ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 158.2 ความกังวลใจของฉินอ๋อง (2)

Now you are reading ยอดหญิงอันดับหนึ่ง Chapter 158.2 ความกังวลใจของฉินอ๋อง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้เฒ่าเถียนสายตาตกตะลึง เห็นได้ชัดว่ายังคงสงสัยอยู่ “จริงหรือ ยืนยันเอาเอง เจ้าจะพูดอย่างไรก็ได้นี่”  

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยกล่าว “ผู้เฒ่าเถียนก็รู้ว่าชิ่งเอ๋อร์จะพูดอย่างไรก็ได้ หากจะโกหก ก็โกหกตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว จะอ้ำอึ้งให้พวกท่านสงสัยไปทำไมกัน”  

 

 

ผู้เฒ่าเถียนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้ยินเพียงสีหน้าหลี่ว์ปาที่ผ่อนคลายลง รอยยิ้มแผ่กระจายไปบนหน้าอันหยาบกร้านคล้ายกับคลื่นทะเล “ก็ว่าสาวน้อยอย่างเจ้าจะไปมีความกล้าหาญขโมยของกับไอ้เด็กบ้าเสียวเถี่ยนี่ได้อย่างไร แล้วยังจะไปมีความกล้าจับตัวคนของฉินอ๋องต่อหน้าทหารทางการมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร ที่แท้ก็มีประสบการณ์แต่แรกนี่เอง! ฮ่าๆ! สาวน้อยคนนี้ เป็นโจรป่าแต่กำเนิดเลยนี่!”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกระทืบเท้าแล้วแอบหยิกตนเอง กลั้นเอาไว้จนหน้าและคอแดงไปหมด แล้วห้ามเขาไม่ให้พูดต่อ “ลูกพี่หลี่ว์!”  

 

 

“ฮ่าๆ…” หลี่ว์ปาเห็นนางโวยวายขึ้นมาเหมือนเด็กบ้านป่า ตอนนี้หน้าแดง ใบหน้าอันผอมโซนั้นมีชีวิตชีวามากขึ้น เพิ่มความสดใสให้คิ้วที่บางและตาที่ตี่มากขึ้นเช่นกัน รอยยิ้มในดวงตาของเขาก็ทวีขึ้น แล้วโบกมือ “ช่างเถอะๆ ไม่พูดแล้วๆ”  

 

 

ลูกพี่ใหญ่เอ่ยปากแล้ว กลุ่มคนผ้าเหลืองที่เหลือก็ไม่พูดอะไรต่อ แล้วก็คึกคักตามๆ กัน กลับมาเป็นบรรยากาศเฉกเช่นก่อนหน้า  

 

 

ขณะที่กำลังคึกคักกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงลองเชิงและพิจารณาของผู้เฒ่าลอยมาจากในกลุ่มคน “ได้ยินมานานว่าปืนไฟของคนตะวันตกนั้นช่างร้ายกาจนัก หอกดาบของชาวฮั่นนั้นมิอาจเทียบได้ วันนี้ได้เห็น สมดั่งคำร่ำลือจริงๆ เพียงแค่ยิงไปบนฟ้าก็สามารถทำให้คนหวาดกลัวกันได้ ในกองทัพพวกเราตอนนี้มีปืนไฟกระบอกนี้ดียิ่งนัก คิดว่าพวกของฉินอ๋องนั้นจะต้องหวั่นเกรงเป็นแน่…”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าผู้เฒ่าเถียนนั่นหมายความว่าอย่างไร อยากได้ปืนไฟของตน นางดึงชุดมาคลุมปืนไฟหลังเอวเอาไว้ แล้วส่งเสียงร้อง  หึ!  “ข้ามาเข้าร่วมกับลูกพี่หลี่ว์ ก็เพราะได้ยินเสียวเถี่ยบอกว่าลูกพี่หลี่ว์เป็นคนมีคุณธรรม อย่าพูดถึงแย่งของเลย ขนาดสิ่งที่ควรได้ ยังปฏิเสธไม่ยอมรับไว้เลย ปืนไฟที่ข้าเอาออกมาตอนบ้านถล่ม ก็เพราะเห็นว่าหลังจากภัยพิบัติบ้านเมืองต้องวุ่นวาย อยากจะพกไว้ป้องกันตัว ของนี้ล่อสายตานัก เดิมทีข้าไม่อยากให้ใครเห็น วันนี้หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าลูกพี่หลี่ว์มีภัย ก็คงไม่เอาออกมาใช้งาน! แต่หากใครอยากจะยื้อแย่งไป ข้าก็ไม่ยอมเป็นแน่!”  

 

 

ในห้องโถงบรรยากาศตึงเครียดขึ้นมา  

 

 

ผู้เฒ่าเถียนขมวดคิ้วอันขาวโพลงของเขา กำลังจะเอ่ยปากพูด หลี่ว์ปาก็พูดขึ้นมาก่อน “สาวน้อยชิ่งเอ๋อร์เป็นผู้หญิง ในเวลาวุ่นวายเช่นนี้ มีอาวุธป้องกันตัวไว้เป็นเรื่องที่สมควร ปืนไฟถึงแม้จะดี แต่กองทัพของเรา จะพึ่งเพียงปืนไฟกระบอกนี้อย่างเดียวนั้นก็ไร้ประโยชน์ เจ้าวางใจได้ สาวน้อย ปืนไฟของเจ้าเป็นของส่วนตัว ไม่มีใครแย่งแน่นอน!”  

 

 

ได้ยินคำพูดนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็วางใจ หลี่ว์ปาถึงแม้จะนิสัยบุ่มบ่ามผลีผลามไปบ้าง แต่นิสัยดั้งเดิมนั้นไม่ใช่คนร้าย อย่างน้อยจะไม่รังแกคนอ่อนแอกว่า  

 

 

ผู้เฒ่าเถียนเห็นว่าหลี่ว์ปาออกปากเอง ใบหน้าอันชราก็เสียอารมณ์ สายตาก็ยิ่งดูเจ้าเล่ห์ดุร้าย แล้วก็พินิจดูสาวน้อยผู้นี้อีกรอบ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป  

 

 

หลังจากวันนั้น ฐานะในกลุ่มผ้าเหลืองของอวิ๋นหว่านชิ่นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อได้ช่วยหลี่ว์ปาเขียนประกาศติดในเมืองแล้ว ก็ยิ่งได้รับความเชื่อถือมากขึ้น  

 

 

เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเขียนประกาศและสาสน์นั้นจงใจเปลี่ยนลายมือไป เมื่อเทียบกับลายมือที่เคยชินแล้ว จะดูทื่อกว่าอยู่บ้าง คำประโยคก็จะเรียบง่ายตรงไปตรงมา ให้เหมาะสมกับความรู้ที่เรียนหนังสือมาสองปีเป็นพอ  

 

 

ถึงจะเป็นเช่นนั้น เมื่อหลี่ว์ปาถือประกาศสองสามแผ่นนั้นขึ้นมาก็ยังคงชื่นชมไม่หยุดหย่อน ยิ้มไม่หุบ สาวน้อยผู้นี้ สมกับที่มีพี่ชายที่เป็นครูสอนหนังสือเสียจริง  

 

 

เพียงแค่ตัวหนังสือที่เหยียดตรงงดงามแต่ละบรรทัด เมื่อเทียบกับประกาศที่ลูกน้องเคยเขียนตัวเอียงเบี้ยวเหมือนไส้เดือนนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าห่างไกลกันกี่โยชน์  

 

 

เมื่อให้คนอ่านให้ฟัง หลี่ว์ปาก็ยิ่งชื่นชมไปใหญ่ คมคายไหลลื่น เหล่าชาวบ้านเห็นแล้วก็จะไม่คิดว่ากลุ่มผ้าเหลืองเป็นพวกบ้าบิ่นตัวใหญ่ไร้สมอง แต่ยังมีคนที่มีการศึกษาด้วย  

 

 

กลุ่มคนผ้าเหลืองส่วนมากนั้นเป็นคนยากจน รู้หนังสือไม่กี่ตัว ถึงแม้จะมีที่อ่านออกเขียนได้บ้าง แต่ก็รู้ไม่หมด แล้วจะไปเขียนบทความแต่งกลอนเขียนประโยคที่สมบูรณ์ได้อย่างไร ผู้เฒ่าเถียนข้างกายหลี่ว์ปานั้นมีความคิด วางแผนออกความเห็นได้ แต่เรียนหนังสือมาไม่มาก งานด้านการเขียนนั้นสู้สาวน้อยผู้นั้นไม่ได้  

 

 

เพียงไม่กี่วัน แม่นางชิ่งเอ๋อร์ผู้นี้ก็กลายเป็นกุนซือของกลุ่มคนผ้าเหลืองไปโดยสิ้นเชิง  

 

 

เพียงไม่กี่วัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็พอจะรู้สถานการณ์ปัจจุบันของเมืองเยี่ยนหยางแล้ว  

 

 

กลุ่มคนผ้าเหลืองที่มีหลี่ว์ปาเป็นหัวหน้านั้นยึดครองพื้นที่ทางใต้ และทางตะวันตกของเมือง ที่เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยกันแออัดมากที่สุด  

 

 

ส่วนพระราชนิเวศน์ของฉินอ๋องประจำการอยู่ที่พื้นที่โล่งว่างทางเหนือของเมือง ข้าหลวงสวีของเมืองเยี่ยนหยางและผู้ตรวจการเหลียง และขุนนางพื้นที่ที่หนีออกไปได้ ต่างก็หลบภัยอยู่ที่ค่ายชั่วคราว  

 

 

ทางตะวันออกเป็นที่ค่อนข้างเปลี่ยวร้างของเมืองเยี่ยนหยาง มีหมู่บ้านขนาดกลางและเล็กกระจายอยู่ หมู่บ้านตระกูลเว่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่นี่มีคนชราที่เดินไม่ไหวอาศัยอยู่ เงียบสงัดว่างเปล่า ไม่มีใครปกครองชั่วคราว เชื่อมต่อกับเขาหม่าโถวนอกเมืองเยี่ยนหยางโดยตรง  

 

 

เมื่อกลุ่มคนผ้าเหลืองออกไปปิดประกาศ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เคยตามออกไปสองสามครั้ง  

 

 

ชาวบ้านทางใต้และทางตะวันตกของเมืองส่วนมากประมาณเจ็ดแปดส่วนไม่ได้ต่อต้านการกระทำของกลุ่มคนผ้าเหลือง บางคนถึงขนาดกับปกป้อง  

 

 

ประการแรก ชาวบ้านต่างก็โมโหกับเรื่องที่ราชสำนักหักเสบียงช่วยเหลือ อีกประการหนึ่ง หลี่ว์ปานั้นเกิดในตลาด ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดียิ่งนัก ถึงแม้จะเป็นช่างตีเหล็ก ฐานะไม่ร่ำรวย แต่มีเมตตามีน้ำใจแบ่งปัน วันนี้ให้อาหารคนแก่ พรุ่งนี้ซ่อมบ้านให้หญิงหม้าย ในสายตาชาวบ้านหลายๆ คนนั้น ต่างก็เห็นว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจ ถึงแม้วันนี้จะต่อต้านราชสำนัก ก็เพราะถูกบีบบังคับจนถึงทางตัน จนใจจนปัญญาจึงต้องทำ ฉะนั้น ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็มักจะให้เสบียงและสิ่งของกันหนาว ส่งมาให้ที่จวนทางการไม่เว้นแต่ละวัน  

 

 

ชาวบ้านที่เหลืออีกสองสามส่วนนั้น บางส่วนรู้ว่าการกระทำของกลุ่มคนผ้าเหลืองนั้นเนรคุณอย่างยิ่ง แต่กลับไม่กล้าล่วงเกิน รักษาความเป็นกลางเอาไว้ ไม่ออกเสียงใด  

 

 

สรุปก็คือ ชาวบ้านเมืองเยี่ยนหยางส่วนมากก็โอนเอนมาทางหลี่ว์ปา  

 

 

กลุ่มคนผ้าเหลืองก็ปิดประกาศอย่างสม่ำเสมอ ไม่ก็ตำหนิเรื่องที่ทางการหักเสบียงเอาไว้ ไม่ก็เป็นคำโปรยประเภท ‘ใต้หล้าเป็นของประชาชน’ ‘กระจายความร่ำรวยช่วยเหลือบ้านเมือง’ ‘ทุกคนมีข้าวกิน’ ทำให้ผู้คนที่ยังลังเลไม่แน่นอนกับคนที่มีความทะเยอทะยานอยากจะฉวยโอกาสท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ต่างก็อยากจะออกมาเคลื่อนไหว  

 

 

จากการที่คอยสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดหลายวันมานี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็พบว่าผู้เฒ่าแซ่เถียนผู้นั้นก็สนิทสนมกับหลี่ว์ปาจริงๆ  

 

 

มีหลายครั้งที่หารือกันเกี่ยวกับเรื่องภายในกลุ่มคนผ้าเหลือง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ติดตามอยู่ข้างกาย ก็ได้สังเกตเห็นว่าหลี่ว์ปาเชื่อฟังความเห็นและคำแนะนำของผู้เฒ่าเถียนเป็นอย่างมาก  

 

 

บางครั้งทั้งสองก็ปิดประตูห้องหารือกันอย่างลับๆ ไล่ลูกน้องคนอื่นๆ ออกไปทั้งหมด ทุกครั้งที่คุยกันเสร็จแล้ว ผู้เฒ่าเถียนก็จะออกไปข้างนอกเพียงลำพัง  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะตามไปดูอยู่หลายครั้ง แต่ผู้เฒ่าเถียนฉลาดหลักแหลมนัก พาผู้ติดตามแบ่งเป็นหลายกลุ่มกระจายตัวกัน ทำให้ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ พอสลัดผู้ติดตามไปได้ ก็ไม่เห็นเงาของผู้เฒ่าเถียนนั่นแล้ว  

 

 

รู้เพียงว่าเขาออกจากจวนทางการแล้ว ก็เดินไปทางตะวันออกของเมืองทุกครั้ง  

 

 

ก่อนวันนี้ตอนกลางวัน หลี่ว์ปาเรียกลูกน้องมาที่ห้องเพื่อหารือเรื่องเสบียง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ถูกเรียกมาเช่นกัน  

 

 

ทุกคนยืนล้อมรอบโต๊ะไม้สี่เหลี่ยม นางยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาแล้วเงี่ยหูฟัง  

 

 

ข้าวสารในคลังเสบียงของจวนทางการน้อยลงทุกวัน ครั้งก่อนหลังจากการใช้ตัวประกันไปขอเสบียงกับทหารค่ายบัญชาการนั้นล้มเหลว ปัญหานี้ก็กลายเป็นเรื่องยากที่ต้องการการแก้ไขในขณะนี้ จะหวังพึ่งเพียงเสบียงและสิ่งของกันหนาวที่ชาวบ้านส่งมาให้ก็ไม่ได้  

 

 

ขณะนี้ กลุ่มคนผ้าเหลืองนอกจากกองกำลังบวกกับเหล่าญาติสนิทมิตรสหายแล้ว ชายหญิงคนแก่และเด็กนั้นรวมกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันราย ในแต่ละวันเพียงอ้าปากก็จะต้องกินแล้ว เสบียงลดลงอย่างรวดเร็ว ข้าวสารหลายถังในคลังเสบียงก็เห็นก้นถังแล้ว  

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 158.2 ความกังวลใจของฉินอ๋อง (2)

Now you are reading ยอดหญิงอันดับหนึ่ง Chapter 158.2 ความกังวลใจของฉินอ๋อง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้เฒ่าเถียนสายตาตกตะลึง เห็นได้ชัดว่ายังคงสงสัยอยู่ “จริงหรือ ยืนยันเอาเอง เจ้าจะพูดอย่างไรก็ได้นี่”  

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยกล่าว “ผู้เฒ่าเถียนก็รู้ว่าชิ่งเอ๋อร์จะพูดอย่างไรก็ได้ หากจะโกหก ก็โกหกตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว จะอ้ำอึ้งให้พวกท่านสงสัยไปทำไมกัน”  

 

 

ผู้เฒ่าเถียนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้ยินเพียงสีหน้าหลี่ว์ปาที่ผ่อนคลายลง รอยยิ้มแผ่กระจายไปบนหน้าอันหยาบกร้านคล้ายกับคลื่นทะเล “ก็ว่าสาวน้อยอย่างเจ้าจะไปมีความกล้าหาญขโมยของกับไอ้เด็กบ้าเสียวเถี่ยนี่ได้อย่างไร แล้วยังจะไปมีความกล้าจับตัวคนของฉินอ๋องต่อหน้าทหารทางการมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร ที่แท้ก็มีประสบการณ์แต่แรกนี่เอง! ฮ่าๆ! สาวน้อยคนนี้ เป็นโจรป่าแต่กำเนิดเลยนี่!”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกระทืบเท้าแล้วแอบหยิกตนเอง กลั้นเอาไว้จนหน้าและคอแดงไปหมด แล้วห้ามเขาไม่ให้พูดต่อ “ลูกพี่หลี่ว์!”  

 

 

“ฮ่าๆ…” หลี่ว์ปาเห็นนางโวยวายขึ้นมาเหมือนเด็กบ้านป่า ตอนนี้หน้าแดง ใบหน้าอันผอมโซนั้นมีชีวิตชีวามากขึ้น เพิ่มความสดใสให้คิ้วที่บางและตาที่ตี่มากขึ้นเช่นกัน รอยยิ้มในดวงตาของเขาก็ทวีขึ้น แล้วโบกมือ “ช่างเถอะๆ ไม่พูดแล้วๆ”  

 

 

ลูกพี่ใหญ่เอ่ยปากแล้ว กลุ่มคนผ้าเหลืองที่เหลือก็ไม่พูดอะไรต่อ แล้วก็คึกคักตามๆ กัน กลับมาเป็นบรรยากาศเฉกเช่นก่อนหน้า  

 

 

ขณะที่กำลังคึกคักกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงลองเชิงและพิจารณาของผู้เฒ่าลอยมาจากในกลุ่มคน “ได้ยินมานานว่าปืนไฟของคนตะวันตกนั้นช่างร้ายกาจนัก หอกดาบของชาวฮั่นนั้นมิอาจเทียบได้ วันนี้ได้เห็น สมดั่งคำร่ำลือจริงๆ เพียงแค่ยิงไปบนฟ้าก็สามารถทำให้คนหวาดกลัวกันได้ ในกองทัพพวกเราตอนนี้มีปืนไฟกระบอกนี้ดียิ่งนัก คิดว่าพวกของฉินอ๋องนั้นจะต้องหวั่นเกรงเป็นแน่…”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าผู้เฒ่าเถียนนั่นหมายความว่าอย่างไร อยากได้ปืนไฟของตน นางดึงชุดมาคลุมปืนไฟหลังเอวเอาไว้ แล้วส่งเสียงร้อง  หึ!  “ข้ามาเข้าร่วมกับลูกพี่หลี่ว์ ก็เพราะได้ยินเสียวเถี่ยบอกว่าลูกพี่หลี่ว์เป็นคนมีคุณธรรม อย่าพูดถึงแย่งของเลย ขนาดสิ่งที่ควรได้ ยังปฏิเสธไม่ยอมรับไว้เลย ปืนไฟที่ข้าเอาออกมาตอนบ้านถล่ม ก็เพราะเห็นว่าหลังจากภัยพิบัติบ้านเมืองต้องวุ่นวาย อยากจะพกไว้ป้องกันตัว ของนี้ล่อสายตานัก เดิมทีข้าไม่อยากให้ใครเห็น วันนี้หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าลูกพี่หลี่ว์มีภัย ก็คงไม่เอาออกมาใช้งาน! แต่หากใครอยากจะยื้อแย่งไป ข้าก็ไม่ยอมเป็นแน่!”  

 

 

ในห้องโถงบรรยากาศตึงเครียดขึ้นมา  

 

 

ผู้เฒ่าเถียนขมวดคิ้วอันขาวโพลงของเขา กำลังจะเอ่ยปากพูด หลี่ว์ปาก็พูดขึ้นมาก่อน “สาวน้อยชิ่งเอ๋อร์เป็นผู้หญิง ในเวลาวุ่นวายเช่นนี้ มีอาวุธป้องกันตัวไว้เป็นเรื่องที่สมควร ปืนไฟถึงแม้จะดี แต่กองทัพของเรา จะพึ่งเพียงปืนไฟกระบอกนี้อย่างเดียวนั้นก็ไร้ประโยชน์ เจ้าวางใจได้ สาวน้อย ปืนไฟของเจ้าเป็นของส่วนตัว ไม่มีใครแย่งแน่นอน!”  

 

 

ได้ยินคำพูดนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็วางใจ หลี่ว์ปาถึงแม้จะนิสัยบุ่มบ่ามผลีผลามไปบ้าง แต่นิสัยดั้งเดิมนั้นไม่ใช่คนร้าย อย่างน้อยจะไม่รังแกคนอ่อนแอกว่า  

 

 

ผู้เฒ่าเถียนเห็นว่าหลี่ว์ปาออกปากเอง ใบหน้าอันชราก็เสียอารมณ์ สายตาก็ยิ่งดูเจ้าเล่ห์ดุร้าย แล้วก็พินิจดูสาวน้อยผู้นี้อีกรอบ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป  

 

 

หลังจากวันนั้น ฐานะในกลุ่มผ้าเหลืองของอวิ๋นหว่านชิ่นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อได้ช่วยหลี่ว์ปาเขียนประกาศติดในเมืองแล้ว ก็ยิ่งได้รับความเชื่อถือมากขึ้น  

 

 

เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเขียนประกาศและสาสน์นั้นจงใจเปลี่ยนลายมือไป เมื่อเทียบกับลายมือที่เคยชินแล้ว จะดูทื่อกว่าอยู่บ้าง คำประโยคก็จะเรียบง่ายตรงไปตรงมา ให้เหมาะสมกับความรู้ที่เรียนหนังสือมาสองปีเป็นพอ  

 

 

ถึงจะเป็นเช่นนั้น เมื่อหลี่ว์ปาถือประกาศสองสามแผ่นนั้นขึ้นมาก็ยังคงชื่นชมไม่หยุดหย่อน ยิ้มไม่หุบ สาวน้อยผู้นี้ สมกับที่มีพี่ชายที่เป็นครูสอนหนังสือเสียจริง  

 

 

เพียงแค่ตัวหนังสือที่เหยียดตรงงดงามแต่ละบรรทัด เมื่อเทียบกับประกาศที่ลูกน้องเคยเขียนตัวเอียงเบี้ยวเหมือนไส้เดือนนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าห่างไกลกันกี่โยชน์  

 

 

เมื่อให้คนอ่านให้ฟัง หลี่ว์ปาก็ยิ่งชื่นชมไปใหญ่ คมคายไหลลื่น เหล่าชาวบ้านเห็นแล้วก็จะไม่คิดว่ากลุ่มผ้าเหลืองเป็นพวกบ้าบิ่นตัวใหญ่ไร้สมอง แต่ยังมีคนที่มีการศึกษาด้วย  

 

 

กลุ่มคนผ้าเหลืองส่วนมากนั้นเป็นคนยากจน รู้หนังสือไม่กี่ตัว ถึงแม้จะมีที่อ่านออกเขียนได้บ้าง แต่ก็รู้ไม่หมด แล้วจะไปเขียนบทความแต่งกลอนเขียนประโยคที่สมบูรณ์ได้อย่างไร ผู้เฒ่าเถียนข้างกายหลี่ว์ปานั้นมีความคิด วางแผนออกความเห็นได้ แต่เรียนหนังสือมาไม่มาก งานด้านการเขียนนั้นสู้สาวน้อยผู้นั้นไม่ได้  

 

 

เพียงไม่กี่วัน แม่นางชิ่งเอ๋อร์ผู้นี้ก็กลายเป็นกุนซือของกลุ่มคนผ้าเหลืองไปโดยสิ้นเชิง  

 

 

เพียงไม่กี่วัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็พอจะรู้สถานการณ์ปัจจุบันของเมืองเยี่ยนหยางแล้ว  

 

 

กลุ่มคนผ้าเหลืองที่มีหลี่ว์ปาเป็นหัวหน้านั้นยึดครองพื้นที่ทางใต้ และทางตะวันตกของเมือง ที่เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยกันแออัดมากที่สุด  

 

 

ส่วนพระราชนิเวศน์ของฉินอ๋องประจำการอยู่ที่พื้นที่โล่งว่างทางเหนือของเมือง ข้าหลวงสวีของเมืองเยี่ยนหยางและผู้ตรวจการเหลียง และขุนนางพื้นที่ที่หนีออกไปได้ ต่างก็หลบภัยอยู่ที่ค่ายชั่วคราว  

 

 

ทางตะวันออกเป็นที่ค่อนข้างเปลี่ยวร้างของเมืองเยี่ยนหยาง มีหมู่บ้านขนาดกลางและเล็กกระจายอยู่ หมู่บ้านตระกูลเว่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่นี่มีคนชราที่เดินไม่ไหวอาศัยอยู่ เงียบสงัดว่างเปล่า ไม่มีใครปกครองชั่วคราว เชื่อมต่อกับเขาหม่าโถวนอกเมืองเยี่ยนหยางโดยตรง  

 

 

เมื่อกลุ่มคนผ้าเหลืองออกไปปิดประกาศ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เคยตามออกไปสองสามครั้ง  

 

 

ชาวบ้านทางใต้และทางตะวันตกของเมืองส่วนมากประมาณเจ็ดแปดส่วนไม่ได้ต่อต้านการกระทำของกลุ่มคนผ้าเหลือง บางคนถึงขนาดกับปกป้อง  

 

 

ประการแรก ชาวบ้านต่างก็โมโหกับเรื่องที่ราชสำนักหักเสบียงช่วยเหลือ อีกประการหนึ่ง หลี่ว์ปานั้นเกิดในตลาด ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดียิ่งนัก ถึงแม้จะเป็นช่างตีเหล็ก ฐานะไม่ร่ำรวย แต่มีเมตตามีน้ำใจแบ่งปัน วันนี้ให้อาหารคนแก่ พรุ่งนี้ซ่อมบ้านให้หญิงหม้าย ในสายตาชาวบ้านหลายๆ คนนั้น ต่างก็เห็นว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจ ถึงแม้วันนี้จะต่อต้านราชสำนัก ก็เพราะถูกบีบบังคับจนถึงทางตัน จนใจจนปัญญาจึงต้องทำ ฉะนั้น ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็มักจะให้เสบียงและสิ่งของกันหนาว ส่งมาให้ที่จวนทางการไม่เว้นแต่ละวัน  

 

 

ชาวบ้านที่เหลืออีกสองสามส่วนนั้น บางส่วนรู้ว่าการกระทำของกลุ่มคนผ้าเหลืองนั้นเนรคุณอย่างยิ่ง แต่กลับไม่กล้าล่วงเกิน รักษาความเป็นกลางเอาไว้ ไม่ออกเสียงใด  

 

 

สรุปก็คือ ชาวบ้านเมืองเยี่ยนหยางส่วนมากก็โอนเอนมาทางหลี่ว์ปา  

 

 

กลุ่มคนผ้าเหลืองก็ปิดประกาศอย่างสม่ำเสมอ ไม่ก็ตำหนิเรื่องที่ทางการหักเสบียงเอาไว้ ไม่ก็เป็นคำโปรยประเภท ‘ใต้หล้าเป็นของประชาชน’ ‘กระจายความร่ำรวยช่วยเหลือบ้านเมือง’ ‘ทุกคนมีข้าวกิน’ ทำให้ผู้คนที่ยังลังเลไม่แน่นอนกับคนที่มีความทะเยอทะยานอยากจะฉวยโอกาสท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ต่างก็อยากจะออกมาเคลื่อนไหว  

 

 

จากการที่คอยสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดหลายวันมานี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็พบว่าผู้เฒ่าแซ่เถียนผู้นั้นก็สนิทสนมกับหลี่ว์ปาจริงๆ  

 

 

มีหลายครั้งที่หารือกันเกี่ยวกับเรื่องภายในกลุ่มคนผ้าเหลือง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ติดตามอยู่ข้างกาย ก็ได้สังเกตเห็นว่าหลี่ว์ปาเชื่อฟังความเห็นและคำแนะนำของผู้เฒ่าเถียนเป็นอย่างมาก  

 

 

บางครั้งทั้งสองก็ปิดประตูห้องหารือกันอย่างลับๆ ไล่ลูกน้องคนอื่นๆ ออกไปทั้งหมด ทุกครั้งที่คุยกันเสร็จแล้ว ผู้เฒ่าเถียนก็จะออกไปข้างนอกเพียงลำพัง  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะตามไปดูอยู่หลายครั้ง แต่ผู้เฒ่าเถียนฉลาดหลักแหลมนัก พาผู้ติดตามแบ่งเป็นหลายกลุ่มกระจายตัวกัน ทำให้ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ พอสลัดผู้ติดตามไปได้ ก็ไม่เห็นเงาของผู้เฒ่าเถียนนั่นแล้ว  

 

 

รู้เพียงว่าเขาออกจากจวนทางการแล้ว ก็เดินไปทางตะวันออกของเมืองทุกครั้ง  

 

 

ก่อนวันนี้ตอนกลางวัน หลี่ว์ปาเรียกลูกน้องมาที่ห้องเพื่อหารือเรื่องเสบียง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ถูกเรียกมาเช่นกัน  

 

 

ทุกคนยืนล้อมรอบโต๊ะไม้สี่เหลี่ยม นางยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาแล้วเงี่ยหูฟัง  

 

 

ข้าวสารในคลังเสบียงของจวนทางการน้อยลงทุกวัน ครั้งก่อนหลังจากการใช้ตัวประกันไปขอเสบียงกับทหารค่ายบัญชาการนั้นล้มเหลว ปัญหานี้ก็กลายเป็นเรื่องยากที่ต้องการการแก้ไขในขณะนี้ จะหวังพึ่งเพียงเสบียงและสิ่งของกันหนาวที่ชาวบ้านส่งมาให้ก็ไม่ได้  

 

 

ขณะนี้ กลุ่มคนผ้าเหลืองนอกจากกองกำลังบวกกับเหล่าญาติสนิทมิตรสหายแล้ว ชายหญิงคนแก่และเด็กนั้นรวมกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันราย ในแต่ละวันเพียงอ้าปากก็จะต้องกินแล้ว เสบียงลดลงอย่างรวดเร็ว ข้าวสารหลายถังในคลังเสบียงก็เห็นก้นถังแล้ว  

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+