ลิขิตกลกาล 35 ช่วงเวลาสำคัญ

Now you are reading ลิขิตกลกาล Chapter 35 ช่วงเวลาสำคัญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อาจารย์ถงได้ยินดังนั้นจึงส่ายหน้า แล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ นี่ถือเป็นการสอบสนามหนึ่ง เพียงแค่มีชื่อเรียกว่างานฉลองวสันตฤดูก็เท่านั้น งานฉลองนี้จะเริ่มขึ้นในเร็ววันนี้แล้ว”

 

 

เป็นจริงอย่างที่ซูเหลียนอวิ้นคิดไว้ ความรู้สึกในใจของนางหนักอึ้ง นางคาดไว้แล้วว่าอาจารย์ถงมีบางเรื่องปิดบังพวกนาง

 

 

ที่แท้คือเรื่องนี้เอง…แต่เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าวันเวลาถึงได้เร็วกว่าเมื่อชาติก่อนมากนัก? หรือว่านางจำผิดมาตลอด?

 

 

ซูเหลียนอวิ้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้หมายความเช่นนี้เอง เป็นศิษย์เองที่โง่เขลา ได้ยินชื่อเช่นนี้ ศิษย์จึงเข้าใจว่าเป็นงานฉลองงานหนึ่ง” ในใจของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้รู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก

 

 

การสอบอย่างนั้นหรือ เมื่อพูดถึงการสอบย่อมต้องมีหัวข้อที่จะใช้สอบใช่หรือไม่ ผู้ออกข้อสอบครั้งนี้ยืนอยู่ต่อหน้าต่อตานางแล้ว! แต่นางเกรงว่าหากถามโดยตรงจะชัดแจ้งจนเกินไป กว่าอาจารย์ถงจะมีความรู้สึกที่ดีต่อนางได้นั้นไม่ง่าย แต่จู่ๆ จะให้ลดลงอีกได้อย่างไร แต่หากจะให้พูดหยั่งเชิง…การพูดหยั่งเชิงของนางคงไม่สามารถสื่อความหมายนั้นออกไปได้อยู่ดี!

 

 

เมื่ออาจารย์ถงเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทางเหม่อลอยครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ โดยยังคงยืนอยู่ตรงหน้าตนไม่ยอมปริปากอะไรนั้น ในใจจึงกระตุกวาบ

 

 

หากบอกเล่าเรื่องนี้แก่ผู้อื่น คงจะรีบถามเขาอย่างอ้อมๆ ว่าหัวข้อที่จะออกสอบนั้นมีอะไรบ้าง หรือไม่ก็อาจจะถามเขาว่าแนวข้อสอบนั้นเป็นอย่างไร อาจารย์ถงตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าหากซูเหลียนอวิ้นเอ่ยถาม เขาก็คงจะบอกกับนางไปตรงๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะซื่อสัตย์ถึงเพียงนี้ แม้แต่ถามก็ไม่ถามสักนิด?

 

 

อาจารย์ถงยิ่งรู้สึกวางตัวไม่ถูก เด็กคนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนซื่อสัตย์ ตัวเขาจึงดูด้อยค่าที่ไปมองว่านางแย่ถึงเพียงนั้น

 

 

หากตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้ว่าในใจของอาจารย์ถงคิดสิ่งใดอยู่ ตอนนางกลับไปถึงเรือนคงจะรีบเข้าไปไหว้พระพุทธรูปทันที เพราะเมื่อวันก่อนนางยังขอให้พระประทานพรให้นางมีภาพลักษณ์ที่ดีๆ ในงานวันฉลองวสันตฤดูอยู่เลย และแล้ววันนี้ท่านก็ได้ประทานโชคใหญ่ให้นางเช่นนี้! นางรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง กลับถึงเรือนเมื่อไหร่ต้องจุดธูปบูชาท่านแน่

 

 

“แค่ก…” เสียงไอของอาจารย์ถงดังขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายตอนนี้บรรยากาศอึดอัดได้คลี่คลายลงแล้ว เมื่อดูตามรูปการณ์แล้ว ด้วยความซื่อสัตย์ของเด็กคนนี้ หากเขาไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง นางก็คงจะไม่เข้าใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า

 

 

“ซูเหลียนอวิ้น ตำราเล่มนี้ เมื่อเจ้ากลับถึงจวนแล้วจงอ่านอย่างละเอียด บรรทัดใดที่ข้าได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เจ้าต้องกลับไปทบทวนให้ดีๆ เมื่อถึงวันงานฉลองวสันตฤดู อาจารย์จะคอยดูเจ้า”

 

 

 อย่าทำให้เขาต้องขายหน้าเป็นพอ เพราะปกติคะแนนของซูเหลียนอวิ้นเป็นอย่างไรเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ อีกทั้งเขายังให้ตำราเล่มนี้ไป นั่นถือว่ากึ่งทุจริตได้หรือไม่ จิตใจของอาจารย์ถงนั้นก็สับสนวุ่นวายอยู่ไม่น้อยเลย

 

 

ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือทั้งสองออกไปรับตำรามา ก่อนจะพลิกดูครั้งสองครั้งอย่างระมัดระวัง ยามเมื่อเข้าถึงเนื้อหาอย่างละเอียด นางถึงกับต้องกรีดร้องออกมา

 

 

ตำราเล่มนี้…ท่านอาจารย์ถง! ต่อไปซูเหลียนอวิ้นจะต้องพยายามเอาอกเอาใจท่านอย่างแน่นอน!

 

 

นางเองเคยเข้าร่วมงานฉลองวสันตฤดูมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้อสอบในตอนนั้น แม้ว่านางจะยังพอมีความทรงจำเหลืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็จำได้เพียงน้อยนิด เป็นเพียงแค่ความทรงจำรางๆ เท่านั้น ตอนนี้เมื่อนางพลิกดูเนื้อหาในตำรา ความทรงจำในหัวทั้งหมดก็ค่อยๆ ทยอยกลับคืนมาในชั่วพริบตา

 

 

จุดที่ทำสัญลักษณ์เหล่านี้เอาไว้ จะต้องเป็นข้อสอบในงานวันฉลองวสันตฤดูอย่างแน่นอน!

 

 

ซูเหลียนอวิ้นปิดตำราลงพยายามสกัดกั้นความตื่นเต้นไว้ภายในใจ จากนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ รอจนรู้สึกว่าผู้อื่นไม่อาจสังเกตเห็นถึงอารมณ์ของตนที่ผิดแปลกไป จึงได้เงยหน้าอย่างช้าๆ พลางเอ่ยว่า “ความช่วยเหลือครั้งนี้ของท่านอาจารย์ ศิษย์จะจดจำเอาไว้เป็นอย่างดี รอจนวันนั้นมาถึง ศิษย์จะต้องไม่ทำให้ท่านอาจารย์ขายหน้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

 

เมื่ออาจารย์ถงได้ยินดังนั้นก็ลูบเคราบริเวณคางของตนแล้วยิ้มอย่างเบิกบาน “ดี! เจ้ามีความมุ่งมั่นเช่นนี้ จะต้องประสบความสำเร็จได้แน่ อาจารย์มองเจ้าไม่ผิดจริงๆ”

 

 

 

 

ซูมั่วเยี่ยนำหน้าออกไปเรียกคนรถก่อนแล้ว เพราะด้านนอกพระอาทิตย์ดวงใหญ่ยิ่งนัก เขาไม่อยากให้น้องสาวของตนต้องโดนแดดเผาจนหน้าดำ จึงให้ซูเหลียนอวิ้นรออยู่ด้านในห้องก่อนแล้วค่อยตามออกมา

 

 

ส่วนเหตุผลใดที่ทำให้ผู้อื่นถึงเต็มใจออกมาโดนแดดเผาและไม่ยอมกลับเข้าไปด้านในห้องนั้น พวกเขาคงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากอยู่กับอาจารย์ถงอีก

 

 

เฮ้อ น่าเสียดายยิ่ง ซูเหลียนอวิ้นพยายามข่มความยินดีที่อยู่ในใจ หากวันนี้พวกเขารู้ว่าไม่เพียงต้องตากแดด แต่ยังพลาดของบางอย่างไป ภาพการตีอกชกหัวก็ยังไม่สามารถนำมาบรรยายอารมณ์ของพวกเขาได้ในตอนนั้น

 

 

“เจ้ารอนานแล้วใช่หรือไม่ พวกเราไปกันได้แล้ว” เมื่อซูมั่วเยี่ยผลักประตูเข้ามาก็เห็นว่าน้องสาวของตนกำลังอ่านตำราเล่มหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

 

“อ้าว ท่านพี่” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ นำตำราเล่มนั้นของอาจารย์ถงซ่อนไว้ด้านหลัง สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนไป “รถม้ามาถึงแล้วหรือ เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

นี่ไม่ใช่ว่านางขี้งกจนไม่ยอมให้ซูมั่วเยี่ยดู แต่ว่าตอนที่อาจารย์ถงกำลังจะแยกย้ายกับนางนั้นได้กำชับกับนางไว้แล้วว่า เรื่องตำราเล่มนี้มีนางผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ อย่าให้ผู้อื่นรู้เด็ดขาด หากตอนนี้ท่านพี่รู้ ย่อมไม่เป็นผลดี ไม่ว่าจะต่อนางหรืออาจารย์ถง แม้ว่านางจะมั่นใจว่าต่อให้นางบอกซูมั่วเยี่ย ซูมั่วเยี่ยก็คงจะไม่พูดอะไรออกไปอยู่ดี แต่ท้ายที่สุดก็ถือว่านางผิดต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับอาจารย์ถง ดังนั้นอย่าได้ถือโทษโกรธนางที่จำเป็นต้องซ่อนตำราเอาไว้เลย

 

 

อันที่จริงแล้วซูมั่วเยี่ยสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนั้นของซูเหลียนอวิ้นแล้ว เขาเป็นคนฝึกวรยุทธ์ หากการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นยังดูไม่ออก นั่นแสดงว่าที่ผ่านมาเขาเสียเวลาเปล่า

 

 

ทว่าเขากลับไม่ได้บีบบังคับซูเหลียนอวิ้น ในเมื่อน้องหญิงไม่ยินดีจะพูด นั่นย่อมประจักษ์แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังไม่แน่นแฟ้นถึงขั้นนั้น และเป็นเขาเองที่ต้องพยายามให้มากขึ้น วันใดที่สายสัมพันธ์ถักทอเป็นหนึ่งเดียว แน่นอนว่าน้องหญิงย่อมต้องบอกเล่าทุกเรื่องให้เขารับฟัง

 

 

“ไปกันเถิด” ซูมั่วเยี่ยจูงมือซูเหลียนอวิ้นเพื่อพานางไปขึ้นรถม้า ซึ่งภาพตรงหน้าไม่ใช่ภาพที่จะพบเห็นได้บ่อยนัก

 

 

 

 

บนรถม้า ยามนี้คนที่เป็นฝ่ายพูดมากกว่ากลับกลายเป็นซูมั่วเยี่ย

 

 

ซูมั่วเยี่ยบอกเล่าข่าวสารต่างๆ ที่เขาได้รับรู้มามากมายหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องทางการทหาร ขณะที่หลีมู่กับซูเหลียนอวิ้นต่างก็ฟังกันอย่างตั้งใจ โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวว่าสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องได้เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยแล้ว

 

 

“ท่านพี่” ครั้งนี้ซูเหลียนอวิ้นเป็นฝ่ายกระโดดลงจากรถม้าก่อน เป็นเพราะว่าหากยังต้องให้ซูมั่วเยี่ยช่วยประคองนางลงจากรถม้าที่หน้าประตูจวนอีก นางคงรู้สึกอายไม่น้อย เมื่อเช้าไม่มีใครพบเห็นจึงไม่เป็นไร หากตอนนี้มีผู้คนมากมายนางจึงขอลงด้วยตนเองดีกว่า

 

 

“ท่านพี่เจ้าคะ นั่งรถมาตลอดทาง คงจะเหนื่อยแล้วกระมัง เช่นนั้นตอนบ่ายท่านค่อยมาหาข้า แล้วค่อยสอนกระบวนท่าที่ยังเหลืออยู่ให้ข้าก็ได้ ตอนนี้ข้าเองก็อยากจะพักผ่อนสักหน่อยเจ้าค่ะ”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นกล่าวอย่างร้อนรน เพราะหากฟังจากคำพูดของอาจารย์ถงเมื่อครู่นี้ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบวันก็จะถึงงานฉลองวสันตฤดูแล้ว! ภายในเวลาสิบวันนี้นางจะต้องรีบท่องจำเนื้อความในตำราให้ขึ้นใจ ทุกวินาทีจึงล้วนมีค่ายิ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด