Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป 29

Now you are reading Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป Chapter 29 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงแดดอ่อนๆ ยามเย็นสาดมาพร้อมกับเสียงคลื่นกระทบชายหาด ชายชรากับเด็กหญิงตัวน้อยที่ออกมาเดินเล่นริมหาด ก็พบกับร่างไร้สติของชายหนุ่มผมยาวประบ่า นอนเกยตื้นอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งสองพากันเร่งฝีเท้าเข้าไปที่ร่างคนต่างถิ่นอย่างรวดเร็ว

“คุณปู่คะ เขานอนอยู่ตรงนี้ ไม่หนาวเหรอคะ”

คุณปู่ส่งยิ้มให้หลานสาวโดยที่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะใช้ไม้เท้าเขี่ยไปที่ใบหน้าของร่างไร้สติตรงหน้า ลมหายใจแม้แผ่วเบา ทว่ายังมีพลังมากพอจะทำให้น้ำที่ขังอยู่ใกล้จมูกกระเพื่อมส่งสัญญาณชีพให้ชายชรารับรู้

“เฟธ หลานรีบไปตามพ่อของหนูมาที่นี่ได้มั้ย บอกว่าปู่ให้มาช่วยคนหน่อย”

เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าตอบรับแล้วหันหลังวิ่งตรงกลับบ้านทันที ชายชราใช้ไม้เท้าในมือพยายามงัดร่างของชายหนุ่มให้พลิกกลับนอนหงาย สภาพของเขามีเศษซากของเรือปักคาอยู่ที่หน้าท้อง และต้นขาข้างซ้าย แขนขวาหักบิดจนผิดธรรมชาติ เพียงชั่วอึดใจ เสียงสดใสของเด็กหญิงก็ดังขึ้น

“คุณปู่! พ่อมาแล้วค่าาาา”

“พ่อเรียกผมเหรอ”

ชายชราส่งยิ้มพลางใช้ไม้เท้าชี้ไปที่ร่างของคนต่างถิ่น “เจ้าหนุ่มนี่ยังไม่ตาย แต่เจ็บหนักน่าดู”

ชายวัยกลางคนพุ่งเข้าไปยังร่างที่นอนอยู่ก่อนจะออกแรงแบกขึ้นบ่า “เฟธ วิ่งไปตามเซอร์ดานกลับบ้านหน่อย มีคนป่วยให้รักษา”

เด็กหญิงที่ยืนหอบอยู่ทำหน้างุนงง “แต่พี่เขาไม่ยอมออกจากกระท่อมมาหลายวันแล้วนะคะ”

“ไปบอกเขาว่าคนป่วยมีแผลใหญ่มาก ถ้ามาช้าจะไม่ทันเวลา”

เด็กหญิงหันมาส่งยิ้มให้พ่อกับปู่ “งั้นวันนี้หนูจะได้กินขนมของพี่เขาใช่มั้ย”

คุณปู่ลูบศีรษะของเด็กหญิงเบาๆ “ปู่จะทำขนมให้กินแทนพี่เขาก็แล้วกันนะ ทำเยอะๆ เลยล่ะ แต่ตอนนี้รีบไปตามพี่เขาก่อนเถอะ”

“ค่าาาา” เด็กหญิงตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนจะออกวิ่งอีกครั้ง

“คีธ รีบพาเขาไปที่บ้านก่อนเถอะ”

“ครับ”

คีธพาชายหนุ่มเข้าไปนอนบนเตียงไม้ในห้องว่างของบ้านริมหาด เสียงฝีเท้าที่เร่งร้อนของใครบางคนใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงซุบซิบของผู้คนที่รู้ข่าวคนแปลกหน้ามาเยือนด้วยร่างไร้สติซึ่งมุงดูอยู่หน้าบ้าน

“มีคนป่วยเหรอ”

เซอร์ดานปรากฏตัวพร้อมกับอาการหอบกระหายทำลายความเงียบของสองเจ้าบ้านที่นั่งนิ่งด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อสายตาของหมอฝีมือดีที่ยืนหอบอยู่หน้าประตูสบกับร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เขาก็ค่อยๆก้าวเข้ามาในห้องช้าๆ พร้อมกำชับให้ผู้อาวุโสควบคุมสถานการณ์หน้าบ้านทันที

“ปู่ ช่วยบอกให้ชาวบ้านแยกย้ายไปกันก่อนได้มั้ย แผลสาหัสแบบนี้ผมไม่มีสมาธิ”

ชายชรายิ้มรับก่อนจะลุกออกไปคุยกับบรรดาเพื่อนบ้านที่วุ่นวายกันอยู่ข้างนอก

“เอาล่ะๆ ทุกคนช่วยกลับบ้านไปก่อนได้มั้ย เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมากันใหม่”

“แต่ท่านผู้เฒ่าซอล ชายคนนั้นเขามาที่นี่ได้ยังไง ไม่มีเรือลำไหนกล้าผ่านน่านน้ำของเกาะเรามานานมากแล้วนะ หรือว่าพวกนั้นจะสลายตัวไปแล้ว”

ผู้เฒ่าซอลส่ายหน้า “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ถ้าไม่รีบช่วยเอาไว้ เขาคงไม่รอด”

ชาวบ้านที่รอฟังคำตอบก็พากันแยกย้ายไปด้วยความผิดหวัง แม้อยากฟังคำตอบอื่นแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่อยากขัดขวางการรักษาครั้งนี้ ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน หมอเซอร์ดานก็ต้องตกตะลึงเมื่อเขาดึงเศษไม้ที่ปักคาหน้าท้องของคนเจ็บออก แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดเลือดทิ้ง แผลฉกรรจ์บนร่างของชายหนุ่มกลับค่อยๆ สมานกันจนหายสนิทในเวลาอันรวดเร็ว แม้ไม่เชื่อสายตา แต่ว่าหมออย่างเขาก็อยากพิสูจน์สิ่งที่เพิ่งได้พบเห็น จึงเอื้อมมือไปดึงแท่งไม้ขนาดเหมาะมือที่ปักอยู่ตรงต้นขาของคนเจ็บออกแล้วเช็ดชำระคราบเลือดที่ปากแผล อีกครั้งที่แผลลึกตรงหน้าค่อยๆ ฟื้นตัวและหายเป็นปรกติ ราวกับว่าไม่เคยไปรับบาดเจ็บมาก่อน

ขณะที่เซอร์ดานกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น ร่างไร้สติตรงหน้าก็ไอโครกออกมาอย่างหนักหน่วง พร้อมกับอาการสะดุ้งดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ตาเบิกโพลง ก่อนที่ชายหนุ่มจะตั้งสติได้ “ที่นี่…ที่ไหน”

ชายหนุ่มหันมองคุณหมอที่ยืนเหวอพิงผนังห้องอยู่ห่างๆ ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ห้อง และพยายามขยับตัว แขนขวาที่ห้อยบิดผิดรูปอยู่ทำให้ขยับตัวไม่ถนัดนัก เขาจึงใช้มือซ้ายบิดแขนขวาพร้อมกับกัดฟันดัดให้กลับเข้าที่ ด้วยพรอมตะที่ถูกยัดเยียดให้มา อาการบาดเจ็บที่แขนก็หายเป็นปกติในพริบตา เขาขยับแขนขวาตรวจสอบอาการบาดเจ็บอีกครั้ง ก่อนจะลุกออกจากเตียง

เสียงเอะอะของเซอร์ดานเรียกให้เจ้าบ้านที่รออยู่นอกห้องกรูกันข้ามาในห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว ทั้งซอลและคีธต่างตกตะลึงกับอาการบาดเจ็บที่หายสนิทของชายหนุ่มจนทำได้เพียงยืนนิ่ง จ้องมองอยู่อย่างเงียบๆ ก่อนที่เด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบจะทำลายความเงียบในห้องพยาบาลแห่งนี้

“นี่ๆพี่ชาย หายแล้วเหรอ”

ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเด็กน้อย ก่อนจะลูบศีรษะของเธอเบาๆ “หายแล้ว ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะ”

“อื้ม แต่หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ต้องขอบคุณพี่ชายของหนูสิ พี่เขาเป็นหมอที่เก่งมากๆ เลยใช่มั้ยล่ะ”

ไลฟ์ หันไปมองที่คุณหมอ “ขอบคุณนะ ที่ช่วย”

เมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้าคนนี้เป็นมิตร ซอลเลยเอ่ยปากถามความเป็นมาทันที “แล้วเธอน่ะ มาจากไหนล่ะ”

“ก็นะ ขอน้ำกินสักหน่อยได้มั้ย”

“นี่ค่ะ” เฟธส่งน้ำให้แก้วใหญ่ ไลฟ์รับมาดื่มดับกระหายอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณนะหนูน้อย คืองี้…ฉันชื่อไลฟ์ ออกมาพร้อมกับเรือของอาณาจักรลีซเนปเมื่อประมาณสี่เดือนก่อน พอดีเจอพายุเลยเปลี่ยนเส้นทาง แต่อยู่ๆ ก็เจอกับกองเรือเวทมนตร์ มันโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ พวกฉันจมเรือของพวกมันได้หนึ่งลำ แต่อีกสองลำที่มันมาด้วยกันน่ะ เกินกำลังของฉัน”

ไลฟ์หยุดนิ่งชั่วครู่ หันมองเด็กน้อยด้วยสีหน้าลังเลที่จะเล่าต่อ คีธสังเกตท่าทางลังเลของเขาออก จึงสั่งให้ลูกชายพาเด็กน้อยออกจากห้องไป

“เซอร์ดาน พาน้องออกไปจากห้องก่อน แล้วก็นายน่ะ รอดมาได้ยังไง”

“ก็พอจมเรือพวกมันได้ลำหนึ่งแล้วก็พยายามจะไปยึดเรือของพวกมัน แต่ว่าไม่รู้ว่าโดนอะไรเข้าไป รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว”

คีธกับซอลหันมองหน้ากัน ก่อนที่ซอลจะบอกว่ากองเรือนั้นคือใคร “พวกบาอัล มันโจรสลัดจากคาลามัค คุมน่านน้ำแถบนี้อยู่”

ไลฟ์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนตัดสินใจสอบถามบางอย่าง “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้พูดว่าคาลามัคใช่มั้ย”

“ทำไมเหรอ”

“ฉันจะไปที่นั่น”

ซอลถอนหายใจเบาๆ พลางส่ายหน้า “ก็ถ้าไม่มีพวกบาอัลคุมอยู่ก็ต้องออกเรือไปอีกประมาณสามถึงสี่เดือนนั่นแหละ ถ้าจะไปที่นั่น”

ไลฟ์เกาศีรษะเบาๆ “ปัญหาคือพวกโจรสลัดนั่นใช่มั้ย คือ ถ้าใช่แล้ว…จะไปเจอพวกมันได้ที่ไหน”

“อะไรนะ” คีธขัดด้วยความสงสัย

“จะไปเจอพวกมันได้ยังไง ฉันจะไปจัดการมันให้”

“นายจะทำได้ยังไง”

“ขอมีดสั้นทนๆ ให้ฉันสักคู่หนึ่ง หรือไม่ก็ถุงมือเหล็ก”

“จะฆ่าตัวตายรึยังไง”

ไลฟ์จ้องมองผู้เฒ่าซอลด้วยแววตาจริงจัง “ครั้งก่อนตัวเกะกะมันเยอะ ฉันอาละวาดได้ไม่เต็มที่น่ะ ครั้งนี้ฉันทำได้แน่”

“มันจะแวะมาที่นี่ทุกๆ สามเดือน”

“พ่อ!! ”

“ไม่เป็นไร พ่อรู้สึกว่า…เขาทำได้…ฟังนะพ่อหนุ่ม อีกประมาณเดือนกว่าๆ พวกมันจะมาที่นี่ ถึงเวลานั้นฉันจะสั่งให้ลูกบ้านเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แล้วเธอจะอาละวาดยังไงก็ตามสบายเลย”

“เอาสิ ขอแค่ไม่มีใครมาเกะกะก็พอ”

เมื่อตกลงกันได้แล้วผู้เฒ่าซอลก็สั่งให้คีธจัดแจงที่พักให้ไลฟ์ได้พักผ่อนก่อจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ สำหรับการเตรียมตัวบุกยึดเรือของโจรสลัด ไลฟ์ฆ่าเวลาด้วยการออกเรือช่วยงานประมงของคีธ รวมถึงผูกมิตรกับชาวเกาะ เล่นสนุกกับหนูน้อยเฟธ และคัดลอกตำราแพทย์ของเซอร์ดาน

ข่าวเรือเดินสมุทรจากลีซเนปถูกกลุ่มโจรสลัดบาอัลจู่โจมและหายสาบสูญกระจายไปถึงคาลามัค ความกังวลทำให้เมอร์เซเดสไม่มีสมาธิในการคัดลอกตำราเวทย์ แม้จะมีความคืบหน้าแต่ผลที่ออกมาก็ทำให้ล่าช้าไปอย่างมาก ซึ่งริเอลเองดูเหมือนจะสังเกตถึงความทุกข์ใจของหลานสาวได้อย่างชัดเจน แม้จะมีวิธีคลายกังวลได้อยู่บ้าง ทว่า ณ เวลานี้นางทำได้เพียงสั่งให้หลานสาวไปพักผ่อนเท่านั้น

เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้วเมอร์เซเดสหมกตัวอยู่ในห้องนอน จ้องมองเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวใหญ่ที่ซื้อให้กับคนรัก แม้เขาจะเคยสวมมันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่เสื้อคลุมตัวนี้ก็เป็นสิ่งเดียวที่นางมองให้กับเขา และสำคัญมากพอที่จะหยิบติดมือมาแขวนเอาไว้ในห้องนอนเพื่อจ้องมองเวลาที่คิดถึง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะเปิดออกอย่างช้าๆ ริเอลเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ น้าสาววางถาดลงบนโต๊ะและทรุดตัวลงนั่งข้างๆ หลานสาวลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู

“หลานรัก…ทานอะไรสักหน่อยเถอะ”

“หนูไม่หิวค่ะน้า”

“ไม่หิวก็ทานสักคำเถอะน่า สตูเนื้อเนี่ยน้าทำเองเลยนะ”

เมอร์เซเดสโผกอดน้าสาวนิ่งเงียบไม่พูดจา ริเอลที่รับรู้ถึงความทุกข์ใจแต่ทำได้เพียงปลอบโยนหลานสาวด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่นเท่านั้น แต่เมื่อริเอลเงยหน้าไปเจอกับเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่แขวนอยู่ก็คิดจะลองทำอะไรบางอย่าง

“เสื้อตัวนั้น”

หลานสาวมองที่เสื้อคลุมก่อนจะกอดน้าสาวเอาไว้แน่นกว่าเดิม

“เสื้อนั่น…เป็นของเขาค่ะ”

“งั้นเหรอ…อืม…ใช่ๆ …น้ามีอะไรบางอย่างอยากจะลองสักหน่อย ถ้านั่นเป็นเสื้อของเขาล่ะก็นะ”

ริเอลผละออกจากหลานสาวเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาวางลงที่กลางห้อง จอมเวทที่เก่งที่สุดแห่งคาลามัคร่ายคาถาใส่เสื้อคลุมตรงหน้า “Tracing”

เสื้อคลุมตัวใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น ส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ ก่อนจะฉายเป็นภาพของชายหนุ่มเจ้าของเสื้อคลุมอยู่ในโรงเหล็กบนเกาะแห่งหนึ่ง ดูเหมือนเขากำลังเรียนรู้และพยายามตีดาบสั้นขึ้นมาเพื่อใช้งาน แววตามุ่งมั่นแสดงถึงสมาธิที่จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม เมอร์เซเดสที่เห็นภาพจำลองตรงหน้าก็ลุกยืนขึ้นจ้องมองอย่างงุนงง ก่อนที่ภาพของชายหนุ่มคนรักจะหายไปพร้อมๆ กับเสื้อคลุมที่ร่วงลงบนพื้น เด็กสาวคว้าเสื้อคลุมเข้ามากอดแล้วมองน้าสาวเพื่อขอคำอธิบาย ริเอลส่งยิ้มให้กับหลานสาวพลางโอบกอดอย่างอ่อนโยน

“เวทมนตร์เมื่อกี้น่ะ เป็นเวทมนตร์แกะรอย เอาไว้ใช้เพื่อจะดูตอนนี้เจ้าของวัตถุชิ้นนั้นเป็นยังไง กำลังทำอะไรอยู่”

“งั้นก็แสดงว่า”

“ใช่แล้วจ่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนกำลังสร้างอาวุธขึ้นมาใช้งานล่ะ”

รอยยิ้มประดับบนใบหน้าเศร้าหมองของเด็กสาวอีกครั้ง น้าสาวเห็นหลานรักกลับมายิ้มได้อีกครั้งก็หยิบถาดอาหารส่งให้

“ว่าแต่พ่อหนุ่มคนนั้นก็หน้าตาดีใช้ได้เลยนี่”

เมอร์เซเดสหน้าแดงซุกหน้ากับอกนุ่มของหน้าสาวด้วยความเขินอาย

“เอ้า ทานซะ พักผ่อนสักสองสามวันก็แล้วกันนะ”

เด็กสาวรับถาดอาหารมาทานอย่างว่าง่าย

“ถ้าสบายใจแล้ว น้ากลับก่อนนะ”

เมอร์เซเดสกอดน้าสาวเอาไว้อีกครั้ง “ขอบคุณค่ะ”

“จ้าๆ น้ารักเธอนะ แล้วก็ทานให้หมดซะ พักผ่อนเยอะๆ น้าไปล่ะ”

“ค่ะ”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป 29

Now you are reading Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป Chapter 29 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงแดดอ่อนๆ ยามเย็นสาดมาพร้อมกับเสียงคลื่นกระทบชายหาด ชายชรากับเด็กหญิงตัวน้อยที่ออกมาเดินเล่นริมหาด ก็พบกับร่างไร้สติของชายหนุ่มผมยาวประบ่า นอนเกยตื้นอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งสองพากันเร่งฝีเท้าเข้าไปที่ร่างคนต่างถิ่นอย่างรวดเร็ว

“คุณปู่คะ เขานอนอยู่ตรงนี้ ไม่หนาวเหรอคะ”

คุณปู่ส่งยิ้มให้หลานสาวโดยที่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะใช้ไม้เท้าเขี่ยไปที่ใบหน้าของร่างไร้สติตรงหน้า ลมหายใจแม้แผ่วเบา ทว่ายังมีพลังมากพอจะทำให้น้ำที่ขังอยู่ใกล้จมูกกระเพื่อมส่งสัญญาณชีพให้ชายชรารับรู้

“เฟธ หลานรีบไปตามพ่อของหนูมาที่นี่ได้มั้ย บอกว่าปู่ให้มาช่วยคนหน่อย”

เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าตอบรับแล้วหันหลังวิ่งตรงกลับบ้านทันที ชายชราใช้ไม้เท้าในมือพยายามงัดร่างของชายหนุ่มให้พลิกกลับนอนหงาย สภาพของเขามีเศษซากของเรือปักคาอยู่ที่หน้าท้อง และต้นขาข้างซ้าย แขนขวาหักบิดจนผิดธรรมชาติ เพียงชั่วอึดใจ เสียงสดใสของเด็กหญิงก็ดังขึ้น

“คุณปู่! พ่อมาแล้วค่าาาา”

“พ่อเรียกผมเหรอ”

ชายชราส่งยิ้มพลางใช้ไม้เท้าชี้ไปที่ร่างของคนต่างถิ่น “เจ้าหนุ่มนี่ยังไม่ตาย แต่เจ็บหนักน่าดู”

ชายวัยกลางคนพุ่งเข้าไปยังร่างที่นอนอยู่ก่อนจะออกแรงแบกขึ้นบ่า “เฟธ วิ่งไปตามเซอร์ดานกลับบ้านหน่อย มีคนป่วยให้รักษา”

เด็กหญิงที่ยืนหอบอยู่ทำหน้างุนงง “แต่พี่เขาไม่ยอมออกจากกระท่อมมาหลายวันแล้วนะคะ”

“ไปบอกเขาว่าคนป่วยมีแผลใหญ่มาก ถ้ามาช้าจะไม่ทันเวลา”

เด็กหญิงหันมาส่งยิ้มให้พ่อกับปู่ “งั้นวันนี้หนูจะได้กินขนมของพี่เขาใช่มั้ย”

คุณปู่ลูบศีรษะของเด็กหญิงเบาๆ “ปู่จะทำขนมให้กินแทนพี่เขาก็แล้วกันนะ ทำเยอะๆ เลยล่ะ แต่ตอนนี้รีบไปตามพี่เขาก่อนเถอะ”

“ค่าาาา” เด็กหญิงตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนจะออกวิ่งอีกครั้ง

“คีธ รีบพาเขาไปที่บ้านก่อนเถอะ”

“ครับ”

คีธพาชายหนุ่มเข้าไปนอนบนเตียงไม้ในห้องว่างของบ้านริมหาด เสียงฝีเท้าที่เร่งร้อนของใครบางคนใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงซุบซิบของผู้คนที่รู้ข่าวคนแปลกหน้ามาเยือนด้วยร่างไร้สติซึ่งมุงดูอยู่หน้าบ้าน

“มีคนป่วยเหรอ”

เซอร์ดานปรากฏตัวพร้อมกับอาการหอบกระหายทำลายความเงียบของสองเจ้าบ้านที่นั่งนิ่งด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อสายตาของหมอฝีมือดีที่ยืนหอบอยู่หน้าประตูสบกับร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เขาก็ค่อยๆก้าวเข้ามาในห้องช้าๆ พร้อมกำชับให้ผู้อาวุโสควบคุมสถานการณ์หน้าบ้านทันที

“ปู่ ช่วยบอกให้ชาวบ้านแยกย้ายไปกันก่อนได้มั้ย แผลสาหัสแบบนี้ผมไม่มีสมาธิ”

ชายชรายิ้มรับก่อนจะลุกออกไปคุยกับบรรดาเพื่อนบ้านที่วุ่นวายกันอยู่ข้างนอก

“เอาล่ะๆ ทุกคนช่วยกลับบ้านไปก่อนได้มั้ย เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมากันใหม่”

“แต่ท่านผู้เฒ่าซอล ชายคนนั้นเขามาที่นี่ได้ยังไง ไม่มีเรือลำไหนกล้าผ่านน่านน้ำของเกาะเรามานานมากแล้วนะ หรือว่าพวกนั้นจะสลายตัวไปแล้ว”

ผู้เฒ่าซอลส่ายหน้า “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ถ้าไม่รีบช่วยเอาไว้ เขาคงไม่รอด”

ชาวบ้านที่รอฟังคำตอบก็พากันแยกย้ายไปด้วยความผิดหวัง แม้อยากฟังคำตอบอื่นแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่อยากขัดขวางการรักษาครั้งนี้ ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน หมอเซอร์ดานก็ต้องตกตะลึงเมื่อเขาดึงเศษไม้ที่ปักคาหน้าท้องของคนเจ็บออก แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดเลือดทิ้ง แผลฉกรรจ์บนร่างของชายหนุ่มกลับค่อยๆ สมานกันจนหายสนิทในเวลาอันรวดเร็ว แม้ไม่เชื่อสายตา แต่ว่าหมออย่างเขาก็อยากพิสูจน์สิ่งที่เพิ่งได้พบเห็น จึงเอื้อมมือไปดึงแท่งไม้ขนาดเหมาะมือที่ปักอยู่ตรงต้นขาของคนเจ็บออกแล้วเช็ดชำระคราบเลือดที่ปากแผล อีกครั้งที่แผลลึกตรงหน้าค่อยๆ ฟื้นตัวและหายเป็นปรกติ ราวกับว่าไม่เคยไปรับบาดเจ็บมาก่อน

ขณะที่เซอร์ดานกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น ร่างไร้สติตรงหน้าก็ไอโครกออกมาอย่างหนักหน่วง พร้อมกับอาการสะดุ้งดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ตาเบิกโพลง ก่อนที่ชายหนุ่มจะตั้งสติได้ “ที่นี่…ที่ไหน”

ชายหนุ่มหันมองคุณหมอที่ยืนเหวอพิงผนังห้องอยู่ห่างๆ ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ห้อง และพยายามขยับตัว แขนขวาที่ห้อยบิดผิดรูปอยู่ทำให้ขยับตัวไม่ถนัดนัก เขาจึงใช้มือซ้ายบิดแขนขวาพร้อมกับกัดฟันดัดให้กลับเข้าที่ ด้วยพรอมตะที่ถูกยัดเยียดให้มา อาการบาดเจ็บที่แขนก็หายเป็นปกติในพริบตา เขาขยับแขนขวาตรวจสอบอาการบาดเจ็บอีกครั้ง ก่อนจะลุกออกจากเตียง

เสียงเอะอะของเซอร์ดานเรียกให้เจ้าบ้านที่รออยู่นอกห้องกรูกันข้ามาในห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว ทั้งซอลและคีธต่างตกตะลึงกับอาการบาดเจ็บที่หายสนิทของชายหนุ่มจนทำได้เพียงยืนนิ่ง จ้องมองอยู่อย่างเงียบๆ ก่อนที่เด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบจะทำลายความเงียบในห้องพยาบาลแห่งนี้

“นี่ๆพี่ชาย หายแล้วเหรอ”

ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเด็กน้อย ก่อนจะลูบศีรษะของเธอเบาๆ “หายแล้ว ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะ”

“อื้ม แต่หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ต้องขอบคุณพี่ชายของหนูสิ พี่เขาเป็นหมอที่เก่งมากๆ เลยใช่มั้ยล่ะ”

ไลฟ์ หันไปมองที่คุณหมอ “ขอบคุณนะ ที่ช่วย”

เมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้าคนนี้เป็นมิตร ซอลเลยเอ่ยปากถามความเป็นมาทันที “แล้วเธอน่ะ มาจากไหนล่ะ”

“ก็นะ ขอน้ำกินสักหน่อยได้มั้ย”

“นี่ค่ะ” เฟธส่งน้ำให้แก้วใหญ่ ไลฟ์รับมาดื่มดับกระหายอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณนะหนูน้อย คืองี้…ฉันชื่อไลฟ์ ออกมาพร้อมกับเรือของอาณาจักรลีซเนปเมื่อประมาณสี่เดือนก่อน พอดีเจอพายุเลยเปลี่ยนเส้นทาง แต่อยู่ๆ ก็เจอกับกองเรือเวทมนตร์ มันโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ พวกฉันจมเรือของพวกมันได้หนึ่งลำ แต่อีกสองลำที่มันมาด้วยกันน่ะ เกินกำลังของฉัน”

ไลฟ์หยุดนิ่งชั่วครู่ หันมองเด็กน้อยด้วยสีหน้าลังเลที่จะเล่าต่อ คีธสังเกตท่าทางลังเลของเขาออก จึงสั่งให้ลูกชายพาเด็กน้อยออกจากห้องไป

“เซอร์ดาน พาน้องออกไปจากห้องก่อน แล้วก็นายน่ะ รอดมาได้ยังไง”

“ก็พอจมเรือพวกมันได้ลำหนึ่งแล้วก็พยายามจะไปยึดเรือของพวกมัน แต่ว่าไม่รู้ว่าโดนอะไรเข้าไป รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว”

คีธกับซอลหันมองหน้ากัน ก่อนที่ซอลจะบอกว่ากองเรือนั้นคือใคร “พวกบาอัล มันโจรสลัดจากคาลามัค คุมน่านน้ำแถบนี้อยู่”

ไลฟ์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนตัดสินใจสอบถามบางอย่าง “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้พูดว่าคาลามัคใช่มั้ย”

“ทำไมเหรอ”

“ฉันจะไปที่นั่น”

ซอลถอนหายใจเบาๆ พลางส่ายหน้า “ก็ถ้าไม่มีพวกบาอัลคุมอยู่ก็ต้องออกเรือไปอีกประมาณสามถึงสี่เดือนนั่นแหละ ถ้าจะไปที่นั่น”

ไลฟ์เกาศีรษะเบาๆ “ปัญหาคือพวกโจรสลัดนั่นใช่มั้ย คือ ถ้าใช่แล้ว…จะไปเจอพวกมันได้ที่ไหน”

“อะไรนะ” คีธขัดด้วยความสงสัย

“จะไปเจอพวกมันได้ยังไง ฉันจะไปจัดการมันให้”

“นายจะทำได้ยังไง”

“ขอมีดสั้นทนๆ ให้ฉันสักคู่หนึ่ง หรือไม่ก็ถุงมือเหล็ก”

“จะฆ่าตัวตายรึยังไง”

ไลฟ์จ้องมองผู้เฒ่าซอลด้วยแววตาจริงจัง “ครั้งก่อนตัวเกะกะมันเยอะ ฉันอาละวาดได้ไม่เต็มที่น่ะ ครั้งนี้ฉันทำได้แน่”

“มันจะแวะมาที่นี่ทุกๆ สามเดือน”

“พ่อ!! ”

“ไม่เป็นไร พ่อรู้สึกว่า…เขาทำได้…ฟังนะพ่อหนุ่ม อีกประมาณเดือนกว่าๆ พวกมันจะมาที่นี่ ถึงเวลานั้นฉันจะสั่งให้ลูกบ้านเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แล้วเธอจะอาละวาดยังไงก็ตามสบายเลย”

“เอาสิ ขอแค่ไม่มีใครมาเกะกะก็พอ”

เมื่อตกลงกันได้แล้วผู้เฒ่าซอลก็สั่งให้คีธจัดแจงที่พักให้ไลฟ์ได้พักผ่อนก่อจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ สำหรับการเตรียมตัวบุกยึดเรือของโจรสลัด ไลฟ์ฆ่าเวลาด้วยการออกเรือช่วยงานประมงของคีธ รวมถึงผูกมิตรกับชาวเกาะ เล่นสนุกกับหนูน้อยเฟธ และคัดลอกตำราแพทย์ของเซอร์ดาน

ข่าวเรือเดินสมุทรจากลีซเนปถูกกลุ่มโจรสลัดบาอัลจู่โจมและหายสาบสูญกระจายไปถึงคาลามัค ความกังวลทำให้เมอร์เซเดสไม่มีสมาธิในการคัดลอกตำราเวทย์ แม้จะมีความคืบหน้าแต่ผลที่ออกมาก็ทำให้ล่าช้าไปอย่างมาก ซึ่งริเอลเองดูเหมือนจะสังเกตถึงความทุกข์ใจของหลานสาวได้อย่างชัดเจน แม้จะมีวิธีคลายกังวลได้อยู่บ้าง ทว่า ณ เวลานี้นางทำได้เพียงสั่งให้หลานสาวไปพักผ่อนเท่านั้น

เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้วเมอร์เซเดสหมกตัวอยู่ในห้องนอน จ้องมองเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวใหญ่ที่ซื้อให้กับคนรัก แม้เขาจะเคยสวมมันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่เสื้อคลุมตัวนี้ก็เป็นสิ่งเดียวที่นางมองให้กับเขา และสำคัญมากพอที่จะหยิบติดมือมาแขวนเอาไว้ในห้องนอนเพื่อจ้องมองเวลาที่คิดถึง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะเปิดออกอย่างช้าๆ ริเอลเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ น้าสาววางถาดลงบนโต๊ะและทรุดตัวลงนั่งข้างๆ หลานสาวลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู

“หลานรัก…ทานอะไรสักหน่อยเถอะ”

“หนูไม่หิวค่ะน้า”

“ไม่หิวก็ทานสักคำเถอะน่า สตูเนื้อเนี่ยน้าทำเองเลยนะ”

เมอร์เซเดสโผกอดน้าสาวนิ่งเงียบไม่พูดจา ริเอลที่รับรู้ถึงความทุกข์ใจแต่ทำได้เพียงปลอบโยนหลานสาวด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่นเท่านั้น แต่เมื่อริเอลเงยหน้าไปเจอกับเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่แขวนอยู่ก็คิดจะลองทำอะไรบางอย่าง

“เสื้อตัวนั้น”

หลานสาวมองที่เสื้อคลุมก่อนจะกอดน้าสาวเอาไว้แน่นกว่าเดิม

“เสื้อนั่น…เป็นของเขาค่ะ”

“งั้นเหรอ…อืม…ใช่ๆ …น้ามีอะไรบางอย่างอยากจะลองสักหน่อย ถ้านั่นเป็นเสื้อของเขาล่ะก็นะ”

ริเอลผละออกจากหลานสาวเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาวางลงที่กลางห้อง จอมเวทที่เก่งที่สุดแห่งคาลามัคร่ายคาถาใส่เสื้อคลุมตรงหน้า “Tracing”

เสื้อคลุมตัวใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น ส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ ก่อนจะฉายเป็นภาพของชายหนุ่มเจ้าของเสื้อคลุมอยู่ในโรงเหล็กบนเกาะแห่งหนึ่ง ดูเหมือนเขากำลังเรียนรู้และพยายามตีดาบสั้นขึ้นมาเพื่อใช้งาน แววตามุ่งมั่นแสดงถึงสมาธิที่จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม เมอร์เซเดสที่เห็นภาพจำลองตรงหน้าก็ลุกยืนขึ้นจ้องมองอย่างงุนงง ก่อนที่ภาพของชายหนุ่มคนรักจะหายไปพร้อมๆ กับเสื้อคลุมที่ร่วงลงบนพื้น เด็กสาวคว้าเสื้อคลุมเข้ามากอดแล้วมองน้าสาวเพื่อขอคำอธิบาย ริเอลส่งยิ้มให้กับหลานสาวพลางโอบกอดอย่างอ่อนโยน

“เวทมนตร์เมื่อกี้น่ะ เป็นเวทมนตร์แกะรอย เอาไว้ใช้เพื่อจะดูตอนนี้เจ้าของวัตถุชิ้นนั้นเป็นยังไง กำลังทำอะไรอยู่”

“งั้นก็แสดงว่า”

“ใช่แล้วจ่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนกำลังสร้างอาวุธขึ้นมาใช้งานล่ะ”

รอยยิ้มประดับบนใบหน้าเศร้าหมองของเด็กสาวอีกครั้ง น้าสาวเห็นหลานรักกลับมายิ้มได้อีกครั้งก็หยิบถาดอาหารส่งให้

“ว่าแต่พ่อหนุ่มคนนั้นก็หน้าตาดีใช้ได้เลยนี่”

เมอร์เซเดสหน้าแดงซุกหน้ากับอกนุ่มของหน้าสาวด้วยความเขินอาย

“เอ้า ทานซะ พักผ่อนสักสองสามวันก็แล้วกันนะ”

เด็กสาวรับถาดอาหารมาทานอย่างว่าง่าย

“ถ้าสบายใจแล้ว น้ากลับก่อนนะ”

เมอร์เซเดสกอดน้าสาวเอาไว้อีกครั้ง “ขอบคุณค่ะ”

“จ้าๆ น้ารักเธอนะ แล้วก็ทานให้หมดซะ พักผ่อนเยอะๆ น้าไปล่ะ”

“ค่ะ”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+