ระบบเติมเงินข้ามภพ 187 เกราะสวรรค์นภาทมิฬ

Now you are reading ระบบเติมเงินข้ามภพ Chapter 187 เกราะสวรรค์นภาทมิฬ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 187

เกราะสวรรค์นภาทมิฬ

เมื่อชาวบ้านหมู่บ้านบุปผาสวรรค์เก็บข้าวของสัมภาระเสร็จสรรพ พวกเขาก็ออกมายืนเรียงรายตรงกลางหมู่บ้าน

“เอ่อ ท่านเย่ ข้าถามตามตรงๆนะ เราจะเดินทางไปกันยังไง?”

“นั่นสิ ม้าสักตัวข้าก็ยังไม่เห็น”

ทันใดนั้นเย่เย่ก็ควักแหวนวงหนึ่งออกมาจากเสื้อ และพูดเรียกชื่อใครบางคนที่ชาวบ้านไม่คุ้นหู ก่อนโยนแหวนเลอค่าขึ้นบนฟ้า

“ต้าหลิง ปลดผนึกอารามซะ!”

“ขอรับ นายท่าน!”

แหวนวงเล็กขนาดพอดีนิ้ว ส่องแสงสว่างจ้าออกมากลางท้องฟ้า ก่อนที่มันจะกลายสภาพเป็นอารามจีนสีดำขลับสูงเสียดฟ้าต่อหน้าชาวบ้านที่ได้แต่แน่นิ่งในความมหัศจรรย์

กว่าหนึ่งร้อยปีที่มันได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อารามวิถีสวรรค์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง!

“ทุกท่าน เชิญ! นี่เป็นทางเดียวที่จะถึงหลิงเฉิงโดยไม่สะดุดตาผู้คน” เย่เย่ผายมือท่ามกลางสายตางุนงงของชาวบ้าน

“เจ้าไปก่อนเลย”

“เจ้านั่นแหละ ไปก่อน!”

“โอ๊ย อย่าผลักข้าเซ่”

ว้าบบบบบ

เมื่อคนแรกก้าวเท้าเข้าไปโดยบังเอิญ คนที่สอง คนที่สามก็ค่อยๆตามกันเข้าไปจนครบ เมื่อไฟสลัวๆที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นถูกจุดขึ้น เบื้องหน้าก็ปรากฏให้เห็นโถงกลางที่โอ่อ่าและกว้างใหญ่ไพศาลของอารามวิถีสวรรค์ พวกเขาต่างตกตะลึงเสียจนพูดไม่ออก ได้แต่นิ่งเงียบชื่นชมทัศนียภาพที่ชั่วชีวิตของพวกเขาไม่มีวันได้เห็น

“วางใจเถอะ เมื่อถึงหลิงเฉิงตราบใดที่พวกเจ้าไม่ปริปากพูดถึงสิ่งที่พวกเจ้าเห็นในวันนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรพวกเจ้า” เย่เย่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ท่านเย่ พวกข้าขอสาบาน หากพวกข้าแพร่งพรายออกไป หรือแม้แต่เอาใจออกห่าง คิดคดทรยศท่าน ขอให้พวกข้าตายใต้คมหอกคมดาบ!” เชินเล่าชูสามนิ้วขึ้นมาสาบาน ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงยกขึ้นมาตาม

การกระทำของเย่เย่นั้นนับว่าเสี่ยงมากที่เผยให้เห็นอารามวิถีสวรรค์ในที่สาธารณะ แม้ว่าจะเป็นหุบเขาบุปผาสวรรค์ที่ลับตาคนก็ตาม

เมื่อได้ยินคำตอบของชาวบ้าน เย่เย่ก็วางใจ เขาพยักหน้าก่อนสะบัดชายผ้า และหายตัวไปต่อหน้าต่อตาคนนับสิบ ก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นที่ห้องลับสักแห่งในอารามชั้น 9 ที่กว้างใหญ่

“ต้าหลิง ที่นี่คือ?” เมื่อจู่ๆก็มาโผล่ในที่ไม่คุ้นตา เย่เย่ก็ไม่รีรอที่จะถามวิญญาณผู้พิทักษ์ขึ้น

“ต้องขออภัยที่ข้าถือวิสาสะ แต่มันถึงเวลาที่ข้าต้องบอกให้ท่านรู้ ที่นี่คือห้องสมบัติบรรพชนขอรับ” ต้าหลิงตอบ

ห้องสมบัติบรรพชนนี้เก็บสะสมสมบัติมากมายที่วิญญาณกลับชาติมาเกิดรุ่นก่อนๆเคยใช้ แต่มีอยู่สิ่งนึงที่สะดุดตาเย่เย่เป็นพิเศษ ราวกับมันกำลังเพรียกหาเขา สิ่งนั้นคือเกราะสีดำขลับ พร้อมกับปีกสองคู่ที่อยู่ด้านหลังเกราะ ตั้งตระหง่านอยู่กลางแท่นใจกลางห้องสมบัติ

“เกราะสีดำนี่? หรือว่าจะเป็นอันเดียวกับที่ท่านเหยียนเคยพูดถึงงั้นรึ?” แม้ว่าจะไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน หรือแม้แต่เห็นกับตาตัวเอง แต่เย่เย่กลับรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น

“เกราะสวรรค์นภาทมิฬชิ้นนี้มีเพียงประมุขของอารามที่ใช้มันได้…” ต้าหลิงเสริม

“มีเพียงประมุขที่ใช้มันได้งั้นรึ เจ้าพูดแบบนี้หรือว่าจะมีสิ่งอื่นที่คนอื่นสามารถใช้ได้งั้นรึ?” เย่เย่ถามอย่างฉงนใจ

“…..”

แม้จะไม่มีการตอบกลับจากเลขหมายที่ท่านเรียก แต่ เย่เย่ก็ได้คำตอบในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เย่เย่พินิจพิเคราะห์ได้ครู่หนึ่งก็พบว่า เกราะนั้นมีคุณสมบัติสามารถกลายร่างเป็นประคำได้เฉกเช่นเดียวกับอารามที่กลายเป็นแหวน เหมาะสำหรับพกพาไปในทุกที่ ราวกับโฆษณาสินค้าจากทีวีทีเร็กซ์ยุคครีเทเชียสตอนต้นก็มิปาน

เมื่อเย่เย่กำหนดลมปราณไปที่ฝ่ามือ เรียกมันเข้ามา ปีกที่อยู่ด้านหลังก็กลายเป็นเอ็นเชือก ชิ้นส่วนของเกราะทมิฬก็แยกตัวออก และค่อยๆแปลงเป็นลูกประคำร้อยเข้ากับเชือก ก่อนที่มันจะลอยเข้าสู่ฝ่ามือของเย่เย่อย่างว่าง่าย

‘สะดวกดีแฮะ ไม่ต้องมานั่งจัดพื้นที่เก็บของแบบในเกมเรซซิเด้นวีดวิ้วภาค 4 ด้วย’ เย่เย่คิดในใจ พลางรู้สึกถึงวันคืนเก่าๆในโลกที่จากมา

“ต้าหลิง!” เขาเก็บประคำไว้ในแขนเสื้อ ก็เรียกหาต้าหลิงให้นำทางเขาออกไปยังโลกภายนอก

ฟุ่บ

เป๊าะ!

ในชั่วพริบตา เขาก็ออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ก่อนจะดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้อารามคืนสภาพ กลับเป็นแหวน เย่เย่สวมมันเข้าที่นิ้วกลาง และเหยียบอากาศมุ่งหน้าสู่หลิงเฉิงอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งในยุทธภพ สงครามที่ไม่รู้ผลก็กำลังดำเนินมาถึงปัจฉิมบท แม้ว่าค่ายกลพิทักษ์ภูผาจะได้รับการซ่อมแซมจากแม่นางมู่หลู แต่สภาพที่ไม่เต็มร้อย ผนวกกับการโจมตีที่หนักหน่วงของเหล่ากองกำลังทั้งเจ็ด ก็ทำให้มันใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที

ซู้ดดดดดดดดดดดดดด

“ทุกท่าน เตรียมรับศึกครั้งสุดท้าย!” เม่งเทียนฉีสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนตะโกนปลุกใจบรรดาศิษย์น้อยใหญ่ของเขา

ได้ยินดังนั้นเหล่าศิษย์ก็มีสีหน้าเศร้าสลด แต่สีหน้าแววตาของพวกเขายังเปี่ยมไปด้วยความหวัง และไม่มีใครคิดถอดใจเลยแม้แต่น้อย หากถึงคราวตาย พวกเขาก็ยอมสังเวยชีวิตของตนไปพร้อมๆกับชีวิตของศัตรู

เมื่อเห็นสีหน้าของเหล่าศิษย์ที่เตรียมใจมาเป็นอย่างดี เม่งเทียนฉีก็เบาใจ ต่อให้นิกายลำนำแห่งขุนเขาต้องมาถึงกาลล่มสลายก็ไม่นึกเสียดายเลยสักนิด

“กางอาณาเขต จันทร์สีเลือดไร้พรมแดน!” จางจ้าวหวู่คำรามดังสนั่น จันทร์สีเลือดปรากฏขึ้นอีกครา แสงจันทร์สีแดงฉานเมื่อต้องกับค่ายกลที่อ่อนแรงมันก็ค่อยๆสลายไป ราวกับหิมะที่สัมผัสไออุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิ

ครืนนนนนนนนน

ปราการชั้นสุดท้ายถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์

“ฆ่าพวกมันให้หมด!”

“บ่อน้ำแห่งการเกิดใหม่ต้องเป็นของข้า!”

“ผู้ใดขวางข้า มันต้องตาย!”

กองกำลังของขุนพลทั้ง 7 ต่างกรูเข้าไปในเขตแดนของนิกายลำนำแห่งขุนเขาอย่างสุดกำลัง เพื่อแย่งชิงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

“ฟ้าได้ลิขิตไว้แล้วว่า บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นของข้า จางจ้าวหวู่ผู้นี้!” ด้วยวรยุทธ์ที่เลิศล้ำ ทำให้ประมุขแห่งภาคีแซงหน้าขุนพลคนอื่นๆอยู่หนึ่งก้าว

“ชิ ตาแก่นั่น เจ็บใจนัก!” ขุนพลคนอื่นๆ เช่นเสี่ยวฉินแห่งสำนักภูผาทะเลหมอก ประมุขพรรคเหยี่ยวทมิฬ และจ้าวสำนักกระบี่เงาวารี ได้แต่มองจางจ้าวหวู่ด้วยความเจ็บใจ และเริ่มถูกทิ้งห่างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาล้วนมองข้ามกำลังพลที่เหลือของนิกาย และมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยทุกสิ่งที่มี

ในขณะที่เม่งเทียนฉี พยายามจะขวางเอาไว้ ลำแสงสีดำประหลาดตาก็พุ่งตัดผ่านน่านฟ้าไปด้วยความเร็วสูง ทำให้ผู้คนต่างแหงนมองแสงประหลาดนั้นเป็นตาเดียวกัน ทันทีที่แสงนั่นพุ่งผ่านเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก็ตามมา

ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!

คลื่นอัดกระแทกที่เกิดขึ้นจากเสียงนั้น ไม่เพียงแต่ฉีกมวลอากาศออกเป็นชิ้นๆ ทำให้สายลมคมกริบดุจใบมีดแล้ว มันยังทำให้พลังแห่งโลกและสวรรค์ปั่นป่วนอีกด้วย ทั้งจางจ้าวหวู่ ขุนพลคนอื่นๆ และเม่งเทียนฉีต่างชะงักการเคลื่อนไหวลง

เมื่อพวกเขาหรี่ตามองดูดีๆ พวกเขาก็เห็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะสีดำ มีปีกขนาดใหญ่ 2 คู่งอกอยู่ด้านหลัง

เมื่อเย่เย่บินมาถึงชานเมืองหลิงเฉิง ในที่ลับตาคนเขาก็ปลดปล่อยชาวบ้านบุปผาสวรรค์ออกมาจากอาราม และฝากจดหมายให้ซูเจี่ยนำส่งกับเสวี่ยหยู เขามั่นใจว่านางจะสามารถจัดสรรที่อยู่อาศัยให้กับชาวบ้านเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม

แม้ว่าตัวเขาอาจไม่ได้กลับไปยังหอการค้าหยูเย่สักพักหนึ่ง แต่ก็เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการ และทิศทางในอนาคตของหอการค้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มีเพียงเสวี่ยหยูและ ซูฉีเจี่ยเท่านั้นที่เขาวางใจให้ดูแลกิจการของเขาไปสักระยะ

พอส่งชาวบ้านครบทุกคนแล้ว เขาก็กำชับพวกชาวบ้านจนมั่นใจ ก่อนจะออกเดินทางไปหยุดยั้งสงครามบนเทือกเขา

ลำแสงสีดำทมิฬปรากฏเหนือน่านฟ้า แต่เนื่องจากชุดเกราะที่คลุมทั่วร่าง เปิดเพียงแค่ส่วนปากทำให้ไม่มีผู้ใดเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเย่เย่

“เจ็ดขุนพล ถอนกำลังเดี๋ยวนี้ อย่าให้ข้าต้องย้ำเป็น ครั้งที่ 2”

แม้เจ็ดขุนพลวรยุทธ์เลิศล้ำ ยากหาผู้ใดเปรียบ แต่พวกเขาต่างก็ยำเกรงในพลังอำนาจที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“ขอบคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่ ช่างเป็นบุญวาสนาของพวกเราจริงๆ” เม่งเทียนฉีเงยหน้ามองเย่เย่ด้วยความเคารพเลื่อมใส

อย่างไรก็ตามขุนพลทั้งเจ็ดก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเฉพาะจางจ้าวหวู่ที่หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน

“ไร้มารยาทสิ้นดี! คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ถ้าเจ้าแน่จริงล่ะก็ถอดชุดเกราะนั่นออกมาและมาสู้กับข้าซะ ข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าได้ตายอย่างสมเกียรติ!”

“อยากจะเป็นฮีโร่ แต่ก็เป็นได้แค่ไอ้โง่! เจ้าแส่หาเรื่องตายเองนะ” เสี่ยวฉินก้าวเท้าขึ้นมา และเสริมขึ้น พลางบิดคอยืดเส้นยืดสาย

ในใต้หล้าเจ็ดขุนพลเป็นรองเพียงนิกายทั้งแปด เชื้อพระวงศ์ฉางหลาง และทัณฑ์สวรรค์ผู้คุมกฎเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความทะนงตนของพวกเขาสูงเป็นเงาตามตัว

“เจ้าคือประมุขของภาคีแห่งสัจจะสินะ?”

“ใช่แล้ว ข้าเนี่ยล่ะ เจ้าถามทำไม?” จางจ้าวหวู่ยืดอกชี้นิ้วเข้าตัว

เย่เย่ไม่ตอบกลับด้วยคำพูด เขาโคจรลมปราณเพ่งจิตไปที่ฝ่ามือ สายฟ้าสีม่วงปรากฏ พุ่งหาจางจ้าวหวู่ด้วยจิตสังหารที่เปี่ยมล้น

“ไปนั่งสำนึกผิดในนรกซะเถอะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบเติมเงินข้ามภพ 187 เกราะสวรรค์นภาทมิฬ

Now you are reading ระบบเติมเงินข้ามภพ Chapter 187 เกราะสวรรค์นภาทมิฬ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 187

เกราะสวรรค์นภาทมิฬ

เมื่อชาวบ้านหมู่บ้านบุปผาสวรรค์เก็บข้าวของสัมภาระเสร็จสรรพ พวกเขาก็ออกมายืนเรียงรายตรงกลางหมู่บ้าน

“เอ่อ ท่านเย่ ข้าถามตามตรงๆนะ เราจะเดินทางไปกันยังไง?”

“นั่นสิ ม้าสักตัวข้าก็ยังไม่เห็น”

ทันใดนั้นเย่เย่ก็ควักแหวนวงหนึ่งออกมาจากเสื้อ และพูดเรียกชื่อใครบางคนที่ชาวบ้านไม่คุ้นหู ก่อนโยนแหวนเลอค่าขึ้นบนฟ้า

“ต้าหลิง ปลดผนึกอารามซะ!”

“ขอรับ นายท่าน!”

แหวนวงเล็กขนาดพอดีนิ้ว ส่องแสงสว่างจ้าออกมากลางท้องฟ้า ก่อนที่มันจะกลายสภาพเป็นอารามจีนสีดำขลับสูงเสียดฟ้าต่อหน้าชาวบ้านที่ได้แต่แน่นิ่งในความมหัศจรรย์

กว่าหนึ่งร้อยปีที่มันได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อารามวิถีสวรรค์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง!

“ทุกท่าน เชิญ! นี่เป็นทางเดียวที่จะถึงหลิงเฉิงโดยไม่สะดุดตาผู้คน” เย่เย่ผายมือท่ามกลางสายตางุนงงของชาวบ้าน

“เจ้าไปก่อนเลย”

“เจ้านั่นแหละ ไปก่อน!”

“โอ๊ย อย่าผลักข้าเซ่”

ว้าบบบบบ

เมื่อคนแรกก้าวเท้าเข้าไปโดยบังเอิญ คนที่สอง คนที่สามก็ค่อยๆตามกันเข้าไปจนครบ เมื่อไฟสลัวๆที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นถูกจุดขึ้น เบื้องหน้าก็ปรากฏให้เห็นโถงกลางที่โอ่อ่าและกว้างใหญ่ไพศาลของอารามวิถีสวรรค์ พวกเขาต่างตกตะลึงเสียจนพูดไม่ออก ได้แต่นิ่งเงียบชื่นชมทัศนียภาพที่ชั่วชีวิตของพวกเขาไม่มีวันได้เห็น

“วางใจเถอะ เมื่อถึงหลิงเฉิงตราบใดที่พวกเจ้าไม่ปริปากพูดถึงสิ่งที่พวกเจ้าเห็นในวันนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรพวกเจ้า” เย่เย่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ท่านเย่ พวกข้าขอสาบาน หากพวกข้าแพร่งพรายออกไป หรือแม้แต่เอาใจออกห่าง คิดคดทรยศท่าน ขอให้พวกข้าตายใต้คมหอกคมดาบ!” เชินเล่าชูสามนิ้วขึ้นมาสาบาน ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงยกขึ้นมาตาม

การกระทำของเย่เย่นั้นนับว่าเสี่ยงมากที่เผยให้เห็นอารามวิถีสวรรค์ในที่สาธารณะ แม้ว่าจะเป็นหุบเขาบุปผาสวรรค์ที่ลับตาคนก็ตาม

เมื่อได้ยินคำตอบของชาวบ้าน เย่เย่ก็วางใจ เขาพยักหน้าก่อนสะบัดชายผ้า และหายตัวไปต่อหน้าต่อตาคนนับสิบ ก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นที่ห้องลับสักแห่งในอารามชั้น 9 ที่กว้างใหญ่

“ต้าหลิง ที่นี่คือ?” เมื่อจู่ๆก็มาโผล่ในที่ไม่คุ้นตา เย่เย่ก็ไม่รีรอที่จะถามวิญญาณผู้พิทักษ์ขึ้น

“ต้องขออภัยที่ข้าถือวิสาสะ แต่มันถึงเวลาที่ข้าต้องบอกให้ท่านรู้ ที่นี่คือห้องสมบัติบรรพชนขอรับ” ต้าหลิงตอบ

ห้องสมบัติบรรพชนนี้เก็บสะสมสมบัติมากมายที่วิญญาณกลับชาติมาเกิดรุ่นก่อนๆเคยใช้ แต่มีอยู่สิ่งนึงที่สะดุดตาเย่เย่เป็นพิเศษ ราวกับมันกำลังเพรียกหาเขา สิ่งนั้นคือเกราะสีดำขลับ พร้อมกับปีกสองคู่ที่อยู่ด้านหลังเกราะ ตั้งตระหง่านอยู่กลางแท่นใจกลางห้องสมบัติ

“เกราะสีดำนี่? หรือว่าจะเป็นอันเดียวกับที่ท่านเหยียนเคยพูดถึงงั้นรึ?” แม้ว่าจะไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน หรือแม้แต่เห็นกับตาตัวเอง แต่เย่เย่กลับรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น

“เกราะสวรรค์นภาทมิฬชิ้นนี้มีเพียงประมุขของอารามที่ใช้มันได้…” ต้าหลิงเสริม

“มีเพียงประมุขที่ใช้มันได้งั้นรึ เจ้าพูดแบบนี้หรือว่าจะมีสิ่งอื่นที่คนอื่นสามารถใช้ได้งั้นรึ?” เย่เย่ถามอย่างฉงนใจ

“…..”

แม้จะไม่มีการตอบกลับจากเลขหมายที่ท่านเรียก แต่ เย่เย่ก็ได้คำตอบในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เย่เย่พินิจพิเคราะห์ได้ครู่หนึ่งก็พบว่า เกราะนั้นมีคุณสมบัติสามารถกลายร่างเป็นประคำได้เฉกเช่นเดียวกับอารามที่กลายเป็นแหวน เหมาะสำหรับพกพาไปในทุกที่ ราวกับโฆษณาสินค้าจากทีวีทีเร็กซ์ยุคครีเทเชียสตอนต้นก็มิปาน

เมื่อเย่เย่กำหนดลมปราณไปที่ฝ่ามือ เรียกมันเข้ามา ปีกที่อยู่ด้านหลังก็กลายเป็นเอ็นเชือก ชิ้นส่วนของเกราะทมิฬก็แยกตัวออก และค่อยๆแปลงเป็นลูกประคำร้อยเข้ากับเชือก ก่อนที่มันจะลอยเข้าสู่ฝ่ามือของเย่เย่อย่างว่าง่าย

‘สะดวกดีแฮะ ไม่ต้องมานั่งจัดพื้นที่เก็บของแบบในเกมเรซซิเด้นวีดวิ้วภาค 4 ด้วย’ เย่เย่คิดในใจ พลางรู้สึกถึงวันคืนเก่าๆในโลกที่จากมา

“ต้าหลิง!” เขาเก็บประคำไว้ในแขนเสื้อ ก็เรียกหาต้าหลิงให้นำทางเขาออกไปยังโลกภายนอก

ฟุ่บ

เป๊าะ!

ในชั่วพริบตา เขาก็ออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ก่อนจะดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้อารามคืนสภาพ กลับเป็นแหวน เย่เย่สวมมันเข้าที่นิ้วกลาง และเหยียบอากาศมุ่งหน้าสู่หลิงเฉิงอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งในยุทธภพ สงครามที่ไม่รู้ผลก็กำลังดำเนินมาถึงปัจฉิมบท แม้ว่าค่ายกลพิทักษ์ภูผาจะได้รับการซ่อมแซมจากแม่นางมู่หลู แต่สภาพที่ไม่เต็มร้อย ผนวกกับการโจมตีที่หนักหน่วงของเหล่ากองกำลังทั้งเจ็ด ก็ทำให้มันใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที

ซู้ดดดดดดดดดดดดดด

“ทุกท่าน เตรียมรับศึกครั้งสุดท้าย!” เม่งเทียนฉีสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนตะโกนปลุกใจบรรดาศิษย์น้อยใหญ่ของเขา

ได้ยินดังนั้นเหล่าศิษย์ก็มีสีหน้าเศร้าสลด แต่สีหน้าแววตาของพวกเขายังเปี่ยมไปด้วยความหวัง และไม่มีใครคิดถอดใจเลยแม้แต่น้อย หากถึงคราวตาย พวกเขาก็ยอมสังเวยชีวิตของตนไปพร้อมๆกับชีวิตของศัตรู

เมื่อเห็นสีหน้าของเหล่าศิษย์ที่เตรียมใจมาเป็นอย่างดี เม่งเทียนฉีก็เบาใจ ต่อให้นิกายลำนำแห่งขุนเขาต้องมาถึงกาลล่มสลายก็ไม่นึกเสียดายเลยสักนิด

“กางอาณาเขต จันทร์สีเลือดไร้พรมแดน!” จางจ้าวหวู่คำรามดังสนั่น จันทร์สีเลือดปรากฏขึ้นอีกครา แสงจันทร์สีแดงฉานเมื่อต้องกับค่ายกลที่อ่อนแรงมันก็ค่อยๆสลายไป ราวกับหิมะที่สัมผัสไออุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิ

ครืนนนนนนนนน

ปราการชั้นสุดท้ายถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์

“ฆ่าพวกมันให้หมด!”

“บ่อน้ำแห่งการเกิดใหม่ต้องเป็นของข้า!”

“ผู้ใดขวางข้า มันต้องตาย!”

กองกำลังของขุนพลทั้ง 7 ต่างกรูเข้าไปในเขตแดนของนิกายลำนำแห่งขุนเขาอย่างสุดกำลัง เพื่อแย่งชิงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

“ฟ้าได้ลิขิตไว้แล้วว่า บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นของข้า จางจ้าวหวู่ผู้นี้!” ด้วยวรยุทธ์ที่เลิศล้ำ ทำให้ประมุขแห่งภาคีแซงหน้าขุนพลคนอื่นๆอยู่หนึ่งก้าว

“ชิ ตาแก่นั่น เจ็บใจนัก!” ขุนพลคนอื่นๆ เช่นเสี่ยวฉินแห่งสำนักภูผาทะเลหมอก ประมุขพรรคเหยี่ยวทมิฬ และจ้าวสำนักกระบี่เงาวารี ได้แต่มองจางจ้าวหวู่ด้วยความเจ็บใจ และเริ่มถูกทิ้งห่างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาล้วนมองข้ามกำลังพลที่เหลือของนิกาย และมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยทุกสิ่งที่มี

ในขณะที่เม่งเทียนฉี พยายามจะขวางเอาไว้ ลำแสงสีดำประหลาดตาก็พุ่งตัดผ่านน่านฟ้าไปด้วยความเร็วสูง ทำให้ผู้คนต่างแหงนมองแสงประหลาดนั้นเป็นตาเดียวกัน ทันทีที่แสงนั่นพุ่งผ่านเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก็ตามมา

ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!

คลื่นอัดกระแทกที่เกิดขึ้นจากเสียงนั้น ไม่เพียงแต่ฉีกมวลอากาศออกเป็นชิ้นๆ ทำให้สายลมคมกริบดุจใบมีดแล้ว มันยังทำให้พลังแห่งโลกและสวรรค์ปั่นป่วนอีกด้วย ทั้งจางจ้าวหวู่ ขุนพลคนอื่นๆ และเม่งเทียนฉีต่างชะงักการเคลื่อนไหวลง

เมื่อพวกเขาหรี่ตามองดูดีๆ พวกเขาก็เห็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะสีดำ มีปีกขนาดใหญ่ 2 คู่งอกอยู่ด้านหลัง

เมื่อเย่เย่บินมาถึงชานเมืองหลิงเฉิง ในที่ลับตาคนเขาก็ปลดปล่อยชาวบ้านบุปผาสวรรค์ออกมาจากอาราม และฝากจดหมายให้ซูเจี่ยนำส่งกับเสวี่ยหยู เขามั่นใจว่านางจะสามารถจัดสรรที่อยู่อาศัยให้กับชาวบ้านเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม

แม้ว่าตัวเขาอาจไม่ได้กลับไปยังหอการค้าหยูเย่สักพักหนึ่ง แต่ก็เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการ และทิศทางในอนาคตของหอการค้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มีเพียงเสวี่ยหยูและ ซูฉีเจี่ยเท่านั้นที่เขาวางใจให้ดูแลกิจการของเขาไปสักระยะ

พอส่งชาวบ้านครบทุกคนแล้ว เขาก็กำชับพวกชาวบ้านจนมั่นใจ ก่อนจะออกเดินทางไปหยุดยั้งสงครามบนเทือกเขา

ลำแสงสีดำทมิฬปรากฏเหนือน่านฟ้า แต่เนื่องจากชุดเกราะที่คลุมทั่วร่าง เปิดเพียงแค่ส่วนปากทำให้ไม่มีผู้ใดเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเย่เย่

“เจ็ดขุนพล ถอนกำลังเดี๋ยวนี้ อย่าให้ข้าต้องย้ำเป็น ครั้งที่ 2”

แม้เจ็ดขุนพลวรยุทธ์เลิศล้ำ ยากหาผู้ใดเปรียบ แต่พวกเขาต่างก็ยำเกรงในพลังอำนาจที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“ขอบคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่ ช่างเป็นบุญวาสนาของพวกเราจริงๆ” เม่งเทียนฉีเงยหน้ามองเย่เย่ด้วยความเคารพเลื่อมใส

อย่างไรก็ตามขุนพลทั้งเจ็ดก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเฉพาะจางจ้าวหวู่ที่หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน

“ไร้มารยาทสิ้นดี! คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ถ้าเจ้าแน่จริงล่ะก็ถอดชุดเกราะนั่นออกมาและมาสู้กับข้าซะ ข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าได้ตายอย่างสมเกียรติ!”

“อยากจะเป็นฮีโร่ แต่ก็เป็นได้แค่ไอ้โง่! เจ้าแส่หาเรื่องตายเองนะ” เสี่ยวฉินก้าวเท้าขึ้นมา และเสริมขึ้น พลางบิดคอยืดเส้นยืดสาย

ในใต้หล้าเจ็ดขุนพลเป็นรองเพียงนิกายทั้งแปด เชื้อพระวงศ์ฉางหลาง และทัณฑ์สวรรค์ผู้คุมกฎเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความทะนงตนของพวกเขาสูงเป็นเงาตามตัว

“เจ้าคือประมุขของภาคีแห่งสัจจะสินะ?”

“ใช่แล้ว ข้าเนี่ยล่ะ เจ้าถามทำไม?” จางจ้าวหวู่ยืดอกชี้นิ้วเข้าตัว

เย่เย่ไม่ตอบกลับด้วยคำพูด เขาโคจรลมปราณเพ่งจิตไปที่ฝ่ามือ สายฟ้าสีม่วงปรากฏ พุ่งหาจางจ้าวหวู่ด้วยจิตสังหารที่เปี่ยมล้น

“ไปนั่งสำนึกผิดในนรกซะเถอะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+