ผมได้ดูแลคูเดอเรลล่าข้างห้องและลงเอยด้วยการให้กุญแจบ้านกับเธอไป(I Spoiled “Quderella” Next Door and I’m Going To Give Her a Key to My House) 3.2

Now you are reading ผมได้ดูแลคูเดอเรลล่าข้างห้องและลงเอยด้วยการให้กุญแจบ้านกับเธอไป(I Spoiled “Quderella” Next Door and I’m Going To Give Her a Key to My House) Chapter 3.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

隣のクーデレラを甘やかしたら、ウチの合鍵を渡すことになった

 

[ตอนที่ 3.2: คุกกี้ที่ทำครั้งแรก]

 

“ใช้เวลานานกว่าที่คิดเลยแฮะ..”
 

ขณะที่หรี่ตามองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆตกดิน นัตสึโอมิก็กำลังเดินกลับจากห้องพักครูไปที่โบสถ์พร้อมกับถือถุงที่เต็บไปด้วยกระดาษที่ถูดยัดเยียดใส่มือทั้งสองข้างโดยคาสึมิ

อันที่จริงนี่มันโครตจะหนักเลยคงไม่แปลกที่ร่างเล็กๆของคาสึมิจะยกไม่ไหวแต่อย่างน้อยเธอก็มาช่วยฉันขนไปที่โบสถ์หน่อยสิฟระ

พอเดินใกล้ถึงผมก็ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาออกมาจากประตู

 

“ทำนองแบบนี้นี่มัน…”
 

เป็นเสียงที่ไพเราะและแสนจะคุ้นเคยที่เล็ดลอดออกมาจากประตูที่หนาทึบ

นัตสึโอมิได้เปิดประตูออกเบาๆและพยายามที่จะกลั้นเสียงหอบที่เกิดจากความเหนื่อย
จากนั้นเขาก็ได้พบกับวิลเลียสซังที่กำลังร้องเพลงอยู่คนเดียวในโบสถ์เพลงที่เธอกำลังร้องอยู่ในขณะนี้ก็คือเพลง “The lord of salvation” ซึ่งเป็นเพลงที่มักจะถูกใช้ในพิธีสักการะในวันอิสเตอร์

ถึงจะไม่มีดนตรีประกอบแต่เสียงนั้นก็ชัดเจนนุ่มนวลและอ่อนโยนมากๆ

แสงจากอาทิตย์ยามเย็นส่องไปที่เธอราวกับสปอตไลท์เสียงที่แผ่วเบาของเธอนั้นก้องกังวานไปทั่วทั้งโบสถ์เป็นฉากที่ชวนให้หลงใหลเป็นอย่างมาก

การร้องเพลงของวิลเลียสซังทำให้ผมขนลุกและยังทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากที่ไหนสักแห่งอีกด้วย
 

“อ่ะ…?!คาตา..กิริ-..ซัง”
 

พอวิลเลียสสังเกตเห็นนัตสึโอมิเธอก็ตกใจและได้หยุดร้องเพลง

ดวงตาสีฟ้าครามของเธอก็กลมโตขึ้นพร้อมกับเอามือไปไว้ที่หน้าอกจากนั้นเธอก็มองไปที่นัตสึโอมิด้วยสายตาที่เหมือนลูกแมวกำลังหวาดกลัว
 

“ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังเลยนะ…”
 

นัตสึโอมิได้ขอโทษแบบเดียวกันเหมือนกับวันแรกจากนั้นก็ยิ้มแห้งๆและเดินเข้ามาในโบสถ์ก่อนที่จะปิดประตูส่วนวิลเลียสก็ขมวดคิ้วพร้อมกับเบือนหน้าหนี
 

“เสียงของวิลเลียสซังดีจังเลยนะ คุณเคยเป็นนักร้องประสานเสียงจากที่อังกฤษรึเปล่า?”
 

นัตสึโอมิได้วางถุงที่เต็มไปด้วยกระดาษไว้บนม้านั่งในโบสถ์ก่อนที่จะถามวิลเลียส

เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ตอนอยู่ที่ระเบียงเลยเธอไม่ได้อยู่ในระดับที่ร้องเพลงเป็นงานอดิเรกแต่เป็นระดับที่คุ้นชินกับการร้องเพลงมานาน

ถึงเธอจะไม่ได้นับถือศาสนาแต่เธอก็ได้เข้ารับชื่อในพิธีบัพติศมาแถมเธอยังร้องเพลงโดยที่ไม่ต้องดูเนื้ออีกคงไม่แปลกเลยล่ะถ้าเธอจะเคยเป็นนักร้องประสานเสียงและก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ปฏิเสธอีกด้วย
 

“เธอจะสมัครเข้าเป็นนักร้องประสานเสียงก็ได้นะถ้าอยากหารายได้เพิ่ม”
 

เหมือนกับผมที่เป็นนักเล่นออร์แกนและพวกนักร้องประสานเสียงก็คงจะไม่ปฏิเสธเธอแน่ๆ

โดยเฉพาะงานแต่งงานปกติพวกเขาจะจ้างนักร้องมาแต่ถ้าเป็นวิลเลียสที่ดูจะมีแววด้านนี้ละก็คงได้รับโอกาสมากมายแน่ๆ

ถ้าเธอทำแบบนี้ผมฟันธงได้เลยว่าเธอจะมีรายได้ที่ดีกว่านี้แน่

จากนั้นวิลเลียสก็เผยรอยยิ้มเล็กๆที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าออกมาให้เห็น
 

“ฉันไม่สามารถร้องเพลง..ได้อีกแล้วค่ะ”
 

เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
 

“ฉันไม่มีความมั่นใจที่จะไปร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นค่ะ…”

 

สีหน้าที่เยือกเย็นของเธอทำให้นัตสึโอมิพูดไม่ออก
 
รอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของเธอในตอนนี้นั้นมันเหมือนกับครั้งแรกที่พวกเราได้พบกันมันเป็นรอยยิ้มที่เหงาและอ้างว้างที่เต็มไปด้วยการดูถูกตัวเอง
 

วิลเลียสได้ก้มหน้าลงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและผมของเธอก็ได้ร่วงลงมาปกปิดใบหน้าเอาไว้ราวกับว่าเธอไม่อยากให้นัตสึโอมิเห็นหน้าเธอและอย่าถามอะไรไปมากกว่านี้

น้ำเสียงของเธอในตอนนั้นก็ดูเหมือนจะกล้ำกลืนพูดออกมามันเลยทำให้นัตสึโอมิอึ้งไปสักพักเลยจากนั้นนัตสึโอมิก็ได้รู้ว่านี่เป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนและไม่ควรพูดออกมา
 

“…ขอโทษครับ ผมไม่น่าถามอะไรแบบนั้นออกไปเลย”

“ไม่ค่ะ ฉันควรที่จะเป็นคนขอโทษมากกว่าซะอีก”
 

วิลเลียสได้เงยหน้าขึ้นจากนั้นก็ส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มที่เหงาและอ้างว้าง
 

“งั้นฉันช่วยยกถุงนี่เข้าไปนะคะ”
 

วิลเลียสได้เอามือทั้งสองข้างยกถุงนึงที่วางอยู่บนม้านั่งขึ้นมาจากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในห้องทำงานหลังโบสถ์

ส่วนนัตสึโอมิก็เอนหลังพิงม้านั่งพร้อมกับหลับตานึกถึงเสียงของวิลเลียสก่อนหน้านี้

(….อะไรกันเนี่ยเสียงออกจะดีแท้ๆทำไมถึงได้ขาดความมั่นใจกันล่ะ?)

นัตสึโอมิได้คิดอยู่ในใจพร้อมกับนึกถึงเพลงที่วิลเลียสร้อง

มันคงจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอสินะและนั่นก็เป็นสิ่งที่คนแปลกหน้าอย่างผมไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งด้วย

ถึงจะรู้ว่าไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งก็เถอะแต่ไอ้ความรู้สึกที่คันยุบยิบในใจนี่มันอะไรกัน
 

“……เอาเถอะทุกคนก็คงมีปัญหาเป็นของตัวเองล่ะนะ”
 

นัตสึโอมิได้พึมพำออกมาเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองเข้าไปยุ่งมากกว่านั้นก่อนที่จะถือถุงที่เหลือเข้าไปในห้องทำงาน
 

“….”

“คาตากิริซัง นี่…เอ่อคือฉันไม่ค่อยมันใจว่านี่จะเป็นสิ่งตอบแทนได้รึเปล่า…แต่ว่า”
 

หลังจากที่วางแผ่นพับเอาไว้บนชั้นวางเสร็จแล้ว วิลเลียสก็ได้ยื่นถุงกระดาษเล็กๆมาทางนัตสึโอมิด้วยท่าทางที่ขอโทษขอโพย

“ฉันได้ไปรบกวนที่บ้านของคุณเมื่อวันก่อนเพราะงั้นฉันอยากที่จะขอบคุณและขอโทษค่ะ ถึงมันจะช้าไปหน่อยก็เถอะ..”
 

 

ถึงผมจะไม่รู้ก็เถอะว่าเธอขอโทษเรื่องอะไรแต่ผมก็รับมันเอาไว้ด้วยความยินดี

ขนาดของมันประมาณสองฝ่ามือและน้ำหนักก็ไม่ได้หนักอะไรเลยจากนั้นผมก็ได้ชะโงกดูของข้างในด้วยความอยากรู้
 

“นี่คือ….?”

“เอ่ออ มันคือของขวัญแทนคำของคุณสำหรับอาหารที่คุณแบ่งเอามาให้เมื่อวันก่อนค่ะ คือว่าซุปผัก,เนื้อ และมันฝรั่งอร่อยมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
 

วิลเลียสโค้งตัวขอบคุณส่วนนัตสึโอมิก็พยักหน้าตอบ
 

“จริงๆคุณไม่ต้องขอบคุณก็ได้นะเพราะผมเต็มใจให้เองอยู่แล้ว แต่ว่าขอเปิดมันตรงนี้ได้ไหม?”

“ค่ะ ตะ..แต่ว่ามันก็ไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะงั้น..ชะ..เชิญค่ะ”
 

วิลเลียสขอโทษออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำจากนั้นเธอก็หลบสายตานัตสึโอมิพร้อมกับพูดตะกุกตะกัก

เมื่อนัตสึโอมิอ้าถุงออกมาก็เห็นถุงใสๆอยู่ข้างในจากนั้นเขาก็หยิบขึ้นมาก็พบว่าในนั้นมันคือคุกกี้ที่หน้าตาดีบ้างไม่ดีบ้าง

เพราะว่าบางชิ้นก็หน้าตาปกติแต่บางชิ้นก็ไหม้เกรียม
 

“คือว่านี่…ทำเองงั้นเหรอครับ?”
 

พอนัตสึโอมิถามเธอไป วิลเลียสก็พยักหน้าด้วยความอายสุดขีด
 

“ในตอนที่ฉันพยายามหาวิธีที่จะตอบแทนคุณรวมถึงเรื่องที่คุณสอนฉันหารายได้รวมถึงการจัดการค่าใช้จ่าย…ฉันก็ได้ไปเจอกับสูตรนี้ในตอนที่ไปซื้อข้าวกล่องลดราคาจากนั้นฉันก็พยายามทำตามคาตากิริ- แต่ว่าสภาพก็เป็นอย่างที่เห็นเลยค่ะ ขอโทษนะคะ”
 

วิลเลียสขอโทษออกมาอีกครั้งพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้มาประกบกันด้วยความเขินอาย

เหมือนผมจะเคยเห็นสูตรคุกกี้โฮมเมดนี่ที่ตลาดนะมันเป็นสูตรที่ใช้เวลาทำไม่นานและใช้วัตถุดิบไม่เยอะเพราะใช้แค่แป้ง
 

“มันคงจะแปลกสินะคะที่คนอย่างฉันที่ไม่เคยเข้าครัวเลยมาทำของกินเป็นของตอบแทนให้กับคาตากิริซังที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มานาน….ถึงแม้ว่าจะใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็เถอะแต่ฉันก็อยากลองพยายามดู”
 

วิลเลียสพูดต่อเพื่อแก้ตัวพร้อมกับหมุนนิ้วชี้

เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อเลยล่ะที่เจ้าหญิงผู้เย็นชาในตอนนั้นจะมีท่าทางที่เขินอายได้ขนาดนี้

(…..เธอเองก็เขินเป็นเหมือนกับคนอื่นเขาสินะ)

นัตสึโอมิได้ยิ้มให้กับวิลเลียสที่กำลังพูดแก้ตัวอยู่จากนั้นเขาก็หยิบคุกกี้จากในถุงโยนเข้าปาก
 

“อ๊ะ…”

วิลเลียสได้ส่งเสียงสั้นๆออกมาพร้อมกับกลั้นหายใจ

เธอได้จ้องไปที่หน้าของนัตสึโอมิด้วยท่าทางที่ลุ้นระทึก
 

“อร่อยแฮะ คุณทำได้สุดยอดไปเลยละ”
 

คุกกี้นั้นถูกอบมาอย่างดีมันละลายในปากของผมอย่างช้าๆส่วนรสชาติก็มีรสที่เข้มข้นและความหวานของเนยตัดกันได้สมดุดสุดๆและยังมีเกลือที่เพิ่มรสชาติให้มันอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก

นี่เป็นการอบคุกกี้ครั้งแรกก็แปลกหรอกที่จะใช้อุณภูมิของเตาอบไม่ถูกเพราะงั้นมันเลยส่งผลให้มีความนุ่มจนเกินไปหรือไหม้เกรียมจนแข็งมาก ถึงแม้ว่าภายนอกของคุกกี้นี่จะดูเป็นแบบนี้ก็เถอะแต่รสชาติของมันก็ถูกทำขึ้นมาอย่างประณีต

ทันทีที่ใบหน้าของนัตสึโอมิคลายลง วิลเลียสก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับมองไปยังนัตสึโอมิที่กำลังเอาอีกชิ้นเข้าปาก
 

“ฉันดีใจนะคะที่คุณชอบมัน การที่ได้เห็นคนอื่นชอบอาหารของตัวเองนั่นมันทำให้ฉันมีความสุขมากจริงๆเลยค่ะ”
 

วิลเลียสมองไปที่นัตสึโอมิพร้อมกับรอยยิ้มที่สมวัยของเธอ

รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอในตอนนี้ไร้เดียงสาซะจนผมเกือบทำคุกกี้ที่อยู่ในมือหล่นมันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขและสดใสมาก
 

“มันสุดยอดจริงๆนะ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นครั้งแรก…”
 

นัตสึโอมิโดยความเสียหายคริจากรอยยิ้มนั่นเต็มๆเขาถึงกับต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเขิน

แต่เขาก็พยายามพูดออกมาโดยที่โยนคุกกี้เข้าปากไปอีกชิ้นเพื่อปกปิดความเขินของตัวเอง

และพยายามที่จะไม่ให้วิลเลียสสังเกตเห็นใบหน้าของเขาในตอนนี้ ผมไม่ได้อวยนะแต่มันอร่อยจริงๆนี่นา

หลังจากที่กินคุกกี้เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้วนัตสึโอมิก็ได้พูดขอบคุณสำหรับของอร่อยๆแบบนี้
 

“ขอโทษนะครับ ที่ต้องให้มาเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ มันเทียบไม่ได้เลยกับอาหารที่คาตากิริซังทำให้ฉันก่อนหน้านี้ แถมนี่ก็เป็นเงินจากงานของฉันด้วยฉันเลยคิดว่าไม่เป็นไรเพราะว่าได้ใช้เงินเพื่อจุดประสงค์แบบนี้”

ดวงตาสีฟ้าครามของเธอได้หรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจ

“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากเลยนะ”

“ค่ะ ฉันก็ด้วย”
 

นัตสึโอมิพยักกลับด้วยรอยยิ้มที่ฝืนๆส่วนวิลเลียสเธอก็ยิ้มให้นัตสึโอมิอย่างผ่อนคลายพร้อมกับใช้นิ้วเกาสันจมูกเพื่อซ่อนใบหน้าที่เขินอายเล็กน้อยของเธอ

 

“นี่เป็นครั้งแรกจริงๆเหรอครับถ้าจริงผมคิดว่าคุณต้องมีพรสวรรค์ในด้านนี้แน่ๆ”

 
“ถ้าคุณชอบมัน….ฉันก็โล่งใจแล้วค่ะ”
 

วิลเลียสได้หรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างจงใจ
 

“…หรือนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณทำ?”
 

พอนัตสึโอมิพูดแบบนั้นไปใบหน้าของวิลเลียสก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่องที่จะนั่งยองๆขดตัวเหมือนลูกบอล
 

“ค่ะ คืออันที่จริงตอนที่ฉันทำมันค่อนข้างที่ย่ำแย่ฉันเลยทำมันวนไปวนมาถึงสี่ครั้งค่ะ ขอโทษที่ทำได้แค่นี้นะคะ”

“วิลเลียสซังเนี่ยเป็นประเภทที่โกหกไม่ได้เรื่องนี่เอง”
 

นัตสึโอมิอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมากับเรื่องที่ว่าวิลเลียสนั้นเป็นคนที่โกหกได้แย่สุดๆ

วิลเลียสขมวดคิ้วขึ้น ตัวเธอในตอนนี้มีท่าทางที่เขินจัดทำให้เธอดูตัวเล็กสุดๆไปเลย
 

“ไม่ต้องอายไปหรอกครับก็นี่เป็นครั้งแรกนี่นา”

“จะไม่ให้อายได้ไงกันคะ ก็ฉันต้องทำถึงสี่ครั้งเลยหนิคะ”

“ถ้างั้นผมที่ฝึกทำคาราอาเกะซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานับไม่ถ้วนนี่ผมควรจะทำตัวยังไงดีครับเนี่ย”

“เอ๊ะ แม้แต่คาตากิริซังที่ทำอาหารเก่งซะขนาดนั้นก็เจออะไรที่ยากลำบากแบบนั้นด้วยเหรอคะ?”

“ใช่ครับ ในตอนนั้นแค่ไข่ม้วนผมยังทำผิดๆถูกๆอยู่เลยครับ”
 

นัตสึโอมิหวนคิดถึงอดีตของตัวเองพร้อมยิ้มแห้งๆออกมา

สิ่งที่ผมคิดในอดีตก็คือ “แค่ไข่มันจะยากสักแค่ไหนกันเชียวก็แค่ตอกไข่แล้วลงกระทะโครตจะอีซี่”แต่พอทำจริงๆกลับไม่ใช่แบบนั้นถ้าอยากจะให้มันออกมาอร่อยก็ต้องใช้ปริมาณของน้ำมันให้เหมาะสม การใช้อุณภูมิ และต้องมาคอยดูว่าไข่ทั้งสองด้านนั้นสุดแล้วรึยัง

และปีที่แล้วผมก็ได้รู้ตัวด้วยว่าการทำอาหารนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความชอบส่วนบุคคลล้วนๆ เพราะงั้นทุกคนต้องเคยผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วเพื่อตามหารสชาติที่ตนชอบ

ในกรณีของผมนั้น ผมให้เคย์และพี่สาวเป็นหนูทดลองชิมอาหารของผมมันมีทั้งรสหวาน,เปี้ยว,ขมและจืด ปะปนกันไปจนในที่สุดผมก็สามารถทำรสที่ใช่ออกมาได้
 

“เพราะงั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความพยายามครับและผมก็ดีใจมากที่ได้ยินมาว่าคุณพยายามทำเพื่อผมซะขนาดนั้น”

“คาตากิริซัง”
 

ถึงมันจะน่าอายไปหน่อยแต่ผมก็อยากให้วิลเลียสซังรู้ผมเลยตัดสินใจพูดไปและมองไปที่ดวงตาของเธอ

ส่วนวิลเลียสที่มีท่าทางเขินอายนิดหน่อยตอนนี้เธอก็ได้กลับมามีท่าทางผ่อนคลายและมีความสุข
 

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
 

ผมเองก็เป็นคนที่ทำอาหารคนนึงจึงเข้าใจความรู้สึกในตอนที่คนอื่นมีความสุขกับอาหารตัวเองและยังเข้าใจดีอีกด้วยกับคนที่พยายามทำสุดฝีมือเพื่อให้มันออกมาอร่อย

เพราะงั้นผมที่เข้าใจทั้งสองเรื่องดีผมเลยมีความสุขมากที่วิลเลียสซังทำขนมมาให้กับผม ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการทำครั้งแรกของเธอก็ตาม
 

“เมื่อตอนเช้าคุณบอกว่าจะเปลี่ยนตัวเองใช่มั้ยครับ”

“ใช่ค่ะ”

“คุณไม่ต้องฝืนตัวเองไปหรอกนะ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้”

“คาตากิริซัง”
 

นัยน์ตาสีฟ้าครามของวิลเลียสหรี่ลง ท่าทางของเธอในตอนนี้ดูนุ่มนิ่มกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย

ส่วนรอยยิ้มของเธอก็ดูอ่อนโยนและอ่อนหวานจนทำให้นัตสึโอมิยิ้มกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจเขาได้คิดว่า ตัวเองนั้นชอบรอยยิ้มแบบนี้มากกว่ารอยยิ้มที่เท่และเย็นชาในห้องหลายเท่า
 

“ค่ะ ฉันจะพยายามนะ”

“ครับ พยายามเข้าล่ะ”
 

นัตสึโอมิพยักหน้ากลับไปให้วิลเลียสที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขเป็นรอยยิ้มที่สมวัยกับเด็กม.ปลายมากจริงๆ
 

“ถ้างั้นผมจะพาคุณเดินชมรอบโบสถ์นะครับและจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมของงานให้ด้วย”

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
 

นัตสึโอมิได้พาวิลเลียสไปชมรอบๆพร้อมกับอธิบายรายละเอียดของงานที่ค้างเอาไว้

และในตอนนี้นัตสึโอมิรู้สึกได้ว่าตัวเองกับวิลเลียสนั้นเริ่มใกล้ชิดกันขึ้นแล้ว

 

จบตอนที่ 3

 ☆ ☆ ☆ ☆ ☆

ถ้าตอนไหนมีเรื่องเกียวกับศาสนาเยอะๆผมของทำแบบสรุปเลยนะครับแต่ถ้ามีความคิดเห็นยังไงบอกได้เลยนะครับ

 

ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่แปลมังงะ By.Kiruya เลยครับ
 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมได้ดูแลคูเดอเรลล่าข้างห้องและลงเอยด้วยการให้กุญแจบ้านกับเธอไป(I Spoiled “Quderella” Next Door and I’m Going To Give Her a Key to My House) 3.2

Now you are reading ผมได้ดูแลคูเดอเรลล่าข้างห้องและลงเอยด้วยการให้กุญแจบ้านกับเธอไป(I Spoiled “Quderella” Next Door and I’m Going To Give Her a Key to My House) Chapter 3.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

隣のクーデレラを甘やかしたら、ウチの合鍵を渡すことになった

 

[ตอนที่ 3.2: คุกกี้ที่ทำครั้งแรก]

 

“ใช้เวลานานกว่าที่คิดเลยแฮะ..”
 

ขณะที่หรี่ตามองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆตกดิน นัตสึโอมิก็กำลังเดินกลับจากห้องพักครูไปที่โบสถ์พร้อมกับถือถุงที่เต็บไปด้วยกระดาษที่ถูดยัดเยียดใส่มือทั้งสองข้างโดยคาสึมิ

อันที่จริงนี่มันโครตจะหนักเลยคงไม่แปลกที่ร่างเล็กๆของคาสึมิจะยกไม่ไหวแต่อย่างน้อยเธอก็มาช่วยฉันขนไปที่โบสถ์หน่อยสิฟระ

พอเดินใกล้ถึงผมก็ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาออกมาจากประตู

 

“ทำนองแบบนี้นี่มัน…”
 

เป็นเสียงที่ไพเราะและแสนจะคุ้นเคยที่เล็ดลอดออกมาจากประตูที่หนาทึบ

นัตสึโอมิได้เปิดประตูออกเบาๆและพยายามที่จะกลั้นเสียงหอบที่เกิดจากความเหนื่อย
จากนั้นเขาก็ได้พบกับวิลเลียสซังที่กำลังร้องเพลงอยู่คนเดียวในโบสถ์เพลงที่เธอกำลังร้องอยู่ในขณะนี้ก็คือเพลง “The lord of salvation” ซึ่งเป็นเพลงที่มักจะถูกใช้ในพิธีสักการะในวันอิสเตอร์

ถึงจะไม่มีดนตรีประกอบแต่เสียงนั้นก็ชัดเจนนุ่มนวลและอ่อนโยนมากๆ

แสงจากอาทิตย์ยามเย็นส่องไปที่เธอราวกับสปอตไลท์เสียงที่แผ่วเบาของเธอนั้นก้องกังวานไปทั่วทั้งโบสถ์เป็นฉากที่ชวนให้หลงใหลเป็นอย่างมาก

การร้องเพลงของวิลเลียสซังทำให้ผมขนลุกและยังทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากที่ไหนสักแห่งอีกด้วย
 

“อ่ะ…?!คาตา..กิริ-..ซัง”
 

พอวิลเลียสสังเกตเห็นนัตสึโอมิเธอก็ตกใจและได้หยุดร้องเพลง

ดวงตาสีฟ้าครามของเธอก็กลมโตขึ้นพร้อมกับเอามือไปไว้ที่หน้าอกจากนั้นเธอก็มองไปที่นัตสึโอมิด้วยสายตาที่เหมือนลูกแมวกำลังหวาดกลัว
 

“ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังเลยนะ…”
 

นัตสึโอมิได้ขอโทษแบบเดียวกันเหมือนกับวันแรกจากนั้นก็ยิ้มแห้งๆและเดินเข้ามาในโบสถ์ก่อนที่จะปิดประตูส่วนวิลเลียสก็ขมวดคิ้วพร้อมกับเบือนหน้าหนี
 

“เสียงของวิลเลียสซังดีจังเลยนะ คุณเคยเป็นนักร้องประสานเสียงจากที่อังกฤษรึเปล่า?”
 

นัตสึโอมิได้วางถุงที่เต็มไปด้วยกระดาษไว้บนม้านั่งในโบสถ์ก่อนที่จะถามวิลเลียส

เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ตอนอยู่ที่ระเบียงเลยเธอไม่ได้อยู่ในระดับที่ร้องเพลงเป็นงานอดิเรกแต่เป็นระดับที่คุ้นชินกับการร้องเพลงมานาน

ถึงเธอจะไม่ได้นับถือศาสนาแต่เธอก็ได้เข้ารับชื่อในพิธีบัพติศมาแถมเธอยังร้องเพลงโดยที่ไม่ต้องดูเนื้ออีกคงไม่แปลกเลยล่ะถ้าเธอจะเคยเป็นนักร้องประสานเสียงและก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ปฏิเสธอีกด้วย
 

“เธอจะสมัครเข้าเป็นนักร้องประสานเสียงก็ได้นะถ้าอยากหารายได้เพิ่ม”
 

เหมือนกับผมที่เป็นนักเล่นออร์แกนและพวกนักร้องประสานเสียงก็คงจะไม่ปฏิเสธเธอแน่ๆ

โดยเฉพาะงานแต่งงานปกติพวกเขาจะจ้างนักร้องมาแต่ถ้าเป็นวิลเลียสที่ดูจะมีแววด้านนี้ละก็คงได้รับโอกาสมากมายแน่ๆ

ถ้าเธอทำแบบนี้ผมฟันธงได้เลยว่าเธอจะมีรายได้ที่ดีกว่านี้แน่

จากนั้นวิลเลียสก็เผยรอยยิ้มเล็กๆที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าออกมาให้เห็น
 

“ฉันไม่สามารถร้องเพลง..ได้อีกแล้วค่ะ”
 

เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
 

“ฉันไม่มีความมั่นใจที่จะไปร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นค่ะ…”

 

สีหน้าที่เยือกเย็นของเธอทำให้นัตสึโอมิพูดไม่ออก
 
รอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของเธอในตอนนี้นั้นมันเหมือนกับครั้งแรกที่พวกเราได้พบกันมันเป็นรอยยิ้มที่เหงาและอ้างว้างที่เต็มไปด้วยการดูถูกตัวเอง
 

วิลเลียสได้ก้มหน้าลงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและผมของเธอก็ได้ร่วงลงมาปกปิดใบหน้าเอาไว้ราวกับว่าเธอไม่อยากให้นัตสึโอมิเห็นหน้าเธอและอย่าถามอะไรไปมากกว่านี้

น้ำเสียงของเธอในตอนนั้นก็ดูเหมือนจะกล้ำกลืนพูดออกมามันเลยทำให้นัตสึโอมิอึ้งไปสักพักเลยจากนั้นนัตสึโอมิก็ได้รู้ว่านี่เป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนและไม่ควรพูดออกมา
 

“…ขอโทษครับ ผมไม่น่าถามอะไรแบบนั้นออกไปเลย”

“ไม่ค่ะ ฉันควรที่จะเป็นคนขอโทษมากกว่าซะอีก”
 

วิลเลียสได้เงยหน้าขึ้นจากนั้นก็ส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มที่เหงาและอ้างว้าง
 

“งั้นฉันช่วยยกถุงนี่เข้าไปนะคะ”
 

วิลเลียสได้เอามือทั้งสองข้างยกถุงนึงที่วางอยู่บนม้านั่งขึ้นมาจากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในห้องทำงานหลังโบสถ์

ส่วนนัตสึโอมิก็เอนหลังพิงม้านั่งพร้อมกับหลับตานึกถึงเสียงของวิลเลียสก่อนหน้านี้

(….อะไรกันเนี่ยเสียงออกจะดีแท้ๆทำไมถึงได้ขาดความมั่นใจกันล่ะ?)

นัตสึโอมิได้คิดอยู่ในใจพร้อมกับนึกถึงเพลงที่วิลเลียสร้อง

มันคงจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอสินะและนั่นก็เป็นสิ่งที่คนแปลกหน้าอย่างผมไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งด้วย

ถึงจะรู้ว่าไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งก็เถอะแต่ไอ้ความรู้สึกที่คันยุบยิบในใจนี่มันอะไรกัน
 

“……เอาเถอะทุกคนก็คงมีปัญหาเป็นของตัวเองล่ะนะ”
 

นัตสึโอมิได้พึมพำออกมาเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองเข้าไปยุ่งมากกว่านั้นก่อนที่จะถือถุงที่เหลือเข้าไปในห้องทำงาน
 

“….”

“คาตากิริซัง นี่…เอ่อคือฉันไม่ค่อยมันใจว่านี่จะเป็นสิ่งตอบแทนได้รึเปล่า…แต่ว่า”
 

หลังจากที่วางแผ่นพับเอาไว้บนชั้นวางเสร็จแล้ว วิลเลียสก็ได้ยื่นถุงกระดาษเล็กๆมาทางนัตสึโอมิด้วยท่าทางที่ขอโทษขอโพย

“ฉันได้ไปรบกวนที่บ้านของคุณเมื่อวันก่อนเพราะงั้นฉันอยากที่จะขอบคุณและขอโทษค่ะ ถึงมันจะช้าไปหน่อยก็เถอะ..”
 

 

ถึงผมจะไม่รู้ก็เถอะว่าเธอขอโทษเรื่องอะไรแต่ผมก็รับมันเอาไว้ด้วยความยินดี

ขนาดของมันประมาณสองฝ่ามือและน้ำหนักก็ไม่ได้หนักอะไรเลยจากนั้นผมก็ได้ชะโงกดูของข้างในด้วยความอยากรู้
 

“นี่คือ….?”

“เอ่ออ มันคือของขวัญแทนคำของคุณสำหรับอาหารที่คุณแบ่งเอามาให้เมื่อวันก่อนค่ะ คือว่าซุปผัก,เนื้อ และมันฝรั่งอร่อยมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
 

วิลเลียสโค้งตัวขอบคุณส่วนนัตสึโอมิก็พยักหน้าตอบ
 

“จริงๆคุณไม่ต้องขอบคุณก็ได้นะเพราะผมเต็มใจให้เองอยู่แล้ว แต่ว่าขอเปิดมันตรงนี้ได้ไหม?”

“ค่ะ ตะ..แต่ว่ามันก็ไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะงั้น..ชะ..เชิญค่ะ”
 

วิลเลียสขอโทษออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำจากนั้นเธอก็หลบสายตานัตสึโอมิพร้อมกับพูดตะกุกตะกัก

เมื่อนัตสึโอมิอ้าถุงออกมาก็เห็นถุงใสๆอยู่ข้างในจากนั้นเขาก็หยิบขึ้นมาก็พบว่าในนั้นมันคือคุกกี้ที่หน้าตาดีบ้างไม่ดีบ้าง

เพราะว่าบางชิ้นก็หน้าตาปกติแต่บางชิ้นก็ไหม้เกรียม
 

“คือว่านี่…ทำเองงั้นเหรอครับ?”
 

พอนัตสึโอมิถามเธอไป วิลเลียสก็พยักหน้าด้วยความอายสุดขีด
 

“ในตอนที่ฉันพยายามหาวิธีที่จะตอบแทนคุณรวมถึงเรื่องที่คุณสอนฉันหารายได้รวมถึงการจัดการค่าใช้จ่าย…ฉันก็ได้ไปเจอกับสูตรนี้ในตอนที่ไปซื้อข้าวกล่องลดราคาจากนั้นฉันก็พยายามทำตามคาตากิริ- แต่ว่าสภาพก็เป็นอย่างที่เห็นเลยค่ะ ขอโทษนะคะ”
 

วิลเลียสขอโทษออกมาอีกครั้งพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้มาประกบกันด้วยความเขินอาย

เหมือนผมจะเคยเห็นสูตรคุกกี้โฮมเมดนี่ที่ตลาดนะมันเป็นสูตรที่ใช้เวลาทำไม่นานและใช้วัตถุดิบไม่เยอะเพราะใช้แค่แป้ง
 

“มันคงจะแปลกสินะคะที่คนอย่างฉันที่ไม่เคยเข้าครัวเลยมาทำของกินเป็นของตอบแทนให้กับคาตากิริซังที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มานาน….ถึงแม้ว่าจะใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็เถอะแต่ฉันก็อยากลองพยายามดู”
 

วิลเลียสพูดต่อเพื่อแก้ตัวพร้อมกับหมุนนิ้วชี้

เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อเลยล่ะที่เจ้าหญิงผู้เย็นชาในตอนนั้นจะมีท่าทางที่เขินอายได้ขนาดนี้

(…..เธอเองก็เขินเป็นเหมือนกับคนอื่นเขาสินะ)

นัตสึโอมิได้ยิ้มให้กับวิลเลียสที่กำลังพูดแก้ตัวอยู่จากนั้นเขาก็หยิบคุกกี้จากในถุงโยนเข้าปาก
 

“อ๊ะ…”

วิลเลียสได้ส่งเสียงสั้นๆออกมาพร้อมกับกลั้นหายใจ

เธอได้จ้องไปที่หน้าของนัตสึโอมิด้วยท่าทางที่ลุ้นระทึก
 

“อร่อยแฮะ คุณทำได้สุดยอดไปเลยละ”
 

คุกกี้นั้นถูกอบมาอย่างดีมันละลายในปากของผมอย่างช้าๆส่วนรสชาติก็มีรสที่เข้มข้นและความหวานของเนยตัดกันได้สมดุดสุดๆและยังมีเกลือที่เพิ่มรสชาติให้มันอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก

นี่เป็นการอบคุกกี้ครั้งแรกก็แปลกหรอกที่จะใช้อุณภูมิของเตาอบไม่ถูกเพราะงั้นมันเลยส่งผลให้มีความนุ่มจนเกินไปหรือไหม้เกรียมจนแข็งมาก ถึงแม้ว่าภายนอกของคุกกี้นี่จะดูเป็นแบบนี้ก็เถอะแต่รสชาติของมันก็ถูกทำขึ้นมาอย่างประณีต

ทันทีที่ใบหน้าของนัตสึโอมิคลายลง วิลเลียสก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับมองไปยังนัตสึโอมิที่กำลังเอาอีกชิ้นเข้าปาก
 

“ฉันดีใจนะคะที่คุณชอบมัน การที่ได้เห็นคนอื่นชอบอาหารของตัวเองนั่นมันทำให้ฉันมีความสุขมากจริงๆเลยค่ะ”
 

วิลเลียสมองไปที่นัตสึโอมิพร้อมกับรอยยิ้มที่สมวัยของเธอ

รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอในตอนนี้ไร้เดียงสาซะจนผมเกือบทำคุกกี้ที่อยู่ในมือหล่นมันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขและสดใสมาก
 

“มันสุดยอดจริงๆนะ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นครั้งแรก…”
 

นัตสึโอมิโดยความเสียหายคริจากรอยยิ้มนั่นเต็มๆเขาถึงกับต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเขิน

แต่เขาก็พยายามพูดออกมาโดยที่โยนคุกกี้เข้าปากไปอีกชิ้นเพื่อปกปิดความเขินของตัวเอง

และพยายามที่จะไม่ให้วิลเลียสสังเกตเห็นใบหน้าของเขาในตอนนี้ ผมไม่ได้อวยนะแต่มันอร่อยจริงๆนี่นา

หลังจากที่กินคุกกี้เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้วนัตสึโอมิก็ได้พูดขอบคุณสำหรับของอร่อยๆแบบนี้
 

“ขอโทษนะครับ ที่ต้องให้มาเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ มันเทียบไม่ได้เลยกับอาหารที่คาตากิริซังทำให้ฉันก่อนหน้านี้ แถมนี่ก็เป็นเงินจากงานของฉันด้วยฉันเลยคิดว่าไม่เป็นไรเพราะว่าได้ใช้เงินเพื่อจุดประสงค์แบบนี้”

ดวงตาสีฟ้าครามของเธอได้หรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจ

“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากเลยนะ”

“ค่ะ ฉันก็ด้วย”
 

นัตสึโอมิพยักกลับด้วยรอยยิ้มที่ฝืนๆส่วนวิลเลียสเธอก็ยิ้มให้นัตสึโอมิอย่างผ่อนคลายพร้อมกับใช้นิ้วเกาสันจมูกเพื่อซ่อนใบหน้าที่เขินอายเล็กน้อยของเธอ

 

“นี่เป็นครั้งแรกจริงๆเหรอครับถ้าจริงผมคิดว่าคุณต้องมีพรสวรรค์ในด้านนี้แน่ๆ”

 
“ถ้าคุณชอบมัน….ฉันก็โล่งใจแล้วค่ะ”
 

วิลเลียสได้หรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างจงใจ
 

“…หรือนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณทำ?”
 

พอนัตสึโอมิพูดแบบนั้นไปใบหน้าของวิลเลียสก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่องที่จะนั่งยองๆขดตัวเหมือนลูกบอล
 

“ค่ะ คืออันที่จริงตอนที่ฉันทำมันค่อนข้างที่ย่ำแย่ฉันเลยทำมันวนไปวนมาถึงสี่ครั้งค่ะ ขอโทษที่ทำได้แค่นี้นะคะ”

“วิลเลียสซังเนี่ยเป็นประเภทที่โกหกไม่ได้เรื่องนี่เอง”
 

นัตสึโอมิอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมากับเรื่องที่ว่าวิลเลียสนั้นเป็นคนที่โกหกได้แย่สุดๆ

วิลเลียสขมวดคิ้วขึ้น ตัวเธอในตอนนี้มีท่าทางที่เขินจัดทำให้เธอดูตัวเล็กสุดๆไปเลย
 

“ไม่ต้องอายไปหรอกครับก็นี่เป็นครั้งแรกนี่นา”

“จะไม่ให้อายได้ไงกันคะ ก็ฉันต้องทำถึงสี่ครั้งเลยหนิคะ”

“ถ้างั้นผมที่ฝึกทำคาราอาเกะซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานับไม่ถ้วนนี่ผมควรจะทำตัวยังไงดีครับเนี่ย”

“เอ๊ะ แม้แต่คาตากิริซังที่ทำอาหารเก่งซะขนาดนั้นก็เจออะไรที่ยากลำบากแบบนั้นด้วยเหรอคะ?”

“ใช่ครับ ในตอนนั้นแค่ไข่ม้วนผมยังทำผิดๆถูกๆอยู่เลยครับ”
 

นัตสึโอมิหวนคิดถึงอดีตของตัวเองพร้อมยิ้มแห้งๆออกมา

สิ่งที่ผมคิดในอดีตก็คือ “แค่ไข่มันจะยากสักแค่ไหนกันเชียวก็แค่ตอกไข่แล้วลงกระทะโครตจะอีซี่”แต่พอทำจริงๆกลับไม่ใช่แบบนั้นถ้าอยากจะให้มันออกมาอร่อยก็ต้องใช้ปริมาณของน้ำมันให้เหมาะสม การใช้อุณภูมิ และต้องมาคอยดูว่าไข่ทั้งสองด้านนั้นสุดแล้วรึยัง

และปีที่แล้วผมก็ได้รู้ตัวด้วยว่าการทำอาหารนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความชอบส่วนบุคคลล้วนๆ เพราะงั้นทุกคนต้องเคยผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วเพื่อตามหารสชาติที่ตนชอบ

ในกรณีของผมนั้น ผมให้เคย์และพี่สาวเป็นหนูทดลองชิมอาหารของผมมันมีทั้งรสหวาน,เปี้ยว,ขมและจืด ปะปนกันไปจนในที่สุดผมก็สามารถทำรสที่ใช่ออกมาได้
 

“เพราะงั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความพยายามครับและผมก็ดีใจมากที่ได้ยินมาว่าคุณพยายามทำเพื่อผมซะขนาดนั้น”

“คาตากิริซัง”
 

ถึงมันจะน่าอายไปหน่อยแต่ผมก็อยากให้วิลเลียสซังรู้ผมเลยตัดสินใจพูดไปและมองไปที่ดวงตาของเธอ

ส่วนวิลเลียสที่มีท่าทางเขินอายนิดหน่อยตอนนี้เธอก็ได้กลับมามีท่าทางผ่อนคลายและมีความสุข
 

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
 

ผมเองก็เป็นคนที่ทำอาหารคนนึงจึงเข้าใจความรู้สึกในตอนที่คนอื่นมีความสุขกับอาหารตัวเองและยังเข้าใจดีอีกด้วยกับคนที่พยายามทำสุดฝีมือเพื่อให้มันออกมาอร่อย

เพราะงั้นผมที่เข้าใจทั้งสองเรื่องดีผมเลยมีความสุขมากที่วิลเลียสซังทำขนมมาให้กับผม ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการทำครั้งแรกของเธอก็ตาม
 

“เมื่อตอนเช้าคุณบอกว่าจะเปลี่ยนตัวเองใช่มั้ยครับ”

“ใช่ค่ะ”

“คุณไม่ต้องฝืนตัวเองไปหรอกนะ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้”

“คาตากิริซัง”
 

นัยน์ตาสีฟ้าครามของวิลเลียสหรี่ลง ท่าทางของเธอในตอนนี้ดูนุ่มนิ่มกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย

ส่วนรอยยิ้มของเธอก็ดูอ่อนโยนและอ่อนหวานจนทำให้นัตสึโอมิยิ้มกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจเขาได้คิดว่า ตัวเองนั้นชอบรอยยิ้มแบบนี้มากกว่ารอยยิ้มที่เท่และเย็นชาในห้องหลายเท่า
 

“ค่ะ ฉันจะพยายามนะ”

“ครับ พยายามเข้าล่ะ”
 

นัตสึโอมิพยักหน้ากลับไปให้วิลเลียสที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขเป็นรอยยิ้มที่สมวัยกับเด็กม.ปลายมากจริงๆ
 

“ถ้างั้นผมจะพาคุณเดินชมรอบโบสถ์นะครับและจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมของงานให้ด้วย”

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
 

นัตสึโอมิได้พาวิลเลียสไปชมรอบๆพร้อมกับอธิบายรายละเอียดของงานที่ค้างเอาไว้

และในตอนนี้นัตสึโอมิรู้สึกได้ว่าตัวเองกับวิลเลียสนั้นเริ่มใกล้ชิดกันขึ้นแล้ว

 

จบตอนที่ 3

 ☆ ☆ ☆ ☆ ☆

ถ้าตอนไหนมีเรื่องเกียวกับศาสนาเยอะๆผมของทำแบบสรุปเลยนะครับแต่ถ้ามีความคิดเห็นยังไงบอกได้เลยนะครับ

 

ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่แปลมังงะ By.Kiruya เลยครับ
 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+