ลำนำสตรียอดเซียน 213 ปราณหยางบริสุทธิ์

Now you are reading ลำนำสตรียอดเซียน Chapter 213 ปราณหยางบริสุทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โม่เทียนเกอคิดพิจารณาถึงสองสามสิ่งก่อนจะเปิดเผยความลับเรื่องปราณหยินบริสุทธิ์ของนาง

 

 

ข้อแรก สภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้ฝึกตนหญิง ในหมู่คนทั้งหกในเจดีย์แห่งนี้ มีแค่ถังเซิ่นคนเดียวที่เป็นผู้ชาย และจากการกระทำของเขามาจนถึงตอนนี้ ไม่มีทีท่าว่าเขาจะสามารถทำอะไรที่ทำร้ายนางได้ หากผู้อาวุโสชิงซีอยู่ที่นี่ บางทีนางอาจจะพยายามทำอะไรกับนางเพื่อประโยชน์ของถังเซิ่น อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวไม่มีเหตุผลที่ต้องบีบบังคับนาง

 

 

ข้อที่สอง คนทั้งหกติดอยู่ภายในเจดีย์บรรลุเต๋านี้ด้วยกัน ดังนั้นตอนนี้พวกเขาล้วนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ผู้อาวุโสชิงอี้หรือผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจะต้องทำร้ายนาง

 

 

ข้อที่สาม ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนในโลกแห่งการฝึกตนจะเห็นแก่ตัวเองเป็นหลัก แต่ผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนนั้นให้ความเคารพอย่างมากต่อผู้ก่อตั้งของกลุ่มตัวเอง เพื่อเห็นแก่โม่เหยาชิง พวกเขาจะไม่ทำอะไรกับนาง

 

 

เหตุผลข้อสุดท้ายซึ่งเป็นข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ โม่เทียนเกอเพียงแค่ได้รับคู่มือศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของโม่เหยาชิงมาโดยไม่มีวิชาลับอื่นๆ หากสภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ก่อตั้งโดยโม่เหยาชิง มีความเป็นไปได้สูงมากที่โม่เหยาชิงจะเสียชีวิตอยู่ที่นี่ในท้ายที่สุด และนั่นหมายความว่าทรัพย์สินและวิชาลับที่นางทิ้งไว้เบื้องหลังก็น่าจะอยู่ที่นี่เช่นกัน! นางเดาได้แล้วว่าทำไมผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวถึงเรียกนางและถังเซิ่นขึ้นมาข้างบน พวกเขาคงต้องการคนให้มาช่วย หากพวกเขารู้ว่านางเป็นทายาทของผู้ก่อตั้งซึ่งยังมีร่างปราณที่พิเศษเหมือนของผู้ก่อตั้งของพวกเขาเช่นกัน พวกเขาอาจจะส่งต่อวิชาลับบางส่วนของผู้ก่อตั้งพวกเขามาให้นางก็ได้ มีศัตรูที่ทรงพลังอยู่ใกล้ๆ นางจึงต้องการเพิ่มพละกำลังของตัวเองอย่างแรงกล้า

 

 

นางชนะการเดิมพัน

 

 

พอรู้ว่านางเป็นทายาทของโม่เหยาชิงและยืนยันแล้วว่านางมีปราณหยินบริสุทธิ์เช่นกัน ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจึงได้มอบหยกบันทึกซึ่งว่ากันว่าประกอบไปด้วยวิชาลับเฉพาะของโม่เหยาชิงบางส่วนให้กับนาง

 

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้อาวุโสชิงอี้ถอนหายใจอย่างสะเทือนอารมณ์ เอ่ยว่า “น่าเสียดายจริงๆ ที่เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของสภาปี้เซวียน ไม่เช่นนั้นละก็…”

 

 

โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไร พวกเขากำลังหวังว่านางจะอยู่ในสภาปี้เซวียนต่อ แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้ผู้ก่อตั้งของสภาปี้เซวียนจะเป็นบรรพบุรุษของตระกูลโม่ แต่นางจะไม่ยอมออกจากโรงเรียนเสวียนชิงแค่เพื่อช่วยให้สภาปี้เซวียนกลับมายืนหยัดได้อีกครั้งหรอก นางไม่มีความสนใจแม้แต่นิดเดียวในเรื่องที่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของกลุ่ม เป้าหมายเดียวของนางก็คือบรรลุเต๋าและก้าวหน้าขึ้นไปเพื่อกลายเป็นเซียนที่แท้จริง

 

 

อย่างไรก็ตาม มีความสัมพันธ์พิเศษระหว่างนางกับสภาปี้เซวียน หากนางกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเข้า นางก็จะสามารถดูแลจัดการได้ในอนาคต

 

 

ในวันต่อๆ มา นอกเหนือจากการพักฟื้น ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยังสอนคาถาบางอย่างให้ถังเซิ่นอีกด้วยและให้คำแนะนำกับโม่เทียนเกอว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของนางอย่างไร

 

 

ปรากฏว่าสิ่งเดียวที่พลังมรณะกลัวคือไฟ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางออกอื่นนอกจากการใช้ไฟตานเถียนอย่างช้าๆ เพื่อกลืนและสลายมัน อย่างไรก็ตาม ไฟตานเถียนของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นอ่อนมาก ขณะที่พลังมรณะของเริ่นอวี่เฟิงค่อนข้างรับมือด้วยยาก โม่เทียนเกอจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีก่อนที่นางจะสามารถสลายพลังมรณะนี้ได้จนหมดสิ้น อีกอย่าง อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยิ่งแย่กว่านางมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถช่วยนางได้อย่างแน่นอน

 

 

ที่จริงแล้วโม่เทียนเกอไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวนางเองมากนัก นางสามารถทนความโดดเดี่ยวได้เป็นอย่างดีและนางก็ยังอายุน้อยมาก ดังนั้นจึงไม่สำคัญอะไรหากนางจะเสียเวลาอยู่ที่นี่

 

 

ความสงบของนางทำให้ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวชื่นชมนาง แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างน่าเสียดายที่โม่เทียนเกอเข้าร่วมกลุ่มการฝึกตนไปก่อนแล้ว นางไม่มีทางออกจากโรงเรียนเสวียนชิงแค่เพื่อมาเข้าสภาปี้เซวียนแน่

 

 

แต่ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอรู้สึกว่าหลังจากพวกเขารู้ความลับของนาง ผู้อาวุโสทั้งสองคนและถังเซิ่นมองนางแตกต่างไปจากเดิม ผู้อาวุโสทั้งสองคนไม่ได้แย่มากนัก แต่ถังเซิ่น… สายตาเขามักจะทำให้นางรู้สึกค่อนข้างขัดแย้งอยู่เสมอ

 

 

เป็นไปได้ไหมว่าถังเซิ่นตอนนี้มีความคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับนาง นั่นก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ท่านทวดผู้ที่รักเขาอย่างสุดซึ้งถูกชำแหละและเขาก็ไม่มีข่าวคราวหรืออะไรก็ตามเกี่ยวกับญาติคนอื่นๆ ของเขา เป็นไปได้ที่เขาต้องการจะแก้แค้นและกำลังคิดว่าจะใช้นางเพื่อทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ แต่ด้วยนิสัยนุ่มนิ่มของเขา โม่เทียนเกอจึงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ก่อนที่นางจะทันถามพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องน่าสงสัยนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองคนก็ขอพบนางก่อนแล้ว

 

 

“ศิษย์พี่” โม่เทียนเกอเรียกขณะที่นางก้าวขึ้นไปบนชั้นสี่ ปัจจุบันนี้ชั้นสามกลายเป็นที่ของพวกเขา ศิษย์ผู้น้อยทั้งสี่คนเพื่อฟื้นตัวและฝึกตน ผู้อาวุโสทั้งสองต้องการความเงียบสงบ ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายไปที่ชั้นสี่เพื่อพักฟื้นต่อไป

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยิ้มเมื่อเห็นนางเข้ามา “เทียนเกอ มานั่งนี่เร็ว” หลังจากรู้เกี่ยวกับอดีตของนาง ทั้งสองคนปฏิบัติกับนางอย่างสนิทสนมมากกว่าแต่ก่อน ตอนนี้ทั้งคู่ต่างเรียกนางด้วยชื่อที่แท้จริงของนาง

 

 

โม่เทียนเกอโค้งคำนับและยังคงทำความเคารพพวกเขาก่อนจะนั่งบนเก้าอี้เล็กๆ ตรงข้ามกับผู้อาวุโสทั้งสอง

 

 

“ทุกวันนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้อาวุโสชิงอี้ถาม

 

 

โม่เทียนเกอตอบอย่างใจเย็น “ไม่มีความคืบหน้าอะไรเจ้าค่ะ พลังมรณะนี้ยากจะรับมือด้วย ตอนนี้ข้าต้องขัดเกลามันอย่างช้าๆ ไปก่อน”

 

 

ผู้อาวุโสทั้งสองเข้าใจเรื่องนี้ได้ พวกเขาแค่หาประเด็นที่จะเริ่มบทสนทนาเท่านั้นเอง ทั้งสองคนต่างเหลือบมองกันและกันแต่สุดท้ายผู้อาวุโสชิงอี้จึงเป็นคนพูด

 

 

“มีเรื่องนี้… พวกเราทั้งสองคนคิดมาเป็นเวลานานแล้วและเราคิดว่าเราควรบอกให้เจ้ารู้” ผู้อาวุโสชิงอี้พูดช้าๆ “พูดตามตรง ก่อนเจ้าจะเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเจ้า เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนั้น”

 

 

เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนดูระวังตัวมากเพียงไร สีหน้าโม่เทียนเกอจึงเคร่งขรึมมากขึ้นด้วยเช่นกัน “ศิษย์พี่ ถ้าท่านมีอะไรจะพูด โปรดอย่าได้ลังเล มีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ”

 

 

“ไม่มี” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวกล่าว นางดูเหมือนว่านางซาบซึ้งกับบางสิ่ง “ในทางตรงกันข้าม มันเป็นเรื่องดี”

 

 

โม่เทียนเกอนิ่วหน้า รู้สึกสับสนอย่างมาก

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้หัวเราะเบาๆ “ช่างมันเถอะ ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมากับเจ้า คาดว่าเจ้าเองก็คงสังเกตเห็นว่าเราไม่ได้ประหลาดใจมากนักเมื่อเราค้นพบว่าเจ้าครอบครองปราณหยินบริสุทธิ์ ที่จริงแล้วเหตุผลก็ง่ายมาก ถึงแม้เราจะไม่เคยเจอใครที่มีปราณหยินบริสุทธิ์มาก่อน แต่เราเคยเจอใครบางคนที่มีปราณหยางบริสุทธิ์”

 

 

โม่เทียนเกอตะลึง นางจำได้ถึงพฤติกรรมของถังเซิ่นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาทันที ทำให้สีหน้าของนางซึมลงแทบจะทันที

 

 

สีหน้านางทำให้ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยิ้ม นางพูดว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเดาได้แล้วสินะ เจ้าคิดถูกแล้ว นั่นคือเหตุผลที่สำคัญที่สุดว่าทำไมเซิ่นเอ๋อร์ เจ้าเด็กคนนั้น ถึงได้รับความรักอย่างมากมายโดยศิษย์น้องชิงซีและถูกแก่งแย่งโดยศิษย์ทุกคนในกลุ่ม”

 

 

งั้นนั่นก็คือเหตุผล! ถึงแม้สภาปี้เซวียนจะเป็นกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้ฝึกตนหญิง ถึงแม้หลินไห่จะไม่ได้มีผู้ฝึกตนชายระดับสูงมากมายนัก แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยที่ผู้ฝึกตนชายคนหนึ่งพร้อมด้วยนิสัยที่อ่อนแอและเป็นคนที่ยุ่งเหยิงอย่างถังเซิ่นจะเป็นที่นิยมมากขนาดนั้น งั้นนั่นก็คือเหตุผลที่แท้จริงนี่เอง!

 

 

โม่เทียนเกอสงบสติอารมณ์ของตัวเองและพูดอย่างแผ่วเบา “ถ้าเช่นนั้น… ศิษย์พี่คิดกับเรื่องนี้อย่างไร”

 

 

คนที่มีปราณหยางบริสุทธิ์เป็นคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีปราณหยินบริสุทธิ์ แต่ทั้งสองร่างปราณนี้หาได้ยากยิ่งนัก ดูอย่างหยวนเป่าและโม่เหยาชิงเป็นตัวอย่าง คนหนึ่งมีปราณหยางบริสุทธิ์ ในขณะที่อีกคนมีปราณหยินบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนจากยุคเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วมีความแตกต่างด้านอายุระหว่างพวกเขาอยู่หลายร้อยปี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังอาศัยอยู่ห่างไกลกันมาก ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งคู่ต่างบังเอิญได้พบกับจงมู่หลิง ทั้งสองคนนั้นก็น่าจะไม่มีทางได้พบกับอีกฝ่ายตลอดชีวิตของพวกเขา

 

 

แต่กระนั้นก็ตาม ถึงแม้ว่าหยางบริสุทธิ์และหยินบริสุทธิ์จะเป็นคู่กันมาแต่กำเนิด ทั้งหยวนเป่าและโม่เหยาชิงไม่ได้มีความเห็นที่ดีต่ออีกฝ่ายด้วยซ้ำไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเจตนาที่จะทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับอีกฝ่าย

 

 

โม่เทียนเกอไม่เคยคิดว่านางจะเจอผู้ฝึกตนชายที่มีปราณหยางบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ในยุคเดียวกันกับนาง ยิ่งไปกว่านั้น อายุและระดับการฝึกตนของเขาก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับนางด้วย ครั้งหนึ่งนางเองก็เคยสงสัยว่าหากนางเป็นโม่เหยาชิง นางจะฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับหยวนเป่าหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรนางก็กำจัดความคิดนั้นออกไปทันทีที่ผุดขึ้น ถูกต้อง! เส้นทางสู่ความเป็นเซียนนั้นยากลำบาก แต่คนเราต้องพึ่งความพยายามของตัวเองบนเส้นทางแห่งการฝึกตน การหวังพึ่งพาการฝึกตนร่วมสัมพันธ์นั้นขัดแย้งกับความคิดต้นแบบของการฝึกตน อีกอย่างนางก็ไม่คิดว่าเสนอร่างกายของนางไปแค่เพื่อสิ่งนั้นแล้วมันจะคุ้มค่ากัน

 

 

ขณะที่นางจ้องผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยว โม่เทียนเกอตัดสินใจแล้ว หากพวกเขาขอร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะไม่ตอบตกลงอย่างแน่นอน นางไม่ได้กลัวว่าพวกเขาจะบังคับนาง คนนอกจะสามารถบังคับเรื่องแบบนี้กับนางได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังขาดกำลังคน ตามหลักเหตุผลแล้ว พวกเขาคงไม่เลือกที่จะขัดแย้งกับนางโดยสมัครใจแน่

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้ดูเหมือนจะมองทะลุผ่านความคิดของโม่เทียนเกอ จากนั้นนางพูดด้วยรอยยิ้ม “เทียนเกอ ด้วยระดับการฝึกตนปัจจุบันของเจ้า ข้าสันนิษฐานว่าเจ้าคงไม่มีปัญหาใดๆ ในการก่อขุมพลังของเจ้าถึงแม้ไม่มีการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ก็ตาม อย่างไรก็ตาม การฝึกตนร่วมสัมพันธ์ยังนำมาซึ่งประโยชน์อีกมากมาย เจ้าควรคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน”

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเส้นประสาทที่ตึงเครียดของนางค่อยๆ คลายลง จากสิ่งที่ผู้อาวุโสชิงอี้พูด นางดูเหมือนจะไม่มีเจตนาบีบบังคับนางให้ทำ ถึงแม้นางจะตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว แต่นางก็ยังไม่ต้องการมีความขัดแย้งอะไรกับพวกเขาเมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันนี้ของพวกเขา มันคงจะดีที่สุดถ้าพวกเขาไม่มีความตั้งใจจะบังคับนาง

 

 

“ศิษย์พี่ ได้โปรดอย่าพูดเรื่องนี้อีกในอนาคต ข้าได้ยินว่าท่านบรรพบุรุษของข้าก็บังเอิญเจอกับผู้ฝึกตนชายที่มีปราณหยางบริสุทธิ์ครั้งหนึ่งเช่นกัน แต่นางไม่เคยปรารถนาจะทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับเขา คาดว่าท่านบรรพบุรุษของข้าคงเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเองซึ่งรังเกียจการใช้วิธีนี้ในการเดินบนเส้นทางสู่เซียนของนาง ถึงแม้ระดับการฝึกตนของข้าจะด้อยกว่าท่านบรรพบุรุษ แต่ความตั้งใจของข้าในการตามหาเต๋าและบรรลุเซียนนั้นล้วนเหมือนกัน”

 

 

คำพูดของโม่เทียนเกอทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองพูดไม่ออก

 

 

พูดอย่างเห็นแก่ตัว พวกเขาหวังว่าโม่เทียนเกอกับถังเซิ่นจะสามารถเป็นคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์กันได้ ด้วยวิธีนั้น ต่อให้โม่เทียนเกอต้องกลับไปที่โรงเรียนเสวียนชิงในท้ายที่สุด นางก็ยังสามารถทิ้งความหวังเอาไว้ให้สภาปี้เซวียนได้บ้าง อีกอย่าง เมื่อคนที่มีปราณหยางบริสุทธิ์และคนที่มีปราณหยินบริสุทธิ์ทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กัน ผลประโยชน์ต่างๆ นั้นไม่ต้องสงสัยเลย ระดับการฝึกตนของพวกเขาจะก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วมาก!

 

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาล้วนรู้ว่าถังเซิ่นเป็นคนเช่นไร ระดับการฝึกตนของเขาธรรมดาและเขามีนิสัยอ่อนแอ ขณะที่ผู้ฝึกตนหญิงคนอื่นในกลุ่มของพวกเขาอาจจะชื่นชอบรูปลักษณ์ของเขา โม่เทียนเกอนั้นมาจากคุนอู๋ สิ่งนี้มันยังไม่มากพอที่จะกระตุ้นความสนใจของนาง

 

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขายกเรื่องการฝึกตนร่วมสัมพันธ์มาพูดให้โม่เทียนเกอคิดทบทวน ด้วยนิสัยของถังเซิ่น เขาต้องแย่แน่ถ้าความก้าวหน้าในการฝึกตนของเขาหยุดชะงัก หากตัวโม่เทียนเกอเองคัดค้านกับแนวคิดนั้น เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้อีก

 

 

เมื่อผู้อาวุโสชิงอี้คิดมาถึงจุดนี้ นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เราก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าวางใจได้ เจ้าเด็กเซิ่นเอ๋อร์คนนั้นจะไม่ทำอะไรไม่เหมาะสมต่อเจ้า”

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้กังวลกับเรื่องนั้นสักนิด นางไม่ได้กลัวด้วยซ้ำถึงแม้ถังเซิ่นจะมีความคิดอะไรเกี่ยวกับนางในภายหลัง

 

 

“นอกจากนี้ เรายังมีอีกเรื่องที่เราต้องการเสนอกับเจ้า” ผู้อาวุโสชิงอี้พูดอย่างครุ่นคิด

 

 

ตราบใดที่พวกเขาไม่บังคับนางให้ทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ โม่เทียนเกอก็ไม่ขัดข้องกับการทำอะไรสักอย่างให้สำหรับสภาปี้เซวียน “ศิษย์พี่พูดมาได้ตามตรงเลยเจ้าค่ะ ถ้ามันเป็นสิ่งที่อยู่ในกำลังของข้า ข้าจะทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน”

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้ยิ้มแล้วจึงพูดว่า “ในเมื่อเจ้ามีสายสัมพันธ์เช่นนั้นกับกลุ่มของข้า แต่เดิมเราหวังว่าเจ้าจะอยู่ในสภาปี้เซวียนต่อไปได้ แต่เจ้ามีจิตใจแห่งเต๋าที่แน่วแน่และเจ้าก็ยังไม่อยากจะถูกรบกวนโดยกิจธุระประจำวันต่างๆ ดังนั้นมันคงไม่เหมาะที่เราจะยืนกรานต่อไป อย่างไรก็ตาม เจ้ามีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของสภาปี้เซวียนเช่นกัน ต่อให้ศิษย์มากกว่าครึ่งของเราจะสามารถหนีได้และรอดชีวิต หลังจากเราฆ่ามารผู้ฝึกตนผู้นั้น เราก็ยังจะต้องลงทุนลงแรงอีกมากเพื่อสร้างสภาปี้เซวียนขึ้นมาใหม่”

 

 

“วิชามารของมารผู้ฝึกตนผู้นั้นช่างเลวร้ายเหลือเกิน แต่ศิษย์น้องชิงเมี่ยวและตัวข้าคิดออกแล้วว่าจะจัดการกับเขาอย่างไร แต่นั่นหมายความว่าหน้าที่ของการสร้างกลุ่มขึ้นมาใหม่จะตกอยู่กับศิษย์ผู้น้อยของเรา อาการบาดเจ็บของเฮ่าหลานหนักหน่วงเกินไป ถึงแม้นางจะหายดี แต่ข้าเกรงว่าระดับการฝึกตนของนางจะถดถอยกลับไปที่ดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ซย่าชิงและถังเซิ่นไม่สามารถจัดการกับกิจธุระของทุกวันได้… เพราะฉะนั้นเราหวังว่าเจ้าจะตอบตกลงเพื่อเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของเรา”

 

 

โม่เทียนเกอถามพร้อมกับย่นคิ้วเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ท่านตั้งใจจะเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อฆ่าเริ่นอวี่เฟิงอย่างนั้นหรือ”

 

 

ผู้อาวุโสทั้งสองทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นเท่านั้น นางสัมผัสได้ถึงความตั้งใจจากคำพูดของพวกเขา

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวกล่าว “ใช่ อาการบาดเจ็บที่ศิษย์พี่ชิงอี้และตัวข้าได้รับในครั้งนี้นั้นค่อนข้างกระทบกับอายุขัยของเรา เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่สามสิบถึงห้าสิบปีเป็นอย่างมาก ท่ามกลางคนทั้งหกในเจดีย์แห่งนี้ เฮ่าหลานบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นมันคงยากมากสำหรับนางที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคต สำหรับซย่าชิงและถังเซิ่น พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ยึดมั่นกับการฝึกตนมากนัก… หากพวกเราทั้งสองคนตายไปจริงๆ จะไม่มีความหวังใดเหลือสำหรับสภาปี้เซวียน เพราะเหตุนั้น เราจึงน่าจะเดิมพันกับเรื่องนี้ ถ้าเราสามารถกำจัดมารผู้ฝึกตนคนนั้นได้ ไม่น่าจะเป็นปัญหาที่จะสร้างสภาปี้เซวียนขึ้นมาใหม่ด้วยความสามารถของเฮ่าหลานในการจัดการสิ่งต่างๆ” พอถึงจุดนั้น ผู้อาวุโสทั้งสองคนต่างมองมาที่นาง “เพราะฉะนั้น เทียนเกอ เราหวังว่าเจ้าจะสามารถเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของสภาปี้เซวียนได้เพื่อที่ตัวตนของเจ้าจะข่มขู่พวกคนที่ไม่ยอมเชื่อฟัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด