ลิขิตกลกาล 78 เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล

Now you are reading ลิขิตกลกาล Chapter 78 เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนอะไรให้ตัวเองอีกแล้ว ดังนั้นนางคิดว่ารีบเผ่นไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า ส่วนคนผู้นี้…เดี๋ยวนางจะไปอ้อนวอนพระพุทธรูปให้ช่วยปกปักรักษาเขาถือเป็นการช่วยชีวิตเขาอีกอย่างหนึ่งก็แล้วกัน!

 

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูเหลียนอวิ้นก็ทำเป็นหูทวนลมแล้วใช้เพียงมือทั้งสองออกแรงแกะมือที่บีบข้อเท้าของนางไว้

 

 

ทว่ามือนี้มีพละกำลังมากนัก! ราวกับว่ามันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของนางด้วย ไม่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะออกแรงดึงอย่างไรก็ไม่สามารถแกะให้หลุดได้

 

 

บุรุษผู้นั้นหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “อย่าพยายามดิ้นเลย ข้าไม่เคยปล่อยมือออกจากของที่ข้าคว้าเอาไว้”

 

 

เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นขดตัวซ่อนอยู่ใต้โต๊ะหมู่บูชาตัวเล็กๆ นี้ โต๊ะตัวนี้ทั้งเล็กและมีของวางอยู่บนโต๊ะ ดังนั้นนางจึงมิกล้าขยับแรงนัก เพราะหากนางขยับแรงๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ของทั้งหมดบนโต๊ะตัวนี้ร่วงลงมาได้

 

 

หลังจากที่พยายามดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มสิ้นหวัง

 

 

ตอนนั้นเองจึงกระชากผ้าที่บังอยู่เปิดออกและจ้องมองไปยังบุคคลที่นอนอยู่บนพื้น นางจึงเห็นท่าทางแปลกประหลาดของชายแปลกหน้าที่ใส่หน้ากากสีเงินอันใหญ่ จากนั้นจึงลดเสียงต่ำลงแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องปล่อยขาข้าก่อน! มิเช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าอย่างไร!”

 

 

เรามิสามารถตัดสินสิ่งใดเร็วเกินไป! ตอนแรกนางยังรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองโชคดีอยู่เลย! พอถึงตอนนี้นางกลับมิรู้ว่าตนไปทำให้เทพองค์ใดโกรธเข้าแล้ว!

 

 

เบื้องหลังหน้ากากสีเงินนั้น แววตาของตาดอกท้อคู่นี้บ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่รับคำสั่งนาง เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้อย่างไรเล่า? เกิดข้าปล่อยเจ้าแล้วเจ้าหนีไปจะทำอย่างไร?”

 

 

หนีได้ก็บ้าแล้ว! ซูเหลียนอวิ้นกัดฟันกรอด

 

 

อย่ามองเพียงท่าทางที่เจ็บสาหัสของบุรุษผู้นี้เพียงอย่างเดียว เพราะจากการคาดเดาของนางแล้วพลังในการต่อสู้ของนางหากเทียบกับเขา นางเกรงว่าแม้นางจะหลุดออกมาจากเขาเพียงก้าวเดียว ชายผู้นี้ก็จะคว้าตัวนางกลับได้ใหม่ในทันที

 

 

ซูเหลียนอวิ้นหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่เป็นนานสุดท้ายก็ค่อยๆ ข่มอารมณ์อัดอั้นของตัวเองลงไปได้ จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไร?”

 

 

“อ้อ” ชายผู้นี้ใช้สายตาของเขาส่งสัญญาณไปที่แขนขวา “ช่วยรีดพิษออกจากตัวข้าก็พอแล้ว จากนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไป แค่นี้เอง”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นย้ายสายตาของตัวเองไปตามจึงสังเกตเห็นมือขวาของเขา

 

 

ที่มือขวาของชายคนนี้ตั้งแต่บริเวณปลายนิ้วกลางขึ้นมามีรอยประทับสีม่วงคล้ำรอยหนึ่ง ดูอาการแล้วน่าจะโดนพิษรุนแรงมาก อีกทั้งเจ้ารอยประทับนี้ยังลามไปบริเวณรอบๆ ด้วยความเร็วที่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

 

“เจ้าเด็กน้อย ตกใจเสียแล้ว” ชายผู้นั้นแค่นเสียงแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าวางใจได้ หากพิษนี้สามารถทำข้าถึงตายได้ ตอนนี้ข้าก็ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกพักหนึ่ง เพราะฉะนั้น…เจ้าเด็กน้อย ข้ายังเหลือเวลาอยู่”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจนัยความหมายที่อยู่ในคำพูดของเขา

 

 

ความหมายก็คือ หากนางไม่ช่วยเขาขจัดพิษออก เขาจะต้องถึงแก่ความตาย แต่ก่อนที่เขาจะตายเขายังมีเวลาเหลือเฟือพอที่จะทำให้นางต้องรับเคราะห์ร่วมไปด้วยได้

 

 

“แล้วข้าจะรีดพิษออกได้อย่างไร?” ซูเหลียนอวิ้นถามขึ้น

 

 

คงไม่ได้จะให้นางใช้ปากดูดเลือดออกกระมัง! เพราะหากนางโดนเลือดที่มีพิษแล้วพิษก็เข้าสู่ร่างกายนางไปด้วยจะทำอย่างไร!

 

 

“ตรงเอวข้ามีมีดสั้นอยู่ เจ้าเฉือนเนื้อที่มือข้าแล้วค่อยๆ รีดออก” ชายผู้นั้นค่อยๆ เอียงตัว ทว่าดูเหมือนว่าการขยับตัวง่ายๆ แค่นี้เขากลับต้องใช้พลังงานทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวของเขา

 

 

ซูเหลียนอวิ้นคลำไปยังบริเวณที่ชายผู้นั้นบอกก็เจอมีดสั้นด้ามนั้น จากนั้นนางก็ไม่ลังเลอะไรอีก นางเอามีดแทงลงไปอย่างเฉียบขาด เลือดที่มีพิษก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากบาดแผลที่โดนเฉือนออกทันที

 

 

“อย่ามัวแต่เหม่อสิ” ทว่าเมื่อชายผู้นั้นมองเห็นบาดแผลที่โดนเฉือนลึกของตนก็มิได้แปลกใจอะไร “เจ้าต้องรีดเลือดพิษออกมาทั้งหมดจึงจะเสร็จ มิเช่นนั้นหากทำเพียงเฉือนเนื้อออกแค่นี้ ทำไมข้าจะต้องใช้เจ้าให้ทำให้ด้วย?”

 

 

อันที่จริงแล้วซูเหลียนอวิ้นไม่ได้เหม่อ นางเพียงลังเลไปครู่หนึ่งเท่านั้น นางกำลังคิดว่าเมื่อครู่นางลงมือหนักเกินไปหรือไม่ นางกลัวว่านางจะเฉือนลงไปลึกจนเกินไป

 

 

ทว่าตอนนี้เมื่อนางได้ยินน้ำเสียงสุดจะทนของชายผู้นี้แล้ว…ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่าที่ตนเฉือนลงไปเมื่อครู่ยังเบาเกินไป!

 

 

“ได้ เช่นนั้นเจ้าต้องอดทนหน่อย” ซูเหลียนอวิ้นฟึดฟัดพลางใช้สองมือของนางออกแรงบีบ “ข้าจะบีบสุดแรง ท่านอย่าส่งเสียงร้องก็แล้วกัน”

 

 

ชายผู้นั้นถอนใจแรง สุดท้ายเขาก็อดทนไหวและไม่ได้ส่งเสียงร้องอะไรออกมาเลย

 

 

เนื่องจากเมื่อครู่ตอนที่เขาโดนแทงเขาก็มองเหตุการณ์อยู่ตลอด อย่างน้อยๆ เขาก็ได้ทำใจเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว แต่เมื่อครู่นี้ซูเหลียนอวิ้นลงมือก่อนแล้วค่อยบอกทีหลังชัดๆ! ลงมือรีดพิษก่อนแล้วค่อยบอกเขาว่านางจะออกแรงจนสุดแรง

 

 

ยังดีที่เขาเป็นคนมีสมาธิแข็งแกร่ง หากใช้แรงเช่นนี้กับผู้อื่น ป่านนี้คงร้องเอะอะทนไม่ไหวไปแล้ว

 

 

เมื่อครู่ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย นางบอกว่าจะบีบสุดแรง นางก็ออกสุดแรงอย่างไม่ยั้งมือ

 

 

“เจ้าเด็กน้อย นี่เจ้าคงมีใจอยากแก้แค้นข้ากระมัง” ชายผู้นี้เอ่ยปากขึ้นตอนที่เขาเริ่มเห็นว่ารอยม่วงคล้ำบริเวณแขนขวาค่อยๆ จางลง

 

 

“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”

 

 

นางไม่มีทางยอมรับว่านางก็มีใจอยากแก้แค้นเช่นกัน เพราะดูท่าแล้วคนผู้นี้ใกล้จะหายแล้ว ทว่าหากเขาหายแล้ว[1]เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลจะทำอย่างไรเล่า?”

 

 

เมื่อเห็นว่ารอยคล้ำบนแขนขวาของเขาค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจึงมีความคิดมากมายเกิดขึ้น แต่สุดท้ายนางก็ค่อยๆ ตัดทิ้งออกไปทีละข้อ เพราะเมื่อนางเริ่มลงมือ นางก็จะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นนางจึงต้องรอบคอบให้มากๆ หน่อย

 

 

ในตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านต้องพันแผลที่ถูกแทงของท่านเสียหน่อยกระมัง? มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าอีกประเดี๋ยวพอพิษของท่านถูกขับออกไปหมด ถึงตอนนั้นท่านคงตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป”

 

 

ชายผู้นี้คิดไม่ถึงว่าซูเหลียนอวิ้นจะเอ่ยปากเช่นนี้ขึ้น ในตอนนั้นเองสายตาของเขาจึงเริ่มระแวดระวัง “ทำไมจู่ๆ ถึงใจดีเช่นนี้เล่า? คิดจะพันแผลให้ข้าด้วย? ข้าปลาบปลื้มในความเมตตานี้ยิ่งนัก เจ้าเด็กน้อย เจ้าคงไม่ได้มีใจให้ข้าแล้วกระมัง?”

 

 

แม้ว่าเขาจะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าในสายตาของชายผู้นี้ไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย สายตาคู่นี้ของเขาจับจ้องทุกท่วงท่าของซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ละสายตา

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเมื่อได้ยินคำพูดล้อเลียนนางเช่นนี้กลับมิได้แสดงอารมณ์ใดๆ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ข้ายังมิได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านแล้วข้าจะมีใจให้ท่านได้อย่างไร? ท่านอย่าประเมินตัวเองสูงเกินไปนักเลย”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเอามือล้วงเข้าไปในอกตน แล้วหยิบเอาห่อยาที่เดิมทีเตรียมไว้สำหรับตัวเองออกมา “ที่ข้าพูดเช่นนี้เพียงเพราะหวังว่าท่านจะเห็นแก่ที่ข้ารีดพิษให้ท่านจนหมดแถมยังพันแผลให้ท่าน แล้วปล่อยข้าไปสักครั้ง”

 

 

นางยื่นห่อยาออกไปแล้วใส่ไว้ในอกของชายผู้นั้น “หากท่านไม่ไว้ใจ ท่านก็ลองตรวจสอบดูก่อนได้ว่ายานี้มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”

 

 

ชายผู้นั้นจ้องเขม็งไปที่ซูเหลียนอวิ้นโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน เขาจึงหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กน้อย ข้าเชื่อเจ้า ทว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ข้าไม่ตรวจยานี้ก็แล้วกัน ทว่าเพื่อเห็นแก่ที่เจ้าจะพันแผลให้ข้า ข้าจึงคิดแล้วว่า ข้าอาจจะไม่ฆ่าเจ้า”

 

 

 

 

——

 

 

[1] มาจากสุภาษิตจีนที่ว่า ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง มีความหมายว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็ฆ่าคนที่เคยช่วยเหลือตนทิ้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด