หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม 112 เด็กๆ มาแล้ว

Now you are reading หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม Chapter 112 เด็กๆ มาแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กลิ่นหอมของชาดกำจายทั่วห้อง หรูหราและงดงาม ฉากกั้นลายสระบัวใต้แสงจันทร์แบ่งห้องเป็นสองฝั่ง ฝั่งซ้ายของห้องมีเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ

เด็กหนุ่มผู้นี้ดูแล้วน่าจะอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี ผิวขาวเนียนละเอียดดุจน้ำนม ดวงตาเรียวงดงาม ริมฝีปากแดง ท่าทางร่าเริงและเจ้าสำราญนี้ เขาก็คือสวี่เฉิงเซวียน เจ้าของหอเทียนเซียง

อย่ามองเพียงว่าเขาอายุน้อย ดวงหน้าประหนึ่งสตรี เขาทำงานเด็ดขาดและฉับไว ผู้คนหอเทียนเซียงต่างยำเกรง

ด้านหลังของสวี่เฉิงเซวียนมีบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำยืนอยู่ พวกเขามีสีหน้าเรียบเฉย

ทว่าด้านหน้าของสวี่เฉิงเซวียน เป็นพ่อครัวใหญ่หยางซึ่งยืนเหงื่อตก ก้มหน้า ค้อมหลังอยู่

“…เรื่องก็เป็นเช่นนี้” เมื่อพ่อครัวใหญ่หยางเล่าเรื่องทั้งหมดจบ เขาก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่ว่าเขาจะปิดบังเรื่องนี้กับใคร แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเจ้าของร้านวัยเยาว์ผู้นี้ เขากลับไม่กล้าปิดบังแม้แต่ประโยคเดียว

“สวะ!” สวี่เฉิงเซวียนใช้กำปั้นทุบโต๊ะ

พ่อครัวใหญ่หยางรู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดันภายในห้อง แม้แต่องครักษ์ของสวี่เฉิงเซวียนก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้ว

พ่อครัวหยางตัวสั่น

วินาทีต่อมา ก็ได้ยินสวี่เฉิงเซวียนพูดว่า “แม้แต่คนบ้านนอกสองคนยังจัดการไม่ได้ ไร้ประโยชน์!”

พ่อครัวใหญ่หยางผงะถอยไป เจ้าของภัตตาคารผู้นี้ไม่ได้กล่าวโทษที่เขาขโมยสูตรอาหารของอวี๋ไคหยาง หากแต่หงุดหงิดที่เขาไม่ได้จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย…

พ่อครัวใหญ่หยางรู้สึกปลื้มปีติ จนแทบอยากคุกเข่าให้เจ้าของผู้นี้เลยทีเดียว!

“ท่านเจ้าของ! เมื่อวานพวกเขามาสามคน วันนี้เหลือสองคน!” พ่อครัวใหญ่หยางไม่เห็นผู้จัดการชุย จึงคิดว่าเขาคงถูกสังหารไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากออกจากหอเทียนเซียง เขาได้แยกไปคนละทางกับอวี๋หวั่นและอวี๋เฟิง

“คนนอกตายไปจะมีประโยชน์อันใด?” สวี่เฉิงเซวียนมิได้ปลอบใจเขาแม้แต่น้อย

พ่อครัวใหญ่หยางก้มหน้าลงอีกครั้งหนึ่ง “ข้าก็ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะพอมีความสามารถจัดการมือสังหาร ส่งพวกเขาให้ทางการ แต่ท่านวางใจเถิด ข้าจัดการให้เรียบร้อยได้ สืบมาไม่ถึงพวกเราแน่”

สวี่เฉิงเซวียนมองเขาด้วยสายตาเคืองแค้น “เจ้าเองก็สมควรตาย รู้หรือไม่ว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะมิได้กระทบเพียงหอเทียนเซียง แต่ยังกระทบถึงพี่รองแล้วก็ท่านอาของข้าด้วย”

ผู้ที่เขาเรียกว่า ‘พี่รอง’ และ ‘ท่านอา’ นั้น ก็คือองค์ชายรองและสวี่เสียนเฟย

พ่อครัวใหญ่หยางคุกเข่าลงทันที

สวี่เฉิงเซวียนกล่าวอย่างขึงขังว่า “อย่าคิดว่าท่านอาข้ากินขนมของเจ้าสองคำแล้วข้าจะไม่จัดการเจ้านะ!”

พ่อครัวใหญ่หยางตัวสั่นอีกครั้ง ครานี้เป็นเพียงการขู่ ในเมื่อเจ้าของบอกแล้วว่า เสียนเฟยชื่นชอบฝีมือของเขา เช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรเจ้าของก็จะต้องเก็บเขาเอาไว้อยู่ดี

แน่นอนว่า ความผิดพลาดที่ต้องแก้ไขก็จำต้องแก้ไข

“ท่านเจ้าของ ได้โปรดให้โอกาสข้าอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าจะไม่พลาดแล้ว”

สวี่เฉิงเซวียนมองด้วยสายตาเย็นเยียบ “ใช้เพียงความสามารถของเจ้าจะไปทำอะไรได้? ปี้หนู”

เขาออกคำสั่ง จากนั้นบุรุษร่างผอมสวมผ้าคลุมสีดำก็ก้าวออกมาจากด้านหลังฉาก

……

ระหว่างทางที่ออกจากเมืองหลวง อวี๋หวั่นเห็นคนขายถังหูลู่ จึงกระโดดลงไปซื้อมาจำนวนหนึ่ง

อวี๋เฟิงส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ “มันใช่เวลาไหม เจ้ายังมีกะจิตกะใจซื้ออยู่อีกหรือ?”

อวี๋หวั่นยิ้มมุมปากเล็กน้อย “มันจะผ่านไป พี่ใหญ่”

รถม้ามาจอดถึงสถานีส่งสาร หลังจากนั้น ทั้งสองจึงเดินต่อกลับไปยังหมู่บ้าน

ระยะทางไม่นับว่าใกล้ แต่ก็มิได้สร้างความลำบากให้สองพี่น้อง

เข้าใกล้ยามเซิน (บ่ายสาม) ทั้งสองก็เดินทางถึงหมู่บ้าน ก็เห็นชายชราเร่ร่อนถือไม้เท้าและถุงใส่ข้าวสารจากไกลๆ

วันนี้งานเสร็จเร็ว ชาวบ้านจึงแยกย้ายกันกลับบ้านของตน เหล่าฮูหยินก็ยืนล้อมบ่อน้ำล้างผักซักผ้ากันอยู่

ดูเหมือนว่าคนเร่ร่อนจะพูดไม่ได้ แต่เขาค้อมตัว ขอข้าวจากพวกนาง

ป้าไป๋ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ไม่มีที่นาแล้ว! ทุกคนล้วนหิวกันหมด จะมีข้าวให้เจ้าได้อย่างไร? เจ้าไปหมู่บ้านซิ่งฮวา! เห็นถนนเส้นนั้นหรือไม่? ไปทางตะวันออก แล้วเดินตรงไปก็ถึงแล้ว!”

ชายชราเร่ร่อนยังคงอ้อนวอนขอข้าวต่อไป

ป้าจางสะกิดมือป้าไป๋ “คนหูหนวก”

ป้าไป๋กลอกตา ใช้ไม้ตีผ้าในกะละมัง “ข้าไม่มีข้าวให้เขา!”

ชายชราเร่ร่อนรอป้าไป๋อยู่นานก็ไม่ได้อาหาร เขาจึงหันไปหาป้าจาง

ป้าจางหันหลังให้

เขาจึงยื่นถุงไปยังชุ่ยฮวา

ชุ่ยฮวายกกะละมังผ้าที่ซักเสร็จ แล้วเดินกลับบ้านไปโดยไม่เหลียวหลังแม้แต่น้อย

มิใช่เพราะพวกนางใจแข็ง ที่จริงถังใส่ข้าวสารของพวกนางก็กำลังจะว่างเปล่าแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะได้เงินค่าแรงมา แต่ไม่มีที่ดิน จะกินอะไรจึงต้องใช้เงินซื้อ บัดนี้จะช่วยเหลือเขา หรือถูกช่วยเหลือเสียเอง ก็มิได้ต่างกันเท่าไร!

ชายชราเร่ร่อนวนเวียนอยู่รอบๆ บ่อน้ำ แต่กลับไม่ได้อะไร เขาจึงเริ่มเดินไปตามบ้าน

ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่า ในช่วงเวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียวที่ชายชราหันหลังกลับ นัยน์ตาของเขาพลันปรากฏความชั่วร้ายขึ้นวูบหนึ่ง

……

ถังหูลู่ไม้หนึ่งสำหรับเจินเจิน ไม้หนึ่งสำหรับเถี่ยตั้นน้อย ที่เหลืออีกสี่ไม้ อวี๋หวั่นถือไปบ้านข้างๆ

ลุงวั่นกำลังป้อนข้าวให้เด็กน้อยทั้งสาม

เด็กทั้งสามนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง ด้านหน้าของแต่ละคนมีชามใบเล็กวางอยู่ ทั้งสามคนจับช้อนทองขึ้นมาอย่างเงอะงะ วางๆ ยกๆ จากชามซึ่งเต็มไปด้วยข้าวต้มน้ำแกงกระดูก หมูสับและกุ้ง ยกไปยกมาจนข้าวกระจายไปรอบๆ แต่ไม่ยอมตักเข้าปาก

ลุงวั่นตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว พวกเจ้ากินเสียหน่อยเถิด

“ลุงวั่น” อวี๋หวั่นเดินเข้ามา

ลุงวั่นกล่าวทักทายด้วยความดีใจ “แม่นางอวี๋มาได้จังหวะพอดี คุณชายน้อยไม่ยอมกินข้าว ท่านช่วยข้า…”

ลุงวั่นพูดไป พลางหันไปมองคุณชายน้อยที่เขาล่อหลอกมาแสนนานก็ยังไม่ยอมกินข้าว บัดนี้อ้าปากงับข้าวเมล็ดข้าวบนช้อน

พวกเขาไม่เคยกินข้าวเอง ท่าทางไม่ทะมัดทะแมง หนึ่งในนั้นจับช้อนกลับด้าน

ลุงวั่นรู้สึกงุนงงไปครู่หนึ่ง “นั่น…”

อวี๋หวั่นพยักหน้า “ลุงวั่น ข้าช่วยเอง”

“ได้!” ลุงวั่นแทบอดใจรอไม่ไหว เขาเดินออกไปด้วยความรู้สึกประหนึ่งยกภูเขาออกจากอก

อวี๋หวั่นเดินไปยังเบื้องหน้าของเด็กทั้งสาม

เด็กทั้งสามก้มหน้าก้มตากินข้าว!

อวี๋หวั่นจิ้มหน้าผากของพวกเขา “ไม่ต้องแล้ว ข้าเห็นหมดแล้ว”

อุ่ย~

ถูกจับได้เสียแล้ว

เด็กทั้งสามก้มหน้าด้วยความเก้อเขิน

“ข้าไม่ได้กล่าวโทษพวกเจ้า เพียงแต่พวกเจ้าต้องรู้ว่า อาหารเป็นของหายาก ข้างนอกมีภัยธรรมชาติ คนจำนวนมากอดอยากหิวโหย พวกเจ้าต้องอย่ากินทิ้งกินขว้างรู้ไหม?”

ทั้งสามคนพยักหน้า

อวี๋หวั่นมองไปยังเมล็ดข้าวที่กระจายทั่วโต๊ะ จำออกกฎกับทั้งสามว่า “อย่าให้มีอาหารเหลือทิ้ง”

ทั้งสามคนค่อยๆ เก็บข้าวบนโต๊ะขึ้นมาทีละเม็ดๆ

คนโตและคนรองกินอย่างว่าง่าย ส่วนน้องคนสุดท้องใส่เมล็ดข้าวลงในชามของพี่ชาย

อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเข้มงวด “ของตัวเองก็กินเอง”

ดังนั้นน้องเล็กจึงใช้นิ้วที่เหนียวหนึบหยิบเมล็ดข้าวที่เพิ่งหยิบใส่ชามของพี่ชายกลับมา

คนโตที่รู้สึกอยากอาเจียน “…”

คนรองที่พลันรู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมา “…”

……

“น้ำแกงแม้แต่นิดเดียวก็ห้ามเหลือ!”

ภายใต้การควบคุมของอวี๋หวั่น ทั้งสามคนกินข้าวจนหมด อวี๋หวั่นให้รางวัลพวกเขาเป็นถังหูลู่คนละไม้ ไม้สุดท้ายให้เจ้าจิ้งจอกหิมะน้อย หลังจากนั้นอวี๋หวั่นก็กลับบ้านไปกินข้าว

ก๊อกๆๆ!

มีเสียงคนเคาะประตูหน้าบ้าน

อวี๋หวั่นกำลังผัดผักอยู่ จึงตะโกนไปในบ้านว่า “เถี่ยตั้นน้อย ไปดูหน่อยว่าใครมา”

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก

“เด็กคนนี้ หายไปไหนแล้วเนี่ย?” อวี๋หวั่นรีบเดินไปยังโถงกลางบ้าน กลับเห็นว่าเป็นชายชราเร่ร่อนซึ่งก่อนหน้านี้มาขออาหารที่ทางเข้าหมู่บ้าน

ชายชราเร่ร่อนผู้นี้ค้อมกายพร้อมยื่นถุงมาขออาหาร

อวี๋หวั่นเข้าไปหยิบอัวอัวโถวในครัวมาให้เขาสองลูก

ชายชราเร่ร่อนยัดอัวอัวโถวใส่ถุง ทว่าเขากลับยังไม่ไปไหน ทั้งยังชี้มือชี้ไม้

“ท่านอยากดื่มน้ำหรือ?” อวี๋หวั่นถาม

ชายชราเร่ร่อนส่ายหัว หยิบภาพวาดออกมาจากอกเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา

“ท่านหาคนอยู่หรือ?” อวี๋หวั่นมองไปยังภาพวาด รู้สึกว่าคนในภาพดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน

กลิ่นหอมลอยออกมาจากห้องครัว อวี๋หวั่นจึงพูดว่า “ข้าผัดผักไว้ ท่านมานั่งก่อนสิ คนในภาพเหมือนข้าจะเคยเห็น ข้าต้องนึกก่อน!”

ชายชราเร่ร่อนโค้งแทนคำขอบคุณให้เธอหนึ่งครั้ง

อวี๋หวั่นเข้าครัวไปทำกับข้าว

ปี้หนูมองไปยังเงาของเธอที่ค่อยๆ เลือนหายไป หลังที่โค้งกลับมายืดตรง เขานั่งลงที่โต๊ะอาหาร

บนโต๊ะมีอัวอัวโถวหอมกรุ่นสองลูก อัวอัวโถวนี้ลุงใหญ่เป็นคนทำ หน้าตาและรสชาติล้วนยอดเยี่ยม เพียงได้กลิ่น ปี้หนูก็อดน้ำลายไหลไม่ได้ แต่เขาก็ยังไม่ลืมว่าตนมาที่นี่ทำไม

เขาหยิบขวดยามาจากอกเสื้อ ดึงจุกออก เตรียมจะเทยาพิษลงในอัวอัวโถว

แต่ทันใดนั้นเอง เถี่ยตั้นน้อยก็วิ่งเข้ามา “ท่านพี่ๆ! ข้าหิวเหลือเกิน! เอ๋? ที่บ้านมีแขกมาหรือ?”

การปรากฏตัวของเถี่ยตั้นน้อย ทำให้ปี้หนูต้องหยุดชะงัก เขาหดแขนกลับไป

เถี่ยตั้นน้อยนั่งลงข้างๆ แล้วมองไปที่เขาด้วยความสงสัย

อวี๋หวั่นถือโจ๊กสามชามออกมา “ผู้นี้คือท่านปู่ที่ผ่านมาแถวนี้ เขามาตามหาคน”

“อ๋อ” เถี่ยตั้นน้อยยื่นชามไปด้านหน้าของปี้หนู “ท่านปู่ ท่านกินโจ๊กสักหน่อยเถิด”

“ท่านแม่ล่ะ?” อวี๋หวั่นถาม

เถี่ยตั้นน้อยยกชามโจ๊กขึ้นมา ตอบว่า “ช่วยงานอยู่ที่บ้านป้าจาง ท่านแม่บอกว่าจะไม่กลับมากินข้าวเย็น ท่านพี่ท่านทำอะไรไว้บนเตาอีกแล้ว?”

มีเนื้ออยู่ในหม้อ

อวี๋หวั่นจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัว

เถี่ยตั้นน้อยซดโจ๊กจนหมดชาม แล้วก็รีบวิ่งปรู้ดออกไป!

เด็กน้อยทั้งสามเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ตัวหอมฉุย เด็ดดอกไม้มาให้อวี๋หวั่น

ขณะเดียวกัน ปี้หนูก็กำลังเทยาพิษใส่ในชามโจ๊กของอวี๋หวั่น

ยาพิษชนิดนี้ไร้สีไร้รส มีฤทธิ์รุนแรง เพียงช้อนเดียวก็สามารถล้มวัวได้หนึ่งตัว จะฆ่าดรุณีน้อยคนหนึ่ง ใช้เพียงครึ่งช้อนก็เพียงพอแล้ว

หลังจากที่เขาเทยาพิษลงไป ก็สลับชามโจ๊กของตนกับของอวี๋หวั่น

เมื่อสลับชามเสร็จ เถี่ยตั้นน้อยก็จูงมือสือโถวและเด็กอายุสิบขวบอีกคนหนึ่งมา “ท่านปู่! ท่านจะหาใครหรือ ถามสือโถวกับไห่จื่อสิ! พวกเขารู้จักคนเยอะแยะเลย!”

ปี้หนูตกใจจนมือสั่น ทำขวดยาตกลงไปใต้โต๊ะ

เถี่ยตั้นน้อยดึงมือเขามา “ท่านถามพวกเขาเลย! ถามพวกเขา!”

ปี้หนูถูกเถี่ยตั้นน้อยตอแย เขาไม่รู้เลยว่าเด็กน้อยทั้งสามได้เห็นว่าเขาเทยาพิษและเปลี่ยนชามโจ๊กนั้น

เด็กน้อยทั้งสามเดินเข้ามาในบ้าน สิ่งที่อวี๋หวั่นสอนเอาไว้พวกเข้าจำได้ขึ้นใจ

‘อย่าให้มีอาหารเหลือทิ้ง’

คนโตเก็บขวดยาขึ้นมา

‘ของตัวเองก็กินเอง’

คนรองสลับชามโจ๊กของอวี๋หวั่นกลับมา

‘น้ำแกงแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เหลือ!’

น้องเล็กเปิดขวด แล้วเท ‘น้ำแกง’ ยาพิษลงในชามของปี้หนู

…………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด