ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 323 จากกันครานี้ / 324 จอมหึงออกโรง

Now you are reading ยอดรักชายาอัปลักษณ์ Chapter 323 จากกันครานี้ / 324 จอมหึงออกโรง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 323 จากกันครานี้

 

 

“มีเรื่องอันใด”

 

 

หนิงอวี้ขมวดคิ้วก้มหน้า ความสัมพันธ์ของเขากับนางในสายตาผู้อื่นดูน่าสงสัย ต่อหน้าสาธารณชน เขากลับเอ่ยคำขอเช่นนี้ออกมา

 

 

มู่หรงเหยียนมองหน้านางไม่ชัด แต่เห็นได้ว่านางกำลังเม้มปาก เขายกมุมปากพยายามปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่มีอะไร แค่เพียงอยากถามไถ่ว่าเจ้าอยู่ดีหรือไม่”

 

 

“ก็ไม่เลวนัก”

 

 

“อืม…เช่นนั้นก็ดี”

 

 

เงียบอยู่ราวครึ่งเค่อ หนิงอวี้ก็หันกายเตรียมเดินจากไป

 

 

“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอตัวก่อน”

 

 

ชั่วอึดใจเดียว ชายเสื้อสีแดงสดลายดอกโบตั๋นก็ถูกดึงเอาไว้

 

 

มู่หรงเหยียนรู้สึกว่าตนกำลังเสียกิริยาก็คลายมือออกช้าๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “จากกันครานี้ ไม่รู้ว่าวันใดจะได้พบกันอีก…อวี้เอ๋อร์ เจ้าอยู่ต่ออีกสักประเดี๋ยวได้หรือไม่”

 

 

“อวี้เอ๋อร์” คำเรียกอันสนิทสนมเช่นนี้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดสะบั้นลง หนิงอวี้หันกลับโดยพลัน จ้องมองเขาด้วยสายตาเชือดเฉือน ครั้นแล้ว เบ้าตากลับแดงขึ้นระเรื่อ

 

 

“มีสิทธิ์อะไร”

 

 

มู่หรงเหยียนอ้าปากหมายเอ่ยคำแต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมาได้แม้เพียงครึ่งคำ ใช่สิ มีสิทธิ์อะไรหรือ ด้วยความทรงจำน้อยนิดในอดีต หรือด้วยที่ส่งนางกลับคืนในตอนนี้ หากกล่าวโดยแท้แล้ว การที่อวี้เอ๋อร์ต้องทนทุกข์ทรมานที่ราชวงศ์เหนือไม่ใช่เพราะเขาเป็นเหตุหรอกหรือ

 

 

“ด้วยที่เจ้าทำร้ายข้า ด้วยที่เจ้ากักขังข้า และด้วยที่เจ้าสังหารท่านพ่อหรือ” หนิงอวี้พูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า อารมณ์พลุ่งพล่านจนถึงกับคว้าสาบเสื้อเขาเอาไว้แน่น

 

 

ชุดคลุมลายมังกรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งรัชทายาทยับย่น มู่หรงเหยียนทำได้เพียงมองมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลมากมายนั้น

 

 

“ข้าไม่อยากสังหารท่านพ่อ”

 

 

เขาเคยคิดที่จะใช้หนิงจื้อหยวนแลกกับชื่อเสียงและความมั่งคั่ง แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ แม้กระทั่ง เมื่อบิดาบุญธรรมอยู่ในวิกฤต เขายังคิดหาหนทางนับร้อยพันยื่นมือเข้าช่วย

 

 

วินาทีถัดมา หนิงอวี้ก็ปล่อยมือลงช้าๆ มองไปยังเขาแล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ท่านพ่อรู้ตัวตนเจ้าใช่หรือไม่”

 

 

“ใช่”

 

 

ความอาฆาตแค้นที่นางสะกดเอาไว้และตั้งใจหาทางระเบิดมันออกมา กลับห่อเ**่ยวไร้เรี่ยวแรงลงไปทันใด

 

 

“ไม่มีอะไรต้องถามแล้ว เจ้าไปเสียเถอะ”

 

 

“ข้าอธิบายได้” มู่หรงเหยียนเห็นนางสีหน้านิ่งเฉยก็รีบร้อนเอ่ยถ้อยคำ “ตอนแรกข้า…”

 

 

“ไม่มีความหมายอันใดแล้ว ท่านพ่อยังไม่ตามเอาเรื่องการตายของตน ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสืบสาวราวเรื่อง”

 

 

หนิงอวี้พูดขึ้นอย่างเย็นชา ทว่าไม่มีใครที่จะรู้ถึงความสิ้นหวังในใจนาง

 

 

นางโกรธแค้นด้วยเรื่องนี้จนแทบบ้า นางคลุ้งคลั่งด้วยเรื่องนี้ ทอดทิ้งเว่ยหยวนด้วยเรื่องนี้ เตรียมพร้อมยอมตาย แต่สุดท้าย นางกลับไม่อาจลงมือกับตัวการที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งกว่านั้น สุดท้ายนางก็พบว่าเจ้าตัวยอมรับความตายอย่างสงบ

 

 

“เจ้ายังคงเป็นบุตรบุญธรรมของเขาตลอดไป”

 

 

หนิงอวี้มองเขาปราดหนึ่งอย่างสงบนิ่งแล้วหันกายจากไป แม้เป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงไม่อาจให้อภัย

 

 

นางไม่ตามเอาเรื่องกับเรื่องนี้อีก แต่ก็เพียงแค่ไม่ตามเอาความ หากพูดถึงการให้อภัยนั้น แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ เขาเป็นบุตรบุญธรรมของบิดาตลอดกาล แต่ไม่ใช่พี่ชายของนางอีกต่อไป

 

 

ภายใต้ท้องฟ้าที่ลอยฟ่องไปด้วยหิมะ มู่หรงเหยียนมองแผ่นหลังนาง ผืนดินที่ถูกปกคลุมจนมิด มีเพียงนางที่สวมชุดแดงดั่งเลือดพร้อมด้วยเส้นผมดำขลับ

 

 

หิมะตกลงมาไม่หยุด ความหนาวเย็นเคลื่อนผ่านซอกนิ้วเข้าสู่ทั่วกายจนถึงหัวใจของเขา มู่หรงเหยียนเหยียดมุมปากยิ้มเศร้า เพียงอึดใจเดียวรอยยิ้มนั้นก็เหือดไป เหมือนยินดีแต่ก็มิยินดี อยากร้องไห้แต่ก็ไร้ซึ่งน้ำตา

 

 

ทั่วทั้งกายหนาวเย็นจนแข็ง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงวันที่หิมะตกหนักนั้นขึ้นมาได้ บิดาบุญธรรมพาพวกเขาออกล่า ออกตามรอยเจ้าหมีตาบอด

 

 

หากหวนกลับไปได้ก็คงดี ต่อให้เป็นได้เพียงพี่ชาย ขอเพียงได้อยู่ข้างกายนาง แค่นั้นก็พอแล้ว

 

 

มู่หรงเหยียนยืนนิ่งกับที่อยู่นาน จนกระทั่งตาตุ่มจมหายไปในหิมะขาว จึงหันกายเดินจากไป การยืนอยู่กับที่นานจนขาทั้งคู่แข็ง เขาเดินไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางหิมะ

 

 

เมื่อเท้าเขาสะดุดกับก้อนหินที่จมใต้หิมะแล้วล้มลง มู่หรงเหยียนเบ้าตาแดงระเรื่อ วินาทีถัดมาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงหัวเราะสะท้อนก้อง ไม่มีใครได้ยินเสียงนั้น เช่นเดียวกับความพยายามอย่างโศกเศร้าของเขาที่ไม่มีใครรับรู้

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 324 จอมหึงออกโรง

 

 

คนผู้หนึ่งป้วนเปี้ยนไปมาหน้ากระโจมนายพลหนิงไม่หยุด แต่กลับลังเลไม่ยอมเข้าไป หากเป็นเวลาปกติ องครักษ์ต้องพุ่งเข้าไปไล่นานแล้ว

 

 

ทว่า คนผู้นี้สวมชุดมังกรสีเหลืองดูสะดุดตายิ่งนัก องครักษ์ได้แต่กำหอกยาวในมือแน่นโดยไม่ออกเสียง คอยนับว่าเขาเดินไปมากับที่แล้วกี่รอบด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย

 

 

พักใหญ่ เว่ยหยวนแหวกม่านขึ้นด้วยสีหน้าเรียบ กลางกระโจมมีเพียงสาวใช้สองสามนาง

 

 

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

 

 

เขาปล่อยม่านลงอย่างหัวเสียแล้วหันกายเดินจากไป เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็เดินกลับมาด้วยความโมโห

 

 

สตรีนางนี้ กำลังมีท้องมีไส้ยังจะออกไปเตร็ดเตร่ท่ามกลางหิมะอีก! มันเรื่องอะไรกัน สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่คุยกันไม่ได้เลยหรือ เว่ยหยวนสีหน้านิ่งเฉยแต่ในใจกลับวิ่งพล่านคำรามร้อง

 

 

ใครอนุญาตให้พวกนางพบกัน เว่ยหยวนขบฟันจ้องถมึงทึงไปยังสาวใช้

 

 

“นายพลหนิงเล่า”

 

 

“ทูลฝ่าบาท ท่านนายพลหนิงออกไปครึ่งชั่วยามก่อนยังไม่กลับเพคะ”

 

 

สาวใช้คุกเข่าลงกับพื้น ตอบพลางสังเกตสีหน้าเขาอย่างระวัง

 

 

ทันทีที่กล่าวเช่นนี้ออกไป สีพระพักตร์ฮ่องเต้ไม่เพียงจะคลายลง แต่กลับบึ้งตึงหนักขึ้น สาวใช้รีบโน้มตัวก้มหน้าลงอย่างลนลาน

 

 

“ฝ่าบาททรงอภัยด้วยเพคะ”

 

 

สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น ต่างรีบพากันคุกเข่าลง

 

 

เว่ยหยวนสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งทีท่ามกลางเสียงที่อึกทึกไปทั่วแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ออกไป”

 

 

เสียงฝีเท้าก้าวสั้นเบาๆ ค่อยๆ เลือนไป เว่ยหยวนยกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้

 

 

“รินน้ำชา”

 

 

ไม่มีใครตอบ ครั้นแล้วผู้ซึ่งมีอำนาจสูงสุดแห่งราชวงศ์ใต้ก็ได้แต่ยื่นมือไปรินน้ำชาจนเต็มจอกด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้นางกลับมาเห็นในขณะที่ไม่รู้ตัว เว่ยหยวนจึงทำทีเป็นจิบชาอย่างสบายอารมณ์

 

 

ผ่านไปราวครึ่งเค่อ ความสุขุมบนใบหน้าเว่ยหยวนก็บึ้งตึงขึ้นอย่างมาก จนหนึ่งเค่อผ่านไป เว่ยหยวนก็เขย่ากาน้ำชาที่ว่างเปล่าพลางขมวดคิ้ว

 

 

ลมเย็นพัดเข้ามา เว่ยหยวนก็พบว่าปลายนิ้วตนเย็นเฉียบ เขาลุกขึ้นหมายจะดึงผ้าแพรขาว ทันใดนั้นพบในลิ้นชักมีบางสิ่งที่มีสีแดงอยู่ในนั้น

 

 

ดึงลิ้นชักออก ด้านในมีตลับไม้ฝีมือประณีตใบหนึ่ง เว่ยหยวนถือตลับใบนั้นขึ้นหรี่ตามอง กล่องเครื่องประดับหรือ เหตุใดไม่วางหน้าคันฉ่อง

 

 

เว่ยหยวนเหลียวกลับทีหนึ่งเห็นม่านถูกปิดลงสนิท จึงค่อยๆ เปิดตลับไม้ เสียงดังขึ้น “แกรก” ในนั้นคือหยกงามแวววับชิ้นหนึ่ง

 

 

เวลานี้แสงแดดส่องลอดเข้ามาในกระโจม เว่ยหยวนถือหยกประดับไว้ในมือยืนอยู่ที่หน้าต่าง แสงตะวันส่องลงมา ด้านหนึ่งของหยกที่ตอนแรกเป็นสีขาวขุ่นทันใดนั้นก็ปรากฏอักษรคำว่า “อวี้” ขึ้นมา

 

 

เมื่อดูให้ละเอียดถึงรู้ว่าอักษรสีแดงนั้นประกอบขึ้นด้วยด้ายแดงละเอียดดั่งเส้นผม เว่ยหยวนพลิกอีกด้านขึ้นใบหน้าก็นิ่วคิ้วขมวด เป็นดั่งที่คิด ด้านหลังคืออักษรคำว่า “เฝ่ย”

 

 

——

 

 

“ท่านนายพลหนิง ท่านกลับมาแล้ว”

 

 

สาวใช้ต่างคุกเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียงด้วยร่างกายสั่นเทิ้ม หนิงอวี้เลิกคิ้ว เมื่อแง้มม่านขึ้นก็เห็นเว่ยหยวนนั่งอยู่หน้าโต๊ะกำลังลูบคลึงจอกชาเล่น

 

 

นางหลุบสายตาลง แม้เห็นสีหน้าเขาไม่ชัดแต่ก็เห็นว่าสีหน้าเขาปกติ มุมปากยังยกยิ้มน้อยๆ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หนิงอวี้กลับยั้งฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว

 

 

เว่ยหยวนวางจอกลง แล้วพูดขึ้นอย่างใจเย็น “กลับมาแล้วหรือ”

 

 

หนิงอวี้นิ่งอึ้ง ครั้นแล้วจึงพยักหน้าตอบแล้วเดินเข้าไปด้านหน้า

 

 

“วันนี้อากาศเหน็บหนาว ข้าสั่งห้องเครื่องให้เตรียมน้ำขิง”

 

 

“พระองค์…ไม่มีอะไรจะทรงถามหรือเพคะ”

 

 

เว่ยหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย วินาทีถัดมาก็คลายออก มุมปากอมยิ้ม เขายื่นมือไปลูบหยกประดับบนเอว แล้วชำเลืองขึ้นยิ้ม

 

 

“ข้ามีอะไรต้องถามหรือ”

 

 

หนิงอวี้เห็นเขายิ้มบาง ในใจกลับรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งขึ้น ในขณะที่กำลังก้มหน้าลงเรียบเรียงคำพูด ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า ในเมื่อเว่ยหยวนยอมให้นางพบกับมู่หรงเหยียน เขาย่อมเชื่อใจนาง ทว่านางกลับถามเขาเช่นนั้น ราวกับนางมีท่าทีสงสัยในตัวเว่ยหยวน

 

 

หัวใจหนักอึ้งราวถูกหินทับ หนิงอวี้นั่งลงอย่างสงบ ยื่นมือไปยกกาน้ำชาขึ้นหมายจะเทน้ำชามาดื่มเพื่ออบอุ่นร่างกาย เมื่อเขย่ากาเบาๆ ก็พบว่าน้ำหนักนั้นเบาอย่างยิ่ง

 

 

“พระองค์รอนานแล้วหรือเพคะ”

 

 

เว่ยหยวนที่อ้ำอึ้งอยู่นาน ตอนแรกเตรียมพร้อมจะพูดออกมาทั้งหมดทันทีที่นางถาม ทว่ารอยยิ้มมุมปากพลันเหือดหาย เว่ยหยวนก้มหน้าแค่นเสียงแล้วพูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เปล่า! เราต้องสะสางงานราชการ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด