พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? 29

Now you are reading พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? Chapter 29 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในโลกใบนี้ขอทานสามารถพบเห็นได้อยู่ตามท้องถนน

ว่ากันว่า สิ่งที่เรียกว่างานบุญการกุศล คือ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการของภาครัฐ

ทว่า ใน ยุคสมัยที่ภาครัฐบริหารทุกอย่างล้มเหลวตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ งานบุญการกุศลก็คงไม่ได้รับความนิยมซักเท่าไหร่ เพราะผู้คนที่อดยากแล้งแค้นย่อมไม่มีเวลาไปใส่ใจคนอื่นนอกจากตัวเอง

จะยกเว้นก็แค่ พวกชนชั้นสูงที่ชอบเสแสร้งเป็นคนดีด้วยการทำตัวเป็นคนใจบุญสุนทาน 

ทำเป็นบริจาคเงินให้ชุมชนทั้งๆที่เศษเงินพวกนั้นคือน้ำพักน้ำแรงที่รีดไถมาจากชาวเมืองอีกที

ดังนั้น ตราบใดที่ไม่มีเศรษฐีหรือพวกชนชั้นสูงเดินผ่านมา อาชีพขอทาน มันก็ปราศจากซึ่งความหวังแต่อย่างใด

มันคือหนทางสุดท้ายในการเอาชีวิตรอด เหมาะสำหรับคนที่ในชีวิตนี้ไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองด้วยวิธีอื่นได้อีก

ไม่มีใครเอาเวลามาช่วยเหลือคนอื่น ถ้าแม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด

กระนั้นแล้ว ในบางครั้งที่ฉันมองเข้าไปในขันของขอพวกทานเหล่านั้น แม้จะมีเพียงแค่น้อยนิดจนแทบจะไร้ประโยชน์ แต่ข้างในนั้นก็ยังมีเงินอยู่จริงๆ

— ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ก็ย่อมมีคนดีอยู่ทุกที่

แม้จะด่วนสรุปว่าคนที่โยนเศษเหรียญเข้าไปในขันเหล่านั้นจะเป็นคนดีจริงรึเปล่า บางทีคนๆนั้นอาจเป็นหัวขโมยที่อยากชดใช้ความผิดด้วยการเสแสร้งเป็นคนดี หรือ บางทีคนๆนั้นคือจอมโกหกหลอกลวงที่สวมหน้ากากเป็นคนดีแล้วลับหลังทำเรื่องแย่ๆโดยใช้หน้ากากคนดีหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อ

แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็เชื่ออยู่เสมอว่าแม้จะแห่งหนใด โลกใบนี้ย่อมมีคนดีอยู่ทุกที่

ฟังๆดู มันอาจจะโลกสวยไปซักหน่อย ไม่สิ อาจจะโลกสวยมากๆเลยต่างหาก

เพราะมองตามสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ย่ำแย่ ทั้งถนนที่ผุพังและผู้คนที่สัญจรไปมาอย่างรวดเร็วโดยไม่สนว่าจะเดินชนกันและกัน รวมถึงศพที่นอนตายอยู่ข้างถังขยะซึ่งส่งกลิ่นเหม็นโชยแต่กลับไม่มีใครสนใจ อีกทั้งยังพวกเด็กๆท่าทางหม่นหมองที่นั่งเกาะกลุ่มกันอยู่ในตรอกซอยมืดๆ

 

— โลกใบนี้ยังมีสิ่งดีงามใดๆหลงเหลืออยู่อีกด้วยหรอ ?

 

ซักวันหนึ่ง ไอรินก็คงจะถามฉันแบบนั้น 

แน่นอนว่าคำตอบที่ว่า น้องคือสิ่งดีงามของโลกใบนี้ มันก็ไม่ได้ตอบข้อสงสัยที่เธอกำลังนึกสงสัยจริงๆ

ทำไมถึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่แสนน่ารังเกียจนี่

ทำไมถึงต้องยอมรับมนุษย์ที่ก่อให้เกิดสังคมอันเน่าเฟะนี้ขึ้นมา

ทำไมพวกเราถึงต้องยิ้มรับและแสร้งทำเป็นคนดีเพื่อเปลี่ยนแปลกโลกใบนี้ที่ไม่เคยต้อนรับพวกเรา

เด็กคนนั้นสงสัยในสิ่งที่เด็กๆควรจะสงสัย บ่อยครั้งที่คำถามของเด็กๆพวกนั้น พวกเรากลับไม่สามารถให้คำตอบได้เพราะสุดท้ายคำตอบของพวกเรา มันก็เป็นเพียงคำตอบมัดมือชกของกลุ่มคนที่ถูกสังคมแย่งชิงเหตุผลบางอย่างไป

แน่นอนว่า ถ้าให้ตอบไปตามตรง คำตอบนั่นก็คงไม่มีเศษเสี้ยวของความหวังและแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย

 

— เพื่อที่จะไม่แย่งชิงความหวังของเด็กๆพวกนั้น เหมือนกับที่พวกผู้ใหญ่แย่งชิงมันไปจากพวกเรายังไงล่ะ

 

บางทีคำตอบลึกๆข้างใน อาจขมขื่นและไม่ได้งดงามเหมือนกับที่ฉันเฝ้ากรอกหูให้เด็กคนนั้นฟังทุกๆวันก็เป็นได้

แล้วก็ บางทีคนที่สวมหน้ากากและพูดโกหกอาจเป็นคนที่รักและเชื่อใจตัวเรายิ่งกว่าใครๆ

กระนั้นแล้ว สำหรับโลกใบนี้ สิ่งที่เรียกว่า ‘ความจริง’ มันก็คือ ‘คำโกหก’ที่คงอยู่ตลอดไป

แน่นอนว่าคนที่จะตัดสินว่าใครเป็นยังไง มันก็ต้องเป็นเด็กคนนั้นไม่ใช่ตัวฉันคนนี้

ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันอยู่ขวักไขว่ ฉันเดินไปตามทางพลางคิดว่าจะแวะไปร้านขนมปังที่ไหนดี

ทว่า ก่อนที่ฉันจะก้าวไปได้ไกลมากนัก ฉันก็ได้ยินเสียงสนทนาของพวกทหารรักษาการณ์ที่เดินผ่านไป

“ช่างมันเถอะ ทิ้งไว้ตรงนั้นแหล่ะ ปล่อยมันเน่าไป”

“ยังไงก็เป็นศพไม่มีญาติอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องสืบเลยว่าใครเป็นคนร้าย”

“เฮ้อ…เสียเวลาชะมัด”

มองตามเส้นทางที่พวกเขาเดินจากมา ฉันก็เดินย้อนรอยตามกลับไป

ผ่านร้านแผงลอยสองสามร้าน ผ่านผู้คนที่เดินกันขวักไขว่และก้มหน้ามองแต่เพียงพื้น

แสงแดดนั้นสว่างสดใส แต่ภายในตรอกซอยอันอับชื้นที่อยู่เบื้องหน้าฉัน มันกลับมืดหม่นและหดหู่

ตรงถังขยะที่มีขยะกองสุมเป็นพะเนิน ซ้ำร้ายยังมีกลิ่นเหม็นชวนให้อาเจียน

บนสุดของกองขยะ มันกลับมีร่างของเด็กสาวท่าทางมอมแมมที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆห่อหุ้มนอนทับอยู่

ดวงตาหลับสนิท เรือนผมสีน้ำตาลแห้งกรังแต่งแต้มด้วยของเหลวสีดำคล้ำ

ที่กลางอกมีรอยคล้ายกับวัตถุมีคมบางอย่างเสียบทะลุอกของเธอ เลือดสีคล้ำที่แข็งตัวไปนานแล้วกลายเป็นสีดำแต่งแต้มกลางร่างของตัวเธอ มีแมลงวันสีเขียวๆบินตอมร่างของเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยเฉพาะบาดแผลเปิดที่กลางอกซึ่งพวกแมลงวันเกาะกลุ่มกันแน่นเป็นพิเศษ

ฉันสะบัดมือไล่พวกมันออกไปและต้องหลบไม่ให้พวกมันที่บินว่อนมาโดนตัว จากนั้นก็เอามือยื่นไปคลำชีพจรของเธอ โดยพยายามอดทนต่อกลิ่นเหม็นที่โชยออกมาจากกองขยะและร่างของเด็กสาว

“………………”

ก็รู้ทั้งรู้อยู่ว่าไม่มีทางรอด แต่สุดท้ายฉันก็ต้องยอมรับว่าร่างกายที่เย็นเฉียบนี้คงไม่มีวันเคลื่อนไหวอีกต่อไป

“…………”

อายุก็คงพอๆกับไอริน แถมอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าและมีวัตถุมีคมเสียบอยู่กลางอกแบบนี้ ถ้าถ่างขาของเธอออกและตรวจเช็คดูก็คงรู้ว่าก่อนหน้าที่เธอตายจะต้องเจอกับเรื่องโหดร้ายอะไรมาบ้าง กระนั้นแล้วแม้จะรู้ไป ตัวฉันก็ไม่ใช่นักสืบมากความสามารถที่จะรู้ได้อยู่ดีว่าใครกันเป็นผู้สังหารเด็กสาวจรจัดคนนี้

สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ก็มีแค่เอาผ้าขาวห่อหุ้มตัวเธอขึ้นมาแล้วพาร่างที่ไร้วิญญาณไปพักผ่อน ณ ห้วงลึกของป่าอันเงียบสงบ

ทว่า ในตอนนี้ไม่มีผ้าขาวเหลืออยู่ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะรีบไปซื้อมาให้เด็กสาวแปลกหน้าคนนี้

ตึก…ตึก…ตึก

ทว่า หลังจากที่ฉันเดินออกมาจากซอยได้ประมาณไม่กี่นาที ทันใดนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งวิ่งสวนฉันเข้าไปในตรอกซอยเมื่อกี้นี้

“นอแมน ?”

ใช่แล้ว ชายผู้นั้นก็คือ นอแมน เอเดนทรอย นักสืบเอกชนที่มีอาชีพเสริมเป็นขอทานนั่นเอง

เสื้อผ้าซอมซ่อและขันที่อยู่ในมือขวา ดูเหมือนว่า ในตอนนี้บทบาทของเขาจะยังเป็นขอทานอยู่

“???”

ฉันมองภาพของนอแมนที่พุ่งเข้าไปในซอยนั่น ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าศพของเด็กสาวแปลกหน้าคนนั้น

กึก !

เป็นภาพที่ยากจะเชื่อ

นอแมนคนนั้นก้มหัวให้ร่างของเด็กสาวทีหนึ่งก่อนจะนำร่างของเด็กสาวยัดใส่กระสอบสีขาวที่ตัวเขาเอาติดตัวมาด้วย

ชายหนุ่มผมทองยกศพของเด็กสาวในกระสอบขึ้นมาด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิง ก่อนจะเดินผ่านผู้คนที่ทำหน้าบิดเบี้ยวจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่โชยออกมาจากศพของเด็กสาว

“ไม่น่าเชื่อ ?”

คนๆนั้นทำเพื่อคนอื่นได้ด้วย ?

ไม่จริงน่า อาจจะเป็นคนร้ายตัวจริงที่เป็นคนฆ่าเด็กสาวและหาทางกำจัดศพรึเปล่า คนพรรคนี้เนี่ยนะที่จะช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล

ด้วยความสงสัยฉันเลยแอบสะกดรอย เดินตามชายคนนี้ไปจนถึงนอกเมือง

ที่บริเวณป่าซึ่งอยู่ติดกับเมือง ถ้าเดินเลยไปอีกนิดหน่อยก็คงถึงป่าแห่งความตายที่เต็มไปด้วยซอมบี้และสเกเลตันอยู่มากมาย ความมืดที่ไร้ซึ่งแสงสว่างส่องเข้าไปถึงทำให้รับรู้ได้ถึงอันตราย ตรงข้ามกันกับป่าแห่งนี้ที่พวกเราอยู่ซึ่งมีแส่งสว่างลอดผ่านช่องว่างของแมกไม้

แต่หากเดินออกไปอีกซักประมาณห้าสิบเก้า พื้นดินที่เขียวขจีก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเพื้นทรายที่หยาบกระด้าง เส้นแสงที่แบ่งระหว่างแสงสีขาวของป่าอันเขียวขจีและแสงสีดำของป่าช้าที่บรรยากาศวังเวงจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

นอแมนหยุดเดินก่อนที่จะข้ามเส้นแบ่งเข้าสู่ป่าแห่งความตาย เบื้องหน้าของเขาคือหลุมเล็กๆที่มีพลั่วปักอยู่บนพื้น

“แบบนี้ไม่ผิดแน่ๆ”

มีขุดดินเตรียมไว้ก่อนซ่ะด้วย !?

นอแมนคนนี้ต้องทำอะไรมิดีมิร้ายกับเด็กสาวคนนี้ก่อนฆ่าปิดปากแน่ๆ เขาคือฆาตรกรอย่างไม่ต้องสงสัย 

ทว่า ทันใดนั้นเองเขาก็หยิบดอกไม้ออกมาจากขันที่อยู่ในมือแล้ววางมันลงบนร่างของเด็กสาว ก่อนจะโปรยผงขาวๆบางอย่างลงไปตามร่างของเธอ

เสร็จแล้วเขาก็ก้มหน้าลงแล้วหลับตาประมาณหนึ่งนาทีราวกับกำลังไว้อาลัย

“จะบอกว่าทำพิธีศพให้เด็กคนนี้จริงๆงั้นหรอ ?”

แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ขยะแมนพรรคนั้นเนี่ยนะช่วยเหลือคนแปลกหน้า

แต่ก่อนที่ฉันจะตกใจมากไปกว่านี้ นอแมนก็เดินไปยังใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีของวางกองอยู่

แก๊งๆๆ 

เขายื่นมือไปคว้าสิ่งของขึ้นมาเต็มสองมือ แล้วเดินตรงกลับมาที่ร่างของเด็กสาวใหม่

“อะ…เอ๋ ?”

เริ่มจากเอาฟืนมากอง เอาใบไม้มารอง แล้วก็เอาไม้มาฝนๆจนเกิดเป็นประกายไฟ

ฟู่ๆๆๆๆๆ

หลังจากที่แรงเสียดทานทำให้ไม้ติดไฟ เขาก็วางมันลงไปบนฟืนที่กองเอาไว้จนเกิดเป็นกองเพลิงขนาดกลางๆขึ้นมา

“ฮึบ !”

เสร็จแล้ว เขาก็ส่งเสียงฮึด ก่อนจะถือมีดขนาดยักษ์และจานตรงไปที่ร่างของเด็กสาว

ที่ตรงกองไฟก็มีกระทะและหม้อวางตั้งทิ้งไว้อยู่

“อะเร๊ะ  ? อะเร๊ะ ?”

ฉันได้แต่มองตาค้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า

นอแมนค่อยๆลงมีดขนาดยักษ์ลงบนแขนของเด็กสาว

ครืดๆๆๆๆๆ

เสร็จแล้วก็ แควก ! ไอ้หมอนี่มันหั่นแขนของเด็กผู้หญิงคนนั้นออกมาเฉยเลยอ่ะ !!!!

เฮ้ย ! เดี๋ยวดิ จะว่าไปไอ้ผงขาวๆที่โรยลงบนศพของเด็กคนนี้เมื่อกี้ มันคืออะไรนิ !?

มันต้องไม่ใช่แป้งแน่ๆ เม็ดขาวๆสะเก็ดเล็กๆ ระ ระ ระ หรือว่า มันคือเกลืออย่างงั้นหรอ !?

มีดพร้อม กองไฟพร้อม หมอ กระทะ และ จานพร้อม

อะ อะ อะ อย่าบอกนะว่า

“เฮ้อ…หลุดซ่ะที”

ฉันได้แต่มองสวะแมนเอาแขนเด็กสาววางใส่จานด้วยความตกตะลึง

ไม่ใช่แล้วๆๆ นี่มันไม่ใช่แล้ว

“ว้ากกกกกก”

ฉันรีบพุ่งออกไปแล้วง้างแขนขึ้นสุดแรง

“เอ๊ะ ! นี่เธอ ? ทำไมถึงมาอยู่ที่—”

ในตอนที่เขามองมาทางฉันด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและมีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสน

ฉันก็กระโดดสุดแรงเกิดแล้วเอาแขนกระแทกเข้ากับใบหน้าของสวะแมน

“อั้ก !!!”

โครมมมมมม

เสียงกระแทกดังสนั่นหวั่นไหว สว่ะแมนล้มหน้าคว่ำหลังจากโดนฉันโจมตีด้วยท่ามวยปล้ำ

ฉันรีบแย่งแขนของเด็กสาวมากอดแล้วตวาดใส่สวะแมนด้วยเสียงสั่นๆที่จวนเจียนจะร้องไห้

 

“โหดร้าย ! เลวที่สุด ! คุณมันต่ำช้าที่สุดเลย !!! ถึงจะหิวจนเจียนตายมากแค่ไหน ก็อย่าเอาศพมาต้มกินสิยะ !”

 

หลังจากที่โดนฉันว่าออกไปเช่นนั้น ขยะแมนก็แสร้งทำหน้าเหลอหลาใส่เฉยเลย

 

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

 

“แล้วสรุปว่า ?”

“ก็บอกว่าไม่ได้เอามาต้มกินยังไงเล่า !!!”

หลังจากที่ซัดหมอนี่ไปรอบนึง  นอแมนก็พยายามปฏิเสธข้อสันนิษฐานของฉัน แม้ว่าจะมีหลักฐานคาตา

“แต่กระทะ หม้อ มีด พร้อมขนาดนี้ จะให้เชื่อได้ยังไงกันล่ะคะ ?”

“นั่นมันก็แค่ของๆเด็กคนนี้ต่างหาก”

“ของๆเด็กคนนั้น ?”

“ช่ายแล้ว ฉันก็แค่ไปเก็บทรัพย์สินส่วนตัวของเด็กคนนี้มาต่างหาก”

“รู้ได้ยังไง ? ได้ยินมาว่าเด็กคนนี้เป็นขอทานไม่ใช่หรอ มันจะไปมีกระทะ หม้อ และ มีดพร้อมขนาดนี้ได้ยังไง ?”

“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ ได้ข้อมูลมาจากมิตรสหายร่วมอาชีพมาน่ะ”

“นักสืบด้วยกันเอง ?”

“ขอทานต่างหาก”

“สรุปอาชีพหลักของคุณคืออะไรกันแน่เนี่ย ?”

“นักสืบที่ดีต้องเป็นได้ทุกอย่างตั้งแต่สัปปะเหร่อยันสายลับ”

“เอิ่ม….”

“อ๊ะ !?”

“มีอะไรหรอคะ ”

“ปะ ปะ เปล่า ไม่มีอะไร๊ !”

อยู่ๆนอแมนก็ขึ้นเสียงสูง คนนี้นี่แปลกคนจริงๆ

“เอาเป็นว่า ฉันได้ข้อมูลประวัติคร่าวๆเกี่ยวกับเด็กคนนี้มากก่อนน่ะ”

เขาเล่าว่า เด็กคนนี้เคยเป็นลูกสาวของพ่อครัวคนหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ทว่า ด้วยเศรษฐกิจช่วงหนึ่งที่ซบเซาลงอันเป็นผลจากความตึงเครียดบริเวณชายแดน มันก็ทำให้ร้านอาหารของเขาขาดทุนจนต้องเลิกกิจการ เด็กสาวและพ่อของเธอสูญเสียทรัพย์สินเกือบทุกอย่างหลงเหลือแต่เพียงเครื่องครัวที่เป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพของทั้งคู่

“สุดท้ายระหว่างที่พยายามตั้งตัวขึ้นมาใหม่จาก 0 คุณพ่อของเด็กคนนี้ก็ดันมาล้มป่วยตายซ่ะก่อน”

สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ของเด็กสาวมีเพียงแค่เครื่องครัวซึ่งเป็นของดูต่างหน้าของคุณพ่อ

“ระหว่างนั้นเด็กสาวที่เป็นคนเร่รอนก็พยายามใช้เครื่องครัวเหล่านี้เพื่อพลิกชีวิตของตัวเองขึ้นมา จะว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กสาวจรจัดก็คงไม่ถูกซักเท่าไหร่ เธอมีเงินติดตัวอยู่บ้างแม้ไม่เยอะมาก ควรจะเรียกว่าไร้ญาติพี่น้องเฉยๆ เพราะงั้นต่อให้ละเลยคดีนี้ไป มันก็ไม่มีใครมาเอาผิดเจ้าหน้าที่อยู่ดี”

ไม่มีใครเอาเวลามาสนใจศพของเด็กสาวที่ไม่มีใครรู้จักหรอก

ยังไงเจ้าหน้าที่ก็ได้เงินเดือนเท่าเดิมก็เลยปล่อยผ่านคดีนี้ไป

มันก็แค่คดีฆาตรกรรมคนเร่รอนที่เห็นได้ทั่วไปอยู่แล้ว

นอแมนพูดดด้วยท่าทีเฉยเมย ก่อนจะมองไปยังร่างของเด็กสาวที่กำลังมอดไหม้อยู่ในกองเพลิง

“เพราะงั้นก็เลยต้องเอามาเผาก่อนที่จะฝัง หากฝังไปทั้งๆแบบนั้นพวกสัตว์ป่าจะมาคุ้ยศพขึ้นมากินได้ ก็เลยหั่นก่อนจะได้เผาง่ายๆ ส่วนหม้อ กระทะ พวกนี้ มันก็แค่ของที่เด็กคนนี้จะนำติดตัวไปด้วยก็เท่านั้นเอง”

“ไม่ได้จะเอาไปขายต่อ ?”

“เดี๋ยวดิ ! แล้วทำไมฉันต้องทำเรื่องแบบนั้นด้วยละ ?”

“ไม่ใช่หรอ ?”

“ก็ต้องไม่ใช่น่ะสิเฮ้ย !”

เฮ้อ….

นอแมนถอนหายใจ ก่อนจะท้าวคางมองกองไฟที่อยู่ตรงหน้าเงียบๆ

จะว่าไปพอคนๆนี้อยู่เฉยๆก็มองดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย

ช่างต่างจากคนไม่ได้ความที่เจอเมื่อวานซ่ะเหลือเกิน

ทำไมกันนะ ?

รุ้สึกสงสัยขึ้นมานิดหน่อย

“ทำไมถึงช่วยเด็กคนนี้อย่างงั้นหรอคะ ?”

“……………….”

“ทั้งๆที่ปล่อยผ่านเพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เหมือนกับที่คนอื่นทำก็ได้แท้ๆ”

“……………..”

“เรื่องนั้นนะน่ะ—-”

ชายหนุ่มมองไปยังกองไฟที่ค่อยๆแผดเผาร่างของเด็กสาวจนไหม้เกรียม

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ ??? ”

“แต่ถ้าไม่มีใครซักคนทำมันเลย เด็กคนนี้ก็คงน่าสงสารน่าดู”

“…………”

“ไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่ หรือ เกี่ยวข้องกับความดีงามอะไรทั้งนั้น”

ชายหนุ่มแหงนมองท้องฟ้าพลางพูดพึมพำด้วยเสียงที่เบาหวิว หากแต่มันกลับดังก้องอยู่ภายในป่าที่มีแค่พวกเรา

“มันก็แค่สิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆควรทำ แต่ล่ะเลยมันไปเองต่างหาก เหมือนกับทหารรักษาการณ์พวกนั้นที่ไม่ยอมตามหาคนร้ายไง”

“……………”

“การช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือความมีเมตตา มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา แต่มันเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งพวกเราทุกเคนเคยมี แต่กลับสูญเสียมันไปเองต่างหาก”

“…………..”

“เพราะงั้นแทนที่จะถ้าถามว่าทำไมถึงช่วย จริงๆแล้วเด็กๆอย่างพวกเธอควรถามว่า ทำไมถึงไม่ช่วยต่างหาก ?”

พูดจบชายหนุ่มก็ค่อยๆลุกขึ้นมา

ใบหน้าเรียบเฉยของเขาในครั้งนี้ ยากจะคาดเดาอารมณ์ต่างกับที่แล้วๆมา

“อ่า ให้ตายสิ ท่าทางจริงจังแบบนี้ไม่เข้ากับฉันเลยแฮะ”

เพี๊ยะ !

นอแมนตบหน้าตัวเองทีหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำหน้าตากวนส้นเท้าเหมือนทุกครั้ง

“เฮ้อ…หิวข้าวแล้วสิ ไว้เสร็จจากนี้ เดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงล่ะกัน ชวนน้องสาวมาด้วยสิ”

“ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินหรอ ?”

“ฮึ ! อย่าดูถูกอาชีพเสริมของฉันสิ”

ว่าแล้ว นอแมนก็โชว์ขันที่มีเงินใส่เอาไว้จำนวนนึง

“ขอทานมืออาชีพน่ะ เขามีรายได้ประจำและมีเทคนิคในการเรียกลูกค้าอยู่แล้ว”

พอเขาพูดออกมาแบบนั้น ฉันก็ได้แต่ยืนขึ้นบ้างและถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เฮ้อ…สุดท้ายคุณก็กลับมาทำตัวเหลวไหลอีกจนได้”

“เหลวไหล ? พูดอะไรกัน ตัวฉันมันก็เป็นตัวฉันแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

“ค่าๆ จะกลบเกลื่อนต่อไปก็แล้วแต่เลยค่ะ แต่อย่างน้อยเมื่อกี้นี้ฉันก็รู้สึกเข้าใจคุณขึ้นมานิดหน่อย”

ในขณะที่นอแมนยังคงยักไหล่และยิ้มอย่างกวนโอ้ยเหมือนทุกครั้ง ฉันก็มองร่างที่เหลือแต่เถ้าถ่านพลางคิดว่า หลังจากนี้คงเรียกชายผู้นี้ว่า ขยะแมน หรือ สวะแมน อย่างตะขิดตะขวงใจมากขึ้น

 

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

 

—- นี่ นั่งตากฝนอยู่ตรงนี้ไม่หนาวอย่างงั้นหรอ ?

—ไม่ !ขอทานมืออาชีพน่ะ เขาไม่หวั่นไหวกับอีแค่ฝนตกหรอกนะ

— เอ๋ ?

— ในฐานะรุ่นพี่ ฉันขอแนะนำนะสาวน้อย ขอทานที่เก่งกาจจะต้องเรียกคะแนนความน่าสงสงสารเก่ง เพราะงั้นขอทานที่ตากฝนไม่เป็น มันก็แค่ขอทานเกรด C 

— อือออ ไม่เอาอ่ะ หนูไม่อยากจะเป็นขอทานแบบคุณลุงซักหน่อย

— คุณลุง ? เรียกว่าพี่ชายเถอะ ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้น !!!

— ก็ได้ค่ะพี่ชาย ว่าแต่นั่งตากฝนขนาดนี้ไม่หนาวหรอ ?

— เรื่องแค่นี้สบายมาก ฮะ ฮะ ฮั๊ดซิ้ว !

— เห็นไหม เป็นหวัดจนได้ เอาซุปอุ่นๆซ่ะหน่อยไหมคะ ?

— อะ อะ โอ้ววว ขอบใจมาก …..อึก ! แข็งงงงง นี่เธอใส่ก้อนหินแทนเนื้อเพื่อเพิ่มรสชาติเนี่ยนะ ?

— ก็มันหาไม่ได้นี่นา

— ไม่ไหวๆ ของแบบนี้ใครมันจะไปกินลงกันเล่า !?

— ฮึ่ม ! อย่าทิ้งแบบนั้นสิคะ เสียดายของอ่ะ

— ของแบบนี้ใครมันจะไปกระเดือกลงกัน !!!

— กินๆไปเถอะน่า ไว้ซักวันหนึ่งที่หนูตั้งตัวได้ รับรองได้เลยว่าคุณลุง…..คุณพี่ชายจะต้องติดใจน้ำซุปที่หนูทำอย่างแน่นอน

— อะไรกัน ? มาเป็นขอทานกับพวกพี่ดีกว่า หาเงินได้ง่ายกว่าเยอะ ถ้าเข้าคอร์สติวของคุณพี่ชายคนนี้ ขอรับรองเลยว่าเธอจะกลายเป็นขอทานชั้นยอดได้แน่ๆ

— ไม่เป็นไรคะ ไม่ว่ายังไงหนูก็ไม่อยากเป็นขอทาน หนูจะต้องกลับไปเปิดร้านอาหารเหมือนคุณพ่อให้ได้

— แหม จะทำได้จริงๆหรอ ?

— ต้องทำได้สิคะ ! ถ้าหนูเป็นขอทานไปด้วยอีกคน แล้วอย่างงั้นใครจะคอยเอาน้ำซุปหรืออาหารมาบริจาคให้พวกคุณพี่ชายกันละคะ ?

— อึก ! ทำไมถึงรู้สึกเหมือนโดนดูถูกไปได้เนี่ย ?

— อ่อ แล้วก็ๆ ไว้ซักวันหนึ่งถ้าหนูเปิดร้านได้ เดี๋ยวจะจ้างพวกพี่ชายมาเป็นลูกมือให้เอง ตั้งหน้าตั้งตารอไว้ได้เลยค่ะ !!!

— ฮึ ! เพ้อเจ้อชะมัด จะรอแบบไม่คาดหวังอะไรล่ะกัน

— ฮุๆๆ คอยดูล่ะกัน หนูจะทำให้คุณพี่ชายตกใจจนหน้าหงายเลย !!!

 

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ และ กองเพลิงที่กำลังแผดเผารอยยิ้มของเด็กสาวจนมอดไหม้

ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มผมทองคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่

ไอริซที่รู้จักเขาเพียงแค่ผิวเผินคงไม่มีทางเข้าใจรอยยิ้มของเขาในตอนนี้อย่างแน่นอน

 

— สุดท้ายก็ตกใจจนหน้าหงายในอีกความหมายจนได้

 

“นี่สาวน้อย รู้รึเปล่าว่า ในยุคสมัยแบบนี้ มันไม่ควรกินทิ้งกินขว้างนะ”

“เพ้ออะไรอีกหรอคะ คุณนอแมน”

“เปล่าก็แค่คิดว่าขอทานมือาชีพน่ะ ต่อให้เป็นซุปที่ปรุงด้วยก้อนหิน มันก็ควรจะทานให้หมดไม่ใช่หรอ ? ตัวฉันในตอนนั้นคงยากจะเลี้ยงว่าขอทานมือหนึ่งของโลกแน่ๆ”

“อ่า….วางกาวลงก่อนเถอะ ฉันตบมุขไม่ถูกแล้วค่ะ”

ฮ่าๆๆๆ

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะชูมือขึ้นมา โดยไม่สนสายตาหยะแหยงของเด็กสาว

“บางที ฉันก็คิดนะ—”

เสียงพึมพำของเขาไม่รู้ว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าจะได้ยินรึเปล่า

 

“โลกใบนี้อาจจะมีคนดีอยู่มากมาย แต่ทว่าโลกใบนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคนดี”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด