ระบบเติมเงินข้ามภพ 190 เหตุชุลมุนในเมืองหลวง

Now you are reading ระบบเติมเงินข้ามภพ Chapter 190 เหตุชุลมุนในเมืองหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 190

เหตุชุลมุนในเมืองหลวง

ประตูทั้งสี่ทิศของหวางตู้ ไม่ว่าจะทิศอุดร ประจิม บูรพา หรือทักษิณ ล้วนแล้วแต่มีการวางเวรยามคุ้มกันที่แน่นหนา ถึงแม้ว่าดูด้วยตาเปล่าแล้วจะไม่มีใครที่มีวรยุทธ์สูงส่งถึงชั้นเทพอสูร แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าหืออือกับทหารยามเพียงเพราะเกรงกลัวอำนาจของจักรวรรดิ

อย่างไรก็ตามทหารยามของหวางตู้นั้น ก็ไม่ต่างจากทหารยามทั่วๆไปมากนัก พวกเขามักมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ประจบประแจงผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยตามประสาตัวประกอบในหนังเกรดบี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในกรณีของเย่เย่ดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น

“นี่ เจ้าหนุ่ม เจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงนั้นน่ะ”

“ข้าหรอ?” เย่เย่ถามขึ้นพลางชี้นิ้วเข้าหาตัว

“เออ เจ้านั่นแหละ มากับข้าเดี๋ยวซิ” ทหารยาม นามอู๋เซี่ยนตะโกนเรียกเย่เย่ ด้วยเสียงอันดัง

แม้ว่าเย่เย่จะพยายามทำตัวกลมกลืนกับคนทั่วไป แต่เขาก็ไม่วายไปสะดุดตาอู๋เซี่ยนจอมโฉดเข้าให้อยู่ดี

ในสายตาของอู๋เซี่ยน เย่เย่นั้นแต่งตัวดี ราวกับคุณชายที่มาจากเมืองอื่น แม้ฐานะจะไม่ต่างจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่ก็นับว่ามีสะตุ้งสตางค์พอให้เขารีดไถได้ ยิ่งผมเผ้า หน้าตา ท่าทางไม่คล้ายกับคนเมือง ยิ่งทำให้ความโลภบดบังสายตา

อู๋เซี่ยนรองหัวหน้ายามแห่งทิศประจิมผู้นี้ มักกดขี่ข่มเหง ก่อกรรมทำเข็ญ แม้เป็นเด็กหรือสตรี หากไร้วรยุทธ์ ก็ไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บ

“เจ้าหนุ่ม เจ้ามีชื่อแซ่ว่าอะไร มาจากไหน? มีธุระอะไรที่หวางตู้?”

“ข้าแซ่เย่ ชื่อเย่ ประธานหอการค้าแห่งหลิงเฉิงจากเมืองหลิงเฉิง ดินแดนประจิมตอนใต้ ข้ามาที่นี่เพื่อศึกษาทำเลเพื่อขยายกิจการขอรับ!” เย่เย่เหลือบมองอู๋เซี่ยนและเริ่มคาดเดาถึงจุดประสงค์ของเขาไปต่างๆนานา อย่างไรก็ตามเขาก็ตอบกลับไปตามตรงอย่างไร้ข้อพิรุธ

“สกุลเย่งั้นรึ? ฮืมมมม”

เนื่องจากดินแดนทิศประจิมนั้นห่างไกลจากเมืองหลวงหลายพันลี้ ยิ่งเป็นตอนใต้ของแดนตะวันตกยิ่งแล้วใหญ่ ทำให้แม้รู้ชื่อแซ่อู๋เซี่ยนที่หากินกับเมืองหลวงมาค่อนชีวิตก็ไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อได้ยินฐานะประธานหอการค้า เขาก็หูผึ่งในทันที

“เจ้าว่าเจ้าเป็นประธานหอการค้า มาหวางตู้เพื่อหาทำเลสินะ งั้น 10,000 ตั๋วทองสำหรับค่าแรกเข้าของเจ้า!” อู๋เซี่ยนนั้นกะฟันกำไรเหนาะๆ เขาหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาจดก่อนออกใบสั่งให้เย่เย่

เย่เย่ยังคงใจเย็น เขาไม่แสดงอาการอะไรออกมานอกจากเรียกร้องสิทธิตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงมีอย่างเท่าเทียมกัน “ท่านอู๋ แต่ว่าข้าเห็นชาวบ้านท่านอื่นๆ จ่ายเพียง 50 ตั๋วทองเองนะ ทำไมทีข้าถึงได้แพงนักล่ะ?”

“นี่เจ้า อย่าสงสัยมากจะได้ไหม? พวกเขาก็คือพวกเขา เจ้าก็คือเจ้า มันคนละกรณีกัน ข้าประเมินตามบทบัญญัติว่าด้วยการค้าขายในเมืองหวางตู้ข้อที่ 224 วรรค 10 ความว่าประธานหอการค้าผู้ใดที่มาจากมณฑลอื่น รัฐอื่น พึงจ่ายค่าแรกเข้า 5,000 ตั๋วทอง และผู้ใดมาจากแดนประจิมตอนใต้ให้คิดเป็นสองเท่าจากเดิม หรือก็คือ 10,000 ตั๋วทอง ถ้าเจ้าไม่พอใจล่ะก็กลับไปซะเถอะ หวางตู้ไม่ใช่มูลนิธิเงากระจกที่จะคอยช่วยเหลือผู้อื่นยามขัดสน”

แม้ว่าจะถูกเรียกร้องความเป็นธรรม แต่อู๋เซี่ยนนั้นไม่ได้ละอายแก่ใจ หนำซ้ำเขายังมั่วกฎบัญญัติขึ้นมาเองอีกต่างหาก

“ตะ แต่-” แม้เงิน 10,000 ตั๋วทองจะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับเย่เย่ แต่ศักดิ์ศรีและความถูกต้องย่อมมาก่อนสิ่งอื่นใด

“ไม่มีแต่ ที่นี่ข้าคือผู้คุมกฎ! จับมันโทษฐานขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่!” อู๋เซี่ยนขยิบตา สั่งทหารยามกีกี้ออกมาปิดล้อมเย่เย่เอาไว้

“ขอรับ!”

“ต่ำช้ายิ่งนัก! สมแล้วที่เป็นทหารหวางตู้ผู้พิทักษ์ราษฎร์แห่งแผ่นดิน รีดไถเงินกันกลางวันแสกๆเช่นนี้ เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดินบ้างหรือไงกัน มัดรวมกันเข้ามาทีเดียว ข้าจะได้สั่งสอนพวกเจ้าว่าเหล่าผู้พิทักษ์หอการค้าหยูเย่ของข้าจัดการกับพวกคนชั่วเยี่ยงไร!” เย่เย่พูดเสียงดังเพื่อป่าวประกาศให้ผู้คนโดยรอบรับรู้

“โฮ่ ประธานหอการค้า ตกต่ำลงไปมากทีเดียว เจ้าถึงกับต้องเรียกหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น

งั้นรึ!? เปล่าประโยชน์! พวกเจ้าจับมันมัดเอาไว้!”

ทหารยามรับปากอย่างแข็งขัน พวกเขาใช้แท่งเหล็กยาวที่มีส่วนปลายโค้งงอราวกับเสี้ยวพระจันทร์ พยายามล็อกคอเย่เย่เอาไว้ และกดเขาหมอบลงกับพื้น แต่ด้วยความเร็วของเย่เย่ถึงแม้จะซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงเอาไว้ ก็ฝ่าทหารยามเหาะเหินข้ามประตูไปได้อย่างไม่ยากเย็น

“ดูถูกกันเรอะ!” อู๋เซี่ยนไม่รอช้า รีบเหาะเหินตามเย่เย่เข้าไป และพยายามจับกุมเขาด้วยกงเล็บพิฆาต

เย่เย่เบี่ยงตัวหลบเพียงเล็กน้อย ระหว่างนั้นก็ใช้ 2 นิ้วมือขวาสะกัดจุดเขาเอาไว้ด้วยพลังอสุนีบาต

“อะ-!” อาการชาแผ่ซ่านไปทั่วร่างของอู๋เซี่ยน ก่อนที่จะตกลงไปนอนกับพื้นอย่างน่าสมเพช

ทหารยามที่เหลือก็ถูกความเร็วขั้นเทพยุทธ์ของเย่เย่ เล่นงานเข้าที่ท้ายทอยจนสลบเหมือด

“เยี่ยม พวกคนชั่ว สมควรแล้ว!”

“นี่คือผลกรรมของพวกเจ้าที่ข่มเหงผู้เสียภาษี!”

“วีรบุรุษแดนประจิมวรยุทธ์สูงส่ง วันนี้ได้เห็นกับตา เป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก!”

ประชาชนที่อัดอั้น ต่างด่าทอเหล่าทหารยามด้วยความเจ็บแค้น ก่อนที่จะยกย่องสรรเสริญเย่เย่ราวกับเป็นวีรบุรุษ

แต่การเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย เมื่ออู๋เซี่ยนและสมุนของเขาได้สติ เรื่องราวของบุรุษนิรนามก็แล่นเข้ามาในหัว แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆแล้ว พวกเขาไม่ได้บาดเจ็บมานัก จึงได้แต่คาดว่าเย่เย่เป็นเพียงผู้ใช้วิชาที่เขาไม่รู้จักก็เท่านั้น

“เจ้าหนู วิชาประหลาดของเจ้าใช่ย่อยเลยนี่ แต่อย่าได้ลำพองตนให้มากนัก ที่นี่หวางตู้ ไม่ใช่หลิงเฉิงหลังเขาอะไรของเจ้า จำใส่กะโหลกเอาไว้ซะ!”

สิ้นเสียงของอู๋เซี่ยน เขาก็ใช้นกหวีดมือเรียกกำลังเสริมออกมารายล้อมเย่เย่อีกครั้ง

“โหวกเหวกโวยวายอะไรกันน่ะ อู๋เซี่ยน?” ลิ่วกัง หัวหน้าทหารยามแห่งทิศประจิม ถามลูกน้องของเขาขึ้น

“ชายหนุ่มผู้นี้ขัดขวางการตรวจคนเข้าเมืองขอรับ ไม่เพียงเท่านี้เขายังทำร้ายพวกข้าอีกด้วย” ลิ่วกังนั้นรู้ความจริงทั้งหมดผ่านดวงตาแสนกลของอู๋เซี่ยน แต่กระนั้นเขาก็ไม่ชอบใจที่มีคนมาทำร้ายผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอยู่ดี

“พวกเจ้า จับคนร้ายไว้ให้ได้!” ลิ่วกังออกคำสั่ง กองทหารรักษากำแพงของเขาก็เดินหน้ารุกไล่เย่เย่เข้าไปทีละคืบๆอย่างช้าๆ

“เจ้าหนู มัวแต่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ มอบตัวซะ นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้า!” อู๋เซี่ยน แสยะยิ้มพลางแลบลิ้นเลียปากอย่างชั่วร้าย

แม้ว่าเย่เย่จะอยากระเบิดพลังกำจัดคนชั่วให้สิ้นซาก แต่เมื่อคิดทบทวนดูดีๆแล้ว การเปิดเผย

วรยุทธ์ที่สูงส่งกว่าขั้นเทพยุทธ์นั้นดูท่าจะสะดุดตาคนหมู่มาก เสี่ยงต่อการถูกเปิดเผย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจชูมือสองข้างขึ้นช้าๆอย่างว่าง่าย

“ข้าคือประธานหอการค้าหยูเย่แห่งหลิงเฉิง ข้าสาบานข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องชดใช้!” เย่เย่พูด ก่อนที่จะถูกทหารยามจับใส่กุญแจมือ

“เหลวไหล! ประธานหอการค้ามีรึจะอยู่ในสภาพนี้? เดินไป!” อู๋เซียนถีบส่ง เย่เย่ขึ้นเกวียนคุมขัง ก่อนปิดตาและนำทางเขาไปยังคุกใต้ดินสภาพโกโรโกโสที่คุมขังเหล่านักโทษอุกฉกรรจ์

เมื่อถึงคุกใต้ดิน อู๋เซียนก็เอาผ้าปิดตาของเย่เย่ออก เผยให้เห็นสภาพอันเน่าเฟะของคุกใต้ดิน ที่เต็มไปด้วยนักโทษที่ร้องโหยหวนจากการถูกทรมานรูปแบบต่างๆ ไม่ต่างอะไรจากของเล่นของพวกทหาร

“ข้าพาของเล่นชิ้นใหม่มาให้ท่าน ท่านพี่หวาง!” อู๋เซี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เบื้องหน้าเย่เย่ปรากฏเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

ชายวัยกลางคน ผิวเข้ม ถอดเสื้อครึ่งบนเผยให้เห็นร่างกายที่กำยำ ผู้นี้คือหัวหน้าผู้คุมขังนาม

หวางเสี่ยว เขาคบหากับทหารยามอย่างอู๋เซี่ยนเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่ไร้จริยธรรม

“เอามันไปขัง มัดข้อมือมันไว้สูงๆล่ะ! ข้าอยากจะเล่นกับพ่อหนุ่มน้อยนี่เสียหน่อย” ความใฝ่ฝันเพียงหนึ่งเดียวของหวางเสี่ยวผู้นี้คือ เขาอยากจะเป็นบุรุษผู้ที่ยืนอยู่เหนือบุรุษทั้งปวงในใต้หล้า

“เจ้าเองก็เข้ามาสิ เพิ่มพูนความรู้”

“จะดีหรือขอรับ? ได้เห็นท่านพี่หวางสั่งสอนคนชั่วกับตา ข้าน้อยอู๋เซี่ยนขอรับไว้ด้วยใจ” อู๋เซี่ยนอยากเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดทรมานของผู้ที่ท้าทายตนเป็นทุนเดิม เขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธคำเชื้อเชิญของหวางเสี่ยว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบเติมเงินข้ามภพ 190 เหตุชุลมุนในเมืองหลวง

Now you are reading ระบบเติมเงินข้ามภพ Chapter 190 เหตุชุลมุนในเมืองหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 190

เหตุชุลมุนในเมืองหลวง

ประตูทั้งสี่ทิศของหวางตู้ ไม่ว่าจะทิศอุดร ประจิม บูรพา หรือทักษิณ ล้วนแล้วแต่มีการวางเวรยามคุ้มกันที่แน่นหนา ถึงแม้ว่าดูด้วยตาเปล่าแล้วจะไม่มีใครที่มีวรยุทธ์สูงส่งถึงชั้นเทพอสูร แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าหืออือกับทหารยามเพียงเพราะเกรงกลัวอำนาจของจักรวรรดิ

อย่างไรก็ตามทหารยามของหวางตู้นั้น ก็ไม่ต่างจากทหารยามทั่วๆไปมากนัก พวกเขามักมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ประจบประแจงผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยตามประสาตัวประกอบในหนังเกรดบี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในกรณีของเย่เย่ดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น

“นี่ เจ้าหนุ่ม เจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงนั้นน่ะ”

“ข้าหรอ?” เย่เย่ถามขึ้นพลางชี้นิ้วเข้าหาตัว

“เออ เจ้านั่นแหละ มากับข้าเดี๋ยวซิ” ทหารยาม นามอู๋เซี่ยนตะโกนเรียกเย่เย่ ด้วยเสียงอันดัง

แม้ว่าเย่เย่จะพยายามทำตัวกลมกลืนกับคนทั่วไป แต่เขาก็ไม่วายไปสะดุดตาอู๋เซี่ยนจอมโฉดเข้าให้อยู่ดี

ในสายตาของอู๋เซี่ยน เย่เย่นั้นแต่งตัวดี ราวกับคุณชายที่มาจากเมืองอื่น แม้ฐานะจะไม่ต่างจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่ก็นับว่ามีสะตุ้งสตางค์พอให้เขารีดไถได้ ยิ่งผมเผ้า หน้าตา ท่าทางไม่คล้ายกับคนเมือง ยิ่งทำให้ความโลภบดบังสายตา

อู๋เซี่ยนรองหัวหน้ายามแห่งทิศประจิมผู้นี้ มักกดขี่ข่มเหง ก่อกรรมทำเข็ญ แม้เป็นเด็กหรือสตรี หากไร้วรยุทธ์ ก็ไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บ

“เจ้าหนุ่ม เจ้ามีชื่อแซ่ว่าอะไร มาจากไหน? มีธุระอะไรที่หวางตู้?”

“ข้าแซ่เย่ ชื่อเย่ ประธานหอการค้าแห่งหลิงเฉิงจากเมืองหลิงเฉิง ดินแดนประจิมตอนใต้ ข้ามาที่นี่เพื่อศึกษาทำเลเพื่อขยายกิจการขอรับ!” เย่เย่เหลือบมองอู๋เซี่ยนและเริ่มคาดเดาถึงจุดประสงค์ของเขาไปต่างๆนานา อย่างไรก็ตามเขาก็ตอบกลับไปตามตรงอย่างไร้ข้อพิรุธ

“สกุลเย่งั้นรึ? ฮืมมมม”

เนื่องจากดินแดนทิศประจิมนั้นห่างไกลจากเมืองหลวงหลายพันลี้ ยิ่งเป็นตอนใต้ของแดนตะวันตกยิ่งแล้วใหญ่ ทำให้แม้รู้ชื่อแซ่อู๋เซี่ยนที่หากินกับเมืองหลวงมาค่อนชีวิตก็ไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อได้ยินฐานะประธานหอการค้า เขาก็หูผึ่งในทันที

“เจ้าว่าเจ้าเป็นประธานหอการค้า มาหวางตู้เพื่อหาทำเลสินะ งั้น 10,000 ตั๋วทองสำหรับค่าแรกเข้าของเจ้า!” อู๋เซี่ยนนั้นกะฟันกำไรเหนาะๆ เขาหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาจดก่อนออกใบสั่งให้เย่เย่

เย่เย่ยังคงใจเย็น เขาไม่แสดงอาการอะไรออกมานอกจากเรียกร้องสิทธิตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงมีอย่างเท่าเทียมกัน “ท่านอู๋ แต่ว่าข้าเห็นชาวบ้านท่านอื่นๆ จ่ายเพียง 50 ตั๋วทองเองนะ ทำไมทีข้าถึงได้แพงนักล่ะ?”

“นี่เจ้า อย่าสงสัยมากจะได้ไหม? พวกเขาก็คือพวกเขา เจ้าก็คือเจ้า มันคนละกรณีกัน ข้าประเมินตามบทบัญญัติว่าด้วยการค้าขายในเมืองหวางตู้ข้อที่ 224 วรรค 10 ความว่าประธานหอการค้าผู้ใดที่มาจากมณฑลอื่น รัฐอื่น พึงจ่ายค่าแรกเข้า 5,000 ตั๋วทอง และผู้ใดมาจากแดนประจิมตอนใต้ให้คิดเป็นสองเท่าจากเดิม หรือก็คือ 10,000 ตั๋วทอง ถ้าเจ้าไม่พอใจล่ะก็กลับไปซะเถอะ หวางตู้ไม่ใช่มูลนิธิเงากระจกที่จะคอยช่วยเหลือผู้อื่นยามขัดสน”

แม้ว่าจะถูกเรียกร้องความเป็นธรรม แต่อู๋เซี่ยนนั้นไม่ได้ละอายแก่ใจ หนำซ้ำเขายังมั่วกฎบัญญัติขึ้นมาเองอีกต่างหาก

“ตะ แต่-” แม้เงิน 10,000 ตั๋วทองจะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับเย่เย่ แต่ศักดิ์ศรีและความถูกต้องย่อมมาก่อนสิ่งอื่นใด

“ไม่มีแต่ ที่นี่ข้าคือผู้คุมกฎ! จับมันโทษฐานขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่!” อู๋เซี่ยนขยิบตา สั่งทหารยามกีกี้ออกมาปิดล้อมเย่เย่เอาไว้

“ขอรับ!”

“ต่ำช้ายิ่งนัก! สมแล้วที่เป็นทหารหวางตู้ผู้พิทักษ์ราษฎร์แห่งแผ่นดิน รีดไถเงินกันกลางวันแสกๆเช่นนี้ เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดินบ้างหรือไงกัน มัดรวมกันเข้ามาทีเดียว ข้าจะได้สั่งสอนพวกเจ้าว่าเหล่าผู้พิทักษ์หอการค้าหยูเย่ของข้าจัดการกับพวกคนชั่วเยี่ยงไร!” เย่เย่พูดเสียงดังเพื่อป่าวประกาศให้ผู้คนโดยรอบรับรู้

“โฮ่ ประธานหอการค้า ตกต่ำลงไปมากทีเดียว เจ้าถึงกับต้องเรียกหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น

งั้นรึ!? เปล่าประโยชน์! พวกเจ้าจับมันมัดเอาไว้!”

ทหารยามรับปากอย่างแข็งขัน พวกเขาใช้แท่งเหล็กยาวที่มีส่วนปลายโค้งงอราวกับเสี้ยวพระจันทร์ พยายามล็อกคอเย่เย่เอาไว้ และกดเขาหมอบลงกับพื้น แต่ด้วยความเร็วของเย่เย่ถึงแม้จะซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงเอาไว้ ก็ฝ่าทหารยามเหาะเหินข้ามประตูไปได้อย่างไม่ยากเย็น

“ดูถูกกันเรอะ!” อู๋เซี่ยนไม่รอช้า รีบเหาะเหินตามเย่เย่เข้าไป และพยายามจับกุมเขาด้วยกงเล็บพิฆาต

เย่เย่เบี่ยงตัวหลบเพียงเล็กน้อย ระหว่างนั้นก็ใช้ 2 นิ้วมือขวาสะกัดจุดเขาเอาไว้ด้วยพลังอสุนีบาต

“อะ-!” อาการชาแผ่ซ่านไปทั่วร่างของอู๋เซี่ยน ก่อนที่จะตกลงไปนอนกับพื้นอย่างน่าสมเพช

ทหารยามที่เหลือก็ถูกความเร็วขั้นเทพยุทธ์ของเย่เย่ เล่นงานเข้าที่ท้ายทอยจนสลบเหมือด

“เยี่ยม พวกคนชั่ว สมควรแล้ว!”

“นี่คือผลกรรมของพวกเจ้าที่ข่มเหงผู้เสียภาษี!”

“วีรบุรุษแดนประจิมวรยุทธ์สูงส่ง วันนี้ได้เห็นกับตา เป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก!”

ประชาชนที่อัดอั้น ต่างด่าทอเหล่าทหารยามด้วยความเจ็บแค้น ก่อนที่จะยกย่องสรรเสริญเย่เย่ราวกับเป็นวีรบุรุษ

แต่การเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย เมื่ออู๋เซี่ยนและสมุนของเขาได้สติ เรื่องราวของบุรุษนิรนามก็แล่นเข้ามาในหัว แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆแล้ว พวกเขาไม่ได้บาดเจ็บมานัก จึงได้แต่คาดว่าเย่เย่เป็นเพียงผู้ใช้วิชาที่เขาไม่รู้จักก็เท่านั้น

“เจ้าหนู วิชาประหลาดของเจ้าใช่ย่อยเลยนี่ แต่อย่าได้ลำพองตนให้มากนัก ที่นี่หวางตู้ ไม่ใช่หลิงเฉิงหลังเขาอะไรของเจ้า จำใส่กะโหลกเอาไว้ซะ!”

สิ้นเสียงของอู๋เซี่ยน เขาก็ใช้นกหวีดมือเรียกกำลังเสริมออกมารายล้อมเย่เย่อีกครั้ง

“โหวกเหวกโวยวายอะไรกันน่ะ อู๋เซี่ยน?” ลิ่วกัง หัวหน้าทหารยามแห่งทิศประจิม ถามลูกน้องของเขาขึ้น

“ชายหนุ่มผู้นี้ขัดขวางการตรวจคนเข้าเมืองขอรับ ไม่เพียงเท่านี้เขายังทำร้ายพวกข้าอีกด้วย” ลิ่วกังนั้นรู้ความจริงทั้งหมดผ่านดวงตาแสนกลของอู๋เซี่ยน แต่กระนั้นเขาก็ไม่ชอบใจที่มีคนมาทำร้ายผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอยู่ดี

“พวกเจ้า จับคนร้ายไว้ให้ได้!” ลิ่วกังออกคำสั่ง กองทหารรักษากำแพงของเขาก็เดินหน้ารุกไล่เย่เย่เข้าไปทีละคืบๆอย่างช้าๆ

“เจ้าหนู มัวแต่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ มอบตัวซะ นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้า!” อู๋เซี่ยน แสยะยิ้มพลางแลบลิ้นเลียปากอย่างชั่วร้าย

แม้ว่าเย่เย่จะอยากระเบิดพลังกำจัดคนชั่วให้สิ้นซาก แต่เมื่อคิดทบทวนดูดีๆแล้ว การเปิดเผย

วรยุทธ์ที่สูงส่งกว่าขั้นเทพยุทธ์นั้นดูท่าจะสะดุดตาคนหมู่มาก เสี่ยงต่อการถูกเปิดเผย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจชูมือสองข้างขึ้นช้าๆอย่างว่าง่าย

“ข้าคือประธานหอการค้าหยูเย่แห่งหลิงเฉิง ข้าสาบานข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องชดใช้!” เย่เย่พูด ก่อนที่จะถูกทหารยามจับใส่กุญแจมือ

“เหลวไหล! ประธานหอการค้ามีรึจะอยู่ในสภาพนี้? เดินไป!” อู๋เซียนถีบส่ง เย่เย่ขึ้นเกวียนคุมขัง ก่อนปิดตาและนำทางเขาไปยังคุกใต้ดินสภาพโกโรโกโสที่คุมขังเหล่านักโทษอุกฉกรรจ์

เมื่อถึงคุกใต้ดิน อู๋เซียนก็เอาผ้าปิดตาของเย่เย่ออก เผยให้เห็นสภาพอันเน่าเฟะของคุกใต้ดิน ที่เต็มไปด้วยนักโทษที่ร้องโหยหวนจากการถูกทรมานรูปแบบต่างๆ ไม่ต่างอะไรจากของเล่นของพวกทหาร

“ข้าพาของเล่นชิ้นใหม่มาให้ท่าน ท่านพี่หวาง!” อู๋เซี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เบื้องหน้าเย่เย่ปรากฏเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

ชายวัยกลางคน ผิวเข้ม ถอดเสื้อครึ่งบนเผยให้เห็นร่างกายที่กำยำ ผู้นี้คือหัวหน้าผู้คุมขังนาม

หวางเสี่ยว เขาคบหากับทหารยามอย่างอู๋เซี่ยนเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่ไร้จริยธรรม

“เอามันไปขัง มัดข้อมือมันไว้สูงๆล่ะ! ข้าอยากจะเล่นกับพ่อหนุ่มน้อยนี่เสียหน่อย” ความใฝ่ฝันเพียงหนึ่งเดียวของหวางเสี่ยวผู้นี้คือ เขาอยากจะเป็นบุรุษผู้ที่ยืนอยู่เหนือบุรุษทั้งปวงในใต้หล้า

“เจ้าเองก็เข้ามาสิ เพิ่มพูนความรู้”

“จะดีหรือขอรับ? ได้เห็นท่านพี่หวางสั่งสอนคนชั่วกับตา ข้าน้อยอู๋เซี่ยนขอรับไว้ด้วยใจ” อู๋เซี่ยนอยากเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดทรมานของผู้ที่ท้าทายตนเป็นทุนเดิม เขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธคำเชื้อเชิญของหวางเสี่ยว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+