ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 275-276

Now you are reading ยอดรักชายาอัปลักษณ์ Chapter 275-276 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 275 องค์หญิงผู้เกิดมาเพื่อแต่งงาน

 

 

“ที่นี่คือที่ไหน”

 

 

หนิงอวี้ขมวดคิ้ว มือทั้งคู่ยังคงพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แม้ว่ามือทั้งคู่จะถูกพันห่อราวกับบ๊ะจ่าง นางในชุดสีแดงสดทั้งตัวท่วงทีสง่างดงาม มือทั้งคู่กับถูกห่อเป็นบ๊ะจ่าง ถูกมัดเข้าไว้ด้วยกันอย่างดิบดี

 

 

ณ ตำหนักเก่าโทรมอันรกร้าง ในนั้นมีผีเสื้อสีเทามอซอโบยบินอยู่สองสามตัว ทันใดนั้น ผีเสื้อสีสันสดใสตัวหนึ่งก็บินขึ้น แล้วเกาะอยู่บนปลายจมูกของหนิงอวี้

 

 

หนิงอวี้ประสานสายตากับมัน แล้วค่อยๆ เลื่อนสายตาออก ผีเสื้อกางปีกกระพือแล้วบินจากไปช้าๆ มู่หรงเหยียนเห็นนางกำลังจะดิ้นหลุดออกจากผ้าฝ้ายสีขาวที่พันห่อเอาไว้ จึงยื่นมือไปดึงรัดแถบผ้าบนมือนางให้กระชับ

 

 

“ที่นี่คือตำหนักของท่านแม่เจ้า”

 

 

มู่หรงเหยียนหันกาย แล้วยื่นมือไปเด็ดดอกกุหลาบเลื้อย ดอกกุหลาบเลื้อยที่ไม่มีใครดูแลเลย จึงมีดอกน้อยแต่หนามมาก รกรุงรังอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าเพราะด้วยดอกน้อยหนามมาก สีสันจึงดูสดใสเย้ายวนเป็นพิเศษ

 

 

หนิงอวี้นิ่งอึ้งเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้น…ตอนนั้นบิดาเองก็คงรู้เรื่องนี้ เป็นไปได้อย่างไรกัน มารดาเป็นเพียงสตรีทั่วไปนางหนึ่งที่หนิงเปียน จะไปเป็นเชื้อพระวงศ์สูงส่งของราชวงศ์เหนือได้อย่าไร หากนางสตรีชั้นสูงจริง ไยจึงต้องหลบหนีไปยังพรมแดนของฝ่ายข้าศึกเล่า

 

 

มู่หรงเหยียนหันกายกลับ เห็นสีหน้าหนิงอวี้ประหลาดใจก็ยิ้มบาง เมื่อสายตาสบเข้ากับปากเล็กจุ๋มจิ๋มสีแดงปลั่งของนาง ไม่รู้ด้วยเหตุใด อยู่ๆ เขากลับนึกขึ้นว่า หากนางทัดดอกกุหลาบเลื้อยนี้ ต้องงามสะคราญชวนหลงใหลแน่

 

 

“ท่านแม่เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ห่างๆ ของราชวงศ์เหนือ เพราะด้วยเป็นที่ต้องตาของไทเฮาจึงได้เข้าวัง”

 

 

“นางนามว่าอะไร…”หนิงอวี้ยื่นมือไปลูบบนรั้วเก่าๆ นั้น ยื่นมือไปถู ฝุ่นนับไม่ถ้วนก็เกราะติดบนนิ้ว

 

 

“มู่หรงเซียง”

 

 

“ไยนางจึงต้องหลบหนี”

 

 

หนิงอวี้ผลักประตูไม้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ประตูไม้สีลอกเป็นรอยด่าง ดูจากสภาพ เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้ในตอนแรกงดงามโอ่อ่าเพียงใด

 

 

“บอกว่าเป็นที่ต้องตา นั้นเพียงแค่ข้ออ้าง ตอนนั้นมีองค์ชายหลายพระองค์ แต่องค์หญิงกลับมีน้อยนัก ทว่าประเทศเล็กประเทศน้อยตามชายแดนราชวงศ์เหนือก่อจลาจล การจะส่งกำลังทหารไปกำราบสิ้นเปลืองกำลังและความคิด…”

 

 

หนิงอวี้ขมวดคิ้ว แล้วพูดต่อคำพูดเขา “ดังนั้น นางก็เลยถูกเลือก กลายเป็นเครื่องเซ่นทางการเมือง กำหนดให้เสียสละชีวิตตนอย่างนั้นหรือ!”

 

 

ข้าวของในตำหนักล้วนแต่เก่าแก่มีฝุ่นจับเขลอะไปทั่ว หลายแห่งยังมีหยากไย่เกาะ นางเดินเข้าไปในตำหนัก คิดย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเมื่อมารดายังสาว

 

 

“นางหลบหนีออกไปในวันมงคล”

 

 

มู่หรงเหยียนกดเสียงต่ำพูดออกมา เขายังคงจำได้เลือนลางถึงความงดงามของนางเมื่อครั้งยังสาว มงกุฎหงส์บนผ้าคลุมหน้าสีทองเจิดจรัส ผิวกายขาวผ่องนุ่มนวลดั่งหิมะ เรือนผมดำขลับเป็นมันเช่นไม้มะเกลือ

 

 

หญิงสาวนางนั้นยิ้มหวานจดจ้องไปยังท้องฟ้า ริมฝีปากแดงสดดั่งเลือด เขามองนางอยู่ไกลๆ อึ้งตะลึงกับความงดงามดั่งนางสวรรค์ ที่อยู่ข้างกายนางคือกษัตริย์ชราผู้เป็นเจ้าบ่าว

 

 

หนิงอวี้พยักหน้า ดูจากเรื่องหาทางหลบหนี นางกับมารดาคล้ายกันอย่างมาก แต่คำพูดที่ออกมาจากปากมู่หรงเหยียน นางจึงยังคงรู้สึกเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง

 

 

มู่หรงเหยียนเห็นความสงสัยหวาดระแวงจากก้นบึ้งของแววตานางอย่างชัดเจน เขาตบมือเรียกแม่เฒ่านางหนึ่งออกมา แม่เฒ่าคุกเข่ากับพื้นอย่างซวดเซ

 

 

“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ”

 

 

มู่หรงเหยียนพยักหน้า แม่เฒ่าจึงลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปชี้หนิงอวี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

 

 

“เจ้า…เจ้าคือ? บุตรีองค์หญิงอวิ๋นเซียงหรือ ใบหน้าดวงนั้น ช่างเหมือนกันราวกับเป็นคนเดียวกัน”

 

 

“องค์หญิงตอนนั้นโปรดชุดกระโปรงแดง แต่ไทเฮาทรงรับสั่งว่าชุดกระโปรงแดงดูประเจิดประเจ้อไป อย่างไรใส่สีครามน้ำทะเลสาปดูงามสุขุมกว่า”

 

 

แม่เฒ่าสีหน้าอ่อนโยน ท่าทางราวกับดำดิ่งสู่ความทรงจำเมื่อครั้งอดีต

 

 

หนิงอวี้มิใช่เด็กอายุสามขวบ นางถามขึ้นเสียงเบาว่า “ยังมีอะไรมายืนยันอีกหรือไม่” แม่เฒ่านึกเพียงชั่วครู่ ก็ยื่นมือออกมาปรบหนึ่งที นางเดินเข้าไปพลางบ่นพึมพำ “ในวันเกิดขององค์หญิง ได้เชิญช่างวาดมาเขียนรูปผืนหนึ่ง”

 

 

มู่หรงเหยียนมองร่างหญิงชราเดินจากไป มุมปากก็ยกยิ้มน้อยๆ แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเศร้าระทม “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ”

 

 

หนิงอวี้ถามกลับ สายตานางจ้องนิ่งไปยังดวงตาทั้งคู่ของเขา “ไยจึงต้องเชื่อเจ้า”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 276 ข้าก็ทุกข์ใจ เจ้าเชื่อหรือไม่

 

 

แม่เฒ่าถือม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมา นางปัดฝุ่นบนโต๊ะออกแต่ยังคงรู้สึกว่าสะอาดไม่พอ จึงใช้แขนเสื้อเช็ดหนึ่งที นางกางม้วนภาพอออกช้าๆ บนกระดาษที่กลายเป็นสีเหลืองไปบ้างนั้นคือภาพหญิงสาวถือดอกไม้

 

 

ดวงหน้างดงามดั่งภาพวาด เผยให้เห็นถึงความอ่อนเยาว์ มุมปากยกยิ้มบาง ในแววตากลับซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้

 

 

หญิงสาวผู้นี้ นางเคยเห็นในภาพของบิดามานับครั้งไม่ถ้วน หนิงอวี้รู้สึกแสบปลายจมูกเหมือนจะร้องไห้ หญิงสาวบนภาพวาดของบิดานั้นช่างสุขุมงามสง่า ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม

 

 

แม่เฒ่าม้วนภาพเก็บอย่างระวังมือแล้วยื่นไปในมือหนิงอวี้ นางวางมือลงไปบนมือหนิงอวี้พลางพูดขึ้นว่า “บ่าวเมื่อครู่แค่เห็นก็รู้ทันที ว่าท่านคือธิดาองค์หญิงอวิ๋นเซียง”

 

 

“องค์หญิงอวิ๋นเซียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข… นางหนีงานแต่งครั้งนั้น ถูกประกาศจับไปทั่วทุกแห่ง”

 

 

หนิงอวี้อ้าปาก ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “นางมีความสุขดี นับแต่ไปจากราชวงศ์เหนือ ได้พบกับชายที่หมายปองที่ชายแดน และแต่งงานกับเขา”

 

 

“นางชอบดื่มสุรา ชอบร้องรำ ดื่มพันจอกก็ไม่เมา ลูกคอไพเราะเพราะพริ้ง นางชอบใส่ชุดกระโปรงแดง นิสัยออกจะใจร้อนหน่อย ได้พบกับท่านพ่อก็ดื่มสุราอ้างว่าคือวาสนา”

 

 

ใบหน้าที่ยับย่นของแม่เฒ่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยย่นยิ่งดูชัดเจนยิ่งขึ้น คิ้วนางโค้งเล็กน้อย ช่างเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา

 

 

“เช่นนั้นองค์หญิงอวิ๋นเซียงช่วงนี้ยังอยู่ดีหรือ”

 

 

น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความยินดีของหนิงอวี้ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นกลับกลายเป็นความหดหู่ขึ้นมาฉับพลัน นางส่ายหน้าช้าๆ ลังเลใจอยู่ชั่วครู่แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านแม่จากไปนานแล้ว…คลอดยากจึงตกเลือดหนัก เหลือเพียงข้าเท่านั้น”

 

 

แม่เฒ่าทอดถอนใจออกมาหนึ่งทีอย่างเศร้าใจ ยกมือขึ้นกุมมือนางแน่น

 

 

“เด็กโชคร้าย โถ่ องค์หญิงอวิ๋นเซียงเอ๋ย ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ นี่ล้วนแต่เป็นชะตากรรม”

 

 

“อืม”

 

 

หนิงอวี้พยักหน้า แต่กลับมิอาจปิดบังความโศกเศร้าในใจได้ มู่หรงเหยียนเห็นนางหน้านิ่วคิ้วขมวดก็เบะปากพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ออกไปเถอะ”

 

 

แม่เฒ่าเดิมทีมีคำพูดตั้งใจจะบอกเล่า กลับได้แต่พยักหน้ารับคำ นางตบมือหนิงอวี้ ยอบกายคำนับแล้วเดินจากไป

 

 

หนิงอวี้ลูบภาพวาดในมือหนึ่งที สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันละเอียดนุ่ม วินาทีถัดจากนั้น นางช้อนตาขึ้น สายตาไม่ได้อ่อนโยนอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นความตื่นระวัง

 

 

“เจ้าพาข้ามาที่นี้ ต้องการอะไร”

 

 

“ข้าจำได้ วันเกิดอายุเก้าขวบของเจ้าได้ขอพรว่า อยากกินขนมข้าวเหนียวทุกวัน ข้าแอบเห็นเจ้าแตะไปบนโคมไฟ แล้วเขียนไปบนนั้น ว่าเจ้าอยากพบท่านแม่”

 

 

มู่หรงเหยียนยิ้มอย่างอ่อนโยน ยกมือขึ้นหมายจะลูบเรือนผมนาง มือที่เพิ่งยกขึ้นก็ถูกหนิงอวี้เลี่ยงหลบอย่างตื่นตัว มู่หรงเหยียนยิ้มเจื่อนแล้วปล่อยมือลง

 

 

“ข้ามิอาจทำให้คนตายฟื้นคืนได้ ทำได้เพียงพาเจ้ามาที่นี่”

 

 

“แม่เฒ่าผู้นี้เมื่อวานข้าสั่งคนให้ไปตามหา สองสามวันนี้มีคนมาดูแลตำหนัก จึงไม่เป็นที่สังเกต ข้าหาได้มีความคิดอื่น แค่อยากมอบของขวัญวันเกิดให้เจ้าสักชิ้นเท่านั้น”

 

 

หนิงอวี้นิ่งอึ้งอยู่นาน ครู่หนึ่งก็เค้นคำพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “เจ้ามิใช่หนิงเฝ่ย ไม่ควรมอบของขวัญวันเกิดข้า”

 

 

มู่หรงเหยียนขบขำพลางส่ายหน้า ดอกกุหลาบเลื้อยที่ถือแน่นในมืออยู่นานร่วงลงสู่พื้น เขาหัวเราะอยู่นานแล้วโน้มตัวลงเก็บกุหลาบเลื้อยที่ก้านเลอะไปด้วยคราบเลือดนั้นขึ้น ยื่นไปข้างมือหนิงอวี้

 

 

“ข้าใช่ และไม่ใช่…เรื่องท่านแม่ทัพหนิง ข้าก็ทุกข์ใจ เจ้าเชื่อหรือไม่”

 

 

หนิงอวี้อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือออกไป แต่กลับหยุดค้างกลางอากาศ ท้ายที่สุดก็หดมือกลับช้าๆ

 

 

มู่หรงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย มือที่กำกุหลาบเลื้อยเอาไว้แน่น ก้านดอกไม้เต็มไปด้วยเสี้ยนหนามปักซ้ำลงไปบนบาดแผลที่เลือดไหลออกมาซิบๆ บนฝ่ามือเขาอีกครั้ง

 

 

“เชื่อหรือไม่เชื่อ มาถึงตอนนี้ ไม่มีความหมายใดแต่นิด” หนิงอวี้จ้องเขาอย่างสงบ “เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว จะตามหาเหตุผลเพื่ออันใด เจ้าคือหนิงเฝ่ยก็ดี ไม่ใช่หนิงเฝ่ยก็ดี พวกเราอย่างไรก็ไม่อาจหวนกลับแล้ว มิใช่หรือ”

 

 

มู่หรงเหยียนหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด