนสักเท่าไร จึงมิได้พบคุณหนูใหญ่หลายปีแล้ว” แท้จริงนิสัยของนางเป็นคนเงียบขรึม ทว่าตอนที่หลี่ซื่อเข้าจวนมาก็กดข่มเว่ยอี๋เหนียงไว้หลังจวนจนเงยหน้ามิขึ้นและต้องหลบเข้าเรือนเพื่อความสงบ หลังจากนั้นนางก็มิเคยได้เห็นหน้าคุณหนูใหญ่อีกเลย เมื่อก่อนนางให้สาวใช้ไปยังเรือนฉีอู๋ ยังมิทันเข้าถึงประตูเรือนก็ถูกคนของหลี่ซื่อหาข้ออ้างขับไล่กลับมา บ้างก็บอกว่าคุณหนูใหญ่ยุ่ง แท้จริงคือมิอยากให้นางได้พบคุณหนูใหญ่ต่างหาก เว่ยอี๋เหนียงคิดได้เช่นนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้มอย่างห้ามมิอยู่ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่ปลายหางตา แม้น้ำตาจักไหลแต่ใบหน้ากลับมีแต่ความดีใจ “คุณหนูใหญ่ ท่านเติบโตถึงเพียงนี้แล้ว ใบหน้าของท่านช่างคล้ายนายหญิงยิ่งนัก” นายหญิงที่อีกฝ่ายกล่าวถึงย่อมเป็นมารดาอย่างแน่นอน ทว่าอันหลิงเกอมิสนใจสิ่งนั้นเพราะสิ่งที่นางสนใจคือผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ “เว่ยอี๋เหนียงอาศัยอยู่ในเรือนทั้งปี มิเคยได้เจอข้าย่อมรู้สึกว่าข้าโตไวก็เป็นเรื่องปกติ” อันหลิงเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วพูดสิ่งที่สงสัยออกไป “เพียงแต่ท่านที่อาศัยอยู่ในเรือนเพียนนั้นดูมิค่อยดีสักเท่าไร” เว่ยอี๋เหนียงยกมือซ่อนผ้าเช็ดหน้าไปด้านหลัง ใบหน้าฉายยิ้มเจื่อนออกมา “ข้าอาศัยที่เรือนเพียนอย่างสุขสบาย คุณหนูใหญ่กังวลมากไปแล้ว”

ตอนที่ 84 สหายเก่า

แม้ว่านิสัยหวังซื่อจักมีความประมาท แต่เมื่อโดนผู้อื่นกระตุ้นแล้วจักมิสนใจได้อย่างไร อันหลิงอีใช้คำพูดกระตุ้นนาง นางก็ได้แต่ยิ้มอย่างย่ามใจ “อีเอ๋ออย่าใช้คำพูดมากระตุ้นข้าเลย หากข้าอารมณ์มิคงที่จนส่งผลกระทบต่อบุตรในครรภ์ เกรงว่าท่านแม่จักกล่าวโทษเจ้าอีก”

“อีเอ๋อเพียงถามหวังซื่อด้วยความหวังดี นางอยากให้เจ้าระวังบุตรในครรภ์ เป็นคำกล่าวที่ใช้กระตุ้นเจ้าที่ไหนเล่า ผู้คนก็มักกล่าวว่าหญิงตั้งครรภ์ชอบคิดมาก ข้าเห็นว่าเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว”

หลี่ซื่อเอ่ยปกป้องอันหลิงอี เดิมทีเป็นคำที่อันหลิงอีกล่าวมิดีออกมาก่อน แต่นางเอ่ยเหมือนหวังซื่อเข้าใจอันหลิงอีผิด

เมื่อได้ฟังหลี่ซื่อเอ่ยปกป้องอันหลิงอีเยี่ยงนั้น หวังซื่อก็มิอยากพูดให้มากความ เพียงแค่ยิ้มส่งไป “อย่างไรก็ตาม อีเอ๋อต้องระวังคำพูดและการกระทำให้มาก ตอนนี้ท่านแม่ลงโทษให้เจ้าคุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษ 3 วัน หากอีเอ๋อทำผิดอีกก็มิรู้จักทำเยี่ยงไรกับนางแล้ว”

หลี่ซื่อหันไปมองหน้าหวังซื่อ ทั้งสองคนต่อสู้กันทางสายตาซึ่งเป็นศึกไร้เสียง

“หวังซื่อมิต้องเป็นห่วงเพราะจักต้องมิมีวันนั้นอย่างแน่นอน”

เมื่อหลี่ซื่อพูดจบก็พาอันหลิงอีเดินออกไปจากเรือนหวังซื่อทันที จากนั้นก็ไปเตรียมเสื้อคลุมหนา ๆ ให้นางโดยเฉพาะ แล้วยืนมองอันหลิงอีถูกนำตัวไปที่โถงบรรพบุรุษ

อันหลังเกอยังอยู่ที่เรือนของหวังซื่อ เมื่อสองแม่ลูกหลี่ซื่อออกไปแล้ว ตนจึงนำยาขวดสีเขียวออกมาจากแขนเสื้อเพื่อมอบให้หวังซื่อ “อาสะใภ้รองตั้งครรภ์ นี่เป็นเรื่องมงคลในจวน เดิมทีควรสั่งให้ทางครัวระวังเรื่องอาหารของท่าน แต่เสียดายที่ข้าทำได้เพียงมอบยาเหล่านี้ให้อาสะใภ้รองไว้บำรุงร่างกาย อย่างอื่นข้ามิสามารถทำได้”

เมื่อกล่าวจบนางก็ส่งมอบยาให้สาวใช้ของหวังซื่อ “ยานี้เป็นยาที่ข้าใช้บำรุงร่างกาย จักดีต่ออาสะใภ้รองยิ่งนัก”

“เกอเอ๋อ เจ้าช่างเป็นคนรอบคอบเสียจริง” หวังซื่อกล่าวชื่นชมออกมาพร้อมแววตาอ่อนลง มิได้เคร่งขรึมเช่นก่อนหน้านี้แล้ว “เจ้าดีต่อข้า ข้าจักจดจำไว้ในใจ เมื่ออยู่กับเจ้าทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่นใจที่สุด”

หวังซื่อมีบุตรชาย 2 คน ฝั่งบิดามารดาก็มีอำนาจใหญ่โต ตำแหน่งนายหญิงรองจึงมั่นคง หากมิใช่นายท่านรองหลายใจ ชีวิตของหวังซื่อจักเพียบพร้อมยิ่งนัก

ทว่าอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใด ตำแหน่งมั่งคงแค่ไหน ท้ายสุดก็มิมีคนรักคอยอยู่ข้างกาย จนวันนี้นางตั้งครรภ์แล้วก็มิเห็นแม้แต่เงาของสามีผู้เป็นที่รัก เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้หวังซื่อก็เริ่มรู้สึกน้อยใจขึ้นมา

อันหลิงเกอเห็นใบหน้าของหวังซื่อหมองเศร้าเพราะอารมณ์อ่อนไหวของคนท้อง นางก็ยกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน ดวงตากลมโตฉายยิ้มออกมางดงามราวกับจันทราในยามค่ำคืน “อาสะใภ้รองล้อข้าเล่นแล้ว ผู้ที่ทำให้ท่านอบอุ่นใจที่สุดก็คือบุตรในครรภ์ต่างหากเล่า”

“เมื่อครู่ท่านหมอกล่าวแล้วว่าอาสะใภ้รองตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน แต่มิเคยมีการอาเจียนแต่อย่างใด บุตรในครรภ์คงกลัวท่านลำบากเป็นแน่”

คำกล่าวของอันหลิงเกอช่างเอาใจผู้ฟังยิ่งนัก เป็นเหตุให้หวังซื่อหัวเราะชอบใจ นางดึงอันหลิงเกอมานั่งลงด้านข้างเพื่อสนทนา สักพักนางก็ให้สาวใช้ไปส่งอันหลิงเกอกลับเรือน

อันหลิงเกอเดินทางกลับเรือนต้องผ่านเรือนเพียน ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาชนนาง ข้าวของที่สาวใช้ผู้นั้นถือก็ตกกระจายไปทั่วพื้น

เมื่อรู้ว่าชนเข้ากับผู้ใด สีหน้าก็เปลี่ยนโดยพลัน นางรีบคุกเข่าแล้วขออภัยออกมา “คุณหนูใหญ่โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวเร่งรีบเดินมิดูคนจึงมิเห็นคุณหนูใหญ่ที่เดินผ่านมาทางนี้ เป็นความผิดของบ่าวเอง ได้โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอหันไปมองของที่ตกกระจายอยู่เต็มพื้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “เจ้าเป็นสาวใช้ของเรือนใด ? “

“ข้าน้อย…เป็นสาวใช้ข้างกายเว่ยอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นั้นตอบออกมาติดขัดแล้วรีบก้มหน้าลง

เว่ยอี๋เหนียงอย่างนั้นหรือ ?

อันหลิงเกอพึมพำชื่อนี้ออกมาราวกับว่ารู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน

ปี้จูนึกออกเป็นคนแรกจึงกระซิบที่ข้างหูของอันหลิงเกอ “เว่ยอี๋เหนียงเดิมทีเป็นสาวใช้ของฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ ต่อมาตอนที่ฮูหยินใหญ่ตั้งครรภ์ซื่อจื่อ เว่ยอี๋เหนียงก็ไปมีสัมพันธ์กับท่านโหว จากนั้นก็คลอดบุตรสาวออกมา ต่อมาฮูหยินรองแต่งเข้าจวน  ฝ่ายเว่ยอี๋เหนียงได้แต่อาศัยอยู่ที่เรือนเพียนมิได้ออกไปไหน แม้แต่เทศกาลต่าง ๆ ก็มิยอมออกมาเจ้าค่ะ”

ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเยี่ยงนี้

อันหลิงเกอพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงหันไปตักเตือนสาวใช้ผู้นั้น “ในเมื่อเจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายเว่ยอี๋เหนียง ต่อไปทำอันใดให้ระมัดระวังหน่อย อย่าประมาทอีก”

ครานี้คนที่โดนพุ่งชนคือนาง แน่นอนว่านางมิใส่ใจเรื่องนี้มากนัก แต่หากเป็นอันหลิงอีก็คงลำบากแน่

สาวใช้รีบพยักหน้า  “รับทราบเจ้าค่ะ บ่าวจักจดจำไว้ ขอบคุณในความใจกว้างของคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

หลังจากนั้นนางก็รีบเก็บของที่กระจายขึ้นมาแล้วเดินจากไป พลันก็บังเกิดเสียงที่อ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน “ฉุนเซี่ยน เหตุใดยังมิรีบเข้ามา อวี่เอ๋อรอเจ้านานแล้ว”

เว่ยซื่อเดินออกจากเรือน เมื่อนางเห็นอันหลิงเกอ รอยยิ้มบนใบหน้าก็นิ่งค้างทันที “คุณหนูใหญ่ ท่านคือคุณหนูใหญ่ใช่หรือไม่ ? “

เว่ยอี๋เหนียงพักอยู่ในเรือนมาทั้งปี แม้บางครั้งจักได้ออกมาเดินเล่นบ้าง ก็แค่เดินอยู่รอบเรือนของตนเอง นอกจากคนมิกี่คนในเรือนแล้วแทบมิเคยพบเห็นผู้อื่นเลย

ในยามที่เห็นอันหลิงเกอก็เป็นเหตุให้เว่ยอี๋เหนียงตกตะลึงทันที นางจ้องมองเค้าโครงหน้าที่คุ้นเคยแล้วเดาออกว่าคือผู้ใด

อันหลิงเกอมองตามเสียงนั้นไปก็พบกับใบหน้าเรียวเล็กและเปี่ยมเสน่ห์ของเว่ยอี๋เหนียง

จำได้ว่าเมื่อชาติก่อนเว่ยอี๋เหนียงแทบมิออกจากเรือนเพียน ตัวตนในจวนโหวก็ตกต่ำยิ่งนักจึงทำให้หลังฟื้นจากความตายในชาตินี้มิเคยพบนาง หากมิได้พบในวันนี้อันหลิงเกอคงมินึกถึงนางอย่างแน่นอน

ตอนนี้ได้พบเว่ยอี๋เหนียงแล้ว อันหลิงเกอก็พยักหน้ารับแล้วกล่าวทักทายเว่ยอี๋เหนียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คารวะเว่ยอี๋เหนียง ท่านคงมิได้ออกมานอกเรือนนานแล้วใช่หรือไม่ ? “

คำถามของอันหลิงเกอเป็นเหตุให้ดวงตาของเว่ยอี๋เหนียงแดงก่ำพร้อมมีน้ำตาคลออยู่ แววตาที่มองอันหลิงเกอทั้งซาบซึ้งและตื้นตันใจ “ถูกต้อง ข้ามิชอบออกมาจากเรือนสักเท่าไร จึงมิได้พบคุณหนูใหญ่หลายปีแล้ว”

แท้จริงนิสัยของนางเป็นคนเงียบขรึม ทว่าตอนที่หลี่ซื่อเข้าจวนมาก็กดข่มเว่ยอี๋เหนียงไว้หลังจวนจนเงยหน้ามิขึ้นและต้องหลบเข้าเรือนเพื่อความสงบ

หลังจากนั้นนางก็มิเคยได้เห็นหน้าคุณหนูใหญ่อีกเลย เมื่อก่อนนางให้สาวใช้ไปยังเรือนฉีอู๋ ยังมิทันเข้าถึงประตูเรือนก็ถูกคนของหลี่ซื่อหาข้ออ้างขับไล่กลับมา บ้างก็บอกว่าคุณหนูใหญ่ยุ่ง แท้จริงคือมิอยากให้นางได้พบคุณหนูใหญ่ต่างหาก

เว่ยอี๋เหนียงคิดได้เช่นนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้มอย่างห้ามมิอยู่ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่ปลายหางตา แม้น้ำตาจักไหลแต่ใบหน้ากลับมีแต่ความดีใจ “คุณหนูใหญ่ ท่านเติบโตถึงเพียงนี้แล้ว ใบหน้าของท่านช่างคล้ายนายหญิงยิ่งนัก”

นายหญิงที่อีกฝ่ายกล่าวถึงย่อมเป็นมารดาอย่างแน่นอน ทว่าอันหลิงเกอมิสนใจสิ่งนั้นเพราะสิ่งที่นางสนใจคือผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าที่อีกฝ่ายถือเอาไว้

“เว่ยอี๋เหนียงอาศัยอยู่ในเรือนทั้งปี มิเคยได้เจอข้าย่อมรู้สึกว่าข้าโตไวก็เป็นเรื่องปกติ” อันหลิงเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วพูดสิ่งที่สงสัยออกไป “เพียงแต่ท่านที่อาศัยอยู่ในเรือนเพียนนั้นดูมิค่อยดีสักเท่าไร”

เว่ยอี๋เหนียงยกมือซ่อนผ้าเช็ดหน้าไปด้านหลัง ใบหน้าฉายยิ้มเจื่อนออกมา “ข้าอาศัยที่เรือนเพียนอย่างสุขสบาย คุณหนูใหญ่กังวลมากไปแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด