เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย 15 เร็นกะซังผู้เข้มงวดกับรุ่นน้องจริงๆ

Now you are reading เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย Chapter 15 เร็นกะซังผู้เข้มงวดกับรุ่นน้องจริงๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

    …..น่าประหลาดใจ

    หลังจากนั้น การสำรวจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมากกว่าที่คาด

    ตอนแรกเป็นห่วงว่ารอยร้าวของทั้งคู่จะก่อให้เกิดปัญหาในการ่วมมือกัน แต่พอเอาเข้าจริง ทั้งคู่กลับมีความเข้ากันได้อย่างไร้ที่ติ

    อิมป์มีพลังต่อสู้ต่ำที่สุดในปาร์ตี้นี้ หน้าที่จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเป็นหน่วยสนับสนุน แต่ว่าเวทมนตร์ของเธอทั้งหมดดูเฉยๆ

    สไลซ์(slice) ที่ปล่อยคมดาบเวท, เรส(rest) ที่ฟื้นฟูพลังกายเล็กน้อย, บาเรียแจ็คเก็ต(barrier jacket) ที่ช่วยลดทอนการโจมตีจากศัตรูได้ 1 ครั้ง, สลิป(slip) ที่ทำให้เท้าศัตรูลื่น สามารถใช้ได้แค่ 4 อย่างนี้

    ไม่ว่าอย่างไหนก็เป็นเวทที่ไม่หวือหวา

 

    สไลซ์ ในตอนนี้สามารถสร้างความรุนแรงได้เทียบเท่าแรงคนเหวี่ยงมีด

    พอเขียนแบบนี้แล้วจะดูเหมือนรุนแรง แต่มอนสเตอร์มันแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก

    ยิ่งกว่านั้น ด้วยธรรมชาติของตัวเวท มันสามารถป้องกันได้จากทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์

    พูดอีกอย่างคือ ศัตรูที่แข็งๆอย่างโกเลมสามารถป้องกันได้ด้วยความแข็งแกร่ง, และศัตรูแบบเวทอย่างเรธ(wraith) สามารถป้องกันได้ด้วยพลังเวทมนตร์ของพวกมัน

    ในจุดนี้ผมจึงยกเลิกที่จะให้อิมป์เป็นหน่วยโจมตีไป

 

    เรส ประเมินได้ว่าค่อนข้างมีประโยชน์

    มันไม่สามารถรักษาบาดแผลหรือสถานะผิดปกติได้ แต่การฟื้นฟูพลังกายเป็นความสามารถที่มีประโยชน์มาก

    แทนที่จะมีประโยชน์ในการต่อสู้ มันจะมีประโยชน์อย่างมากในตอนที่เคลื่อนที่ไปตามเขาวงกต

    แน่นอนว่าเวทนี้เร็นกะก็สามารถใช้งานได้ แต่เพราะพลังเวทของเธอถูกใช้ไปเกือบทั้งหมดกับการโจมตีและการฟื้นฟู จนถึงตอนนี้จึงไม่มีทางเลือกที่ต้องเก็บมันไว้

    แค่เป็นกำลังเสริมตรงนี้ ก็ช่วยได้มากพอแล้ว

 

    ส่วนบาเรียแจ็คเก็ต ตามตรงเลยคือห่วย

    ไม่เพียงแต่ทนได้แค่ 1 ครั้ง พลังป้องกันที่มีก็เทียบเท่าการสวมเสื้อหนาๆแค่นั้น ข้อดีอย่างเดียวคือใช้พลังเวทน้อยมาก วิธีใช้ที่ดีที่สุดคือใช้มันก่อนการต่อสู้

 

    สุดท้ายคือสลิป…..ความสามารถอันนี้ก็เฉยๆ

    พอผมลองโดนเอง ที่เท้าจะรู้สึกลื่น ราวกับว่ายืนอยู่บนน้ำแข็ง

    แต่ถ้าออกแรงมากพอก็จะไม่ล้ม และผลของมันก็อยู่แค่ไม่กี่วินาที

    เป็นเวทสถานะที่มีผลเล็กน้อยกับอีกฝ่ายที่มี 4 ขาอย่างยูคิ และไร้ประโยชน์กับอีกฝ่ายที่ลอยได้อย่างเร็นกะ

 

    —–ทว่า เจ้าเวทสลิปนี้แหละเป็นองค์ประกอบอย่างสุดท้ายที่ปาร์ตี้เราขาดไป

 

    โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งสถานะผิดปกติมีผลต่ออีกฝ่ายรุนแรงมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีโอกาศต้านทานได้สูงเท่านั้น กลับกัน ถ้าเป็นเวทต่ำๆ โอกาศที่จะโดนก็ยิ่งมาก

    ตรงจุดนั้น ถ้าเพิ่มสกิลของซาชิกิวาราชิที่ควบคุมโชคเข้าไปด้วยแล้วล่ะก็ แทบเป็นการการันตีว่าถ้าแรงค์เท่ากันจะโดนสถานะผิดปกติเข้าไปแน่นอน

    หรือก็คือ สลิปจะกลายสภาพเป็นเวทที่ทำให้อีกฝ่ายลื่นล้มเสมอ

 

    จนถึงตอนนี้ สกิลควบคุมโชคของเร็นกะ จะมีบทบาทหลักๆตอนอยู่นอกการต่อสู้

    นั่นเพราะสกิล『โชคดีและโชคร้ายคือเชือกที่มัดรวมกันแน่น』ไม่มีความสามารถที่จะชี้เป็นชี้ตายให้กับอีกฝ่ายได้

    อย่างมากก็โชคดีพอจะหลบการโจมตีของอีกฝ่าย, หรือไม่ก็โชคดีโจมตีได้เข้าเป้า

    แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ในตอนนี้พวกเรามีสมาชิกที่สามารถใช้สถานะผิดปกติได้ จึงสามารถเห็นคุณค่าที่แท้จริงของมัน

    โอกาศติดของสถานะผิดปกติจะขึ้นอยู่กับ โชคดีของฝ่ายเดียวกัน, และโชคร้ายของฝ่ายตรงข้าม แล้วด้วยสถานะผิดปกติ กระแสของการต่อสู้จึงเอนเอียงเป็นประโยชน์กับทางเรา

 

    มันคือหน้าที่โดยดั้งเดิมของซาชิกิวาราชิ

    ที่เร็นกะต้องการคือ ตัวจุดชนวนสำหรับโชคดีหรือโชคร้าย

 

    ยกตัวอย่าง มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้อย่างการวางเปลือกกล้วยไว้บนพื้น, หรือกลิ้งกระป๋องเปล่าออกไป

    ตราบเท่าที่มีฉากที่จัดเอาไว้เพื่อนำพาโชคร้ายให้อีกฝ่ายอย่าง ศัตรูเหยียบเปลือกกล้วยแล้วลื่นล้ม, หรือสามารถหลบการโจมตีของศัตรูได้เพราะลื่นล้มไปข้างหลัง มันจะถูกทำให้ไปในทิศทางที่ให้คุณประโยชน์แก่ทางเราโดยอัตโนมัติ

    เวทสลิปเป็นเวทง่ายๆที่ทำให้อีกฝ่ายล้มง่ายขึ้น แต่เพราะด้วยความสามารถของซาชิกิวาราชิ มันได้กลายเป็นกับดักทรงพลัง

 

    ……….แต่ก็ คนที่เกี่ยวข้องในนั้นจะคิดยังไงมันก็อีกเรื่อง

 

「…………………………」

 

    หลังการต่อสู้ ความเงียบอันน่าอึดอัดเข้าปกคลุมตลอดทางไปสู่ห้องเล็กๆถัดไป

    ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้เองก็ จบอย่างรวดเร็วอีกเช่นเคยด้วยคอมโบ สลิปของอิมป์และ『โชคดีและโชคร้ายคือเชือกที่มัดรวมกันแน่น』ของเร็นกะ

 

    ศัตรูในคราวนี้คือ ซอมบี้, ไฮโคโบลด์, มนุษย์ทราย, และไนท์แมร์ รวม 4 ตัว มองเผินๆแล้วเป็นการผสานกันที่ยุ่งยากโดยมีซอมบี้ที่ถึกทนคอยป้องกัน, ไฮโคโบลด์เรียกกำลังเสริมด้วยการอันเชิญผู้ติดตาม, คอมโบนอนหลับของมนุษย์ทรายและไนท์แมร์

    ก่อนอื่นต้องจัดการมนุษย์ทรายเพื่อทำลายคอมโบฝันร้าย, แล้วจัดการไฮโคโบลด์ก่อนที่จะเรียกกำลังเสริม แต่ก็แน่นอนว่าซอมบี้จะต้องเข้ามาขัดขวาง

 

    มันเหมือนเป็นการเล่นซ้ำฉากก่อนหน้านี้ แต่จากตรงนี้มันมีอะไรแตกต่างไปนิดหน่อย

    อิมป์ใช้สลิปทำให้ซอมบี้ลื่นล้ม ยูคิใช้ประโยชน์จากโอกาศนั้นสังหารมนุษย์ทราย เอลิซ่าใช้หนังสติ๊กยิงทะลุคอหอยของไฮโคโบลด์ หลังจากนั้นก็เหลือแค่เก็บกวาด

    การต่อสู้จบภายในไม่กี่วินาทีจนพวกเรารู้สึกว่ามันง่ายมาก

 

    ผมกับยูคิต่างชมเร็นกะกับอิมป์ยกใหญ่ แต่ทั้งคู่กลับไม่ดีใจเลยซักนิด

    บางทีต่างคนต่างก็อาจจะเข้าใจว่าความสามารถของพวกเธอมันเข้ากันแค่ไหน

    แต่ว่าตรงกันข้าม ไม่ได้น่าสนใจ

    เร็นกะที่สามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้เพราะอีกฝ่ายที่ไม่ชอบ ส่วนอิมป์ที่สามารถแสดงประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นเพราะอีกฝ่ายที่ไม่ชอบ ดูเหมือนมันจะไปสะกิดโดนทิฐิของแต่ละคนเข้า

    แม้จะไม่ถึงขนาดปฏิเสธความร่วมมือกัน แต่ก็ไม่อยากขอบคุณ สามารถเห็นความขัดแย้งกันระหว่างทั้งคู่

    สุดท้าย ทั้งคู่จึงได้ข้อสรุปเป็นการเมินตัวตนของอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งนั่นทำให้เกิดบรรยากาศละเอียดอ่อนนี้ขึ้นมา

 

「…………………….ฮ่าาา~」

 

    ผมแอบถอนหายใจออกมา

    อา มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ไอ้ความรู้สึกไม่สบายใจนี่

    ทางที่ง่ายที่สุดคือการให้อิมป์หรือเร็นกะกลับเข้าการ์ด แต่มันก็จะทำร้ายอารมณ์ของคนที่โดนเรียกกลับ

    ถ้าตัดสินใจขายอิมป์ไปแต่แรกมันก็คงจะดี แต่ตอนนี้มารู้ถึงการใช้งานแล้วก็ไม่อยากจะปล่อยให้เธอหลุดมือไป

    ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว คงต้องหาทางไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสอง

 

「โอ่ย」

 

    ขณะที่กำลังเดินพลางคิดไปด้วยอยู่ จู่ๆก็ได้ยินเร็นกะพูดขึ้นมา

 

「อ-โอ้  มีอะไรเหรอ?」

「เริ่มรู้สึกอยากจะกินขนมแล้ว เอาอะไรออกมาซักหน่อยสิ」

「อา เข้าใจแล้ว」

 

    ตั้งแต่ที่เร็นกะเริ่มให้ความร่วมมือด้วยความสมัครใจก็ไม่จำเป็นต้องใช้ขนมเป็นรางวัลแล้ว จะเอาออกมาตอนที่เธออยากกิน เพราะแบบนั้นในกระเป๋าของผมจึงมีตุนขนมเอาไว้จำนวนหนึ่งอยู่เสมอ

 

「ขนม!? ว้าว ชั้นเพิ่งจะเคยกินเป็นครั้งแรกเลย!」

 

    พอได้ยินบทสนทนาของพวกเรา อิมป์ก็ทำตาโตขึ้นมา…..เธอนี่ก็ชอบขนมเหมือนกันรึ น่าประหลาดใจ งั้นก็น่าจะเข้ากันได้ดีกับเร็นกะไม่ใช่รึไง? ขณะที่คิดอะไรแบบนั้นอยู่ ผมก็เริ่มแบ่งเค้กปอนด์ให้ทีละคน พักกันตรงนี้ซักหน่อยก็ดี

    ขณะกำลังยื่นชิ้นนึงให้กับอิมป์ ก็มีมือมาจากด้านข้างแล้วฉกมันไป

 

「โอ๊ะโอ๋ ไอ้นี่มันขนาดใหญ่เกินไปสำหรับเธอ เดี๋ยวชั้นจะกินให้เอง」

「หาาาา!?」

 

    เร็นกะ…..นี่หล่อนทำตัวเป็นเด็กๆอีกแล้วนะ…..ไม่สิ ก็ยังเป็นเด็กอยู่นี่นะ

    ทางด้านอิมป์ที่ถูกแย่งขนมไปก็โมโหอย่างเข้าใจได้

 

「เดี๋- นั่นมันของชั้นนะ! เอาคืนมา!」

「หนวกหูจริง งั้นจะเอาให้หน่อยละกัน ตัวเล็กๆเอาไปแค่นี้ก็คงพอล่ะนะ?」

「ตัวจะใหญ่แค่ไหนมันก็ไม่เกี่ยวกัน! พวกเราจะกินมากแค่ไหนก็ได้ หรือจะไม่กินอะไรเลยก็ได้! เอาคืนมาเลย ชั้นเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอมันเหมือนกันนะ!」

「อุ๊ยแหม! มีแค่คนที่ทำงานถึงจะได้กินขนมนะ」

「ชั้นเองก็ทำงานนะ!」

「ฮะ นั่นมันเพราะพลังของชั้นหรอก ถ้าไม่งั้นพลังของเธอมันจะมีประโยชน์ซักแค่ไหนเชียว?」

「—-นี่เธอ!」

 

    สีหน้าของอิมป์มีความเกรี้ยวกราดเพิ่มมากขึ้น แล้วตอนที่การทะเลาะเต็มขั้นจะปะทุขึ้น ยูคิก็เข้ามาแทรกอย่างเร่งด่วน

 

「เดี๋-เดี๋-เดี๋- พอกันแค่นั้นแหละฮะ! คราวนี้ เป็นเร็นกะซังที่ผิดนะฮะ เอ้า คืนขนมไปเถอะ นะ? มาสเตอร์」

「อา เร็นกะ ทำแบบนั้นไม่ดีนะ เอ้า ถ้าไม่พอเดี๋ยวผมเอาให้อีกก็ได้」

「……………ชิ ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย」

「เร็นกะ?」

 

    เร็นกะพูดอะไรออกมา แต่เพราะว่าหันหลังให้เลยไม่ได้ยิน เธอส่ายหัวแล้วยื่นเค้กปอนด์ของอิมป์คืนมา

 

「ฮ่า ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่แกล้งหยอกนิดหน่อย เอ้า เอาคืนไปสิ」

「อืม อา….. เอ้า อิมป์ เอาคืนมาแล้วนะ」

 

    แต่ว่าอิมป์ที่น้ำตานองหน้ากลับไม่ยอมรับมันไว้

 

「ของแบบนั้น…..ไม่อยากได้มันแล้ว!」

「อา งั้นเอาอันนี้ล่ะเป็นไง? ช็อคโกแลตล่ะ ขนาดพอดีคำกินง่ายด้วย」

 

    ผมพูดแล้วก็ยื่นกล่องที่เต็มไปด้วยช็อคโกแลตชิ้นเล็กๆ อิมป์รับกล่องที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่ากับตัวของเธอเอาไว้

    ทำการแลกเปลี่ยนสายตากับยูคิและตัดสินใจให้เธอจัดการเรื่องของอิมป์ต่อ

 

「อิมป์ซัง รู้วิธีเปิดรึเปล่า? เดี๋ยวจะเปิดให้นะ」

「…..อืม」

 

    หลังจากมองยูคิและอิมป์คุยกัน ผมก็ดึงตัวเร็นกะออกมาเล็กน้อย

 

「นี่เร็นกะ…..เป็นอะไรไปเหรอ」

「………………..」

 

    เร็นกะเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ตอบ

    …..เห็นแบบนี้แล้ว คงจะรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดอะไรไม่ดีออกไป

    ถ้าเป็นแบบนี้ จะให้โกรธเธอก็คงจะไม่ดีสินะ ผมให้น้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตักเตือนเธอ

 

「ว่ากันตามตรง ยังมีอะไรที่ไม่รู้เกี่ยวกับมอนสเตอร์อยู่อีกมาก จะให้พูดเรื่องพลังต่อสู้หรือว่าสกิลมันก็คงไม่ดีใช่ไหมล่ะ? นั่นไง มันอาจจะมีเรื่องซับซ้อนบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้อยู่」

 

    พอผมพูดแบบนั้น เร็นกะก็เกาหัวด้วยความหงุดหงิด

 

「อา เข้าใจแล้วล่ะ ชั้นเองก็พูดมากไปจริงๆ ก็แค่…..ไอ้นั่นน่ะ เข้าใจใช่ไหม?」

「อืม…..」

 

    ผมเดาว่า แทบทั้งหมด อึดอัดจากความเงียบ จึงพยายามจะเริ่มบทสนทนาถึงแม้ว่ามันจะเป็นการทะเลาะกันก็ตาม

    เธอคงจะรู้สึกเหมือนกับตอนแรกกับผม แล้วมันก็เคยไปได้สวย เลยเดาว่าจะทำมันอีกรอบ

    แต่ว่าที่มันได้ผลก็เพราะตัวผมอายุมากกว่าอยู่หน่อย

    จากที่ดูเผินๆ อิมป์ดูจะมีอายุของทั้งภายนอกและอายุของจิตใจเท่ากันกับเร็นกะ

    ถ้ามันเกิดอะไรแบบนั้นขึ้น….มันก็คงกลายเป็นการทะเลาะกันจริงๆ

 

    …..แต่ก็นะ ในระยะยาวแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่นัก

    เพราะจากนี้ไปพวกเราจะต้องปาร์ตี้กันไปตลอด จะดีกว่าถ้าเริ่มทะเลาะกันแต่เนิ่นๆ

    ถ้าหากว่าเก็บกดความไม่พอใจเอาไว้แล้วเกิดทะเลาะ มันจะนำไปสู่การโดดเดี่ยว

    พอเป็นแง่นั้นแล้ว มันก็ไม่ได้แย่ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่สามารถระบายความรู้สึกออกมาได้เร็วๆ

    ถ้าจะมีปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ ในการทดสอบนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเธอจะย่ำแย่ลงแล้วไม่สามารถร่วมมือกันได้…..

    ขณะที่ผมกำลังคิดจะบอกเรื่องนั้นไป เร็นกะก็บอกกลับมา

 

「อา ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วล่ะ ให้ต่อสู้ไปดีๆใช่ไหม? ถ้าเรื่องนั้นเข้าใจอยู่แล้ว บางทีทางนั้นเองก็ด้วย 」

「ง-งั้นเหรอ…..ถ้างั้นผมเองก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วล่ะ แต่ว่า คงเข้าใจนะ?」

「อา…..จะหาโอกาศขอโทษเอง」

「อือ」

 

    แล้วยูคิก็มาทางนี้

 

「มาสเตอร์ ทางนี้ก็ไม่เป็นอะไรฮะ อิมป์ซังเองก็บอกว่าจะร่วมต่อสู้ไปดีๆด้วย」

 

    สมแล้วที่เป็นยูคิ เข้าใจความคิดของผมแม้ไม่ต้องพูดอะไร

 

「ขอบใจนะ โทษที แต่ช่วยเฝ้าดูไปซักพักนะ」

「ฮะ」

 

    เหล่าเด็กหญิงร่างเล็กต่างหันหน้าหลบกันและกัน ไม่ยอมสบตากัน

    บรรยากาศที่ดูวุ่นวายเริ่มแทรกซึมปาร์ตี้ของเราที่น่าจะเคยมีบรรยากาศที่ดีทำให้ผมต้องแอบถอนหายใจ

 

 

 

 

    ไม่กี่นาทีต่อมา

    พวกเราเริ่มทำการสำรวจต่อ

    ระหว่างทาง เร็นกะและอิมป์ยิ่งมีบทสนทนาที่น้อยยิ่งกว่าเดิม ทางอิมป์จะพูดแค่กับยูคิ ส่วนเร็นกะก็พูดแต่กับผม

    ในที่สุดก็มาถึงห้องเล็กๆแล้วทำการต่อสู้ แต่ทั้งอิมป์และเร็นกะต่างก็ทำหน้าที่ตัวเองได้อย่างดี

    ผมโล่งใจที่เป็นแบบนั้น แต่ก็ยังรู้สึกถึงรอยร้าวระหว่างอิมป์และเร็นกะยิ่งลึกมากขึ้นไปอีก

    ขณะที่บรรยากาศที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนี้ดำเนินต่อไป จู่ๆอิมป์ก็พูดขึ้นมา

 

「…..อาเร๊ะ กำแพงนั่น ไม่ดูแปลกๆอยู่หน่อยเหรอ?」

「เอ๋? เป็นงั้นเหรอฮะ?」

 

    ยูคิพูดแล้วมองไปทางกำแพงทางตัน แต่ในสายตาของผมมันก็ดูเป็นกำแพงปกติ

 

「…..ชั้นก็อธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกได้ว่ามันแปลกอยู่หน่อยๆ」

「อืม เอลิซ่า ขอโทษด้วยแต่ช่วยไปดูให้หน่อยได้ไหม?」

「เยส, มาสเตอร์」

 

    เอลิซ่าเริ่มเข้าไปใกล้ๆตรวสอบ แต่ก็ไม่เจออะไร

 

「ต้องขออภัยด้วยค่ะ ไม่พบอะไรเลย」

「งั้นเหรอ…..」

 

    คิดว่าจะเจอช่องโหว่หรืออะไรบางอย่างแต่…..

    อิมป์ที่เริ่มจะสูญเสียความมั่นใจในลางสังหรณ์ของตัวเองก็มีสีหน้างุนงง

    แล้วตอนนั้นเร็นกะก็ก้าวมาข้างหน้า

 

「อย่างงี้นี่เอง…..โธ่เว้ย หมายถึงแบบนั้นสินะ」

「เร็นกะ?」

「เอาเถอะ คอยดูไป」

 

    พอพูดจบ เร็นกะก็เริ่มปล่อยกระสุนใส่กำแพง มันอะไรกัน…..!?

    พริบตาต่อมา พวกเราต่างพากันตาโต ของเหลวสีฟ้าไหลออกมาจากกำแพงที่มีรูโหว่เกิดขึ้นจำนวนมาก

    กำแพงนี่…..เป็นมอนสเตอร์ที่เลียนแบบหรอกรึ!

    เร็นกะพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด

 

「โดนหลอกเข้าเต็มๆกับความคิดที่ว่าไม่มีมอนสเตอร์ตรงทางเดิน มันพรางตัวเองติดกับกำแพงที่ตรงทางเข้าของห้องน่ะสิ」

「โธ่เว้ย เป็นจุดบอดจริงๆ ทำได้ดีมาก อิมป์ เร็นกะ โย้ช ลุยกันเลย」

「อือ!」

 

    พอมอนสเตอร์ที่พรางตัวเป็นกำแพง—-คงจะเป็นผ้าใบระบายสี—-หายไป พวกเราก็รีบเข้าไปในห้องทันที

    ที่รออยู่ด้านในมีเพียงมอนสเตอร์ตัวเล็กๆเพียงตัวเดียว มันมีลักษณะคล้ายกระรอกขนาดเท่ากับสุนัขขนาดเล็กพร้อมด้วยอัญมณีสีแดงที่กลางหน้าผาก

    เป็นมอนสเตอร์ที่เจอครั้งแรก แต่ผมรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของมอนสเตอร์นี่ อาจจะไม่เกินจริงเลยถ้าหากจะบอกว่านักผจญภัยทุกคนล้วนต้องรู้จักมัน เพราะเป็นมอนสเตอร์ที่โด่งดังเอามากๆ

 

「คาบังเคิล(Carbuncle)! โอ้ววววว! อย่าให้หนีไปเด็ดขาด!」

 

    พอเห็นพวกเรา คาบังเคิลก็หันหลังกลับพยายามวิ่งหนีไปในทางเดินทางด้านหลังห้อง ผมร้องตะโกนด้วยความตกใจ

    แล้วในตอนนั้นเอง สลิปของอิมป์ก็แสดงผล

    คาบังเคิลส่งเสียงร้องเล็กๆออกมาแล้วลื่นล้ม เร็นกะรีบเข้าไปใช้เท้าเหยียบมันไว้ และกำลังปิดฉากด้วยกระสุนแสง—-

 

「เร็นกะ! เดี๋ยวก่อน! สต๊อปปปุ! ถ้าเป็นไปได้ให้อิมป์เป็นคนปิดฉากแทนเถอะนะ」

「เอ๋?」

「ช-ชั้นเหรอ?」

 

    กับทั้ง 2 คนที่มองมาด้วยความสงสัย ผมจึงเริ่มอธิบาย

    คาบังเคิลเป็นมอนสเตอร์หายากที่สามารถพบเจอได้ในเขาวงกตตั้งแต่แรงค์ E เป็นต้นไป มันแทบจะไม่มีความสามารถต่อสู้ใดๆเลย และพอเจอใครเข้าก็จะหนีทันที

    ด้วยลักษณะเช่นนี้ถ้าเป็นคนชอบเกมแล้วล่ะก็คงต้องเกิดความสนใจแล้ว แล้วก็เป็นไปตามที่คาด การจัดการคาบังเคิลจะช่วยเพิ่มค่าพลังต่อสู้อย่างมหาศาล ทว่าจะเฉพาะการ์ดที่ลงมือจัดการที่ได้ค่าประสบการณ์นั้น การ์ดอื่นๆจะไม่ได้เติบโตขึ้นด้วย

    ถ้าเป็นตามปกติแล้ว มันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าหาให้เร็นกะซึ่งมีขีดจำกัดการเติบโตสูงที่สุดเป็นคนลงมือ แต่…..

    เร็นกะสบสายตากับผม แล้วเผยยิ้มเล็กๆ

 

「…..เข้าใจแล้ว เอ้านี่ จัดการเลยสิ」

「เอ๋ แต่ว่า…..」

 

    ความใจดีของอีกฝ่ายที่ร้ายด้วยทำให้อิมป์ลังเล

    ในตอนนั้น เร็นกะทำท่าเขินอายเล็กน้อยแล้วพูด

 

「…..เป็นเพราะเธอที่ทำให้เจอที่นี้ เพราะงั้นแล้ว…..ให้เป็นรางวัล…..ก็ไม่เป็นอะไรหรอก」

「………………..อืม」

 

    อิมป์เองก็พยักหน้าให้อย่างอายๆ เข้าโจมตีคาบังเคิล

    พอเห็นเป็นแบบนั้น ผมกับยูคิก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

    ให้ตายสิ พวกเด็กๆทะเลาะกันไว คืนดีกันไวจริงๆ

    บอกตามตรงว่าอิจฉาอยู่นิดหน่อย พออายุมากขึ้นแล้วก็ไม่รู้สึกโกรธง่ายๆ แล้วการจะคืนดีกับใครซักคนก็ยิ่งยาก…..

    จำได้ตอนเป็นเด็ก เคยทะเลาะกับเพื่อเรื่องหยุมหยิม แล้วพอวันถัดมาก็คืนดีกัน ในตอนนั้น…..ใช่แล้ว เดาว่าแลกการ์ดเกมที่หมอนั่นอยากได้ให้ไป แล้วผมเองก็ได้การ์ดที่อยากได้มาเหมือนกัน…..พอขึ้นมัธยมต้นก็แยกทางกันไปไม่เคยเจอกันอีกเลย ตอนนี้เองก็จำชื่อไม่ได้แล้วด้วย

    จนถึงตอนนี้ไม่เคยจำได้มาก่อน ด้วยบางเหตุผล รู้สึกเหงาๆขึ้นมา

 

「……….」

 

    ผมส่ายหัวเพื่อเปลี่ยนอารมณ์

    พอคาบังเคิลตาย หินเวทและอัญมณีสีแดงเม็ดใหญ่ก็ตกอยู่เบื้องหลัง เจ้าอัญมณีนี่เองก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งว่าทำไมนักผจญภัยถึงตามล่าคาบังเคิล

    เจ้าอัญมณีนี่ถูกเรียกว่าคาบังเคิลโกเมน เป็นที่นิยมเป็นพิเศษในหมู่โกเมนซึ่งเชื่อว่ามันจะนำพาโชคลาภมาให้ ถูกแลกเปลี่ยนกันในราคาสูง

    แม้ขนาดหินจะประมาณเล็บมือ มันก็มีราคาถึง 2,000,000 เยน

    จะขายก็ได้ หรือเอาไปให้ใครก็ได้ ผมอมยิ้มแล้วเอาโกเมนใส่ลงในถุงผ้านุ่มๆ

 

    แล้วก็มีอีกอย่างที่ตั้งตารอ

    เมื่อผมหันสายตากลับมา ที่ตรงนั้นก็มีกล่องสมบัติสีทอง

    มันคือกล่องน่าผิดหวังสีทองที่จะปรากฏเฉพาะตอนจัดการคาบังเคิลได้

    ว่ากันว่า กล่องน่าผิดหวังสีทองจะมีโอกาศได้ของดีมากกว่ากล่องน่าผิดหวังทั่วไปอยู่หลายเท่า แน่นอนว่ามันก็มีบ้างที่พลาดของดี ต่อให้เป็นสีทอง กล่องน่าผิดหวังก็คือกล่องน่าผิดหวังอยู่ดี

 

「โย้ช เอลิซ่าช่วยเปิดที」

「ค่ะ」

 

    เอลิซ่าที่เริ่มจะชำนาญหลังจากสำรวจชั้นนี้ เริ่มเข้าจัดการกล่องสีทอง

    ขอร้องล่ะ อย่าพลาดเลยนะคราวนี้~

    ทุกคนต่างมองหน้ากันพร้อมสวดภาวนา เอลิซ่าหันกลับมา และดูเหมือนที่ใบหน้าของเธอจะมีรอยยิ้ม

 

「เปิดได้แล้วค่ะ」

『โอ้!』

 

    ทุกคนรีบวิ่งไปหากล่องสีทอง ขณะที่ดวงตาเป็นประกายก็เปิดฝาออก ที่ตรงนั้น—-

 

「ล-ลูกแก้วสกิล! ถูกรางวัลใหญ่แล้ววว!」

 

    ทุกคนส่งเสียงดีใจอย่างพร้อมเพรียง สีของลูกแก้ว—-น้ำเงิน! เป็นสกิลเวทมนตร์ล่ะ

    จากสีของลูกแก้วสกิลสามารถแยกแยะประเภทออกมาได้

    พูดถึงสีน้ำเงิน ก็เป็นเร็นกะไม่ก็อิมป์…..

    ผมชำเลืองไปทางทั้งคู่

    เอาตามตรง อยากจะให้เร็นกะมากกว่าอิมป์ นั่นเพราะเธอมีพลังเวทมากกว่า ดูมีอนาคตมากกว่า

    แต่ว่า ในบรรยากาศดีๆแบบนี้มันก็พูดยาก

    เพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไง ผมจึงกังวล

 

「…..เป็นอะไรไป ไม่รีบๆใช้ซะล่ะ?」

「เอ๋」

 

    อิมป์หันหน้าหนีขณะพูดกับเร็นกะที่กำลังตาโตด้วยความตกใจ ที่หูมีสีแดงแป้ด

 

「ให้ชั้นใช้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก…..ใช่ไหมล่ะ?」

 

    เร็นกะใช้สายตาถามยืนยันมา ผมจึงพยักหน้าให้ เธอยืนมือมาที่ลูกแก้วด้วยท่าทางอายๆ

 

「…..ขอบใจ」

 

    เร็นกะพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินแล้วใช้ลูกแก้วสกิล การ์ดของซาชิกิวาราชิเปล่งแสงขึ้นครู่หนึ่ง เป็นการบอกให้ผมรู้ว่าเธอได้สกิลใหม่แล้ว

    เร็นกะถามผมด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

「ง-ไง? เป็นสกิลแบบไหนเหรอ?」

「ไหนไหน…..อะ」

 

    พอผมเห็นสกิลที่ปรากฏขึ้นบนการ์ดก็ถึงกับชะงัก

    โอ่ย…..เอาจริงดิ เรื่องแบบนี้มัน…..

 

「เอ๋? หรือว่าจะเป็นสกิลที่สุดยอดมากฮะ?」

「หรือไม่ก็…..เป็นสกิลกากๆงั้นเหรอ?」

「อ-โอ่ย…..มันอะไรโผล่ออกมากันแน่!?」

 

    เร็นกะรีบหันมามองด้วยความเป็นห่วง ผมจึงตอบไปด้วยใบหน้าเกร็งๆ

 

「…..เวทมนตร์สถานะผิดปกติพื้นฐานน่ะ」

『เอ๋』

 

    ทุกอย่างหยุดนิ่ง

    ทุกคนหันความสนใจไปทางอิมป์ครู่หนึ่ง แล้วหันหน้าหนีทันที

    เร็นกะเงยหน้าราวกับมองท้องฟ้า

 

「…..อิมป์ กับเธอแล้วไม่ได้เกลียดอะไรหรอกนะ ต่อให้ต้องไปอยู่ที่อื่นก็พยายามเข้าล่ะ…..」

「หาาาาา!? เดี๋-อย่ามาพูดบ้าๆนะ!」

 

    อิมป์เดือดดาลขึ้นทันทีกับการไล่ออกแบบอ้อมๆของเร็นกะ

 

「ทำไมถึงได้สกิลนี้มาในเวลาแบบนี้กัน!? นี่หล่อนเกลียดชั้นมากขนาดนั้นรึไง!」

「ไม่ใช่ว่าชั้นรู้แล้วใช้มันซักหน่อย!」

「เอาลูกแก้วสกิลคืนมาเลย! อย่ามาแย่งงานของชั้นไปนะ!」

「อย่ามาพูดบ้าๆสิ!」

 

    ผมยิ้มแห้งๆให้กับทั้งคู่ที่ทะเลาะกันไปมาแล้วเอาการ์ดของอิมป์กับเร็นกะออกมา

    ที่ตรงนั้น มีสกิลที่เหมือนกันถูกสลักใหม่ลงไปอยู่

 

【เผ่า】ซาชิกิวาราชิ (เร็นกะ)

【พลังต่อสู้】310 (5UP!)

【ทักษะติดตัว】

    – โชคดีและโชคร้ายคือเชือกที่มัดรวมกันแน่น

    – ซ่อนแอบ

    – เวทมนตร์ฟื้นฟูพื้นฐาน

 

【ทักษะเรียนรู้】

    – ตัวตนที่ร่วงหล่น

    – จิตวิญญาณอิสระ

    – เวทมนตร์โจมตีพื้นฐาน

    – มิตรภาพร่วมมือ (NEW!) : สามารถเชื่อมโยงสกิลให้กับผู้มีมิตรภาพร่วมกันได้

    – เวทมนตร์สถานะผิดปกติพื้นฐาน (NEW!)

 

 

【เผ่า】อิมป์

【พลังต่อสู้】130 (65UP! MAX!)

【ทักษะติดตัว】

    – ภูติปีศาจ

    – จอมเวทฝึกหัดระดับพื้นฐาน

 

【ทักษะเรียนรู้】

    – หัวใจปีศาจตัวน้อย

    – หัวใจทุ่มเท

    – มิตรภาพร่วมมือ (NEW!) : สามารถเชื่อมโยงสกิลให้กับผู้มีมิตรภาพร่วมกันได้

 

「อ่าา แบบนี้ก็ขายไม่ได้แล้วล่ะนะ」

 

    ชื่อ จำเป็นต้องคิดซะแล้ว

    ผมเก็บการ์ดแล้วเข้าไปแทรกระหว่างทั้งคู่

 

 

 

 

【Tips】ลูกแก้วสกิล

    กล่องสมบัติในเขาวงกต อุปกรณ์เวทพิเศษที่เรียกว่าลูกแก้วสกิลที่ปรากฏขึ้นภายใน เพียงแค่มอบลูกแก้วสกิลให้แก่การ์ดทำให้สามารถเรียนรู้สกิลใหม่ได้โดยง่าย หากในกรณีที่เป็นสกิลซ้ำ มันจะถูกซึบซับเป็นค่าประสบการณ์แก่สกิลนั้น เพิ่มโอกาศในการเพิ่มแรงค์ของสกิล จึงไม่มีทางที่จะเสียเปล่า

    ถ้าหากว่าขาย ก็คงมีค่ามาก แต่หากพยายามนำมันออกนอกเขาวงกต มันจะสลายหายไป ดังนั้นจึงขายไม่ได้ อีกทั้งไม่แน่นอนว่าจะได้สกิลที่ดีเสมอ ยังมีมุมมองด้านการเสี่ยงดวงมาด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด