ลำนำสตรียอดเซียน 188-1 ชายฝั่งทะเลตะวันออก

Now you are reading ลำนำสตรียอดเซียน Chapter 188-1 ชายฝั่งทะเลตะวันออก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่สาว พี่สาว ดูเร็ว!”

 

 

ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอได้ยินเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของเด็ก

 

 

นางลืมตาขึ้นช้าๆ มองที่ภาพทิวทัศน์ด้านนอกจากในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

 

 

แสงอาทิตย์… แสงอาทิตย์!

 

 

ดวงตานางเบิกกว้างในทันที

 

 

แสงอาทิตย์… และไม่ใช่แค่แสงริบหรี่ที่ส่องผ่านน้ำ! มันคือแสงอาทิตย์โดยตรง!

 

 

เมื่อวานนี้ตำหนักใต้บาดาลพังทลายลง นางยังคงอยู่อย่างปลอดภัยในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่หลังจากนั้นนางเห็นจุดของแสงส่องแทรกผ่านน้ำมา บ่งบอกว่านางน่าจะอยู่ไม่ไกลจากผิวน้ำ ในเมื่อนางไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหนและเห็นเริ่นอวี่เฟิงสามารถหนีจากหายนะนี้ไปได้และกลัวว่าพวกเขาจะยังอยู่ในแดนแห่งมังกรซ่อนลาย นางจึงซ่อนตัวให้มิดชิดอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและไม่ได้ออกไป อย่างไรก็ตาม นางต้องประหลาดใจเมื่อนางลืมตาขึ้นในวันนี้ ภาพทิวทัศน์ด้านนอกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

 

 

ไม่มีน้ำและไม่มีกำแพงหินที่บดบังระยะสายตานาง มีเพียงแค่แสงอาทิตย์ที่สว่างโชติช่วงและไร้ขอบเขต

 

 

“เสี่ยวเป่า อย่าวิ่งไปทั่วสิ!”

 

 

ดูเหมือนจะมีเด็กสองคน เสียงอันแจ่มชัดไร้เดียงสาของพวกเขากระจายเข้ามาถึงที่ที่นางอยู่

 

 

“พี่สาว มีภูเขาสูงมากอยู่ตรงนี้!” เสียงของเด็กฟังดูใกล้หูของนาง โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ และพบว่า… นางดูเหมือนจะอยู่บนหินที่ใกล้กับชายทะเล เมื่อนางมองขึ้นไป สิ่งที่นางเห็นคือท้องฟ้าสีฟ้าครามและแสงอาทิตย์สดใส เมื่อนางก้มมอง สิ่งที่นางเห็นคือระลอกคลื่นนุ่มๆ บนผิวน้ำ แต่นางเห็นเศษหินและหินโสโครกข้างใต้ได้รางๆ

 

 

ความคิดเกิดขึ้นในจิตใจของโม่เทียนเกอ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่แดนแห่งมังกรซ่อนลาย นี่ไม่ใช่มหาสมุทรทางเหนือสุดด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เศษหินข้างใต้เป็นซากปรักหักพังของตำหนักใต้บาดาล หรือพูดอีกอย่างก็คือ นางถูกเคลื่อนไปพร้อมกับตำหนักใต้บาดาลไปยังสักที่หนึ่ง

 

 

เมื่อสรุปได้เช่นนี้ โม่เทียนเกอมองลงต่ำเพื่อมองหาเริ่นอวี่เฟิงและชิวจื้อหมิง

 

 

พวกเขาไม่อยู่ที่นั่น นางไม่อาจหาร่องรอยของเริ่นอวี่เฟิงและชิวจื้อหมิงท่ามกลางเศษซากพวกนั้นพบ ชิวจื้อหมิงไม่สำคัญเท่าไรนัก บางทีเขาอาจถูกฝังอยู่ภายใต้พวกหินก้อนใหญ่ๆ อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังดำมืดของเขาจนหมด ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาควรจะหาตัวเจอได้ง่าย แต่นางกลับไม่เห็นเขาที่ใดเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากตำหนักใต้บาดาลพังทลายลง เขาถูกกระแสน้ำทะเลพัดพาไปพร้อมกับรังไหมสีดำของเขา

 

 

ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อตำหนักใต้บาดาลพังทลายลง โลกภายนอกยังคงอยู่ใต้น้ำ บางที ณ จุดนั้น กระแสน้ำอาจจะรุนแรงมากและพัดพาเขาไปด้วย

 

 

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย หากนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อย่างน้อยตอนนี้นางก็สามารถหนีได้อย่างปลอดภัย

 

 

เด็กสองคนวิ่งมาทางที่นางยืนอยู่ คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยร่างล่อนจ้อนอายุประมาณสี่ถึงห้าขวบ ขณะที่อีกคนเป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณเจ็ดหรือแปดขวบ พวกเขาใส่เสื้อผ้าทอมือสีเทาลู่ลม ผิวของพวกเขาด้าน แก้มตอบและแห้งผาก ผมกระเซิง แต่ใบหน้าพวกเขายังคงมีความไร้เดียงสาและใจดีอย่างจริงใจแบบเด็กๆ

 

 

ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขา ที่นี่น่าจะไม่ใช่มหาสมุทรทางเหนือสุดที่หนาวสุดขั้วอย่างแน่นอน ที่นี่คือทะเลที่อบอุ่นกว่า

 

 

รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่เทียนเกอขณะที่นางคิดทบทวน นางออกเดินทางจากคุนอู๋ตะวันตกสู่แคว้นเว่ยในดินแดนใจกลาง จากที่นั่น นางเข้าไปในถ้ำเซียนของจื่อเวยในแคว้นจิ้น และจากนั้นนางก็ถูกส่งไปที่เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดโดยม่านพลังเคลื่อนย้าย จากภาคเหนือสุด นางมาถึงสถานที่ใหม่อีกครั้งอย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นเช่นนั้นเอง นางถูกโยกย้ายไปทั่วทุกที่

 

 

เด็กชายเงยหน้าเพื่อจ้องมองที่กองหินสูงบนชายฝั่ง จากนั้นเขาพูดกับพี่สาวของเขาว่า “พี่สาว ดูสิ! มันคือภูเขา!”

 

 

พี่สาวของเขาเอียงหัวขณะที่นางมองด้วยความสงสัย แต่ชั่วขณะต่อมานางก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่ภูเขา”

 

 

“จะไม่ใช่ภูเขาได้อย่างไร” ดวงตาเด็กชายเบิกกว้าง “ท่านพ่อบอกว่าภูเขาคือหินหลายๆ ก้อน ที่นี่ก็มีหินหลายๆ ก้อน”

 

 

เด็กหญิงส่ายหน้าแล้วจึงพูดกับน้องชายของนาง “อันนี้ไม่ใช่ ข้าเคยเห็นภูเขามาก่อนกับท่านพ่อ ภูเขาสูงมากๆ และมีต้นไม้มากมายโตอยู่บนนั้น แล้วยังมีดอกไม้มากมายอีกด้วย”

 

 

ดวงตาเด็กชายกลมโตขึ้น เขาจ้องพี่สาวเขาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกนี้คืออะไร”

 

 

“พวกนี้… ก็แค่หินหลายก้อน” พี่สาวของเขากล่าว

 

 

“พี่สาว!” เด็กชายร้องเรียกหลังจากเขาเห็นบางสิ่งอยู่ท่ามกลางหินก้อนใหญ่ๆ จากนั้นเขาวิ่งไปตรงนั้น หยิบของที่มีสีขาวราวหิมะขึ้นมาและถือมันไว้เหนือหัวด้วยมือเล็กๆ ของเขา “ดูสิ นี่มันคืออะไร”

 

 

เด็กหญิงหยิบของที่อยู่ในมือน้องชายนางและตรวจสอบดูด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดนางก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “ข้าก็ไม่รู้”

 

 

“เช่นนั้นเอากลับไปถามท่านพ่อกันเถอะ!”

 

 

“โอ๊ะ! มีอีกอันอยู่ตรงนี้!” เด็กหญิงหยิบของแข็งสีขาวชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากท่ามกลางก้อนหิน

 

 

จากการมองดู โม่เทียนเกอจำมันได้ว่าคือชิ้นส่วนเล็กๆ ของกระดูกนิ้วเท้ามังกร

 

 

พอเห็นเด็กทั้งสองคนด้านนอกกำลังค้นหากระดูกมังกร โม่เทียนเกอจึงลองคิดดู จากนั้นชี้ไปที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วของนางเพื่อออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

 

 

ลมทะเลรุนแรงพัดผ่านแขนของนาง มันทิ้งความชื้นไว้ไม่ใช่ความหนาวเย็น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ห่างไกลจากทางภาคเหนือสุด

 

 

“อ้า!” คนแรกที่เห็นนางคือเด็กหญิงตัวน้อย นางมึนงงสุดขีดที่เห็นใครบางคนจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดไม่รู้บนพวกหินก้อนใหญ่

 

 

เด็กชายก็เห็นนางเช่นกัน แต่ในทางตรงข้าม เขายิ้มทันทีจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างบนแก้มได้ชัดเจน เขาชี้ไปที่โม่เทียนเกอแล้วจึงปรบมือและพูดอย่างดีใจว่า “เทพธิดา! พี่สาว ดูสิ นั่นเทพธิดา!”

 

 

ความไร้เดียงสาและความน่าเอ็นดูของเขาทำให้โม่เทียนเกอไม่สามารถกลั้นยิ้มได้

 

 

เมื่อนางออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางใช้จิตสัมผัสของนางเพื่อสำรวจดูสภาพรอบตัวทันที เพียงหลังจากที่นางยืนยันได้ว่าไม่มีร่องรอยของผู้ฝึกตนคนอื่นอยู่ที่นั่นเท่านั้นนางจึงรู้สึกสบายใจได้ในที่สุด

 

 

จากบนยอดของกองหินก้อนใหญ่ๆ นางลอยลงมาอย่างนุ่มนวล

 

 

การที่นางโฉบผ่านอากาศอย่างสบายๆ ทำให้เด็กหญิงกลัวเป็นที่สุด นางดึงน้องชายถอยกลับไปหลายก้าว “ท่าน… ท่านเป็นอะไร…”

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะแล้วจึงพูดอย่างอ่อนโยน “น้องสาว ไม่ต้องกลัวไป ข้าแค่ผ่านมา”

 

 

โดยไม่คาดคิด สิ่งที่นางพูดยิ่งทำให้เด็กหญิงกลัวมากกว่าเดิม เด็กหญิงกอดน้องชายของนางไว้แน่นและพูดว่า “อย่าพาน้องชายข้าไป! ข้า… ข้า…”

 

 

โม่เทียนเกองุนงง “น้องสาว ข้าดูเหมือนคนไม่ดีเช่นนั้นหรือ”

 

 

ก่อนที่เด็กหญิงจะทันตอบ เด็กชายตะโกนไปก่อนแล้ว “ไม่เหมือน! ท่านดูเหมือนเทพธิดา!”

 

 

โม่เทียนเกออดยิ้มไม่ได้ การถูกเรียกว่าเป็นเทพธิดาโดยเด็กที่ใสซื่อและน่ารักเช่นนั้นเป็นสิ่งที่น่าดีใจ อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของเด็กหญิงค่อนข้างแปลกประหลาด

 

 

หลังจากลองคิดไตร่ตรองดู นางจึงถามต่ออย่างเป็นมิตร “น้องสาว เจ้ากลัวอะไรหรือ ข้าไม่ได้จะทำร้ายเจ้า”

 

 

เด็กหญิงจ้องมองโม่เทียนเกออย่างระมัดระวังมาสักพักแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากเห็นว่าโม่เทียนเกอดูเหมือนจะเป็นคนดีจริง นางจึงค่อยๆ ลดความระวังตัวลง นางพูดอย่างลังเล “ท่าน… เป็นแค่คนผ่านมาจริงหรือ”

 

 

“อื้อ” โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วจึงถามอย่างสงสัย “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าดูเหมือนคนไม่ดีเล่า”

 

 

หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เด็กหญิงพูดอย่างเหนียมอาย “ท่านพ่อบอกว่าช่วงหลังมานี้มีคนไม่ดีมากมายมาที่หมู่บ้านของเรา พวกเขามักจะจับเด็กไปบ่อยๆ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อย่างน้องชายของข้า…”

 

 

จับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ โม่เทียนเกอย่นคิ้ว พวกผู้ลักพาตัวหรือ ในหมู่บ้านตระกูลโม่ เมื่อตอนนางเป็นเด็ก นางก็เคยได้ยินว่ามีพวกผู้ลักพาตัวที่เชี่ยวชาญในการลักพาตัวเด็กๆ และปกติแล้วเด็กผู้ชายคือเป้าหมายของพวกเขา

 

 

“วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่ผู้ร้ายลักพาตัว” โม่เทียนเกอพูดพร้อมรอยยิ้มเพื่อปลอบใจเด็กหญิงที่ตื่นกลัว “ถ้าเจ้าไม่สบายใจ เจ้าพาข้าไปเจอท่านพ่อของเจ้าก็ได้ แบบนั้นดีไหมล่ะ”

 

 

เด็กหญิงสองจิตสองใจว่านางควรทำอย่างไรอยู่สักพัก แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้า “ตกลง หมู่บ้านของเราอยู่ตรงโน้นเอง เมื่อข้าตะโกน ก็จะมีคนมาหาข้าแน่นอน”

 

 

สายตาโม่เทียนเกอเคลื่อนตามทิศทางที่เด็กหญิงชี้ไป มีกระท่อมเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาอยู่จริงๆ แต่คนที่นั่นอาจจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนมาจากตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงคนนี้แค่พูดเช่นนั้นเพื่อเตือนนาง โม่เทียนเกอกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ เด็กหญิงยังเป็นแค่เด็กแต่นางก็ระมัดระวังตัวดีมาก นางเข้าใจว่านางต้องปกป้องตัวเองและน้องชายของนาง นางเป็นเด็กฉลาดเลยทีเดียว

 

 

เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้พยายามจะทำอะไรไม่ดีต่อพวกนาง ความกังวลของนางจึงลดลงเล็กน้อย นางคว้ามือน้องชายแล้วจึงนำทางโม่เทียนเกอเดินไปยังกระท่อมหลังเล็กๆ

 

 

เด็กชายดูเหมือนจะชอบโม่เทียนเกอมาก ขณะที่พวกเขาเดิน เขาเงยหน้าเพื่อมองนางและพูดว่า “พี่เทพธิดา ท่านมาจากที่ไหนหรือ ท่านมาจากทะเลหรือเปล่า ท่านพ่อข้าบอกว่ามีเทพธิดาอยู่ในทะเลและนางคอยอวยพรและคุ้มครองพวกเราให้ปลอดภัย”

 

 

“อืม จะว่าเช่นนั้นก็ได้” โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าเป็นเทพธิดา”

 

 

“เพราะพี่เทพธิดาสวยมากเหมือนอย่างที่ท่านแม่ข้าเคยพูดไว้เลย!” เด็กชายยกมือขึ้นเห็นได้ชัดว่าต้องการจะดึงมือนาง

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของเขา เด็กหญิงเหลือบมองเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ดั่งหิมะของโม่เทียนเกออย่างเหนียมอายแล้วจึงรีบปัดมือน้องชายนางออกไป “เสี่ยวเป่า มือเจ้าสกปรก”

 

 

เด็กชายที่ชื่อ “เสี่ยวเป่า” ดูผิดหวังและเขาส่งเสียง “โอ้” พร้อมกับลดมือลง

 

 

โม่เทียนเกอถอนใจอยู่ในใจ นางก้มตัวลงและจับมือเด็กชาย “ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก เสื้อผ้าข้าไม่เลอะ” นางกำลังใส่ชุดชาวลัทธิเต๋าของโรงเรียนเสวียนชิงอยู่ในตอนนี้ มันทำมาจากผ้าทอเมฆจากเขาไท่คัง ดังนั้นต่อให้น้ำหมึกหกใส่ นางก็แค่ต้องสะบัดนิดหน่อยและมันก็จะสะอาดเอี่ยมอีกครั้ง

 

 

รอยยิ้มเบ่งบานขึ้นบนใบหน้าเสี่ยวเป่าทันที เขาร้องเสียงดัง “ท่านเป็นพี่เทพธิดาจริงด้วย! ท่านแม่บอกว่าพี่เทพธิดาจากทะเลนั้นมีเมตตากับพวกเรามาก นางเป็นท่านแม่ของทุกคน!”

 

 

“…” จิตใจโม่เทียนเกอว้าวุ่นเล็กน้อย ตอนแรกนางเป็นพี่เทพธิดา ตอนนี้นางกลายเป็นแม่ของทุกคนแล้วหรือ แต่อย่างไรก็ตาม นางเข้าใจว่าเด็กชายหมายความว่าอะไร พี่เทพธิดาจากทะเลที่เขาพูดถึงน่าจะเป็นพระเจ้าที่ชาวประมงในบริเวณนี้เคารพบูชา

 

 

กระท่อมเล็กๆ อยู่ไม่ไกลมากนัก และเพราะนางเดินคุยกับเด็กชายตลอดเวลา พวกเขาจึงมาถึงก่อนจะรู้ตัวเสียอีก

 

 

โม่เทียนเกอมองกระท่อมอย่างเร็วๆ ทั้งหมดคือกระท่อมมุงจากที่ทำจากหลังคาฟางและกำแพงดินหรืออย่างดีที่สุดก็คือกำแพงหิน ผู้อยู่อาศัยมีผิวด้าน ใส่เสื้อผ้าปอนๆ ดูเฉื่อยชา เห็นได้ชัดว่าชีวิตของพวกเขาไม่ดีเลยสักนิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด