ทะลุมิติทั้งครอบครัว 232

Now you are reading ทะลุมิติทั้งครอบครัว Chapter 232 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งฝูหลิงใส่เสื้อผ้าและมัดเสื้อให้ตัวเองอย่างแน่นหนา

เสื้อขนเป็ดอยู่ข้างนอกใส่กระชับ เหมือนกับท่านย่าหม่าที่มีผ้าพันหัวสีชมพูลายดอกไม้

ถ้าใช้คำพูดของเฉียนเพ่ยอิงเปรียบเทียบคือ ผ้าปูเตียงลายตาข่ายของบ้านเราใกล้จะเหมือนกับเสื้อทำงานของพวกเจ้าแล้ว ตั้งใจจะทำเสื้อคลุมให้เจ้า ตอนนี้แบ่งผ้าเป็นชิ้นแล้วชิ้นเล่า จึงใช้งานไม่ได้แล้ว

ถุงมือผ้าฝ้ายทั้งสองข้างถูกร้อยด้วยโซ่ เพราะอย่างนี้ แค่ใช้เชือกมัดและห้อยที่คอไว้ก็พอ เพื่อจะไม่ทำให้ถุงมือหายไปทีละข้าง หรือจำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน

“นางใส่ผ้าปิดปาก เอวเหน็บด้วยมีดปอกผลไม้ นางจุดไฟแล้วเดินไปข้างนอก”

“นางจุดไฟไปไหนหรือ” เฉียนเพ่ยอิงรีบร้อนวางของที่กำลังเย็บผ้าปิดตาจากหญ้าอูลาให้ซ่งฝูเซิง พรุ่งนี้เขาจะออกไปขายของ เอาไว้ใส่ทับกับหน้ากากผ้าฝ้ายจะได้ป้องกันลม ป้องกันหิมะ ถึงจะดูไม่สวยงาม ขอให้อบอุ่นก็เพียงพอแล้ว

“ข้ามารับท่านย่า”

“ข้างนอกอากาศหนาวและยังมืดแล้ว อย่าไปตามหาท่านย่าคนเดียว เจ้ารอข้าสักครู่”

เมื่อเฉียนเพ่ยอิงใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกสาวก็ออกเดินทางฝ่าหิมะไปไม่เห็นแม้แต่เงา

ซ่งฝูหลิงถือไฟส่องทางถึงสะพาน เดินไปที่ฝั่งตรงข้ามของสะพานซึ่งตอนนี้ไม่มีคนอยู่เลย

นางยกไฟขึ้นส่องทาง กลัวว่าลมกับหิมะจะทำให้ไฟดับ

นางเดินไปตามถนนที่เลียบไปตามแม่น้ำ เดินไปจนถึงหมู่บ้าน เขย่งเท้ายืดตัวเพื่อมองไปข้างหน้า ไม่มีทีท่าว่าจะมีคน ป่ามืดจนมองไม่เห็นไฟที่ส่องมา มองเห็นเฉพาะตัวเองเท่านั้น

นางตั้งใจฟังเสียงล้อรถ น่าเสียดายที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย มีแค่เสียงหิมะตกกับลมที่พัดดัง ครืด…ครืด…ข้างใบหู

เพราะความแรงของลม ถ้ามีรถผ่านมาก็ต้องเข้ามาใกล้จนมองเห็นแล้ว ถึงจะได้ยินเสียงรถ

ยังจะเดินไปข้างหน้าต่อหรือไม่

นางกลัว ไม่กล้าเดินต่อไป

ถนนโบราณไม่มีไฟ มืดจนมองไม่เห็นคน

ซ่งฝูหลิงมองไปที่ไกลๆ ใช้ไฟส่องไปมา จากนั้นจึงตะโกนท่านย่า ท่านย่าหรือ ท่านย่าหม่าใช่หรือไม่

ซ่งฝูหลิงไม่มีความหวัง นางจึงตะโกนร้องเรียกออกไป และเพื่อให้ตัวเองไม่กลัว เมื่อตะโกนเสร็จจึงเดินไปข้างหน้า คิดไม่ถึงว่าในความมืดกลับได้ยินเสียงตอบรับมาแต่ไกล “ใช่แล้ว”

ได้ยินแล้วแต่กลับไม่ได้รู้สึกว่าใช่หรือไม่ คล้ายกับเป็นความรู้สึกเหมือนฝัน แต่ดวงตาซ่งฝูหลิงสว่างขึ้นมาทันใด รู้สึกว่าเสียงเมื่อครู่เป็นเสียงท่านย่า จึงรีบยกไฟวิ่งไปทางด้านหน้าตามเสียง

นางต้องวิ่งหลายร้อยเมตรและไม่ได้นับว่าวิ่งไปไกลเท่าไหร่ แต่รู้สึกได้ว่าเท้าที่วิ่งบนหิมะช่างเคลื่อนไหวยากเหลือเกิน เท้าสองข้างหนักเหมือนกับจะก้าวขาไม่ออก จึงพบคนสองคนที่อยู่ในหิมะ คล้ายกับท่านย่าและท่านน้า

ตุ๊กตาหิมะหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนนี้ท่านย่าและท่านน้าทั้งสองคนก็เป็นแบบนั้น

ซ่งฝูหลิงเดินเข้าไปเกือบจะถึงพวกนาง ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันใด ความคิดแรกก็คือ ไม่ทำขนมแค่เดือนเดียวแล้ว จะทำขนมสองเดือน จะต้องซื้อรถให้ท่านย่าสักคันให้ได้

แต่น้ำเสียงไม่ค่อยดีเพราะนางกำลังร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมท่านถึงเพิ่งกลับมา ถึงหิมะจะตกก็ไม่น่าจะเดินทางช้าขนาดนี้”

ซ่งอิ๋นเฟิ่งบอกว่านางไปหาซื้อไข่ไก่มา

ซ่งฝูหลิงต้องรีบบอกให้หยุด จะซื้อไข่อะไร กลับมารถเปล่าไม่ได้หรือไง อากาศแบบนี้ยังจะไปซื้อไข่อะไรอีก

ท่านย่าหม่าไม่ตอบ แค่ฟังก็รู้ว่าหลานสาวไม่สบายใจ แต่จิตใจข้างในกลับเถียงออกมาว่า ก็อากาศแบบนี้ไงจึงต้องไปซื้อไข่ไก่ จะต้องรออีกกี่วัน หิมะน่าจะตกหนักกว่านี้ คนขายไข่กลัวน้ำแข็งต่างพากันหนีไปแล้ว เขาจะมาขายของหาเงินอีกหรือ

ซ่งฝูหลิงยื่นไฟให้ท่านย่า “มา ข้าช่วยท่านน้าเข็นรถเอง”

หนึ่ง สอง สาม ออกแรงเข็น นางเพิ่งรู้ว่ารถเข็นหนักขนาดไหน

รู้หรือไหมว่าท่านย่าซื้อไข่มาหลายตะกร้า พอถามจบ จมูกของนางเกือบถูกบิดไปข้างหนึ่งเพราะความโกรธ “เป็นเงินหนึ่งตำลึงกว่า”

รู้ไหมว่าไข่ไก่หนึ่งฟองราคาเท่าไหร่ เอาอย่างนี้ ถ้าไข่ใบใหญ่ หนึ่งเหวินจะซื้อได้หนึ่งฟอง เงินหนึ่งตำลึง จะซื้อไข่ได้หนึ่งพันกว่าลูก

มิน่าละ พอเจอหน้าคนขายไข่ ตะกร้าก็ไม่เอาแล้ว จะซื้อไข่แล้วแถมตะกร้า เงินที่ท่านย่าเพิ่งได้รับมาในมือก็นำไปซื้อไข่ที่ตลาดถงเหยาเจิ้นหมดแล้ว

จะไม่ให้โมโหได้อย่างไร

หญิงสูงวัยคนนี้ทำไมถึงไม่คิดสักนิด หิมะตกหนักขนาดนี้ เข็นรถยิ่งลำบาก ข้างบนรถมีเข่งนึ่งยี่สิบสามอันและผ้าห่มสามผืน และยังมีเสื่ออีกหลายชั้น อีกทั้งยังมีตะกร้าไข่ไก่ พระเจ้าช่วย ท่านไม่กลัวรถจะคว่ำหรืออย่างไร

เมื่อนางยิ่งโมโห แรงยิ่งมากขึ้น ออกแรงตะโกนพร้อมกับท่านน้าเพื่อเข็นรถไปข้างหน้า ยัง

ดีที่ยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้าน เจอซ่งฝูหลิงกับเฉียนเพ่ยอิงที่ก็ออกมาตามหาท่านย่าเหมือนกัน

ซ่งฝูเซิงเมื่อมาถึง แรงเข็นยิ่งเยอะ รถเข็นแทบไม่ต้องออกแรงเหมือนเมื่อครู่แล้ว

ที่เตียงเตาบ้านซ่งฝูเซิง เฉียนเพ่ยอิงเทน้ำร้อนให้ท่านย่ามากับซ่งอิ๋นเฟิ่ง ของที่เอาลงจากรถอยู่ทางด้านนอกประตู ส่วนตะกร้าไข่ไก่ถูกย้ายเข้ามาวางไว้ในบ้าน

ซ่งฝูหลิงฟังท่านพ่อท่านแม่บอกว่า คนตัวแข็งตามอากาศข้างนอกแล้ว เมื่อเข้ามาในบ้านห้ามผิงไฟ อย่างน้อยต้องให้หิมะละลาย ตัวนางจึงเต็มไปด้วยหิมะตอนเดินเข้ามา

ขณะเดียวกัน ท่านย่าหม่าก็กำลังใช้หิมะนวดไปที่กรามของตนเอง และยังใช้หิมะถูไปที่หู ที่มือ สุดท้ายนั่งบนเตียงเตาและใช้หิมะถูไปที่เท้า

ซ่งอิ๋นเฟิ่งก็หนาวจนตัวแข็งไม่ไหว รับหิมะจากเฉียนเพ่ยอิงมา ทั้งที่รู้สึกคันแต่ยังใช้หิมะทาไปที่ใบหน้า

แม้แต่ปลาของซ่งอิ๋นเฟิ่งก็แข็งไปแล้ว “ท่านแม่ วันนี้จั่งกุ้ยคนนั้นพูดถึงเรื่องนั้น ท่านจำเป็นต้องบอกพั่งยาหน่อยไหม”

“เอ๊ะ เจ้าจะพูดเรื่องนี้ทำไม พูดกับนางไปก็ไม่มีทางทำได้” ท่านย่าหม่าถือถ้วยน้ำอุ่นดื่มไปอีกหนึ่งอึก

ซ่งฝูหลิงถาม “เรื่องอะไรหรือ”

ท่านย่าหม่าบอกว่า ไม่มี ไม่มี

คนแบบนี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง

“ท่านย่า ตกลงว่ามีเรื่องอะไร ทำไมถึงทำให้คนอื่นร้อนใจ พวกท่านเจอปัญหาที่เมืองถงเหยาเจิ้นหรือ ท่านน้า บอกข้ามาเถิด”

ที่ข้างนอก ซ่งฝูเซิงกำลังฟังเรื่องที่พวกเขาเจอปัญหามา จึงเดินเข้ามาข้างในพร้อมสายตาที่มีคำถาม

ใบหน้าซ่งอิ๋นเฟิ่งเต็มไปด้วยความเครียด นางพูดพรรณาถึงเถ้าแก่โรงเตี๊ยม บอกว่าอยากได้ขนมเค้กสิบเก้าก้อนในวันมะรืนนี้

“สิบเก้า?” ซ่งฝูหลิงเปล่งเสียงออกมา “…”

ท่านย่าหม่ามองหลานสาว “ข้าปฏิเสธไปแล้ว วันนี้ที่พวกเรากลับมาช้า ไม่เพียงแค่เรื่องหาซื้อไข่ไก่ แต่ถูกเถ้าแก่โรงเตี๊ยมดึงตัวไว้ด้วย คิดดูสิ คนอย่างนี้น่ารำคาญหรือไม่ ก็รู้อยู่ว่าพวกเราทำไม่ได้ ยังบอกกับพวกเราว่าได้ยินทั้งหมดแต่ก็เอามาเงินไม่ได้ ทำให้คนอื่นเครียดไปอีก”

“ทำไมจะทำไม่สำเร็จล่ะ” ซ่งฝูหลิงได้ยินเสียงที่ตัวเองพูดออกมา พอพูดเสร็จ นางรีบเอามือปิดปากตัวเอง แต่ในสมองกลับเป็นภาพที่คนสองคนอยู่ท่ามกลางหิมะนั่น

ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าปากไม่ใช่ของตัวเองแล้ว “พรุ่งนี้ไปบอกกับเขา มะรืนจะส่งของให้ตามนัด”

“…”ท่านย่าหม่า

ซ่งอิ๋นเฟิ่ง “อืม?”

จะเป็นไปได้อย่างไร

ทำไมจะเป็นไปไม่ได้เล่า ทุกอย่างเป็นไปได้หมด

เวลาตีสองกว่า ซ่งฝูหลิงล็อคประตูให้ตัวเองอยู่ในห้องอบขนม

ตอนนี้นางไม่ต้องใช้นาฬิกาแล้ว นาฬิกาช่วยได้ไม่หมด คนจึงจำเป็นต้องจดจำเองได้แล้ว

ถ้ารู้ว่าขนมเจ็ดหม้ออบพร้อมกัน ยิ่งเป็นตัวทดสอบสมองว่าจะจำได้ขนาดไหน

หม้อไหนที่ต้องวางเข้าไป เมื่อไหร่ต้องเอาออกมา หม้อไหนถึงเวลาใช้ที่เป่าไฟ ทําให้ไฟแรง ทั้งหมดต้องถูกจดไว้

นางใช้นาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ของท่านพ่อที่เอาออกมาจากพื้นที่พิเศษ เสียงนาฬิกาปลุกยังช่วยจดบันทึกได้ด้วย

เฉียนเพ่ยอิงช่วยลูกสาวเติมฟืน “ทำได้กี่หม้อแล้วหรือ”

“ไม่รู้สิ ข้าไม่ได้นับ”

“พวกเรารีบกลับไปนอนกันเถอะ”

“ไม่ได้ ข้าจะต้องทำออกมาให้ได้ และยังต้องมีของกักตุนในพื้นที่พิเศษอีก ไม่อย่างนั้นจะไม่มีความรู้สึกว่าปลอดภัย นอนก็หลับไม่สนิท ข้าทำเสร็จแล้ว ข้าจะต้องนอนทั้งวันเป็นแน่ ท่านแม่ ท่านไปชาร์ทแบตเตอรี่ให้ข้าดีกว่า โทรศัพท์ก็ต้องชาร์ทแบตเตอรี่ด้วย แล้วท่านกลับไปนอนก่อนเถอะ”

“ท่านย่าของเจ้าจะทำบะหมี่ไข่ให้กิน ข้าห้ามก็ไม่ฟัง นางก็ไม่ยอมนอนเหมือนกัน”

“ห้ามไม่ให้นางมาส่งข้าวๆ เด็ดขาดนะ จะทำให้เสียเวลา รีบให้นางเข้านอน อย่ามัวแต่เป็นห่วงเลย พรุ่งนี้ยังต้องไปส่งขนมและยังต้องเข็นเข่งนึ่งกลับมาอีก เข่งนึ่งมีจำนวนเยอะกว่าเดิมมาก ทั้งยังต้องซื้อกระดาษแก้ว ตอนนางกลับมาต้องเข็นรถบนหิมะ รถก็ไม่ใช่รถเปล่า นางหาเงินลำบากกว่าข้าเยอะ”

ซ่งฝูหลิงใช้เวลาอบขนมทั้งคืน นั่นหมายความว่านางไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน ยืนก็แทบไม่ไหว ต้องนั่งอย่างหมดแรงนวดแป้งอยู่ตรงนั้น

ห้องทำขนมที่เต็มไปด้วยฟืนกองสุมเป็นชั้นๆ ในตอนนั้น ตอนนี้กลับถูกใช้ไปจนหมดแล้ว

ความจริงนางสามารถหาคนมาช่วยทำงานได้ นางไม่ได้สนใจเรื่องที่ท่านย่ามาบอกว่ากลัวสูตรขนมหลุดออกไปเมื่อไปอยู่ที่บ้านแม่สามีอะไรต่างๆ นั่น

แต่ว่าตอนนี้คนช่วยงานสำหรับนาง จริงๆ เป็นอุปสรรคต่อการทำขนม

เพราะว่าตอนนี้เตาอบมีมากขึ้นตั้งเจ็ดเตา ถึงเรียกคนมาร้อยกว่าคน นางก็มีเตาอบแค่ เจ็ดเตาเท่าเดิม

ถ้านางให้คนช่วยงานมาละลายเนย นางต้องเสียเวลาใช้มือและคนนั้นยังต้องอาศัยมือในการตี แต่หากนางตีเองโดยใช้เครื่องจะใช้เวลาไม่เกินสิบนาที ความเร็วต่างกันมากโขอยู่ มีคนมาช่วยแต่ยังต้องมาเสียเวลาตีไข่อีก

เพื่อคำสั่งซื้อนี้ เพื่อเงินห้าตำลึง ซ่งฝูหลิงจึงยอมทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายในคืนนี้

ไม่ใช่แค่นางเป็นคนเดียวที่ไม่ได้นอน

พวกผู้ชายร่างกายกำยำ อาศัยแสงไฟจากกองไฟ ก็ตั้งหน้าตั้งตาขุดหลุมโดยไม่คิดชีวิตอยู่เช่นกัน

พวกเขาทำงานตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงกลางคืนทั้งคืน ไม่เพียงแต่ล้อมรั้วรอบหมู่บ้านเอาไว้แต่ยังมีหลุมที่ขุดเสร็จแล้วล้อมไว้อีกชั้น

นี่คือ “งานวิศวกรรมอย่างหนึ่ง” ที่เขาตั้งหน้าตั้งตาทำ ซ่งฝูเซิงยืนเท้าสะเอวบอกว่า “ข้าจะดูว่ามีสัตว์เดรัจฉานตัวไหนกล้ากระโดดข้ามมาไหม ถ้าข้ามมาได้ ข้าก็จะถลกหนังมันให้ดู”

แต่ในใจของเขาคิดว่า:

ถึงตอนนั้นเขาจะก่อกองไฟรอบๆ ในหลุมข้างๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะสิ้นเปลือง จะต้องให้ก่อไฟไว้ทั้งคืน ไม่ให้มอดดับ

รอให้กระเทียมเหลืองชุดแรกเก็บผลผลิตจากห้องใต้ดินได้ เขาจะเก็บเงินกองกลางไว้เพื่อจะเอาไปตีเหล็กให้เป็นปลายแหลมๆ เพื่อมาใส่ไว้ในหลุม

เขาไม่เชื่อว่าจะมีเสือตัวไหนที่ยังแข็งแรงจนสามารถทะลุรั้วเข้ามาได้ และยังต้องผ่านหลุมพรางเหล่านี้อีก เมื่อตกหลุมแล้ว หากยังสามารถปีนขึ้นมาได้ ก็ยังต้องผ่านกองไฟอีกชั้น กองไฟคือหัวใจสำคัญ ถ้าสามารถผ่านทั้งสามด่านนี้ ข้าก็ต้องยอมรับแล้วว่าระหว่างพวกเราคงจะต้องสู้กันสักตั้ง

จากที่เคยเห็นเหตุการณ์ที่ซ่งฝูหลิงต่อสู้กับเหา ช่างเหมือนกับที่พ่อเขาทำทุกอย่าง

ฟ้าสว่างแล้วทุ กคนเหนื่อยล้าจนต้องพักถอนหายใจเอาแรงและดื่มน้ำ

ในสายตาของทุกคน มองว่าท่านย่าหม่าพาซ่งฝูหลิงออกจากหมู่บ้าน พาขนมเค้กยี่สิบสามก้อนหายเข้าไปในกลุ่มหิมะที่ตกลงมาเป็นสาย

ตอนนี้ซ่งฝูหลิงนอนอยู่บนเตียงเตา หลับลึกจนไม่รู้ว่ากลางวันหรือกลางคืน

หมี่โซ่วที่นอนอยู่ข้างๆ ใช้มือเล็กๆ ของเขาดึงผ้าห่มมาห่มให้พี่สาว บ่นพึมพำกับพี่สาวเบาๆ พลางถอนหายใจ แล้วค่อยๆ คลานลงจากเตียงเตา ที่ห้องครัว หมี่โซ่วใช้มือดึงชายเสื้อเฉียนเพ่ยอิงแล้วเงยหน้าขึ้นถาม “ท่านป้า ทองก้อนและตั๋วเงินของข้าล่ะ ท่านป้าเอาไปแลกที่โรงจำนำหรือยัง ได้เงินมาหรือไม่”

เฉียนเพ่ยอิงเองกำลังตกใจ เจ้าเด็กคนนี้ยังมาถามเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง

“เจ้าถามทำไมหรือ”

เฉียนหมี่โซ่วรู้สึกรำคาญผมที่อยู่ใต้หมวก เขาเกาหัวเสร็จแล้วพูดว่า “พี่สาวหาเงินได้กี่ตำลึงกัน ดูแล้วช่างลำบากเหลือเกิน แต่ว่าข้าก็ไม่เข้าใจทำไมต้องเหนื่อยขนาดนั้นหรือ บ้านพวกเรามีเงินไม่ใช่หรือ

“เงินเก็บอยู่กับท่านไม่ใช่หรือ”

เศรษฐีน้อยรุ่นที่สองบอกต่อว่า “ท่านป้าไม่ต้องเก็บเงินแล้ว ข้าแนะนำท่าน ท่านทำไมไม่ฟังข้า ถ้าเป็นเงินของข้าจริงๆ ท่านต้องฟังข้า เอออ…ถ้าไม่อย่างนั้น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกท่านสามารถเอาเงินให้พวกข้าก่อนสักสิบตำลึง ข้าจะเอาไปให้พี่สาวพั่งยา จะให้พี่สาวอบขนมให้ข้ากินวันละก้อนก็พอ ไม่ต้องไปหาเงินให้ลำบากแล้ว”

ไอ้หยา ขนาดว่าเจ้าอายุยังน้อย ยังรู้จักจะจ้างคนที่เป็นอาจารย์ทำขนมให้กินด้วยเหรอนี่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด