ลำนำสตรียอดเซียน 104 สัตว์วิเศษไฟนรกและศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ

Now you are reading ลำนำสตรียอดเซียน Chapter 104 สัตว์วิเศษไฟนรกและศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โม่เทียนเกอมองกระสวยอัปสราในมือนาง ตรงกลางหนา ปลายสองข้างแหลมคม นอกเหนือจากขนาดที่ใหญ่กว่ากระสวยปกติเล็กน้อย มันก็ดูเหมือนกระสวยที่ใช้ทอผ้าในโลกมนุษย์ทั่วไป นางไม่รู้ว่ามันทำมาจากที่ใด แต่มันมีประกายสีทองและความเย็นหรือความร้อนไม่มีผลอะไรกับมันเลย 

 

 

เสียงกรอบแกรบของใบไม้ดังมาจากในป่า สัตว์วิเศษระดับหนึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้านางโดยไม่รู้ตัว 

 

 

นางยิ้มกริ่ม ด้วยว่าได้เจ้าเครื่องมือเล็กๆ นี้มาไว้ทันเวลาพอดี นางยกมือขึ้น เปลี่ยนกระสวยอัปสราให้กลายเป็นลำแสงสีทองลอยขึ้นไปสู่ฟ้า 

 

 

สัตว์วิเศษตัวน้อยที่ดูเหมือนกระรอกเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังแสงสีทองด้วยดวงตาดำขลับ มันตกใจที่เห็นแสงสีทองที่จู่ๆ เปลี่ยนเป็นเข็มสีทองหลายเล่มที่รวมตัวกันเป็นวงแหวนและขังมันไว้อยู่ตรงกลาง 

 

 

บัดนี้สัตว์วิเศษตัวน้อยดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่ามันตกอยู่ในอันตราย จึงหดหัวกลับ สะบัดหางและหันไปมาพยายามจะวิ่งหนี 

 

 

อย่างไรก็ตามมันก็ต้องผิดหวัง เข็มสีทองนับไม่ถ้วนได้ปิดกั้นทางหนีของมันไว้หมดแล้ว ไม่ว่ามันจะกระโดดไปทางไหน ก็ไม่สามารถหนีวงแหวนแห่งแสงได้ เมื่อรู้สึกกระวนกระวาย เจ้าสัตว์น้อยก็ยิงฟันตบอุ้งมือก่อให้เกิดพลังวิญญาณร้อนแรงปะทุออกมาซึ่งทำให้เหล่าเข็มสีทองสั่นคลอนอย่างไม่คาดคิด 

 

 

โม่เทียนเกอตกใจแต่ก็รีบกดฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากันทันที เหล่าเข็มสีทองกระจัดกระจายอยู่ครู่หนึ่งและไม่นานนักก็เข้ามารวมกันใหม่แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะร่วงลงมาและกักขังเจ้าสัตว์น้อยไว้อีกครั้ง ไม่ว่ามันจะพุ่งไปทางซ้ายหรือขวา ก็ไม่สามารถหนีไปได้ 

 

 

พอถึงเวลาที่มันหมดแรง โม่เทียนเกอโบกมือทำให้เชือกปรากฏขึ้นและมัดตัวมันไว้อย่างแน่นหนา 

 

 

หลังจากถอนกระสวยอัปสราออก นางก็ก้าวไปข้างหน้าและคว้าตัวเจ้าสัตว์วิเศษตัวน้อยขึ้นมา มันแยกเขี้ยวขู่และดิ้นอย่างโกรธเกรี้ยว นางรื้อค้นกระเป๋าเอกภพของตัวเองโดยไม่สนใจมันแม้แต่น้อย เอาถุงสัตว์วิเศษออกมาและโยนเจ้าสัตว์ตัวน้อยเข้าไปในถุง 

 

 

เมื่อนางทำอะไรเสร็จเรียบร้อย นางก็ปล่อยกระบี่บินออกไปและบินกลับไปยังถ้ำของนางในยอดเขาวสันต์กระจ่าง 

 

 

ตอนแรกนางออกมาเพื่อแค่จะทดสอบพลังของกระสวยอัปสรานี้ แต่กระนั้นนางกลับจับเจ้าสัตว์ที่น่าสนใจตัวน้อยได้อย่างไม่คาดคิด เห็นได้ชัดว่ามันสามารถสำแดงเวทคาถาไฟได้อย่างเหนือชั้น ถึงแม้พลังของมันจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ไฟที่มันปล่อยออกมาก็ไม่ใช่ไฟธรรมดาเลย 

 

 

ขณะที่นางมาถึงยังหน้าถ้ำของตัวเอง นางก็บังเอิญเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยกำลังกลับบ้าน นางจึงร้องเรียก “ศิษย์พี่หลัว!”  

 

 

พอเห็นโม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ยก็เช็ดหน้าและเปลี่ยนเส้นทางเดินมาหาโม่เทียนเกอ “เทียนเกอ เจ้าออกไปข้างนอกมาหรือ”  

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าจากนั้นก็เปิดประตูถ้ำเพื่อเชิญหลัวเฟิงเสวี่ยเข้ามา หลัวเฟิงเสวี่ยที่ดูอ่อนแรงเดินเข้ามาในถ้ำ เมื่อนางนั่งลงบนเก้าอี้หินภายใน นางนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

หลังจากสำรวจสีหน้าหลัวเฟิงเสวี่ยอย่างระมัดระวัง โม่เทียนเกอจึงถามว่า “ศิษย์พี่หลัว เป็นอะไรหรือ”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยผู้ซึ่งกำลังหมดแรงถอนใจและพูดว่า “ข้าทำนู่นทำนี่จนยุ่งมามากกว่าสิบวันแล้ว ยังไม่ได้พักเลยแม้แต่นิดเดียว”  

 

 

โม่เทียนเกอประหลาดใจ นางรู้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยไม่ใช่ประเภทที่จะฝึกตนอย่างเอาเป็นเอาตาย ในทางตรงกันข้าม นางชอบที่จะยุ่งกับเรื่องการบริหารจัดการต่างๆ มากกว่า เป็นเพราะเหตุนั้นหลังจากหลัวเฟิงเสวี่ยสร้างฐานแห่งพลังของนางได้ นางจึงถูกรับเข้าไปเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ในโถงคนงาน แต่โม่เทียนเกอก็รู้มาว่าพวกเจ้าหน้าที่ไม่ได้จะมีงานยุ่งทุกวัน สุดท้ายแล้วเรื่องจุกจิกต่างๆ ก็ถูกจัดการโดยศิษย์ผู้ดูแล ดังนั้นโดยปกติแล้ว พวกเจ้าหน้าที่จึงต้องแค่ตรวจตราโถงคนงานเท่านั้น แล้วทำไมนางถึงต้องยุ่งขนาดนี้ 

 

 

“ศิษย์พี่หลัว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องใหญ่โตบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในโรงเรียน”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยนวดหว่างคิ้วของนางและพูดอย่างอ่อนแรง “เจ้าจำที่ศิษย์พี่ใหญ่พาศิษย์พี่ทั้งหญิงและชายหลายๆ คนออกนอกโรงเรียนไปเมื่อเดือนก่อนได้หรือไม่”  

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า นั่นเป็นตอนที่นางไปพบท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินหลังจากนางสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จ ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินบอกศิษย์พี่ใหญ่ชิงยูให้พาศิษย์พี่อีกสามคนไปกับนางด้วยเพื่อสืบสวนอะไรบางอย่าง 

 

 

นางไม่ได้สอดรู้ถามถึงเรื่องนั้นและไม่นานนักนางก็มัวแต่ยุ่งกับการเกลาเครื่องมือเวทอันใหม่ของนาง ดังนั้นนางจึงไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก 

 

 

“หลายเดือนก่อน ดูเหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงแปลกๆ ผิดปกติในป่าทางเขตฝั่งทิศใต้ ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นๆ ออกไปเพื่อตามสืบดู แต่… เรายังไม่ได้ข่าวจากพวกเขาเลยตั้งแต่พวกเขาออกไป”  

 

 

“อะไรนะ!” โม่เทียนเกออุทานด้วยความประหลาดใจ 

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยพยักหน้าและบอกว่า “ไม่ใช่เพียงกลุ่มของศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้นที่หายตัวไป ศิษย์คนอื่นที่ถูกพวกอาจารย์ลุงคนอื่นๆ ส่งออกไปจากแต่ละยอดเขาก็หายตัวไปเหมือนกัน รวมทั้งหมดสิบเจ็ดคนแล้วที่หายไปโดยไร้ร่องรอย”  

 

 

ถึงแม้โม่เทียนเกอจะไม่ได้ติดตามเรื่องราวต่างๆ ในโรงเรียน แต่นางก็เข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญแค่ไหน ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสิบเจ็ดคน และทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิ… หากพวกเขาทั้งหมดตาย ความสูญเสียจะยิ่งใหญ่มหาศาล แม้แต่กับกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ อย่างโรงเรียนเสวียนชิงก็เถอะ ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าห้าร้อยคน ทว่าคนที่หายไปก็เป็นศิษย์คนพิเศษในหมู่ศิษย์ชั้นเอกด้วยกัน เป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสก้าวหน้าไปยังดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังสูงที่สุด!  

 

 

“สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้ติดต่อกับกลุ่มการฝึกตนอื่น พบว่าปัญหานี้ก็เกิดขึ้นกับกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อีกหกกลุ่มเช่นกัน จนท้ายที่สุดทุกคนก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรตรงไปตรงมาเลยแม้แต่น้อย” หลัวเฟิงเสวี่ยขยี้ตาแดงก่ำของนางและพูดกับโม่เทียนเกอต่อ “เทียนเกอ เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก เรื่องนี้พวกผู้อาวุโสในโรงเรียนจะเป็นคนจัดการ ดังนั้นความวุ่นวายจะไม่ตกมาถึงเรา เอาล่ะ ข้าควรไปพักก่อนดีกว่า”  

 

 

“อื้อ พักให้สบายนะศิษย์พี่”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยโบกมือให้และกลับไปยังถ้ำของนางพร้อมกับขยี้ตาไปด้วย 

 

 

โม่เทียนเกอเองก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหมือนอย่างที่หลัวเฟิงเสวี่ยบอก เรื่องนี้จะถูกเบื้องบนจัดการ ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังไม่จำเป็นต้องกังวลกับมัน 

 

 

ตอนนี้พอนางได้อยู่คนเดียว นางจึงเปิดถุงสัตว์วิเศษเพื่อปล่อยเจ้าสัตว์ตัวน้อยออกมา เมื่อมันออกมาจากถุงได้ เจ้าสัตว์น้อยกะพริบตาดำขลับของมันและจ้องนางราวกับมันกำลังอ้อนวอน 

 

 

ด้วยการโบกมือ เชือกที่รัดตัวมันไว้ค่อยๆ คลายออก พอได้รับอิสรภาพ เจ้าสัตว์น้อยก็หันหลังวิ่งไปที่ประตูถ้ำทันที โม่เทียนเกอยกมือขึ้นและกระสวยอัปสราก็สำแดงพลังของมันอีกครั้ง เข็มสีทองหลายเล่มปรากฏขึ้นและกักขังเจ้าสัตว์ตัวนั้นอยู่ตรงกลาง 

 

 

“อู อู…” เจ้าสัตว์น้อยรับรู้ถึงพลังของกระสวยอัปสราแล้ว มันจึงรีบหันมาและขอร้องให้นางเมตตา 

 

 

ขณะที่โม่เทียนเกอเรียกกระสวยอัปสราคืนมา นางกล่าวว่า “ข้าจะไม่มัดเจ้าอีกถ้าเจ้าไม่วิ่งหนี”  

 

 

เจ้าสัตว์น้อยดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของนาง มันงอขาหลังและนั่งลง กำอุ้งมือด้านหน้ารวมกันเป็นท่าพนมมือที่หันมาทางนาง 

 

 

โม่เทียนเกออดคิดว่ามันตลกไม่ได้ นางยื่นมือออกไปและเก็บกระสวยอัปสรากลับเข้ากระเป๋าเอกภพของนาง 

 

 

เจ้าสัตว์น้อยยังคงจ้องมองอย่างอาลัยอาวรณ์ไปที่ประตู แต่สุดท้ายแล้วมันก็ค่อยๆ เข้ามาหานางช้าๆ สัตว์วิเศษมักจะอ่อนไหวกับภัยอันตราย เจ้าสัตว์น้อยตัวนี้สามารถสัมผัสได้ว่าโม่เทียนเกอมีพลังมากกว่ามัน ในเมื่อมันหนีไม่ได้ จึงทำได้แค่ยอมจำนนเท่านั้น 

 

 

เมื่อมองดูท่าทางเชื่องๆ ของมัน โม่เทียนเกอก็กวักมือเรียกเจ้าสัตว์น้อย ด้วยขนนุ่มลื่นสีน้ำตาล ดวงตาดำขลับและหางฟู มันดูคล้ายๆ กับกระรอก อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอจำมันได้ มันคือสัตว์วิเศษตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันในนามสัตว์วิเศษไฟนรก สัตว์วิเศษประเภทนี้โดยปกติไม่สามารถพัฒนาไปได้สูงนัก แต่การครอบครองมันไว้ในฐานะสัตว์วิเศษของนางก็เป็นวิธีที่ดีที่จะได้ใช้ไฟธรรมชาติ 

 

 

ไฟที่มันผลิตออกมาไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่มันคือไฟหยางแท้อันร้อนแรง เป็นไฟธรรมชาติของจริงชนิดที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าไฟตานเถียนของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเสียอีก ซึ่งดีสำหรับการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือต่างๆ  

 

 

หลังจากอุ้มเจ้าสัตว์น้อยขึ้นมาและกอดมันไว้ โม่เทียนเกอลูบขนมันและบอกว่า “ถ้าเจ้าเชื่อฟัง ข้าจะช่วยเจ้าฝึกตน ถ้าข้าสามารถก่อขุมพลังของข้าได้เข้าสักวันหนึ่ง ข้าจะปล่อยเจ้าไป”  

 

 

ดวงตาเจ้าสัตว์น้อยสุกใสขณะที่มันจ้องมองนาง 

 

 

“ดูเหมือนเจ้าจะเห็นด้วยสินะ” โม่เทียนเกอวางมันลงที่พื้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเอายาบำรุงพลังวิญญาณหลายเม็ดออกมาซึ่งตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับนางแล้ว นางให้ยากับมันและบอกว่า “ข้าควรจะตั้งชื่อให้เจ้า… ในเมื่อเจ้าเป็นสัตว์วิเศษไฟนรก งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวหั่ว [1] แล้วกัน” 

 

 

เจ้าสัตว์น้อยกลืนยาบำรุงพลังวิญญาณทั้งหมดพร้อมๆ กัน มันเงยหน้าขึ้นและทำเสียง “อูอู” ราวกับจะคัดค้านชื่อที่ไม่สร้างสรรค์ชื่อนี้ 

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ ไม่แยแสกับความไม่พอใจของมัน นางพูดว่า “ข้าไม่ได้ถามว่าเจ้าเห็นด้วยหรือไม่สักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรชื่อของเจ้าคือเสี่ยวหั่วนับตั้งแต่นี้ไป มานี่มา… ในอนาคตเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ เจ้าออกไปเล่นในหุบเขาข้างหลังได้ แต่ห้ามก่อปัญหาอะไรเด็ดขาด ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าจะจับเจ้ายัดกลับไปในถุงสัตว์วิเศษซะ”  

 

 

เจ้าสัตว์น้อยส่งเสียง “อูอู” อีกครั้ง โม่เทียนเกอลูบตัวมัน ให้ยาบำรุงพลังวิญญาณอีกหลายเม็ดแล้วพามันเข้าไปในห้องสำหรับสัตว์วิเศษ เมื่อนางปล่อยมันไว้ในห้องสัตว์วิเศษแล้ว นางจึงกลับไปที่ห้องฝึกตนและนั่งลงทำสมาธิ 

 

 

สืบเนื่องจากการเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ในที่สุดนางก็รู้ตัวว่ารากวิญญาณของนางย่ำแย่เพียงไร ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ความคืบหน้าในการฝึกตนของนางไม่ได้ช้าไปมากกว่าศิษย์หัวกะทิเนื่องจากนางทานยาวิเศษระหว่างที่อยู่ในม่านรวมพลังวิญญาณ กระนั้นก็ตาม ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ต่อให้นางทานยาวิเศษ การฝึกตนก็ไม่ได้ง่ายเหมือนกับตอนที่นางอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณอีกแล้ว 

 

 

เวลาหลายเดือนมานี้ นางฝึกตนโดยไม่มีวิชาที่เหมาะสมกับรากวิญญาณของนาง และแทบจะไม่มีการเพิ่มขึ้นในพลังวิญญาณของนางเลย ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะระงับการฝึกตนชั่วคราว ด้วยความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้ ต่อให้นางใช้อายุขัยที่เหลืออยู่สามร้อยปีจนหมดสิ้น นางก็อาจจะยังไม่สามารถก่อขุมพลังของตัวเองได้ เพราะฉะนั้น เมื่อนางเห็นสัตว์วิเศษไฟนรกตัวนี้ ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวของนาง 

 

 

ตอนแรกนางเรียนรู้เกี่ยวกับการปรุงยาแค่เพื่อจะปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิด แต่ตอนนี้นางได้มอบสูตรยาไปให้กับท่านปรมาจารย์จิงเหอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอาจารย์ลุงโซวจิงยังส่งขวดยาเหล่านั้นมาให้นางบางครั้งบางคราวอยู่เป็นประจำ ดังนั้นนางจึงอยากจะเลิกปรุงยาวิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางรู้แล้วว่าต้นทุนธรรมชาติของนางแย่แค่ไหน นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเริ่มปรุงยาอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

โม่เทียนเกอหลับตาพร้อมกับทอดถอนใจและเริ่มการฝึกตน 

 

 

นางได้ลองทดสอบพลังของกระสวยอัปสราแล้ว เป็นดังที่ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินว่าไว้ มันประกอบไปด้วยม่านพลังลวงตาที่สามารถแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ สามารถใช้ได้ทั้งในการโจมตีและป้องกัน มันเป็นเครื่องมือเวทระดับสูงอย่างแท้จริง 

 

 

นอกจากนั้น ยังมีศาสตร์หลอมจิตวิญญาณอีกเช่นกัน ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเตือนนางซ้ำๆ ว่านางจะต้องไม่เร่งรีบและค่อยฝึกมันไปอย่างช้าๆ  

 

 

ถึงแม้ว่าความเสี่ยงของการฝึกฝนศาสตร์หลอมจิตวิญญาณจะค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นวิชาที่ทรงพลังโดยแท้ เป็นวิชาการฝึกตนที่เชี่ยวชาญพิเศษในด้านการฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้น และสามารถโจมตีจิตวิญญาณเริ่มต้นของผู้อื่นได้โดยตรง ซึ่งจิตวิญญาณเริ่มต้นนับเป็นจุดอ่อนของผู้ฝึกตน ถ้านางฝึกมันสำเร็จ วิชานี้จะแสดงพลังอย่างน่าเกรงขามแน่นอน 

 

 

จิตวิญญาณเริ่มต้นที่ว่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปเรียกว่าวิญญาณ คนเป็นมีวิญญาณ และผู้ฝึกตนจะฝึกทั้งร่างกายและวิญญาณของพวกเขาจนมันกลายไปเป็นจิตวิญญาณเริ่มต้น 

 

 

จิตสัมผัสมาจากจิตวิญญาณเริ่มต้น ภายใต้สถานการณ์ปกติ จิตวิญญาณเริ่มต้นจะถูกซุกซ่อนไว้ลึกอยู่ภายในทะเลแห่งความรู้ในตานเถียน ดังนั้นจิตสัมผัสจึงไม่สามารถใช้ในการโจมตีได้และยังอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้โดยง่าย 

 

 

ในเหล่าวิชาการฝึกตนปกติ บางวิชาสามารถเพิ่มพละกำลังของจิตสัมผัสได้ แต่ผลลัพธ์นั้นถูกจำกัดอยู่แค่ในการทำให้จิตสัมผัสนั้นยิ่งอ่อนไหวกับขอบเขตที่กว้างขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณนี้จะฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้นของคนผู้นั้นเพื่อให้จิตสัมผัสของพวกเขามีความสามารถในการโจมตีได้!  

 

 

โม่เทียนเกอไม่กล้าพูดได้ว่าไม่มีวิชาการฝึกตนอื่นที่ฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้น กระนั้นก็ตาม จำนวนคนที่ฝึกวิชาการฝึกตนเช่นนั้นก็มีอยู่น้อยมาก สาเหตุก็แสนจะธรรมดา เป็นเช่นที่ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินพูดเอาไว้ว่าคนเราอาจถูกมารเข้าครอบงำได้อย่างง่ายดาย 

 

 

ความเปราะบางของจิตวิญญาณเริ่มต้นเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้ฝึกตนทุกคน การฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้นโดยไม่มีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับวิชานั้นอาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้ มันคงจะไม่เป็นอะไรถ้าผู้ฝึกตนนั้นอยู่ในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ เพราะผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ได้รวมจิตวิญญาณเริ่มต้นและขุมพลังของพวกเขาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่เปราะบางนัก ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับต่ำกว่า โดยทั่วไปแล้วถ้าจิตวิญญาณเริ่มต้นของพวกเขาบาดเจ็บ ระดับการฝึกตนของพวกเขาจะลดฮวบลงอย่างมาก จึงเป็นเพราะเหตุผลที่ท่านอาจารย์ 

 

 

เสวียนอินไม่ให้วิชาฝึกตนนี้กับนางในตอนแรกและเตือนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าโลภมากที่จะฝึกให้ก้าวหน้า 

 

 

อย่างไรก็ตาม นางไม่ใช่คนปกติทั่วไป นางมีข้อได้เปรียบอยู่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นในการฝึกฝนศาสตร์หลอมจิตวิญญาณนี้ นั่นคือร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ของนางและต้นทุนธรรมชาติอันแสนจะเลวร้ายของนางนั่นเอง 

 

 

สืบเนื่องจากร่างกายที่มีพลังหยินของนาง หยินและหยางจะไม่ปะทะกัน และด้วยรากวิญญาณต้นกำเนิด ทุกสิ่งก็จะสมดุลกัน การถูกมารครอบงำที่ว่านั้น ที่จริงแล้วคือการเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ฝึกตนฝึกวิชาและทำลายสมดุลภายในร่างกายของพวกเขา การครอบครองร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์หมายความว่าหยินและหยางจะไม่มีทางไม่สมดุลกันในร่างกายนางอยู่แล้วโดยปริยาย ยิ่งไปกว่านั้น เพราะรากวิญญาณต้นกำเนิด วงโคจรเล็กๆ ที่คงอยู่ในร่างกายของนางจะช่วยทำให้ทุกสิ่งสมดุลกัน เพราะฉะนั้นความสามารถของนางในการฝึกศาสตร์นี้อาจมองได้ว่าเป็นพรจากสรวงสวรรค์ก็ย่อมได้ ตราบใดที่นางไม่เร่งรีบหรือโลภมากในการพัฒนาตนและปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวัง โอกาสที่จะถูกมารเข้าครอบงำจึงมีน้อยมาก 

 

 

แม้กระนั้น ศาสตร์นี้ก็ใช่ว่าจะฝึกกันได้ง่ายๆ การฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้นโดยปกติแล้วต้องเริ่มจากตัวจิตวิญญาณเริ่มต้นนั้นเอง ซึ่งเปราะบางมาก ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงต้องเสริมพละกำลังจิตวิญญาณเริ่มต้นของนางให้แข็งแกร่งอย่างช้าๆ ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาในการฝึกศาสตร์นี้ นางยังไม่ได้มีความก้าวหน้าใดๆ เลยแม้แต่น้อย 

 

 

ระดับการฝึกตนของนางไม่มีการพัฒนาขึ้นและนางก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิชาฝึกตนที่เหมาะสมสำหรับรากวิญญาณของนางเลยแม้แต่นิดเดียว โม่เทียนเกอตระหนักว่าหลังจากเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ที่จริงแล้วอนาคตของนางกลับดูมืดหม่นเหลือเกิน 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เสี่ยวหัว ไฟดวงน้อย 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด