หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม 139 จวินฉง

Now you are reading หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม Chapter 139 จวินฉง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อวี๋หวั่นมั่นใจในตัวลุงใหญ่ของเธอมาก ไม่ต้องพูดถึงพ่อครัวเทพเป้าหนึ่งคนหรอก ต่อให้มีสิบคน พวกเขาทั้งหมดก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลุงใหญ่!

เธอไม่รู้เลยว่าลุงใหญ่กลัวจนขาอ่อนแรงไปหมดแล้ว…

“พ่อครัวเทพเป้าฝีมือเก่งกาจขนาดนั้นเลยรึท่านพ่อ?” อวี๋เฟิงถามด้วยความสงสัย ด้วยฝีมือการทำอาหารของบิดา ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาเลย

ลุงใหญ่ลูบที่หน้าอกพลางพูดว่า “สิ่งที่พ่อครัวเทพท่านนี้ทำได้ดีที่สุดมิใช่อาหารในท้องตลาดเหล่านั้น”

“เช่นนั้นมันคืออะไรเล่า?” อวี๋เฟิงถาม

“อาหารที่ปรุงด้วยสมุนไพร” ลุงใหญ่ตอบ “ลือกันว่า หากได้กินอาหารยาสมุนไพรของเขาเพียงหนึ่งคำ อายุก็จะยืนขึ้นอีกสิบปี ได้ผลดีเสียยิ่งกว่ายารักษาร้อยโรคใดๆ เจ้าคิดว่าพ่อของเจ้าจะเทียบได้ไหม?”

อวี๋เฟิงพูดไม่ออก “พูดเกินจริงไปหรือไม่?”

ลุงใหญ่ถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? เขาไม่ได้ทำอาหารยาสมุนไพรง่ายๆ และข้าก็ยังไม่เคยชิม ทว่าเพียงแค่อาหารบ้านๆ ก็ยังไม่มีใครเทียบได้เลย”

อวี๋เฟิงเริ่มกังวลเกี่ยวกับธุรกิจของเขา หากพ่อครัวเทพเป้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องแพ้แน่ๆ หรอกรึ? หากแพ้เต้าหู้เหม็นก็จะโดนหั่นราคา…

ช่างเจ็บใจนัก!

อวี๋หวั่นยังไม่รู้ว่าเต้าหู้เหม็นของเธอกำลังอยู่ในวิกฤตหั่นราคา เธอสัญญาว่าจะส่งมอบให้นายท่านฉิน ไม่เพียงแต่หอจุ้ยเซียนในเมืองหลวง แต่ยังมีสาขาอีกหลายแห่งในเมืองใกล้เคียงด้วย เจตนาของนายท่านฉินคือให้อวี๋หวั่นสามารถเริ่มจัดส่งได้ตลอดเวลา เขาจะส่งคนไปรับสินค้าเท่าที่เธอจัดหาให้ และราคายังคงเท่าเดิม หลังจากค้าขายครั้งใหญ่ผ่านไปแล้ว จากนั้นจะมีการเจรจาสัญญาที่เป็นทางการมากขึ้น

อวี๋หวั่นไปที่คลังเก็บของและพบว่าพวกเขาไม่มีของมากนัก

หากคัดชิ้นที่ไม่ดีทิ้งไป ก็จะมีเต้าหู้เหม็นเพียงเจ็ดร้อยชั่งและเต้าเจี้ยวหมักสามสิบกระปุก แทบจะไม่เพียงพอสำหรับหนึ่งวัน พวกเขาไม่สามารถเพิ่มผลผลิตได้ นอกจากจะเป็นมือใหม่และไม่มีความชำนาญเพียงพอแล้ว เรื่องเครื่องมือก็ยังเป็นปัญหาอีกด้วย เช่นพวกเขาใช้อิฐสีเทาเขียวในการกดเต้าหู้ ในมุมมองของอวี๋หวั่น มันยังห่างไกลจากแม่แรง[1]มากนัก

ไม่รู้ว่าในสมัยโบราณจะมีแม่แรงขายหรือไม่ ถ้าไม่มี เธอคงต้องไปสั่งทำที่ร้านขายเหล็ก

เมื่อพูดถึงเหล็ก อวี๋หวั่นนึกถึงลูกปัดเหล็กที่ไป๋ถังให้เธอมา สองสามวันนี้เธอยุ่งอยู่กับการเร่งหาสินค้า และลืมที่จะนำลูกปัดไปให้เยี่ยนจิ่วเฉาดู

ตกกลางคืนแล้ว ไม่รู้ว่าชายคนนั้นจะหลับหรือยัง

เมื่อใกล้ถึงประตูบ้าน ก้าวของอวี๋หวั่นก็หยุดลง และในที่สุดก็เดินไปเคาะประตูบ้านสกุลติง

แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ

อวี๋หวั่นมาที่ประตูหลังอีกครั้ง เธอและเด็กน้อยทั้งสามมักเข้าออกทางประตูหลัง มันจึงไม่เคยปิดไว้ แต่เมื่อเธอเข้ามาใกล้กลับพบว่าประตูหลังถูกปิดไว้สนิท

เอ่อ…ไปแล้วหรือ?

เยี่ยนจิ่วเฉาไปแล้วและก็ไปอย่างรีบร้อน ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากองค์ฮ่องเต้ประชวร

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีสัญญาณของโรคลมและความหนาวเย็น แต่ก็ยังพยายามออกไปว่าราชการอยู่ วันนี้หลังกลับจากว่าราชการ พระอาการก็แย่ลงและหมดสติลงบนแท่นบรรทม

ฮ่องเต้ที่ไม่รู้สึกตัวเรียกชื่อของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่หยุด ขันทีวังเร่งไปยังคฤหาสน์ของคุณชาย หน่วยพิทักษ์ของคฤหาสน์คุณชายก็มาที่หมู่บ้านเหลียนฮวา ตอนนั้นอวี๋หวั่นกำลังเจรจาธุรกิจกับนายท่านฉิน ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาได้จากไปด้วยความเร่งรีบ

อวี๋หวั่นเลิกคิ้วอย่างแปลกใจและหันตัวกลับบ้าน

เถี่ยตั้นน้อยมาที่เตียงของเธอเมื่อไหร่ไม่รู้ อวี๋หวั่นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นอนเตียงใหญ่ไม่ดีหรือ? ต้องเบียดเธอลงมาเตียงเล็กขนาดนี้เลยรึ?

ช่วงนี้เธอตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะความร้อนเสมอ

อวี๋หวั่นห่อตัวเถี่ยตั้นน้อยร้อนๆ กลับไปยังห้องของนางเจียง แล้วนอนลงบนเตียงที่คลุมด้วยผ้าบางๆ เท่านั้น

“ร้อนจริงๆ”

คืนฤดูใบไม้ผลิอากาศหนาวและมีลมแรง แต่อวี๋หวั่นกลับร้อนมากจนยกผ้าห่มออก

ณ วังหลวง ฮ่องเต้มีไข้สูงนอนอยู่บนแท่นบรรทมมังกรสีเหลืองสดใส

ฮองเฮาไม่เป็นที่ชื่นชอบ ผู้ปรนนิบัติต่อหน้าฮ่องเต้ในตอนนี้คือสวี่เสียนเฟยและเยี่ยนไหวจิ่ง องค์ชายรองของสวี่เสียนเฟยจากวังหลังฉวนชิง

สวี่เสียนเฟยพาหมอหลวงมาและถามอาการของฮ่องเต้อย่างละเอียด เยี่ยนไหวจิ่งมาที่แท่นบรรทมพร้อมกับถ้วยยาต้มร้อนๆ

ขันทีวังไปรับเยี่ยนจิ่วเฉา ผู้ที่เข้าเฝ้าอยู่ล้วนเป็นคนสนิทและขันที

“จวินฉง… จวินฉง…”

จวินฉงเป็นชื่อรองของเยี่ยนจิ่วเฉา ว่ากันว่าฮ่องเต้เป็นผู้ตั้งให้ ฉงมีความหมายว่าหยกที่สวยงาม จวินมีความหมายว่าฮ่องเต้ รวมเป็นหยกที่สวยงามของฮ่องเต้ แสดงให้เห็นถึงความรักความเอ็นดูที่ฮ่องเต้มีต่อเยี่ยนจิ่วเฉา

นางกำนัลและขันทีก้มหน้านิ่งราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

เยี่ยนไหวจิ่งเหลือบมองไปที่ฝูงชนและกล่าวอย่างองอาจ “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”

“เพคะ” ทุกคนถอยหลังอย่างนอบน้อม

เยี่ยนไหวจิ่งตักยาในถ้วยและเอ่ยเสียงเบา “เสด็จพ่อ”

ฮ่องเต้ลืมตาขึ้นเล็กน้อย เขามองไปยังเยี่ยนไหวจิ่งและเอ่ยอย่างอ่อนแรง “จวินฉง…”

เยี่ยนไหวจิ่งที่ถูกเข้าใจผิดอ้าปากค้าง “ข้ามิใช่จวินฉง”

ฮ่องเต้จับมือของเยี่ยนไหวจิ่งไว้ “จวินฉง…”

ยาในมือของเยี่ยนไหวจิ่งหกออกมา เขาใช้มืออีกข้างหยิบถ้วยแล้ววางลงบนเก้าอี้ข้างๆ

ริมฝีปากแห้งแตกของฮ่องเต้ขยับเล็กน้อย

“พระองค์ทรงกล่าวอันใดพ่ะย่ะค่ะ?” เยี่ยนไหวจิ่งแนบหูฟัง

ฮ่องเต้เห็นว่าเขาเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา “จวินฉง ข้าต้องการ…”

ต้องการอะไร?

ต้องการแต่งตั้งรัชทายาทรึ?

เยี่ยนไหวจิ่งยังมิทันฟังเข้าใจ ขันทีวังก็เดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! คุณชายเยี่ยนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เยี่ยนไหวจิ่งรีบยืนขึ้นและหยิบถ้วยยาบนโต๊ะอย่างใจเย็น

เยี่ยนจิ่วเฉาที่เข้ามาในห้องบังเอิญเห็นการกระทำของเขาพอดี

เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้สนใจเขาและเดินไปที่แท่นบรรทม

ขันทีวังมองไปยังเยี่ยนไหวจิ่งด้วยท่าทีลำบากใจ “องค์ชายรอง…”

เยี่ยนไหวจิ่งรู้ว่าตนได้รับคำสั่งให้ออกไป แม้ว่าเขาจะเป็นโอรสที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญที่สุด แต่ต่อหน้าเสด็จพ่อของเขา เขาไม่มีทางดีได้เท่าเยี่ยนจิ่วเฉา

มารดาของเขาสวี่เสียนเฟยจากวังหลังฉวนชิงขวางโอรสของเสด็จพ่อได้ แต่กลับไม่สามารถขวางหลานชายอย่างเยี่ยนจิ่วเฉาได้

เยี่ยนไหวจิ่งวางชามยาลง ลุกขึ้นและเอ่ยว่า “ข้าจะไปดูทางด้านหมอหลวงว่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้ารบกวนเจ้าป้อนยาให้เสด็จพ่อด้วย”

เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้มองยาที่อยู่บนโต๊ะหรือมองเยี่ยนไหวจิ่งแม้แต่น้อย

เยี่ยนไหวจิ่งจากไปอย่างเย็นชา

ขันทีวังที่เดินมาด้านหลังแนะนำอย่างจริงใจ “…เหตุใดคุณชายต้อง…”

เหตุใดอะไร? เหตุใดต้องล่วงเกินองค์ชายเช่นเขารึ?

เยี่ยนไหวจิ่งเดินไปที่ห้องโถงด้านข้าง

สวี่เสียนเฟยกำลังหารือเกี่ยวกับอาการของฮ่องเต้กับหมอหลวง เมื่อนางเห็นโอรสมีท่าทีแปลกไป จึงขอให้หมอหลวงถอยไปก่อน

“เจ้าเป็นอะไร?” สวี่เสียนเฟยถาม

เยี่ยนไหวจิ่งหยุดเดิน

สวี่เสียนเฟยยิ้มบางๆ “เสด็จพ่อของเจ้าพูดอะไรรึ?”

เยี่ยนไหวจิ่งตอบ “เขาพูด แต่ข้าไม่ได้ยิน”

สวี่เสียนเฟยลุกจากที่นั่ง เพื่อเดินไปหาเยี่ยนไหวจิ่งและยกมือขึ้นจัดเสื้อผ้าของเขา “เช่นนั้นลูกข้ามีอะไรกังวลในใจหรือ?”

“เสด็จแม่” เยี่ยนไหวจิ่งมองไปที่นางอย่างแน่วแน่ “เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นโอรสของเสด็จพ่อรึไม่?”

มือของสวี่เสียนเฟยที่กำลังจัดชุดชะงักลงและถามว่า “เจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใด?”

เยี่ยนไหวจิ่งตอบ “ไม่มีใครกล้าบอกข้าต่อหน้า ข้าคาดเดาเอง”

สวี่เสียนเฟยยิ้มอย่างดูถูก “ใช่แล้วอย่างไร? ไม่ใช่แล้วอย่างไร? ต้นกล้าป่วยที่อยู่ไม่ถึงยี่สิบห้าปีถูกกำหนดให้มิอาจเป็นก้อนหินขวางทางเจ้า!”

………………………………

[1] แม่แรง คือ เครื่องมือสำหรับยก ดัน ดึง งัดวัตถุที่มีน้ำหนักมากๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด