ทะลุมิติทั้งครอบครัว 48 อาหารการกินเทียบไม่ได้กับการอยู่เรือนจำ

Now you are reading ทะลุมิติทั้งครอบครัว Chapter 48 อาหารการกินเทียบไม่ได้กับการอยู่เรือนจำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉียนเพ่ยอิงดีใจ ไม่คิดว่าจะทำสำเร็จ ไม่เสียแรงที่ลงมือทำ  

 

 

แต่ว่า “มีคนอยู่นี่ตั้งมากมาย ทำไมท่านถึงไม่เรียกข้าหน่อย ข้านอนอยู่ตรงนี้ ใครมาก็เห็น ดูน่าเกลียด”  

 

 

“กลัวอะไร มองเจ้าไปจะทำอะไรได้” ซ่งฝูเซิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี “เจ้านอนเป็นไงบ้าง?”  

 

 

เฉียนเพ่ยอิงถอนหายใจ บนภูเขาที่ต้องนอนอยู่บนรถเข็นที่ลาดเอียง นางจะนอนได้อย่างไร ต่อสู้กับยุงทั้งคืน ทำให้ยุงกินไม่อิ่ม ส่วนนางก็นอนไม่สบายนัก นางกับยุงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  

 

 

“ท่านควรใส่เสื้อนอกคลุมสักตัวหนึ่ง ข้าจะไปหามาให้ ตอนเช้ากับตอนเย็น อากาศเย็นนัก ข้าเห็นน้ำมูกของท่านไหลเป็นน้ำแข็งออกมาแล้ว เป็นหวัดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ บ้านเราไม่ใช่ไม่มีเสื้อผ้าสักหน่อย”  

 

 

ซ่งฝูเซิงรีบดึงเฉียนเพ่ยอิงไว้ไม่ให้ไปหาเสื้อผ้า มิหนำซ้ำการเปิดกระเป๋าเดินทางก็ค่อนข้างยุ่งยาก เขาไม่หนาว แต่เขาหิว  

 

 

เขาลุกขึ้นมาตอนตีสองกว่า แล้วทำงานมาตั้งแต่เวลานั้น ท้องของพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองก็ร้องออกมาด้วยความหิวเช่นกัน ให้นางรีบไปทำอาหารก่อนดีกว่า แค่น้ำซุปก็คงสามารถบรรเทาความหิวของเขาได้  

 

 

เฉียนเพ่ยอิงรับปาก เดิมจะเก็บผ้าห่มกลับไปด้วย แต่ซ่งฝูเซิงห้ามไว้ก่อน  

 

 

บอกให้นางวางไว้ตรงนั้น รอจนบุตรสาวตื่นค่อยนำไปวางไว้ในเต็นท์ของนาง ตอนนี้มีสิบกว่าครอบครัวอยู่ที่นี่ คนเยอะแยะอาจหยิบผิดไปได้ พวกเสื้อผ้า ผ้าห่มกับกระเป๋าสัมภาระของพวกเราถูกวางไว้ที่เต็นท์บนต้นไม้แล้ว  

 

 

“เหล่าซาน เจ้ามาดูสิ ทำแบบนี้ใช่ไหม?”  

 

 

ซ่งฝูเซิงรีบตอบกลับไป “ดูสิ ข้าดูก่อน” เขากลายเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการทำถ่านไปแล้ว  

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งที่ไอค่อกแค่กเดินขึ้นเนินเขาไม่ได้หยุดพักก็พูดเอ่ยชม “ดูท่าจะต้องเป็นบัณฑิตถึงมีสมองอันฉลาดหลักแหลม คิดไม่ถึงว่าจะเผามันออกมาได้จริงๆ”  

 

 

ลุงใหญ่ที่อยู่ด้านหลังพูดเสริมขึ้นมา “นั่นเป็นเรื่องแน่นอน ตั้งแต่เล็ก เขาเป็นเด็กที่มีอนาคตที่สุดในหมู่บ้าน หลายคนรวมกันยังเทียบเขาคนเดียวไม่ได้เลย”  

 

 

ซ่งฝูเซิงรู้สึกว่า  นี่จะไม่เป็นการเยินยอข้ามากไปหน่อยหรือ? คนอื่นได้ยินจะคิดอย่างไร  

 

 

“ข้ามิกล้า เมื่อไหร่พวกเราจะได้มีความรู้บ้าง ไม่ใช่ว่าได้เรียนหรือไม่ได้เรียนหนังสือ ข้าเองก็แค่อ่านออกเขียนได้ไม่กี่คําเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้มากมายอะไรหรอก”  

 

 

“ท่านลุง ท่านยังบอกว่าตนเองไม่มีความรู้อีกหรือ?”  

 

 

“ในปีนั้นที่เจ้าสอบซิ่วไฉได้อันดับหนึ่ง และเป็นปีที่เจ้าสอบได้ถงเซิงจนต้องป่าวประกาศ ข้าดีใจเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้คนอื่นไม่ได้เข้าเมืองไปสอนหนังสือ มีแค่เพียงเจ้า ในสายตาของข้า เจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด เอ่ยถึงปีนั้นไปก็ชื่นชมไปด้วย”  

 

 

ลุงใหญ่นั่งอยู่บนก้อนหิน ทุบขาตนเองไปพลางและเอ่ยขึ้นมา  

 

 

“ตอนนี้เจ้าทำถ่านออกมาได้ ทำไมคนอื่นถึงทำไม่เป็น?…  

 

 

…ตอนนี้ก็เรียนรู้กับเจ้า พวกเขาได้เรียนรู้จากเจ้า จะเผาได้ดีเหมือนอย่างเจ้าได้อย่างไร?…  

 

 

…ฝูเซิง พวกฝูลู่ไปทำเพิงที่พักแล้ว ไม่เช่นนนั้นตอนเย็นจะไม่ที่นอน เจ้าเผาถ่านสักเตาหนึ่งให้ลุงใหญ่หน่อย ขาข้ากับพวกเด็กๆ ทนความหนาวเย็นไม่ได้ เจ้าเหนื่อยหน่อยนะ”  

 

 

พอพูดจบลุงใหญ่ก็หันไปพูดกับซ่งหลี่เจิ้งที่กำลังดูดไปป์จีน “ฝูเซิงน่ะ เป็นคนกตัญญู ก่อนที่พ่อข้าจะจากไปได้กำชับข้าไว้ ให้คอยช่วยเหลือดูแลหน่อย บอกว่าไม่เสียแรงที่เลี้ยงดู มองคนไม่ผิดหรอก”  

 

 

ซ่งฝูเซิงในที่สุดก็เข้าใจ  

 

 

ฮ่ะ จริงๆ เขาไม่ได้มีจุดประสงค์จะเยินยอแค่อย่างเดียวหรอก แต่ทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์ต่างหาก  

 

 

ตอนนี้ไม่ได้ใช้สถานะญาติผู้ใหญ่แล้ว เริ่มใช้วาจาหว่านล้อมกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดจนถึงขั้นเอ่ยถึงท่านปู่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ตาเฒ่าคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวนัก  

 

 

ซ่งฝูเซิงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ไม่ได้รับปากหรือปฏิเสธแต่อย่างใด  

 

 

เขาทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังนั่งคุกเข่าทำช่องระบายอากาศแปดช่องใต้โคลน โน้มตัวลงไปสอนเกาเถี่ยโถ่วว่าต้องทำอย่างไรบ้าง  

 

 

ซ่งฝูไฉพี่ชายคนโตของซ่งฝูเซิง เห็นลุงใหญ่กำลังรอคำตอบรับจากน้องสาม ลุงใหญ่นั่งยิ้มอยู่บนก้อนหินคนเดียวจนเกือบฝืนยิ้มไม่ไหว สายตาของเขาก็จ้องมองน้องสาม  

 

 

ลุงหลี่เจิ้งที่กำลังสูบไปป์จีนอยู่ด้านข้างก็ไม่พูดคุยด้วย เขารู้สึกเคอะเขินแทนลุงใหญ่  

 

 

รู้สึกเสียหน้า  

 

 

ซ่งฝูไฉถึงกับถอนหายใจ  

 

 

ปู่ทิ้งควายหนึ่งตัวไว้ให้ ทำให้ลุงใหญ่ที่เป็นญาติแท้ๆ กลับดูห่างเหินไม่สนิทสนมกัน ท่านแม่กับป้าใหญ่มีปากเสียงกันทุกวัน จากเดิมที่เคยเป็นญาติสนิทชิดเชื้อ กลับต้องมาห่างเหิน กลายเป็นเรื่องน่าขบขันของคนในหมู่บ้าน  

 

 

พวกเขาเป็นพี่ชาย ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น  

 

 

ท่านพ่อก็ไม่อยู่แล้ว ลุงใหญ่ควรเป็นญาติที่สนิทที่สุดของพวกเขา แตกต่างกันไม่มากนัก พวกเขาเคารพให้เกียรติลุงใหญ่เสมือนพ่อคนหนึ่ง  

 

 

เฮ้อ ช่างเถอะ อย่ากังวลกับเรื่องพวกนี้เลย ทุกคนก็ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว มีวันนี้ก็อาจจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าดีมากแล้ว ยังหวังว่าลุงใหญ่จะสบายดี ทุกวันนี้ทุกครอบครัวอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  

 

 

ซ่งฝูไฉทำงานไปก็พูดกับลุงใหญ่ไปด้วย “ลุงใหญ่ ท่านนั่งก่อน ถ้าถ่านของข้าที่เผาอยู่ในเตาโคลนนี้ หากสำเร็จออกมาแล้ว ข้าจะยกให้ท่าน คงเพียงพอกับครอบครัวของท่าน ได้ไหม? คงมีเพียงแค่นี้ มากกว่านี้คงไม่มีแล้ว”  

 

 

“ได้ๆ แค่นี้ก็พอแล้ว” ลุงใหญ่รู้สึกประหลาดใจมาก เขาต้องการแค่เตาหนึ่ง ไม่คิดว่าจะให้เขาทั้งหมด เขาแอบเหล่มองซ่งฝูเซิงสองครั้ง “อาไฉก็เป็นคนกตัญญู”  

 

 

ซ่งฝูไฉอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองน้องสาม กลัวว่าซ่งฝูเซิงจะไม่พอใจ น้องสามเป็นคนในเมือง อาจจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย  

 

 

ซ่งฝูสี่ พี่ชายคนที่สองทำงานไปก็แอบเหล่ตามองไปด้วย เดี๋ยวก็มองพี่ใหญ่ เดี๋ยวก็มองน้องสาม  

 

 

ซ่งฝูเซิงรู้สึกได้  

 

 

ลุงใหญ่ในสายตาของเขาไม่ได้มีความหมายอะไร พี่ใหญ่กับพี่รองรีบมองดูสีหน้าของเขา ดูสิ พี่ชายทั้งสองช่างเป็นคนซื่อขนาดไหน  

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านรีบทำงานเถอะ ถ้าวันนี้ฝนตกลงมาก็จะเผาอะไรไม่ได้แล้ว ทุกคนเร่งมือกันหน่อย”  

 

 

“น้องสาม เจ้าวางใจได้ ถ้าเจ้าง่วงนอนก็ไปหาที่นอนเถอะ พี่ใหญ่รับรองว่าจะทำให้เรียบร้อย”  

 

 

ซ่งฝูสี่ก็เร่งให้ซ่งฝูเซิงรีบไป ไปดูว่ากับข้าวเสร็จแล้วรึยัง ไปกินข้าวร้อนๆ เขาบอกว่าน้องสามเป็นบัณฑิต กลัวว่าร่างกายทำงานหนักจะรับไม่ไหว  

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งที่สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างมาตลอด พยักหน้ายิ้มอย่างพึงพอใจ  

 

 

เขาบอกกับหลานทั้งหลาย “เผาให้ดีๆ เผาไว้เยอะๆ หน่อยจะได้แบ่งให้ครอบครัวที่มาทีหลังได้บ้าง”  

 

 

“รับทราบ ท่านลุง!”  

 

 

หลายคนตะโกนเสียงดังมา “พวกเราก็สามารถแบ่งไปได้นิดหน่อย ลุงหลี่เจิ้งไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ต้องคอยคุม พวกเขาสร้างเพิงพักพิง ส่วนพวกเราจะเผาถ่าน”  

 

 

พวกผู้ชายดูมีความสามัคคีกันเป็นอย่างมาก ด้านซ้ายของเนินเขามีการขุดบ่อโคลนเพื่อทำถ่าน ส่วนด้านขวาก็ขะมักเขม้นสร้างเพิงพักพิง แต่ทางด้านฝ่ายผู้หญิงที่อยู่ในถ้ำ ดูสถานการณ์จะไม่สู้ดีสักเท่าใดนัก  

 

 

ท่านยายหวังโมโหมาก นี่ใครเป็นคนทำ?  

 

 

นางเพิ่งสั่งให้ลูกสะใภ้คนเล็กไปตักน้ำที่ลำธารเพื่อน้ำมาเทใส่บ่อกรองน้ำที่ซ่งฝูหลิงทำ แล้วนำอ่างล้างหน้ามารองน้ำไว้ ก่อนจะหันกลับไปก่อไฟทำอาหาร  

 

 

วันต่อมาทุกคนก็ทำกันเช่นนี้ ใครจะใช้น้ำก็ต้องไปตักมาเอง  

 

 

เมื่อหันกลับมามองอีกครั้ง อ่างล้างหน้าของนางกลับถูกคนอื่นเตะจนไปอยู่ด้านข้าง น้ำที่กรองเสร็จแล้วก็ถูกคนอื่นนำไปใช้  

 

 

ท่านยายหวังตบหน้าแข้งด่า “คนขี้เกียจ แค่รองน้ำก็ยังจะเอาเปรียบกัน ขี้เกียจจนตัวเป็นขน หมูยังขยันมากกว่านางเสียอีก”  

 

 

ลูกสะใภ้คนเล็กของท่านยายหวังถาม “ท่านแม่ว่าใครน่ะ”  

 

 

ท่านยายหวังกล่าว “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่ากำลังด่าใคร ข้าก็ไม่เห็นตัวคนทำ”  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นท่านไม่ต้องด่าแล้ว คนอื่นไม่เข้าใจอาจคิดว่าท่านด่าข้ากับพี่สะใภ้ทั้งสองว่าขี้เกียจ ข้าจะไปตักน้ำมาอีกเที่ยวหนึ่ง ท่านก็อย่าได้เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์เลย”  

 

 

ภายในถ้ำ ลูกสะใภ้คนโตของเกาถูฮู่มีปากเสียงกับหลี่ซิ่ว ซึ่งเป็นสะใภ้ของครอบครัวหนึ่งที่มาถึงในภายหลัง  

 

 

ลูกสะใภ้คนโตของเกาถูฮู่เอ่ยขึ้นว่า “ครอบครัวนางอุตส่าห์เสียสละพื้นที่ให้ ทำให้น้องชายคนที่สองและสามต้องไปนั่งเฝ้าอยู่เนินเขาทั้งคืน ก็เพราะเห็นครอบครัวเจ้ามีเด็กแบเบาะ ถึงได้เกิดความสงสาร…  

 

 

…แต่ครอบครัวของเจ้าควรพิถีพิถันหน่อยได้ไหม นั่นมันผ้าอ้อมของลูกข้า เจ้าหยิบเอาไปใช้ห่มเด็กก็ไม่บอกกันเลยสักคำ…   

 

 

…แค่ห่มก็ไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าก็ไม่ควรให้เด็กฉี่ใส่ผ้าอ้อมจนเปียกชื้น แบบนี้จะให้ลูกของข้านอนได้อย่างไร”  

 

 

หลี่ซิ่วสะบัดผ้าอ้อมที่อยู่ในมือ “แค่สะบัดๆ ก็ใช้ได้แล้ว จะตะโกนไปทำไมกัน เจ้าทำให้ลูกข้าตื่นตระหนก”  

 

 

ลูกสะใภ้ใหญ่ของเกาถูฮู่ถึงกับสะอึก  

 

 

ทางด้านท่านย่าหม่ากับเฉียนเพ่ยอิงกลับเงียบสงบลง  

 

 

เดิมทีป้าใหญ่ก็มีเล่ห์เหลี่ยมลูกไม้ นางใช้ชุ่ยหลานให้ไปบอก “ท่านป้า อาสะใภ้ใหญ่ อาสะใภ้รอง อาสะใภ้สาม แม่ของข้าไม่ได้นอนมาทั้งคืน ปวดศีรษะเหมือนจะป่วย นางบอกว่าจะนอนพักสักหน่อย ไม่ทำอาหารแล้ว ให้พวกข้า พ่อและพี่ชายทั้งหลายมากินข้าวด้วยได้หรือไม่ พวกเราถือเป็นครอบครัวเดียวกัน”  

 

 

ท่านย่าหม่าหันหน้าไปทางด้านป้าใหญ่ นางกำลังอ้าปากเตรียมพร้อมจะด่าหลายหน เฉียนเพ่ยอิงจับแขนนางไว้และยิ้มพูดกับชุ่ยหลาน “ได้สิ แค่ทำอาหารเอง ข้าวสารของพวกเจ้าวางไว้ตรงไหน ข้าจะเดินไปเอากับเจ้า รับรองจะทำให้เพียงพอกับทุกคน ให้ทุกคนได้กินกันอย่างเต็มอิ่ม”  

 

 

ชุ่ยหลานวิ่งไปแล้ว ไม่อยากให้เฉียนเพ่ยอิงแตะต้องถุงข้าวของบ้านนาง  

 

 

สักพักป้าใหญ่ก็ออกมาจากถ้ำ เลือกสถานที่ทำอาหารที่ห่างไกลจากท่านย่าหม่า  

 

 

ท่านย่าหม่าเบ้ปาก แตะแขนที่จับไว้อย่างชอบใจ แต่เมื่อนางหันศีรษะกลับไป สีหน้าก็เปลี่ยนทันที  

 

 

นางรีบเปลี่ยนเป็นจับมือเฉียนเพ่ยอิง “เจ้าไม่ต้องทำกับข้าว ไปพักผ่อนซะ!”  

 

 

เหอซื่อกับจูซื่อที่กำลังทำอาหารอยู่หันไปมองเฉียนเพ่ยอิงกับท่านย่าหม่าพร้อมกัน  

 

 

เฉียนเพ่ยอิงทำเป็นฟังไม่เข้าใจ “ท่านอย่าทำแบบนี้ พูดเบาๆ หน่อย คนอื่นได้ยินจะคิดว่าท่านลำเอียง พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองทำงานแล้วจะให้ข้าไปพักผ่อน?”  

 

 

“ใครลำเอียง? ข้าไม่อยากให้เจ้าแตะต้องถุงข้าวสารข้า ถ้าเจ้าทำกับข้าว กลัวว่าต่อไปครอบครัวข้าคงอดตาย เจ้าหลีกไปซะ ใช้งานเจ้าไม่ได้หรอก”  

 

 

ท่านย่าหม่ายังคงแคะแป้งสีขาวบนนิ้วมือของเฉียนเพ่ยอิง ไม่ให้สิ้นเปลือง มือของเฉียนเพ่ยอิงเต็มไปด้วยแป้งและน้ำ  

 

 

เฉียนเพ่ยอิงถอยหลังหลบ “กินแต่วัววัวโถว[1] ที่แข็งกระด้าง ฝืดคอจนกลืนแทบไม่ลงเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ”  

 

 

“ฝืดคออะไรกัน? มีหูฮู[2] ให้กินสามมื้อก็ดีแล้ว ข้าอุตส่าห์ตื่นมาตั้งหม้อแต่เช้าตรู่ถึงไม่มีเวลามาคอยดูเจ้า สุดท้ายเจ้าก็ยังจะมายุ่งกับแป้งของข้าอีก”  

 

 

เฉียนเพ่ยอิงทำอะไรไม่ได้ หากทำอาหารไปก็ไม่พ้นต้องมีปากเสียงกันอีก แต่ท่านย่าหม่าก็ไม่ยอมปล่อยให้นางทำอาหาร ไม่รู้จะทะเลาะกันไปทำไม  

 

 

ก่อนกินข้าว หิวจนท้องไส้ปั่นป่วน หลังกินแล้วกลับเหมือนไม่ได้กิน ในท้องว่างเปล่า กินอย่างไรก็ยังหิว เพราะของที่นางกินตอนนี้ หมูในยุคปัจจุบันยังไม่กินเลย  

 

 

ซ่งฝูหลิงตื่นขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศอันวุ่นวาย เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นเฉียนหมี่โซ่วนั่งเม้มปากอยู่ตรงนั้น  

 

 

“เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมต้องร้องไห้ด้วย?”  

 

 

ซ่งฝูหลิงนึกได้ว่า เด็กสี่ห้าขวบตอนเช้าจะต้องดื่มนม ในรายการโทรทัศน์ ‘คุณพ่อไปไหน’ยังนำเสนอแบบนี้เลย ดื่มนม ดื่มนม  

 

 

หมี่โซ่วไม่มีนมดื่ม คงตื่นมาแล้วอารมณ์เสียจึงอยากร้องไห้  

 

 

เฉียนหมี่โซ่วคิดในใจ  ข้าจะร้องไห้ไปทำไมกัน   ข้าจะร้องไห้ให้ใครฟัง ร้องไห้ต้องมีคนคอยปลอบโยน แต่จะมีใครมาปลอบใจยามที่เขาร้องไห้กันเล่า  

 

 

“พี่สาว ท่านขี้เกียจเกินไปแล้ว ยังนอนหลับอีก ยังไม่ลุกขึ้นมา พี่ต้ายากับพี่เอ้อร์ยาต่างลงไปเก็บฟืนแล้ว พี่เถาฮวาก็ต้มน้ำล้างหน้ามาให้ท่าน”  

 

 

ซ่งฝูหลิงนิ่งงัน ก่อนจะใช้แขนดันตัวลุกขึ้น “ข้าขี้เกียจ ถึงข้าขี้เกียจก็เป็นเรื่องของข้า ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าขี้เกียจเหมือนกันเสียหน่อย แล้วเจ้าเม้มปากทำไม”  

 

 

“ข้าอยากรีบลงไปแล้ว แต่ท่านหนุนก้อนข้าวเหนียวของข้าอยู่”  

 

 

ของแค่นี้เอง ทำไมต้องทำเป็นมีค่ามากมายนัก เดินไปไหนก็ต้องแบกไปที่นั่น ไม่กลัวว่าหลังจะงอตั้งแต่อายุยังน้อยหรือไง “อ่ะเอาไป ยกให้เจ้าทั้งหมด”  

 

 

……  

 

 

ใช้ตะแกรงตักวัววัวโถวออกจากกระทะ ส่วนที่ไม่ดีของผักป่าก็ดึงมาสับให้ละเอียดแล้วใส่ลงในแป้งข้าวโพดหูฮู คนให้เข้ากัน ไม่มีแม้แต่รสชาติเค็มของเกลือ  

 

 

อย่าว่าแต่เฉียนหมี่โซ่วตัวเล็กฟันไม่ดี เคี้ยวลำบาก ซ่งฝูหลิงยังเอามือบีบจมูกเพราะไม่อยากกิน แต่ซ่งฝูหลิงก็ต้องทนฝืนกลืนลงไป  

 

 

ซ่งฝูหลิง “ท่านพ่อ ในบรรดาสิบสี่ครอบครัวนี้ ครอบครัวไหนลำบากที่สุด? พวกเราสองคนจะได้เอาวัววัวโถวไปนั่งกินข้าวกับพวกเขา เวลาดูพวกเขากินอาหารอันน่ารันทดแบบนั้น พวกเราจะได้กินลงบ้าง”  

 

 

ซ่งฝูเซิงไม่ได้ตอบว่าครอบครัวไหนลำบากมากที่สุด เขานั่งยองๆ เอ่ยเสียงเบาอยู่ตรงนั้น  

 

 

“…”  

 

 

“ในมือถือวัววัวโถว ในผักไม่มีน้ำมันสักหยดหนึ่ง การใช้ชีวิตในเรือนจำจะเจ็บปวดแค่ไหน ช่างปวดหัวใจจริง…”  

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] วัววัวโถว  เป็นอาหารประเภทแป้งอีกแบบหนึ่งของคนจีนทางตอนเหนือ โดยทำจากแป้งข้าวโพดและถั่วเหลือง อุดมด้วยใยอาหาร ซึ่งในอดีตจะเป็นอาหารหลักของคนจน รสชาติจะแห้งกระด้างกว่าก้อนหมั่นโถว

 

 

[2] หูฮู  โจ๊กที่ทำจากแป้งข้าวโพด

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด