พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? 27

Now you are reading พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? Chapter 27 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

— ประมาณ 1 เดือนครึ่งก่อนเหตุการณ์ ‘งานเลี้ยงอำลาบาเรน’

— ณ ถนนหลวงสาย 13 A เขตกลางของสาธารณรัฐยูเฟเซีย

ในวันนี้ท้องฟ้ายังคงแจ่มใสเฉกเช่นทุกครา ทว่า ผืนถนนที่ทอดยาวออกไปกลับมีกลุ่มคนรวมตัวกันนับสิบคน

เหล่าบุรุษซึ่งแต่งกายสวมทับด้วยชุดสูทสีดำมองภาพตรงหน้าพลางพิจารณาข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ตรงบริเวณถนนสองแยกซึ่งแตกออกเป็นถนนอีกสองสาย

มองภายนอกเหมือนแก๊งมาเฟียซึ่งไม่น่าจะมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ หากแต่พวกเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนต่างรู้ดีว่ากลุ่มคนซึ่งเปล่งรัศมีดำทะมึนน่าเกรงขามออกมาเหล่านี้ถูกเรียก ‘ไวท์สเปียร์’ 

คมหอกแห่งสาธารณรัฐซึ่งมีหน้าที่เก็บกวาดภัยอันตรายระดับสั่นคลอนประเทศ พวกเขาเป็นหน่วยรบภายใต้การบัญชาการของ ยูโน่ ทาคาฮาชิ — ‘วีรบุรุษแห่งอากเนียร์’

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอายุประมาณ 20 ซึ่งในตอนนี้สวมชุดสูทสีดำทะมึนเช่นเดียวกับพวกลูกน้องและกำลังจับจ้องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติตรงหน้าอยู่

ภายในวงล้อมของหน่วยรบ ‘ไวท์สเปียร์’  คือ รถม้าสีทองและกลุ่มคนนับสิบคนที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

มีชายร่างท้วมหน้าตาคล้ายคางคกคนหนึ่งที่แต่งกายหรูหราอยู่ตรงกลางโดยมีน้ำแข็งเคลือบทั้งตัวราวกับประติมากรรมน้ำแข็ง รอบข้างของเขาคืออัศวินในชุดเกราะสีเงินที่ถูกน้ำแข็งเชื่อมขาติดกับพื้นจนทำให้ขยับไปไหนไม่ได้

ชายร่างท้วมเป็นเจ้านายของอัศวินเหล่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

พอไปสอบถามข้อมูลทั้งจากตัวชายร่างท้วมคนนั้นและอัศวินของเขาก็พบว่า ระหว่างที่กำลังเดินทางมาด้วยกัน พวกเขาได้พบเข้ากับเด็กสาวเร่ร่อนสองคนที่กำลังเดินทางอย่างไร้จุดหมาย พวกเขาก็เลยตัดสินใจยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเธอ

ทว่า อยู่ๆก็โดนเด็กพวกนั้นทำร้ายแล้วแย่งชิงทรัพย์สินไปหลายอย่าง พอรู้ตัวอีกทีก็โดนอีกฝ่ายใช้เวทย์ไร้ร่ายแช่แข็งพวกตนทิ้งเอาไว้กลางถนน พร้อมกับขโมยม้าทั้งหมดไป

ระยะเวลานับตั้งแต่พบกับเด็กพวกนั้นและถูกทิ้งเอาไว้ก็ผ่านมาได้หนึ่งวันพอดี

“คิดว่ายังไงบ้างครับ”

ชายผิวดำหัวล้านซึ่งมีกล้ามโตและมีร่างกายสูงใหญ่เกือบสองเมตรเอ่ยถามยูโน่ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของตนหลังจากที่นำข้อมูลมารายงาน

“คิดว่าข้อมูลนั่นเชื่อถือได้มากแค่ไหน เบนิโต”

ชายหัวล้าน หรือก็คือ รองหัวหน้าหน่วยไวท์สเปียร์ เบนิโต เขาตอบหัวหน้าที่ของเขากำลังทอดสายตาออกไปยังป่าที่อยู่ข้างทาง

“ชายคนนั้นให้ข้อมูลว่าคนหนึ่งอายุประมาณสิบสามปีเป็นวัยรุ่นเพศหญิงที่แต่งกายซอมซ่อราวกับสวมผ้าขี้ริ้วและมีผมสีทอง ส่วนอีกคนที่น่าจะเป็นน้องสาวซึ่งแต่งตัวซอมซ่อไม่แพ้กันและมีเส้นผมสีเงิน เมื่อรวมเข้ากับข้อมูลการร่ายเวทย์น้ำแข็งโดยไม่ต้องร่ายและมีอานุภาพถึงขนาดที่ใช้เวทย์ไฟละลายได้ยากลำบาก คิดว่าต้องเป็นวีรชนเทียมหมายเลข 1374 และ 1375 ไม่ผิดแน่ๆครับ”

เบนิโต ส่ายหัวเบาๆและพูดต่อ

“แน่นอนว่า ข้อมูลที่ได้มาไม่น่าเชื่อถือเลยซักนิดครับ มันต้องเป็นกับดักอย่างไม่ต้องสงสัย”

ว่าแล้ว เบนิโตก็เริ่มอธิบาย

“เป็นที่รู้กันดีว่าหมายเลข 1375 มีความสามารถในการควบคุมจิตใจ ดังนั้นย่อมสามารถบังคับให้พวกเขาเหล่านี้โกหกพวกเราและปลอมข้อมูลรูปพรรณสัณฐานได้ ทว่า 1374 และ 1375 กลับทิ้งหลักฐานเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งๆที่หากคิดตามหลักแล้ว พวกเขาควรจะลบร่องรอยให้มากที่สุด การกระทำที่ขาดความรอบคอบอย่างชัดเจนแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง หากฆ่าปิดปากทิ้งไปเลย ยังจะดูแนบเนียนกว่าเสียอีก”

“…………..”

“นอกจากนี้ยังปล่อยให้ม้าวิ่งหนีไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง ซึ่งมองดูเผินๆ อาจคิดว่าทำเพื่อให้พวกเราสับสนทิศทางที่พวกนั้นหลบหนี ทว่า พวกผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดกลับชี้ไปที่ทิศทางเดียวกันคือถนนทางด้านขวา การหลงเหลือข้อมูลนี้เอาไว้คงคิดจะสร้างความสับสนให้กับพวกเรา…..ซึ่งในกรณีนี้ หากมองในมุมที่อีกฝ่ายใช้ม้าเป็นตัวล่อ ก็ควรจะเอาม้าไปแค่ตัวเดียว แล้วให้ม้าตัวนั้นหนีไปแค่ทางขวา ส่วนพวกตนก็เดินเท้าไปถนนทางฝั่งซ้าย เพื่อหลอกให้พวกเราคิดว่าพวกเธอหนีไปทางขวาด้วยม้า ทว่า การที่ปล่อยออกมาทั้งหมดแบบนี้ ก็ทำให้ใช้ลูกเล่นนั้นไม่ได้ การปล่อยหนีไปทั้งหมดทำให้คิดได้ว่าบางทีพวกนางอาจจะมีจุดประสงค์อื่นแอบซ่อนอยู่นอกจากเส้นทางที่เห็นตรงหน้า”

เพราะอย่างงั้นแล้ว—

ในตอนที่เบนิโตมองมาที่ตน ยูโนก็หยักหน้าแล้วชี้เข้าไปในป่า

“คิดเหมือนกันรึเปล่า เบนิโต”

“ครับ ผมก็คิดว่าพวกนางต้องหนีเข้าไปในป่าแน่ๆครับหัวหน้า”

“นั่นสิ แม้จะดูมีลูกเล่นและวางแผนมาดี แต่ถึงอย่างงั้นเด็กก็ยังเป็นเด็ก ความสามารถในการหลอกลวงยังต้องขัดเกลากว่าจะใช้ได้จริง”

“ครับ….”

“แถมพวกเธอก็ไม่รู้ด้วยว่า พวกเรามีข้อมูลประวัติส่วนตัวทุกอย่างของพวกเธอทั้งหมด จึงทำให้คาดเดาความคิดได้ง่ายมากยิ่งขึ้น”

“ครับ ”

“ไปหาแผนที่มาซ่ะ พวกเราจะวางกำลังกระจายไปยังเมืองต่างๆที่อยู่ใกล้กับป่าแห่งนี้   เบนิโต….นายตามฉันเข้าไปในป่า”

“รับทราบครับ !!!”

หลังจากที่จัดแจงกำลังพลและให้ลูกน้องของตนบางส่วนแยกย้ายไปตามเมืองต่างๆโดยรอบเรียบร้อย ยูโน่ เบนิโต และลูกน้องอีกราวๆสามคนก็เดินทางเข้าไปในป่าเพื่อสำรวจหาร่องรอยของอีกฝ่าย

 

—- 1 เดือนต่อมา

— ณ ป่าอันเงียบสงบ

ยูโน่เดินข้ามลำธารและแม่น้ำจนไปถึงจุดๆหนึ่งซึ่งเคยมีหลักฐานการตั้งแคมป์เป็นกองไฟที่ดับมอดไปแล้ว

“ที่ตำแหน่งนี้เหมือนกับว่าเคยมีการตากผ้ามาก่อนเลยครับ”

เบนิโตชี้ไปยังกิ่งไม้ที่วางตั้งเป็นราวตากผ้า

ยูโน่พยักหน้าเบาๆก่อนจะออกเดินไปข้างหน้าต่อ

“เอ่อ…..เจอแบบเดิมอีกแล้วครับ”

คราวนี้พวกเขาพบกับกองไฟที่มอดไปแล้วซ้ำยังมีราวตากผ้าทำจากกิ่งไม้คล้ายกับที่เห็นก่อนหน้านี้ข้างๆลำธาร

“นี่มัน..น่าประหลาดจริงๆ ระยะทางไม่ได้ไกลกันมากเท่าไหร่ ทำไมถึงต้องตั้งแคมป์ด้วยนะ ? หรือว่าพวกนั้นกำลังวางกับดักบางอย่างหลอกล่อพวกเราอยู่”

“นั่นสิ….”

ยูโน่เก็บคำถามนั้นไว้ในใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินหน้าต่อ

“เอ๋ ?”

“แบบเดิมอีกแล้ว ?”

กองไฟที่ดับมอดและราวตากผ้าจากกิ่งไม้

พวกเขาเจอเป็นจุดที่สาม ทั้งๆที่ห่างจากจุดแรกมาไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร

“ทำไมถึงก่อกองไฟถี่ขนาดนี้ ?”

“นั่นมันก็….ไม่เข้าใจเลยแฮะ”

ยูโน่ทำหน้าตึงเครียด เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะก่อกองไฟติดๆกันโดยไม่ทราบสาเหตุ

“เพราะอะไรกัน ?”

“น่าสงสัย แต่ไม่แน่ว่าอาจจะแค่บังเอิญก็ได้ บางทีอาจจะมีคนตกน้ำระหว่างกระโดดข้ามโขดหินก็ได้”

ยูโน่วัดระยะห่างระหว่างโขดหินที่ใช้ข้ามลำธารแต่ล่ะก้อน

“พูดเป็นเล่นน่าหัวหน้า ความจริงแค่ 1374  สร้างทางเดินน้ำแข็งขึ้นมา พวกนางก็สามารถข้ามไปได้ง่ายๆแล้ว ไม่มีทางตกลำธารถี่ขนาดนี้หรอก ใครมันจะโง่ขนาดนั้นกัน”

“นั่นมันก็จริง …. มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไอ้การที่จะมีคนไถลไปบนพื้นน้ำแข็งแล้วตกน้ำติดๆกัน หรือ ก้าวข้ามโขดหินไม่ผ่านตั้งสามรอบติด”

“นั่นสิครับ ฮ่าๆๆๆ”

“แต่ก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี”

ว่าแล้วพวกเขาก็ทำท่าจะเดินเข้าไปในป่าให้ลึกกว่าเดิม แต่ทว่า ระหว่างนั้นเองก็มีนกพิราบสื่อสารตนหนึ่งบินโฉบลงมา

“นี่มัน ?”

ยูโน่ หยิบกระดาษที่พันอยู่รอบเท้าของนกพิราบสื่อสารขึ้นมาอ่าน

“โทษที ตอนนี้ฉันมีธุระด่วน คงต้องฝากให้นายจัดการที่เหลือต่อแล้วล่ะเบนิโต”

“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ หัวหน้า ?”

“การสร้าง  AHB  (Anti Hero specific serum bullet  ) ตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหมือนเจ้านักวิจัยนั่น..เอริก มันต้องการให้ฉันไปรับของด้วยตัวเองและก็อยากจะให้ลองทดสองดูด้วย”

“ AHB ? อ่อ เจ้าอาวุธต่อต้านวีรชนเทียมที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองสินะครับ เผลอแป๊ปเดียวก็เสร็จแล้วหรอเนี่ย ”

“สำเร็จเร็วจนน่ากลัวความสามารถในการพัฒนาอาวุธของทางเราเลยล่ะ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ทางกระทรวงกลาโหมจะยอมให้ใช้สิ่งนั้นที่ผลิตสำเร็จได้เมื่อสองปีก่อนแล้วด้วย”

“ปืน ? ในที่สุดสาธารณรัฐก็คิดจะงัดเอาแท่งเหล็กนั่นออกมาใช้แล้วสินะครับ”

“อ่า…..คงได้เวลายกระดับความทันสมัยของสงครามขึ้นไปอีกขั้น จินตนาการไม่ออกเลยว่าหลังจากนี้มันจะวุ่นวายมากแค่ไหน”

“แต่ถ้าเรามีปืนอยู่ ก็น่าจะได้เปรียบจักวรรดิเซลเทียไปหลายขุมเลย เผลอๆสงครามในครั้งนี้เราอาจจะชนะก็ได้”

ทว่า พอได้ยิน เบนิโต พูดเช่นนั้น ยูโน่กลับส่ายหน้า

“นายคิดว่าศัตรูของสาธารณรัฐมีแค่จักวรรดิเซลเทียอย่างงั้นหรอ ?”

“หมายความว่ายังไงครับ ?”

เบนิโตขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“นายรู้รึเปล่าว่าข้อดีของปืนมีอะไรบ้าง ?”

“พลังทำลาย ความเร็ว  และ ความแม่นยำ เป็นอาวุธแห่งยุคสมัยใหม่ที่จะพลิกโฉมสงครามทำให้ยุคสมัยที่ต่อสู้ด้วยดาบและธนูสิ้นสุดลง”

“เหมือนนายจะลืมไปอย่างหนึ่งนะ”

“ลืม ?”

“อีกข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ ปืน เป็นอาวุธที่สามัญชนที่ไม่มีเวทมนต์ก็สามารถใช้ได้”

“ไม่จริงน่า ? หัวหน้า คุณคงไม่ได้คิดใช่ไหมว่า เหตุผลที่สาธารณรัฐไม่เอาปืนมาใช้ซ่ะทีเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่อยากให้ประชาชนรับรู้ถึงการคงอยู่ของมัน ?”

“ใช่….สำหรับสาธารณรัฐของเรา ไม่มีศัตรูไหนที่น่ากลัวไปกว่าประชาชนที่พวกเขาเป็นผู้ปกครองอีกแล้ว การมาถึงของปืนจะทำให้สามัญชนที่ถือครองมันสามารถใช้ปืนเป็นอาวุธต่อกรกับรัฐบาลได้ ดังนั้นที่ผ่านมาจึงเก็บขั้นตอนการผลิตเป็นความลับและผลิตมาเป็นจำนวนจำกัดมาโดยตลอด นายก็รู้ดีใช่ไหมว่า ประชาชนจำนวนมากไม่ชอบใจการปกครองของรัฐบาลทหารในตอนนี้”

“อึก !….นั่นมันก็ใช่ครับ ถ้างั้นทำไมรอบนี้ถึงเอามาใช้ละ ?”

ได้ยินดังนั้น ยูโน่ก็อธิบาย

“เพราะ AHB คือกระสุนปืนชนิดพิเศษซึ่งฝังแร่ที่มีคุณสมบัติรบกวนแก่นมนตราเอาไว้อยู่  โดยการจะเร่งปฏิกิริยาให้ แร่ใน AHM ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในปัจจุบันมีแค่อาวุธปืนเท่านั้นที่สามารถทำได้”

“แต่ถ้าอย่างงั้น ให้แค่พวกเราใช้ก็พอ ความลับทางการทหารนี่ก็น่าจะพอเก็บเอาไว้ได้นิครับ”

“ทางเบื้องบนคงประเมินว่าการต่อกรกับหมายเลข 1375 จำเป็นต้องใช้ทหารล้อมจับเป็นจำนวนมาก ทำให้ยากจะปิดบังการคงอยู่ของปืนอีกต่อไป หรือบางที พวกเขาก็อาจจะต้องการสร้างความปั่นป่วนภายในให้กับทางจักวรรดิเซลเทีย”

“ความปั่นป่วนภายใน ?”

“นายก็รู้ดีนี่ว่าความสามารถในการเก็บงำความลับข้อมูลทางการทหารของสาธารณรัฐ มันห่วยแตกถึงขนาดสายลับจากจักวรรดิเดินมาหยิบข้อมูลออกไปได้ง่ายๆ เผลอๆป่านนี้ฝั่งนั้นก็คงมีแบบเปลนการสร้างปืนเหมือนกับพวกเราไปแล้วแน่ๆ”

“อ่าว ? ถ้างั้นทำไมฝั่งนั้นถึงไม่เอาปืนมาใช้เลยล่ะครับ”

“ทางนั้นก็มีเหตุผลเดียวกับพวกเรานั่นแหล่ะ”

“ประชาชน  ?”

“ใช่…ยิ่งจักวรรดิเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสายเลือดบริสุทธิ์ และ ให้ค่าคนที่มีพลังเวทย์มากกว่าคนที่ไม่มีพลังเวทย์ พวกคนที่เกิดมาพร้อมพลังเวทย์จะมีหน้ามีตาในสังคม ต่างจากผู้ไร้ซึ่งพลังเวทย์ที่เป็นได้แค่ชนชั้นแรงงานและทาส การปกครองโดยระบอบกษัตริย์ขุนนาง มันเหลื่อมล้ำยิ่งกว่าการปกครองโดยเผด็จการทหารของพวกเราเสียอีก เพราะขนาดประเทศของเราเลิกทาสไปแล้ว ทางฝั่งนั้นยังมีระบอบทาสอยู่เลย…ไม่สิ จริงๆแล้ว ประชาชนในประเทศของเราตอนนี้ทุกคนก็ไม่ต่างจากทาสของพวกท่านผู้นำอยู่แล้ว…… เอาจริงๆก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น แต่ถ้าพูดถึงความเคียดแค้นต่อระบอบการปกครอง ทางฝั่งนั้นกินขาดกว่าพวกเราอยู่หลายขุม”

“หมายความว่า หัวหน้าคิดว่า สาเหตุที่อีกฝั่งไม่กล้าเอาปืนมาใช้ ก็เพราะกลัวว่าพวกทาสและสามัญชนจะใช้มันโค่นล้มระบอบขุนนางอย่างงั้นสินะครับ”

“อ่า ลองนึกภาพดูสิ ยุคสมัยที่สามัญชนจับอาวุธปืนเข้าห้ำหั่นกับพวกจอมเวทย์ที่ถือไม้กายสิทธิ์….รัฐบาลทหารของพวกเราอุ้มคนเก่งเป็นงานอดิเรกและลำลายหลักฐานเก่งอยู่แล้ว ต่างจากขุนนางฝั่งจักวรรดิที่ยึดถือลำดับชั้นและฆ่าสามัญชนง่ายๆเป็นผักปลาโดยไม่พยายามทำลายหลักฐานเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ขุนนางจักวรรดิก็เป็นไอ้สารเลวที่ฆ่าคนทิ้งตรงๆและไม่เคยคิดว่ามันผิด แต่ทหารของรัฐบาลทหารคือไอ้ชาติชั่วที่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด ก็เลยทำลายหลักฐานทิ้งแล้วก็ยังทำในเรื่องที่ผิดศีลธรรมต่อไปภายใต้คำโกหกสวยหรู ทั้งสองฝั่งต่างกันแค่ไอ้เลวที่ตอแหลกับไม่ตอแหลก็เท่านั้นเอง”

“ฮ่าๆ ถ้าพวกนายพลมาได้ยินเข้าคงควันออกหูแน่เลยครับ”

“ไว้ตอนนั้นค่อยเอาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรค้ามนุษย์ที่พวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องไปขายให้นักการเมืองฝั่งตรงข้ามก็พอ นายก็รู้ดีว่า นักการเมืองของเรากัดกันเก่งไม่แพ้พวกขุนนาง”

“เป็นมุขตลกร้ายที่ขำไม่ออกเลยครับ”

“อ่า….”

“เข้าใจละ เท่าที่ฟังมา พวกผู้บริหารคงประเมินว่า หากพวกประชาชนรับรู้ถึงการคงอยู่ของปืน ประชาชนของเราคงไม่มีกำลังก่อการปฏิวัติด้วยปืนมากเท่ากับพวกประชาชนของจักวรรดิที่อัดแน่นความแค้นต่อการปกคอรงของขุนนางเต็มเปี่ยมนี่เอง ”

“เผลอๆทางเราที่มีกำลังผลิตมาก คงคิดจะแจกอาวุธให้ประชาชนของฝั่งนู้นฟรีๆเลยมั้ง”

“จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่ภายในประเทศตีกันเอง ทำการโจมตีปิดฉากทีเดียวจบ”

“ถ้าง่ายขนาดนั้นก็ดี แต่คงใช้แผนนั่นฉวยโอกาสชิงดินแดนมาบางส่วนระหว่างที่ฝั่งโน้นตีกันเองแน่ๆ”

“เฮ้อ…..ไม่ไหวๆ การเมืองนี่เป็นเรื่องยากจริงๆ”

“ภารกิจในครั้งนี้ก็เกี่ยวกับปัญหาทางกรเมืองด้วยนั่นแหล่ะ”

พูดจบยูโน่ก็หันหลังแล้วโบกมือให้ลูกน้องของเขา

“ฝากจัดการที่เหลือด้วย ไว้เสร็จเมื่อไหร่จะรีบกลับมา”

“ครับ ! ”

ฟ้าวววววว

ชั่วพริบตานั้นเอง ร่างของยูโน่ก็พุ่งทะยานทิ้งห่างออกไปด้วยความเร็วราวกับดาวหางจนถึงขั้นทำให้มีสายลมกรรโชกที่พัดใบไม้บนต้นไม้ร่วงหล่นลงมา

“ยังเป็นเวทย์เสริมพลังกายที่น่าทึ่งไม่เปลี่ยนเลย”

“มองตามไม่ทันเลยครับ”

“สมแล้วที่เป็นวีรบุรุษของพวกเรา”

เบนิโตชื่นชมหัวหน้าของตนร่วมกับลูกน้องที่เหลืออยู่ ก่อนจะออกคำสั่งให้ตามรอยวีรชนเทียมต่อ

“เอ๋ ?”

ทว่า การไล่ล่าหลังจากนั้น เขาก็ต้องพบกับหลักฐานน่าสงสัยที่ชวนให้กุมหัวอีกจนได้

“เจอกองไฟและราวตากผ้าอีกแล้ว ? แถมตั้งสองจุดในระยะห่างกันแค่นิดเดียวอีกด้วย !? นี่มันห้าจุดเลยนะ !? แถมดูจากสภาพกองไฟแล้ว เหมือนกับว่าจุดด้วยเวลาไล่เลี่ยกันไม่นานด้วยเรอะ ?”

เป็นการกระทำที่น่าสงสัย แต่ก็ไม่อาจหาจุดประสงค์ที่ซ่อนเร้นอยู่ได้

ด้วยประสบการณ์อันโชกโชน เบนิโตไม่คิดว่า อีกฝั่งจะทำแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล

“เพราะอะไร ? ทำไมกัน ? หรือว่ากองไฟเหล่านี้มันมีอะไรพิเศษอย่างงั้นหรอ ?”

“ท่านรองหัวหน้าครับ !?”

ทันใดนั้นเอง ลูกน้องคนหนึ่งก็ยื่นแผนที่ให้กับเขา

“นี่มัน !?”

เมื่อกางออกมาดู เบนิโตก็ถึงกับอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง

“วงเวทย์อย่างงั้นหรอ ?”

ตำแหน่งกองไฟทั้งห้าจุด อยุ่ในระยะห่างที่แทบจะสมมาตรกันทุกจุด หากลากเส้นเชื่อมต่อจุดล่ะสองเส้น มันก็จะได้ออกมาเป็นวงเวทย์รูปดาวห้าแฉก

“ไม่น่าเชื่อ ? ว่ากองไฟพวกนี้จะมีจุดประสงค์ลับแอบซ่อนอยู่ เยี่ยมมากที่ดูออก !!!”

“ขอบคุณครับ ท่านรอง !”

ทีนี้ปัญหาอีกอย่างของเขาก็คือ วงเวทย์ที่อีกฝ่ายกำลังสร้างมันคืออะไรกันแน่

ตัวเบนิโตไม่ได้สงสัยเลยว่า การก่อกองไฟเหล่านี้จะมีจุดประสงค์อื่นอย่างเช่น มีเด็กสาวคนหนึ่งซุกซนจน

ตกน้ำไปตั้ง 5 รอบ

“แต่มองแค่นี้ เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายวาดวงเวทย์เอาไว้ทำไม แต่ผู้ที่ครอบครองแก่นมนตราย่อมมีพลังที่จะดำเนินพิธีการของมหาเวทย์ได้”

จะสร้างอะไรออกมากันนะ ?

ภัยธรรมชาติอย่างงั้นหรอ ?

จะว่าไปก็ได้ยินมาว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้ครอบครองแก่นกลางแห่งวายุ ได้สร้างพายุยักษ์เป่าพวกทหารที่สะกดรอยตามทิ้งไปพร้อมๆกับหมู่บ้านที่พวกนั้นแอบซ่อนตัวอยู่ซ่ะด้วย

บางที เจ้า 1374 และ 1375 ก็อาจจะวางแผนชั่วร้ายบางอย่างไม่ต่างจาก ผู้ครอบครองแก่นกลางแห่งวายุ กระมั้ง

“อึก ! นี่มันประมาทไม่ได้เลย”

เผลอๆ การหาความลับของวงเวทย์นี่ อาจจะเดิมพันด้วยชีวิตของผู้คนจำนวนมากก็เป็นได้

“หรือว่าจะบังเอิญ…..ไม่สิ ไม่มีทางเป็นไปได้”

เนื่องจากเบนิโตประเมินคู่ต่อสู้ของตนสูงเกินไป เขาเลยทิ้งคำตอบที่ถูกต้องไปซ่ะแล้ว

“ทุกคน…ถอยออกไปจากที่นี่ก่อน ไว้รอกำลังเสริมแล้วค่อยกลับมาใหม่ดีกว่า แล้วก็กำชับให้วางกำลังทหารปิดทางเข้าออกของป่าเอาไว้ทุกทาง อย่าให้ใครเข้ามาได้ ….รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยจริงๆ”

เป็นลางสังหรณ์ที่ผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง

หลังจากนั้นเบนิโตก็เล่นใหญ่รัชดาจัดเต็มปิดทางเข้าออกของป่าและเลื่อนการค้นหาออกไปเพราะความระแวงต่อวงเวทย์ที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวไอริซเลยซักครั้ง

นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้การพบตัวเด็กสาวทั้งสองคนต้องเลื่อนออกไปนานกว่าที่ควร

หากในวันนั้น เบนิโต ไม่ตัดสินใจเช่นนี้ ในอีกไม่กี่วันถัดมา เขาจะต้องเจอกับไอรินที่กำลังไข้ขึ้นอย่างแน่นอน

นี่จึงเป็นข้อผิดพลาดครั้งสำคัญที่ไม่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ซึ่งแม้แต่เบนิโตเองก็ไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด