ลำนำสตรียอดเซียน 193 การต้อนรับจากเจ้าสำนัก

Now you are reading ลำนำสตรียอดเซียน Chapter 193 การต้อนรับจากเจ้าสำนัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อนางเดินออกจากหอวารีสีฟ้า รถม้าก็ได้มารอนางอยู่ด้านนอกแล้ว โม่เทียนเกอขึ้นไปบนรถม้าโดยมีลั่วเชียนซานคอยส่งนาง “ศิษย์พี่เยี่ย ศิษย์พี่ของข้ารอท่านอยู่แล้วที่อาราม ศิษย์พี่เพียงแค่ต้องไปที่นั่น จะมีใครบางคนมาพบท่านในภายหลังขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอแสดงความขอบคุณจากภายในรถม้า “ข้าขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องลำบาก เถ้าแก่ลั่วขอบคุณท่านมาก”

 

 

ลั่วเชียนซานรีบตอบกลับนางอย่างสุภาพ และในทันทีคนขับรถม้าสะบัดแส้ ม้าก็ร้องและรถม้าก็เคลื่อนตัวออกไป

 

 

โม่เทียนเกอลดม่านของรถม้าลงและก้มหน้าลงต่ำ ใช้ช่วงเวลาการเดินทางอันสั้นในการทำสมาธิ

 

 

นางไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากในการจำเส้นทางของรถม้าแม้แต่น้อย จนถึงตอนนี้สภาปี้เซวียนก็ดูไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อนาง หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาคงจะไม่มีทางส่งรถม้ามารับนางอย่างแน่นอน นอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังของพวกเขา การแสดงออกแบบชาวโลกมนุษย์เช่นนี้ก็ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นใดอีก

 

 

หลังจากที่นางเข้าสู่สมาธิ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น รถม้าก็หยุดลงและคนขับรถม้าผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณพูดด้วยความเคารพมาจากด้านนอก “ศิษย์พี่เยี่ย พวกเรามาถึงที่อารามแล้ว ท่านออกมาจากรถม้าได้ขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอลืมตา ในขณะนั้นคนที่ได้รับหน้าที่ต้อนรับนางอยู่ที่นั่นแล้วและเปิดม่านออก “ศิษย์พี่ ลงมาได้ขอรับ”

 

 

เขาดูเป็นเด็กหนุ่มผู้บอบบางและดูดี พร้อมด้วยท่าทางที่เคารพและเคร่งขรึม เขาแต่งกายเช่นเดียวกับคนขับรถม้า เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นศิษย์นอกเวลา

 

 

หลังจากที่ลงจากรถม้า นางก็มองไปยังขั้นบันไดหยก ประตูอารามที่สูงใหญ่ และศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณหญิงสองคนยืนรออยู่ทางด้านข้างทันที

 

 

ผู้ฝึกตนหญิงสองคนนี้ไม่เหมือนกับคนขับรถม้าหรือเด็กหนุ่มที่เปิดม่านรถม้าให้นาง ระดับการฝึกตนของพวกนางนับได้ว่าสูง คนหนึ่งอยู่ในระดับเจ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ และอีกคนหนึ่งอยู่ในระดับแปดของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ พวกนางไม่มีลักษณะอ่อนน้อมถ่อมตนแม้แต่น้อย เสื้อผ้าของพวกนางนั้นเลิศหรูและมีสัญลักษณ์ของสภาปี้เซวียนอยู่บนข้อมือและปกเสื้อ

 

 

โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของพวกนางนั้นดูคล้ายกับเสื้อผ้าของเหยียนรั่วชูและศิษย์น้องของนางอีกสองคนที่นางบังเอิญเจอตอนเข้าไปในถ้ำเซียนของจื่อเวย สัญลักษณ์ของพวกนางนั้นก็เหมือนกัน

 

 

เมื่อทั้งสองคนเห็นนางลงจากรถม้า พวกนางยิ้มและเข้ามาต้อนรับนาง “ท่านผู้มาเยือนที่มีชื่อเสียง ท่านคือศิษย์พี่เยี่ยใช่หรือไม่ พวกข้าคือศิษย์ผู้คอยต้อนรับแขกผู้มาเยือนแห่งสภาปี้เซวียน ขอคารวะศิษย์พี่เยี่ยเจ้าค่ะ”

 

 

ในเมื่อตอนนี้นางอยู่ภายในขอบเขตของสภาปี้เซวียน โม่เทียนเกอจึงตอบรับคำทักทายอย่างสุภาพ “น้องหญิงทั้งสองสุภาพเกินไป แต่ใช่แล้วข้าคือเยี่ยเสี่ยวเทียน”

 

 

นางสังเกตเห็นได้ว่าทั้งสองคนดูเหมือนจะประเมินนางอยู่ด้วยสายตาที่มองไปทั่วร่างของนาง ในท้ายที่สุด พวกนางก็ยิ้มให้กันและกัน ดูเหมือนจะพอใจในสิ่งที่พวกนางเห็น

 

 

หนึ่งในพวกนางพูด “พวกข้าได้แจ้งที่มาที่ไปของศิษย์พี่เยี่ยให้กับศิษย์พี่ของกลุ่ม เมื่อท่านเจ้าสำนักของพวกข้าได้ยินว่าเรามีแขกต่างถิ่น แถมยังเป็นศิษย์พี่ระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน นางรีบบอกพวกข้าให้ออกมาต้อนรับศิษย์พี่ที่นี่เป็นพิเศษเจ้าค่ะ”

 

 

“เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว รู้สึกงุนงงมาก

 

 

ผู้ฝึกตนหญิงอีกนางหนึ่งพูด “ท่านเจ้าสำนักกำลังรอศิษย์พี่อยู่ ศิษย์พี่โปรดตามพวกข้ามาเจ้าค่ะ”

 

 

“เจ้าสำนักของพวกเจ้าต้องการพบข้าอย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอถามด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้นางปิดบังระดับการฝึกตนของนางให้อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ด้วยพลังของจี้ซ่อนวิญญาณ แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังไม่สามารถตรวจจับถึงความผิดปกตินี้ได้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้เป็นกังวลว่าเจ้าสำนักของสภาปี้เซวียนจะพบเจออะไร อย่างไรก็ตาม นางเป็นผู้ฝึกตนต่างถิ่นผู้ซึ่งระดับการฝึกตนอยู่เพียงแค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน แล้วเจ้าสำนักจะต้องการพบนางเพื่ออะไร

 

 

นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายแล้ว นางรู้สึกว่านางไม่มีความจำเป็นที่ต้องกังวล บางทีผู้ฝึกตนต่างถิ่นอาจจะหาได้ยากที่นี่ และนางก็เป็นผู้ฝึกตนหญิงเช่นกัน ดังนั้นเจ้าสำนักสภาปี้เซวียนอาจจะสนใจในตัวนางก็เป็นได้

 

 

“ใช่เจ้าค่ะ” ผู้ฝึกตนหญิงที่ออกมาต้อนรับนางพูด หลังจากนั้นนางจึงหันกลับ จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มผู้ที่ยกม่านห้องโดยสารรถม้าขึ้นก่อนหน้านั้น “ไปและแจ้งท่านเจ้าสำนักว่าแขกมาถึงแล้ว”

 

 

โม่เทียนเกอรู้ว่าทั้งคนขับรถม้าและเด็กหนุ่มนั้นแสดงท่าทางเคารพต่อผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองคนอย่างสูงสุด ถ้านี่เป็นที่คุนอู๋นางก็คงคิดว่าสถานะของหญิงผู้ฝึกตนสองนางนี้น่าจะต้องสูงทีเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะแสดงให้เห็นถึงการดูหมิ่นต่อพวกนางแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นางได้ยินเกี่ยวกับสภาปี้เซวียนว่าเป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกตนหญิงจะได้รับพิจารณาว่ายิ่งใหญ่กว่า นางก็รู้ได้ว่าในสภาปี้เซวียน มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนชายเท่านั้นที่ได้รับมอบหมายงานเล็กๆ น้อยๆ และมีสถานะที่ต่ำ

 

 

หลังจากที่บอกเด็กหนุ่มให้ไปรายงานเจ้าสำนัก ผู้ฝึกตนหญิงสองคนก็นำทางโม่เทียนเกออย่างสุภาพ “ศิษย์พี่เยี่ย เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า “ขอบคุณที่เจ้าเป็นธุระให้” หลังจากนั้นนางจึงเดินตามหลังพวกนางขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ

 

 

อารามของสภาปี้เซวียนไม่ได้ต่างจากกลุ่มการฝึกตนของคุนอู๋เท่าไหร่นัก และเส้นเลือดวิญญาณก็ระดับกลางๆ แน่นอนว่านี่เป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับเส้นเลือดวิญญาณที่โม่เทียนเกอเห็นในโลกนี้ ภูเขาไท่คังเป็นภูเขาวิญญาณที่เยี่ยมยอด ในขณะที่สภาปี้เซวียนนั้นตั้งอยู่ในมุมที่ห่างไกลของโลก แล้วเส้นเลือดวิญญาณของสภาปี้เซวียนจะเทียบได้กับเส้นเลือดวิญญาณที่ดีที่สุดอย่างคุนอู๋ได้อย่างไร

 

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอำนาจของสภาปี้เซวียนนั้นจะไม่โดดเด่นนัก แต่รูปลักษณ์นั้นวิจิตรงดงาม หลังจากที่นางเดินขึ้นไปบนบันไดหยกและเข้าไปในประตูหลัก นางก็มองเห็นศาลาและเจดีย์ต่างๆ ใกล้กับบ่อน้ำและสวน ทุกสิ่งทุกอย่างดูละเอียดลออนุ่มนวล สร้างให้เกิดภาพอันงดงามตรึงตรา คาดว่าผู้หญิงนั้นมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนและมีฝีมือกว่า ดังนั้นพวกนางจึงสามารถจัดทัศนียภาพได้ดีกว่า

 

 

โม่เทียนเกอตามผู้ฝึกตนหญิงสองคนไป และพวกเขาเดินต่อไปอีกประมาณห้านาทีก่อนที่จะถึงห้องโถง

 

 

มีผู้ฝึกตนหญิงสองคนระดับแปดและเก้าของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณเฝ้าประตูอยู่ เมื่อพวกนางเห็นทั้งสามคนเดินตรงเข้ามา พวกนางก้มคำนับพร้อมทักทาย “ศิษย์น้องทำงานหนักทีเดียว นี่คือศิษย์พี่เยี่ยเช่นนั้นรึ

 

 

โม่เทียนเกอประสานมือ “ใช่แล้วข้าเอง”

 

 

พวกนางยิ้มพร้อมพูดตอบ “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านเจ้าสำนักมารอพบท่านอยู่แล้ว เชิญด้านใน”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าและกล่าวขอบคุณหลังจากนั้นจึงก้าวเข้าไปด้านในห้องโถง

 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อนางทำเช่นนั้น นางถึงกับต้องตะลึงงัน

 

 

ไม่ได้เป็นเพราะว่ามีสิ่งแปลกประหลาดอยู่ภายในห้องโถง แต่เป็นเพราะคนหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ ณ ที่นั่งหลักในห้องโถงหลักนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น ผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ดูเหมือนอายุเพียงแค่ยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดปี นางแต่งกายสวยงามและดูมีเสน่ห์อย่างมาก เพียงแค่ชำเลืองมองครั้งเดียว โม่เทียนเกอก็เดาได้ว่านางจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถพร้อมด้วยทรัพยากรที่มากพอทีเดียว

 

 

มีความสงสัยบางอย่างอยู่ภายในจิตใจของโม่เทียนเกอ เมื่อนางเข้ามา ศิษย์ของสภาปี้เซวียนต่างพูดว่าเจ้าสำนักกำลังรอนางอยู่ ทำไมมีเพียงแค่ผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานคนนี้รอนางผู้เดียว ชั่วขณะหนึ่ง นางสับสนว่านางควรที่จะเริ่มบทสนทนาเช่นไร

 

 

โชคดี จังหวะที่ผู้ฝึกตนหญิงเห็นนางเดินเข้ามา นางใช้ช่วงเวลานั้นยืนขึ้นหลังจากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านคือสหายนักพรตเยี่ยเช่นนั้นหรือ”

 

 

ถึงแม้ว่านางจะยังคงมีความสงสัยอยู่ภายในจิตใจ แต่สีหน้าของนางก็ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย โม่เทียนเกอประกบมือพร้อมคำนับและพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าเยี่ยเสี่ยวเทียน ขอคารวะสหายนักพรต”

 

 

เมื่อได้ยินโม่เทียนเกอพูดชื่อของนางออกมา ผู้ฝึกตนหญิงทำความเคารพนางกลับพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายนักพรตเยี่ยสุภาพเกินไปแล้ว ข้าชื่อเว่ยเฮ่าหลาน ข้าเป็นเจ้าสำนักของสภาปี้เซวียน”

 

 

“ท่านคือเจ้าสำนักของสภาปี้เซวียนเช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกออุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ตอนแรกนางคิดว่าเจ้าสำนักน่าจะต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเสียอีก ดังนั้นนางจึงสับสนว่าทำไมผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังถึงอยากพบนาง แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าสำนักจะเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน!

 

 

หลังจากที่นางโพล่งคำถามเหล่านั้นออกมา โม่เทียนเกอรู้ได้ทันทีทันใดว่าตัวเองนั้นหยาบคาย ดังนั้นนางจึงรีบคำนับ “ขออภัยให้ข้าด้วยท่านเจ้าสำนักเว่ย ข้าช่างหยาบคายยิ่งนัก”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ นางเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ก้าวมาด้านหน้าและจับนางให้ยืนขึ้นอย่างใกล้ชิดสนิทสนม “ข้าได้ยินมาจากศิษย์ของข้าว่าสหายนักพรตเยี่ยเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในขั้วแห่งท้องฟ้าของพวกเรา โรงเรียนเสวียนชิง คาดว่าท่านคงมีประสบการณ์ที่โชกโชนทีเดียว ดังนั้นท่านจึงไม่ได้คาดคิดว่าสภาปี้เซวียนจะปล่อยให้ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานเป็นเจ้าสำนักใช่หรือไม่ ไม่ได้มีเรื่องที่หยาบคายในสิ่งเหล่านั้นเลย”

 

 

เจ้าสำนักเว่ยนี้ทั้งอ่อนโยนและเป็นมิตรยิ่งนัก ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจอย่างเงียบๆ อยู่ภายใน ในตอนแรกนางเป็นกังวลว่าเมื่อพิจารณาถึงอำนาจที่สภาปี้เซวียนมีแล้วนั้น พวกเขาจะต้องโหดเ**้ยมเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม เจ้าสำนักเว่ยผู้นี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนฉลาดที่ยังปฏิบัติต่อแขกด้วยความเคารพนับถือ

 

 

ทั้งสองคนพูดชื่นชมกันต่อไปอีกครู่หนึ่งก่อนที่โม่เทียนเกอจะนั่งลงบนที่นั่งของแขก

 

 

ไม่นาน คนดูแลก็นำชาเข้ามาให้พวกนาง เป็นผู้ฝึกตนชายระดับต่ำอีกหนึ่งคน ดูเหมือนว่า… ในสภาปี้เซวียน ผู้หญิงจะได้รับพิจารณาว่าสูงศักดิ์กว่าผู้ชาย สำหรับโม่เทียนเกอผู้ซึ่งคุ้นเคยและเห็นว่าที่คุนอู๋ปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนหญิงดั่งร่างเตาหลอม นางรู้สึกไร้ซึ่งความกังวลต่างๆ ที่สภาปี้เซวียนนี้

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย” เว่ยเฮ่าหลานจิบชาหลังจากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกข้าไม่ได้มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นมาที่เมืองหลินไห่เป็นเวลานานมากแล้ว ข้าสงสัยว่าสหายนักพรตเยี่ยผจญภัยเช่นใดมา ท่านมาลงเอยอยู่ที่เมืองหลินไห่ได้อย่างไร”

 

 

โม่เทียนเกอวางถ้วยชาของนางลงเมื่อนางได้ยินคำถามนั้น นางตอบ “ข้าจะขอพูดด้วยความสัตย์จริงต่อท่านเจ้าสำนักเว่ย หลายเดือนก่อนตอนที่ข้าออกจากภูเขาเพื่อเดินทางตามที่ท่านอาจารย์ของข้าสั่ง ข้าได้บังเอิญพบเข้ากับสหายนักพรตหลายคน ดังนั้นพวกข้าจึงเดินทางไปด้วยกันยังสถานที่ลับเพื่อตามหาสมบัติบางอย่าง อย่างไรก็ตาม โดยไม่คาดคิด สถานที่ลับนั้นถล่มลงตอนที่พวกข้ากำลังหาสมบัติกัน ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนที่ข้าตื่นขึ้นมาข้าก็อยู่ที่เมืองหลินไห่แล้ว”

 

 

“โอ้” เว่ยเฮ่าหลานงุนงง “นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ใช่ สาเหตุที่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรนั้น ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันและข้าก็ไม่สามารถสืบหาอะไรเพิ่มเติมได้เลย”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางที่สับสนของโม่เทียนเกอ นางพูด “สหายนักพรตเยี่ย ท่านโชคดีที่ยังคงมีชีวิตและหนีออกมาได้อย่างไร้ซึ่งการบาดเจ็บ เมืองหลินไห่ของพวกข้าอยู่โดดเดี่ยวแยกออกมาจากโลก แต่พวกข้าก็ยังได้พบผู้ฝึกตนต่างถิ่นบ้างเป็นบางครั้ง หลายคนนั้นบาดเจ็บหนัก และบางคนก็ตายตอนที่มาถึง โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องเหลือเชื่อมากมาย และพวกเราก็เพียงแค่เริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียน บางอย่างนั้นยังเหนือความสามารถของพวกเราในการที่จะหยั่งรู้ได้”

 

 

“เป็นเช่นนั้นจริง!” เรื่องที่ว่านางมาลงเอยอยู่ที่เมืองหลินไห่ได้อย่างไรนั้น โม่เทียนเกอเองก็ครุ่นคิดมาโดยตลอด ภูมิประเทศภายในแดนแห่งมังกรซ่อนลายเปลี่ยนไปปีละครั้ง ดังนั้นตามที่นางคาดคะเน มันมีความเป็นไปได้มากว่าจะมีวิชาลับบางอย่างซ่อนอยู่ภายในนั้น มันเคลื่อนย้ายสถานที่หนึ่งไปยังแดนแห่งมังกรซ่อนลายทุกปีและแลกเปลี่ยนสถานที่นั้นกับที่อื่นๆ ในปีถัดไป ครั้งนี้นางบังเอิญถูกส่งมายังเมืองหลินไห่เท่านั้นเอง

 

 

หลังจากที่หยุดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ นี้ โม่เทียนเกอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามด้วยความจริงใจ “ท่านเจ้าสำนักเว่ย ข้าได้ยินมาว่ากลุ่มของท่านมีม่านพลังเคลื่อนย้ายที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอกในเมืองหลินไห่ เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้า “จริง”

 

 

ด้วยความดีใจจากสิ่งที่นางได้ยิน โม่เทียนเกอยืนขึ้นประกบมือของนาง “หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอยืมม่านพลังเคลื่อนย้ายของกลุ่มท่านได้หรือไม่” นางหยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดเพิ่มเติม “แน่นอนว่าข้าจะมอบสมบัติต่างๆ เป็นการจ่ายให้กับการใช้ม่านพลังเคลื่อนย้ายของท่าน”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานไม่ได้ตอบในทันที นางดื่มชาของนางแทนก่อนที่จะยิ้มและพูดว่า “สหายนักพรตเยี่ยไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้นหรอก เกี่ยวกับการที่จะให้ท่านยืมม่านพลังเคลื่อนย้ายนั้น… สามารถพูดคุยกันได้”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานพูดว่าสามารถพูดคุยกันได้ แต่หลังจากที่นางพูดเช่นนั้น นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นางกลับยกถ้วยชาของนางขึ้นมา และจิบชาต่อไปอย่างช้าๆ แทน

 

 

หลายปีก่อน โม่เทียนเกอได้ดูแลธุระต่างๆ อยู่ที่ตำหนักซ่างชิง ดังนั้นนางจึงเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการสื่อสารมาคร่าวๆ เมื่อเห็นท่าทางของเว่ยเฮ่าหลาน นางก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเว่ยเฮ่าหลานผู้นี้ฉลาดหลักแหลม นางปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความใจดีและจริงใจ แต่เมื่อนางได้โอกาสวางแผน นางก็ไม่ยั้งไว้เช่นกัน ตอนนี้นางไม่ได้พูดต่อเพราะนางมีม่านพลังเคลื่อนย้าย อำนาจอยู่ในมือของนาง ถ้าโม่เทียนเกอต้องการยืมม่านพลังเคลื่อนย้าย โม่เทียนเกอจะต้องตั้งราคาเอง หลังจากที่การเสนอค่าใช้จ่ายจากโม่เทียนเกอมากพอทำให้นางพอใจนางถึงจะพูดต่อ

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้หงุดหงิด นางเพียงแค่ดื่มชาต่ออย่างช้าๆ ตามเว่ยเฮ่าหลาน หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางวางถ้วยของนางลงและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านเจ้าสำนักเว่ย คนที่ตรงไปตรงมาจะไม่หันไปพึ่งการพูดเป็นนัย ดังนั้นเอาเป็นว่า ถ้ากลุ่มของท่านยินดีที่จะให้ข้ายืมม่านพลังเคลื่อนย้าย ข้าจะให้ท่านหนึ่งพันศิลาวิญญาณ ท่านว่าอย่างไร”

 

 

สำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั่วไป หนึ่งพันศิลาวิญญาณนั้นถือได้ว่าเป็นจำนวนมหาศาล ผู้ฝึกตนเดี่ยวน้อยคนนักที่จะเสนอได้มากเท่านี้ แม้กระทั่งศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนก็ลำบากที่จะจ่ายในจำนวนนี้ได้ถ้าพวกเขาไม่ได้เก็บเงินเก่งนัก สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานจะมีรายรับจำนวนมาก แต่พวกเขาก็มีรายจ่ายที่สูงเช่นกัน

 

 

อย่างไรก็ตาม เว่ยเฮ่าหลานเพียงแค่เลิกคิ้วและหัวเราะเบาๆ “สหายนักพรตเยี่ย ท่านพิสูจน์ตัวเองจริงๆ ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มาจากกลุ่มการฝึกตนขนาดใหญ่ หนึ่งพันศิลาวิญญาณ… แม้กระทั่งข้าก็คงไม่เต็มใจที่จะพูดจำนวนนั้นออกมา!”

 

 

ถึงแม้ว่าเว่ยเฮ่าหลานจะพูดเช่นนั้น โม่เทียนเกอสามารถสัมผัสได้ว่านางยังไม่พอใจในสิ่งที่เสนอให้

 

 

นางใช้เวลาครุ่นคิดครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงพูด “หนึ่งพันห้าร้อยศิลาวิญญาณ”

 

 

ม่านพลังเคลื่อนย้ายนั้นจะต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่ง แต่การใช้ครั้งหนึ่งนั้นต้องการเพียงแค่ศิลาวิญญาณคุณภาพกลางจำนวนหนึ่งเท่านั้น นั่นหมายความว่าศิลาวิญญาณหลายร้อยอันน่าจะเพียงพอ ด้วยศิลาวิญญาณหนึ่งพันห้าร้อยอัน พวกเขาจะได้กำไรอย่างน้อยกว่าหนึ่งพันศิลาวิญญาณ

 

 

อย่างไรก็ตาม เว่ยเฮ่าหลานยังคงส่ายหน้าและไม่พูดอะไรเลย เห็นได้ชัดเจนว่านางยังคงไม่พอใจกับราคานี้เช่นกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด