เกิดใหม่เป็นนางร้ายในโลกเกมจีบหนุ่มที่ฉันเกลียดซะได้.. แต่ตัวประกอบสาวๆ ในเกมนี้พวกเธอน่ารักกันทุกคนเลยอ่ะ 76

Now you are reading เกิดใหม่เป็นนางร้ายในโลกเกมจีบหนุ่มที่ฉันเกลียดซะได้.. แต่ตัวประกอบสาวๆ ในเกมนี้พวกเธอน่ารักกันทุกคนเลยอ่ะ Chapter 76 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 76 – เอ๋!!!!????

 

ดวงตาของเซเลน่ากับอนาสตาเซียเริ่มตายลงไปเรื่อยๆ.. ว่ากันว่าหากจับให้ใครสักคนอยู่ในห้องคนเดียวนานๆ

มันอาจจะทำให้เขาเกิดภาวะแพนิคจนถึงขั้นรุนแรงได้ แน่นอนว่าการถูกจับให้อยู่คนเดียวภายในห้องเป็นเวลานานมันถูกนับเป็นบทลงโทษที่หนักหนามากกว่าการถูกเฆี่ยนตีเสียด้วยซ้ำ

อย่างเช่นภายในคุก การถูกขังเดี่ยวนับเป็นโทษที่รุนแรงมากที่สุดหนึ่งอ่างในคุกเช่นเดียวกัน การทำแบบนี้แม้อาจจะไม่ได้สร้างบาดแผลให้กับร่างกายมาก

แต่กลับสร้างบาดแผลให้กับจิตใจเกินกว่าที่จะจินตนาการได้เลย ซึ่งในโลกเดิมของอนาสตาเซียบางประเทศก็ทดลองใช้การขังคุกแบบนี้

บางประเทศถึงกับต้องยกเลิกการขังเดี่ยวไปหลังทดลองได้ไม่นาน เพราะมันไม่ต่างอะไรไปจากการค่อยๆ ฆ่านักโทษทั้งเป็นอย่างทรมานเลยก็ว่าได้

นั่นพิสูจน์ให้เห็นถึงความร้ายแรงของการที่ต้องทนทรมานอยู่คนเดียวแบบเงียบๆ ขนาดไหน อันที่จริงหากในที่แห่งนี้มีแค่ใครคนใด คนหนึ่งอยู่

พวกเธอคงสติแตกไปจนเป็นบ้าไปหมดแล้ว แม้อนาสตาเซียกับเซเลน่าจะไม่ได้พูดคุยกัน แต่ภายในจิตใต้สำนึกลึกๆ ของพวกเธอ

ยังรู้สึกว่าตัวเองมีคนที่อยู่ในสภาพคล้ายกัน ทำให้เธอยังพอทนได้กับสภาพแวดล้อมในตอนนี้ อีกทั้งในที่แห่งนี้ก็มีอากาศสดชื่นจากต้นไม้

ใบหญ้าต่างๆ อีกด้วย ดังนั้นการอยู่ของพวกเธอจึงอาจจะไม่ได้หนักเท่าการขังเดี่ยวในคุกก็จริง

แต่เวลาที่พวกเธออยู่ในนี้มันก็มากพอที่จะทำให้คนเป็นบ้าได้อยู่ดี ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่พวกเธอไม่เห็นยุงขยับเลยสักนิด

ผ่านไปหลายวันหรืออาจจะเป็นเดือนทั้งสองไม่ทราบ ค่อยเห็นฝูงยุงถูกบดทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี..

แต่ไม่ว่าพวกเธอจะทนมาได้แค่ไหนนี่มันก็ยังหนักไป.. ไม่ว่าจะอนาสตาเซียหรือเซเลน่าทั้งสองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไร

ทั้งคู่แทบจะเป็นบ้ากันเต็มทีแล้ว.. อันที่จริงอนาสตาเซียเองก็เริ่มพูดอะไรแปลกๆ ไม่รู้เรื่องออกมาแบบเดียวกับเซเลน่า

ยังดีที่เซเลน่าก็มีทูจัง อนาสตาเซียก็มีสกาเล็ตที่โผล่มาคุยด้วยอยู่ตลอด แต่บทสนทนาพวกเธอก็หมดไปนานแล้ว

พูดง่ายๆ คือไม่มีเรื่องให้คุยนั่นแหละ ด้วยเหตุนี้สภาพของทั้งสองจึงไม่สู้ดีนัก ทั้งคู่นอนหายใจโรยรินบนผืนหญ้า

มือของอนาสตาเซียกำกำไลของเซเลน่าไว้แน่น เธอก้ไม่รู้ว่าตัวเองกำมันไว้นานขนาดไหนแล้ว

“อยากกลับแล้ว…”

อนาสตาเซียพูดด้วยสายตาที่เหมือนคนใกล้จะตาย

“ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเอาแล้ว”

เซเลน่าพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แสนทรมาน อันที่จริงตอนนี้ต่อให้ใช้พลังจุดเซฟของเธอ เธอก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้วเพราะเวลาที่ย้อนกลับไปได้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีขีดจำกัด

แถมถึงเธอจะไม่รู้ว่านี่มันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ทูจังก็บอกเธอว่าย้อนกลับจุดเซฟไม่ได้แล้ว แม้ทูจังจะไม่ได้บอกว่าผ่านมานานเท่าไหร่

แต่บางทีที่เธอไม่บอกก็เพราะกลัวเซเลน่าสติแตกนั่นแหละ ว่านี่มันผ่านมาปีกว่าแล้วที่พวกเธออยู่ในนี้

แม้ระยะห่างของทั้งสองจะอยู่ใกล้กันมาก แต่ทั้งสองก็แทบไม่คุยกันเลยแม้แต่น้อย จากความที่ไม่กล้าในตอนแรก

ตอนนี้มันกลายเป็นเหมือนความรู้สึกบางอย่างแทน.. รู้สึกว่าหากพูดออกไปมันก็เหมือนกับตัวเองพูดกับอีกฝ่ายเพราะกลัวจะเสียสติ

ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดจะพูดกัน.. จะว่าไงดี.. อาจจะเพราะจมปลักกับความรู้สึกที่ว่าไม่ค่อยสนิทกับคนดังกล่าว

แต่ก็อยู่ด้วยกันนานจนไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง นอกจากการไม่คุยด้วย ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเธอในตอนนี้แปลกมาก

เพราะหากพูดออกไปก่อนคนนั้นก็เหมือนกับแพ้ไปนั่นเอง.. ดังนั้นทั้งสองจึงไม่เอ่ยพูดด้วยกันเลยสักคำนับตั้งแต่ตอนนั้น

หากพูดให้คนอื่นฟังมันคงดูไร้สาระมาก เพราะหากพวกเธอพูดไปพวกเธออาจจะมีสภาพที่ดีกว่าตอนนี้

แต่ในทางกลับกัน การที่ยังคงมีสติยั้งคิดการกระทำตัวเองได้ แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยพวกเธอก็ประคองสติไว้ได้เพราะความยึดมั่นที่จะไม่คุยกันนั่นเอง

แต่จะอย่างไรก็ตามหากพวกเธอคุยกันก็คงไม่ได้อยู่ในสภาพดังนี้หรอก ดังนั้นการกระทำของพวกเธอในตอนนี้จึงดูไร้เหตุผลและปกติไม่เป็นกัน

แต่ก็แบบนั้นแหละ จึงอาจจะบอกได้ว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา…

และแล้วเวลาก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี.. เป็นเวลาสองปีนับตั้งแต่พวกเธออยู่ที่นี่ มันไม่มีทั้งกลางวันหรือกลางคืน

กล่าวคือพวกเธอแทบไม่รู้ว่าตอนไหนต้องนอน ตอนไหนต้องตื่น.. แม้การนอนจะไม่จำเป็นแต่หากจิตใจไม่ได้พักผ่อนเลยสุดท้ายแล้วมันก็จะค่อยๆ พังลงไปทีละนิด

อ้อ ใช่ๆ หากจิตใจของเธอพังทลายลงที่นี่.. สุดท้ายแล้วพวกเธออาจจะกลับไปมีชีวิตในโลกฝั่งนู้นได้ก็จริง

แต่ทว่าจิตใจที่บอบช้ำนี้ก็ไม่ได้สามารถรักษาได้ง่ายเหมือนกับร่างกายเท่าไหร่ จริงอยู่ที่หากกลับไปแล้วความเครียดหรืออาจจะไม่อาลัยตายอยากแบบตอนนี้

แต่สุดท้ายแล้วสิ่งนี้ก็ถูกประทับลงไปในความทรงจำของพวกเธอ บางทีคงกลายเป็น PTSD ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

อย่างรุนแรงก็คงเป็นคนอยู่คนเดียวไม่ได้อีกต่อไปเลย.. นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเธอเจออยู่ในตอนนี้มันหนักหนาสาหัสกว่าความตายในโลกแบบนี้เสียอีก

ภายใต้ความหนักอึ้งที่กดทับทั้งสอง.. ทั้งสองตอนนี้มีร่างกายที่ค่อนข้างซูบผอม และสีผมที่ซีดลงจากก่อนหน้านี้มาก

ความงดงามที่เคยมีเหมือนจะหายไปหมดแล้ว.. ดวงตาของทั้งสองมองไปยังแมลงที่แทบจะหยุดนิ่งไปแล้วด้านบนที่ปกคลุมทุกอย่าง

“นี่…”

“นี่…”

ทั้งสองคนที่เงียบมาตั้งนานแล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นพร้อมกัน พอพูดพร้อมกันพวกเธอก็เงียบลงไปพร้อมกันหันหน้าเอียงข้างมองกัน

เพราะอยู่ข้างกันจึงเห็นใบหน้าที่ใกล้ตายของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน..

ตอนนี้ความทรงจำของพวกเธอเองก็พร่าเลือนไปหมดจนเหมือนคนบ้าไปแล้วครึ่งตัว พอมองหน้ากันและกันไม่รู้ทำไมถึงหัวเราะออกมาทั้งแบบนั้น

เสียงหัวเราะของทั้งสองดังประสานก่อนที่จะค่อยๆ แห้งลงและเงียบลงไปในที่สุดทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรทันที ผ่านไปหลายนาทีอนาสตาเซียถึงพูดขึ้น

“เธอชื่ออะไร..”

เซเลน่าไม่ได้ตอบทันที เธอเหมือนเหม่อลอยไปสักพัก เพราะพวกเธอไม่เคยถามชื่อกันด้วยซ้ำ บางทีการเริ่มจากแนะนำตัวคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“ก่อนที่จะถามชื่อคนอื่น.. ต้องบอกชื่อตัวเองก่อนไม่ใช่หรือไง”

อนาสตาเซียดูตลกกับคำพูดของเซเลน่านิดหน่อย แต่เธอก็พูดขึ้น

“อ่า.. ฉันชื่ออนาสตาเซีย.. อืม.. แค่นั้นแหละชื่อของฉัน”

ในตอนนี้จะสกุลหรืออะไรมันก็ล้วนไร้ค่าจนหมดนั่นแหละ

“ฉันชื่อเซเลน่า.. แค่นั้นเหมือนกันชื่อของฉัน”

พอพูดแบบนั้นเสร็จ อนาสตาเซียก็หัวเราะเบาๆ เพราะการแนะนำตัวของพวกเธอมันดูสนิทกันกว่าที่คิด ทั้งที่ไม่เคยคุยกันมาก่อนตลอดเวลาที่อยู่ในนี้..

แต่ก็อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นแหละ ความสัมพันธ์ของพวกเธอมองเผินๆ อาจจะไม่คุยไม่จากัน แต่ในความเป็นจริงแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา

สองปีที่อยู่ในนี้ ความคิดของทั้งสองล้วนคิดเรื่องของกันและกัน.. แม้จะเป็นในทางที่ไม่ยอมคุยกันกับยัยนี่อย่างแน่นอนก็ตาม

แต่ความจริงที่ว่าทั้งสองวาดภาพของกันและกันขึ้นมาในหัวนั่นคือความจริงที่เลี่ยงไม่ได้.. แทนที่จะบอกว่าไม่สนิทกัน ต้องบอกว่าต่างคนต่างคิดเรื่องของกันและกันในความคิดตัวเองมากกว่านั่นเอง

“เธอ.. ชอบอะไรในตัวอเล็กซานเหรอ?”

อนาสตาเซียถามคำถามที่สงสัยมาตลอด อเล็กซานเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างน่ารำคาญสำหรับเธอ เพราะเจ้าหมอนี่ตามจีบตัวเอกไม่เลิก

นอกจากหน้าตาเธอก็ไม่รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่มีอะไรดีเลย ทั้งขี้อิจฉางง เพราะแม่เจ้าเด็กนี่ใจดีกับอนาสตาเซียเพราะอนาสตาเซียเคยช่วยพี่สาวมันเอาไว้

พอมันเห็นมันเลยอิจฉาอนาสตาเซีย พอถูกบังคับนั่น บังคับนี่กับอนาสตาเซียสุดท้ายก็เลยพัฒนากลายเป็นความเกลียดชังและอคติต่ออนาสตาเซีย

ในมุมมองของอนาสตาเซียคือไม่เห็นข้อดีของมันเลย.. แต่ก็นะนั่นมันมุมมองของบุคคลที่อยู่นอกเกมละนะ ถ้าเป็นบุคคลที่หนึ่งจะเป็นยังไงอนาสตาเซียก็ไม่ทราบ

ดังนั้นเธอเลยอยากรู้ขึ้นมา

“ชอบ..? อย่ามาพูดบ้าๆ นะถ้าจะให้ชอบกับเจ้านั่นขอตายดีกว่า.. ทั้งที่มีคู่หมั้นที่ดีอยู่แล้วแต่กลับอิจฉาเพราะคู่หมั้นเก่งกว่านี่มันน่าหมั่นไส้สุดๆ แล้ว”

“เอาจริง ฉันต้องถามเธอมากกว่า ทำไมถึงชอบเจ้าผู้ชายคนนั้น?”

เซเลน่าถามย้อน อนาสตาเซียส่ายหน้า

“ไม่สิ ไม่สิ ไม่สิ.. ฉันจะไปชอบผู้ชายแบบนั้นได้ไง ไม่สิ ก่อนอื่นเลย ถ้าจะให้ชอบผู้ชายฉันขอบายดีกว่า คนที่ชอบมันเธอไม่ใช่เหรอ”

อนาสตาเซียปฏิเสธหลังชนฝา

“เฮ้ ถ้าจะโกหกว่าไม่ได้ชอบเพราะเกรงใจฉันก็อย่าเลย ฉันไม่ได้ชอบเจ้านั่นจริงๆ ไม่ได้โกหกนะ”

เซเลน่าก็ยังปฏิเสธเหมือนกัน

“ไม่มีทาง ที่เป็นคู่หมั้นก็เพราะถูกมัดมือมัดเท้าต่างหาก เอาเข้าจริงฉันดูดพลังเวทเจ้านั่นทุกคืนถึงได้มีพลังเวทเยอะแบบนี้เลยนะ”

“เดี๋ยวก่อน งั้นตอนนั้นเธอร้องไห้ทำไม ตอนที่เจ้านั่นทำรุนแรงใส่ ไม่ใช่ว่าเธอร้องไห้เพราะเสียใจที่มันทำแบบนั้นใส่เหรอ”

“จะเป็นแบบนั้นได้ไงล่ะ? เพราะฉันกลัว.. ฉันหมายถึงฉันไม่ชอบผู้ชายต่างหาก….”

พอทั้งสองพูดมาถึงจุดจุดนี้แล้ว ต่อให้สติจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขนาดไหน ก็คงถูกเรียกย้อนกลับมาทันที ทั้งคู่ลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้ากัน

แน่นอนว่าที่ผ่านมาพวกเธอคุยกันด้วยสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว.. ไม่งั้นคงไม่พูดเรื่องแบบนั้นกับคนอื่นแน่ ยิ่งทั้งคู่อยู่ในสถานะนางร้ายและนางเอกแล้วด้วยยิ่งแล้วใหญ่

ดังนั้นที่ผ่านมาทั้งคู่แทบจะพูดไปเรื่อย แบบไม่คิดอะไรทั้งคู่จนกระทั่งตอนนี้ เมื่อมองหน้าไปยังกันและกันเสียงก็ดังขึ้นอีกรอบ..

“เธอไม่ได้ชอบอเล็กซาน?”

ทั้งคู่พูดพร้อมกันและมองหน้ากัน.. พอได้รับคำถามแบบนั้นจึงส่ายหน้าแทบจะพร้อมกันอีก พอได้ยินแบบนั้นสติที่เตลิดไปทั้งหมดก็กลับมารวมกัน…

พร้อมกับอุทานเสียงดังลั่นว่า

“เอ๋!!!!????”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่เป็นนางร้ายในโลกเกมจีบหนุ่มที่ฉันเกลียดซะได้.. แต่ตัวประกอบสาวๆ ในเกมนี้พวกเธอน่ารักกันทุกคนเลยอ่ะ 76

Now you are reading เกิดใหม่เป็นนางร้ายในโลกเกมจีบหนุ่มที่ฉันเกลียดซะได้.. แต่ตัวประกอบสาวๆ ในเกมนี้พวกเธอน่ารักกันทุกคนเลยอ่ะ Chapter 76 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 76 – เอ๋!!!!????

 

ดวงตาของเซเลน่ากับอนาสตาเซียเริ่มตายลงไปเรื่อยๆ.. ว่ากันว่าหากจับให้ใครสักคนอยู่ในห้องคนเดียวนานๆ

มันอาจจะทำให้เขาเกิดภาวะแพนิคจนถึงขั้นรุนแรงได้ แน่นอนว่าการถูกจับให้อยู่คนเดียวภายในห้องเป็นเวลานานมันถูกนับเป็นบทลงโทษที่หนักหนามากกว่าการถูกเฆี่ยนตีเสียด้วยซ้ำ

อย่างเช่นภายในคุก การถูกขังเดี่ยวนับเป็นโทษที่รุนแรงมากที่สุดหนึ่งอ่างในคุกเช่นเดียวกัน การทำแบบนี้แม้อาจจะไม่ได้สร้างบาดแผลให้กับร่างกายมาก

แต่กลับสร้างบาดแผลให้กับจิตใจเกินกว่าที่จะจินตนาการได้เลย ซึ่งในโลกเดิมของอนาสตาเซียบางประเทศก็ทดลองใช้การขังคุกแบบนี้

บางประเทศถึงกับต้องยกเลิกการขังเดี่ยวไปหลังทดลองได้ไม่นาน เพราะมันไม่ต่างอะไรไปจากการค่อยๆ ฆ่านักโทษทั้งเป็นอย่างทรมานเลยก็ว่าได้

นั่นพิสูจน์ให้เห็นถึงความร้ายแรงของการที่ต้องทนทรมานอยู่คนเดียวแบบเงียบๆ ขนาดไหน อันที่จริงหากในที่แห่งนี้มีแค่ใครคนใด คนหนึ่งอยู่

พวกเธอคงสติแตกไปจนเป็นบ้าไปหมดแล้ว แม้อนาสตาเซียกับเซเลน่าจะไม่ได้พูดคุยกัน แต่ภายในจิตใต้สำนึกลึกๆ ของพวกเธอ

ยังรู้สึกว่าตัวเองมีคนที่อยู่ในสภาพคล้ายกัน ทำให้เธอยังพอทนได้กับสภาพแวดล้อมในตอนนี้ อีกทั้งในที่แห่งนี้ก็มีอากาศสดชื่นจากต้นไม้

ใบหญ้าต่างๆ อีกด้วย ดังนั้นการอยู่ของพวกเธอจึงอาจจะไม่ได้หนักเท่าการขังเดี่ยวในคุกก็จริง

แต่เวลาที่พวกเธออยู่ในนี้มันก็มากพอที่จะทำให้คนเป็นบ้าได้อยู่ดี ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่พวกเธอไม่เห็นยุงขยับเลยสักนิด

ผ่านไปหลายวันหรืออาจจะเป็นเดือนทั้งสองไม่ทราบ ค่อยเห็นฝูงยุงถูกบดทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี..

แต่ไม่ว่าพวกเธอจะทนมาได้แค่ไหนนี่มันก็ยังหนักไป.. ไม่ว่าจะอนาสตาเซียหรือเซเลน่าทั้งสองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไร

ทั้งคู่แทบจะเป็นบ้ากันเต็มทีแล้ว.. อันที่จริงอนาสตาเซียเองก็เริ่มพูดอะไรแปลกๆ ไม่รู้เรื่องออกมาแบบเดียวกับเซเลน่า

ยังดีที่เซเลน่าก็มีทูจัง อนาสตาเซียก็มีสกาเล็ตที่โผล่มาคุยด้วยอยู่ตลอด แต่บทสนทนาพวกเธอก็หมดไปนานแล้ว

พูดง่ายๆ คือไม่มีเรื่องให้คุยนั่นแหละ ด้วยเหตุนี้สภาพของทั้งสองจึงไม่สู้ดีนัก ทั้งคู่นอนหายใจโรยรินบนผืนหญ้า

มือของอนาสตาเซียกำกำไลของเซเลน่าไว้แน่น เธอก้ไม่รู้ว่าตัวเองกำมันไว้นานขนาดไหนแล้ว

“อยากกลับแล้ว…”

อนาสตาเซียพูดด้วยสายตาที่เหมือนคนใกล้จะตาย

“ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเอาแล้ว”

เซเลน่าพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แสนทรมาน อันที่จริงตอนนี้ต่อให้ใช้พลังจุดเซฟของเธอ เธอก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้วเพราะเวลาที่ย้อนกลับไปได้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีขีดจำกัด

แถมถึงเธอจะไม่รู้ว่านี่มันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ทูจังก็บอกเธอว่าย้อนกลับจุดเซฟไม่ได้แล้ว แม้ทูจังจะไม่ได้บอกว่าผ่านมานานเท่าไหร่

แต่บางทีที่เธอไม่บอกก็เพราะกลัวเซเลน่าสติแตกนั่นแหละ ว่านี่มันผ่านมาปีกว่าแล้วที่พวกเธออยู่ในนี้

แม้ระยะห่างของทั้งสองจะอยู่ใกล้กันมาก แต่ทั้งสองก็แทบไม่คุยกันเลยแม้แต่น้อย จากความที่ไม่กล้าในตอนแรก

ตอนนี้มันกลายเป็นเหมือนความรู้สึกบางอย่างแทน.. รู้สึกว่าหากพูดออกไปมันก็เหมือนกับตัวเองพูดกับอีกฝ่ายเพราะกลัวจะเสียสติ

ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดจะพูดกัน.. จะว่าไงดี.. อาจจะเพราะจมปลักกับความรู้สึกที่ว่าไม่ค่อยสนิทกับคนดังกล่าว

แต่ก็อยู่ด้วยกันนานจนไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง นอกจากการไม่คุยด้วย ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเธอในตอนนี้แปลกมาก

เพราะหากพูดออกไปก่อนคนนั้นก็เหมือนกับแพ้ไปนั่นเอง.. ดังนั้นทั้งสองจึงไม่เอ่ยพูดด้วยกันเลยสักคำนับตั้งแต่ตอนนั้น

หากพูดให้คนอื่นฟังมันคงดูไร้สาระมาก เพราะหากพวกเธอพูดไปพวกเธออาจจะมีสภาพที่ดีกว่าตอนนี้

แต่ในทางกลับกัน การที่ยังคงมีสติยั้งคิดการกระทำตัวเองได้ แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยพวกเธอก็ประคองสติไว้ได้เพราะความยึดมั่นที่จะไม่คุยกันนั่นเอง

แต่จะอย่างไรก็ตามหากพวกเธอคุยกันก็คงไม่ได้อยู่ในสภาพดังนี้หรอก ดังนั้นการกระทำของพวกเธอในตอนนี้จึงดูไร้เหตุผลและปกติไม่เป็นกัน

แต่ก็แบบนั้นแหละ จึงอาจจะบอกได้ว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา…

และแล้วเวลาก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี.. เป็นเวลาสองปีนับตั้งแต่พวกเธออยู่ที่นี่ มันไม่มีทั้งกลางวันหรือกลางคืน

กล่าวคือพวกเธอแทบไม่รู้ว่าตอนไหนต้องนอน ตอนไหนต้องตื่น.. แม้การนอนจะไม่จำเป็นแต่หากจิตใจไม่ได้พักผ่อนเลยสุดท้ายแล้วมันก็จะค่อยๆ พังลงไปทีละนิด

อ้อ ใช่ๆ หากจิตใจของเธอพังทลายลงที่นี่.. สุดท้ายแล้วพวกเธออาจจะกลับไปมีชีวิตในโลกฝั่งนู้นได้ก็จริง

แต่ทว่าจิตใจที่บอบช้ำนี้ก็ไม่ได้สามารถรักษาได้ง่ายเหมือนกับร่างกายเท่าไหร่ จริงอยู่ที่หากกลับไปแล้วความเครียดหรืออาจจะไม่อาลัยตายอยากแบบตอนนี้

แต่สุดท้ายแล้วสิ่งนี้ก็ถูกประทับลงไปในความทรงจำของพวกเธอ บางทีคงกลายเป็น PTSD ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

อย่างรุนแรงก็คงเป็นคนอยู่คนเดียวไม่ได้อีกต่อไปเลย.. นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเธอเจออยู่ในตอนนี้มันหนักหนาสาหัสกว่าความตายในโลกแบบนี้เสียอีก

ภายใต้ความหนักอึ้งที่กดทับทั้งสอง.. ทั้งสองตอนนี้มีร่างกายที่ค่อนข้างซูบผอม และสีผมที่ซีดลงจากก่อนหน้านี้มาก

ความงดงามที่เคยมีเหมือนจะหายไปหมดแล้ว.. ดวงตาของทั้งสองมองไปยังแมลงที่แทบจะหยุดนิ่งไปแล้วด้านบนที่ปกคลุมทุกอย่าง

“นี่…”

“นี่…”

ทั้งสองคนที่เงียบมาตั้งนานแล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นพร้อมกัน พอพูดพร้อมกันพวกเธอก็เงียบลงไปพร้อมกันหันหน้าเอียงข้างมองกัน

เพราะอยู่ข้างกันจึงเห็นใบหน้าที่ใกล้ตายของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน..

ตอนนี้ความทรงจำของพวกเธอเองก็พร่าเลือนไปหมดจนเหมือนคนบ้าไปแล้วครึ่งตัว พอมองหน้ากันและกันไม่รู้ทำไมถึงหัวเราะออกมาทั้งแบบนั้น

เสียงหัวเราะของทั้งสองดังประสานก่อนที่จะค่อยๆ แห้งลงและเงียบลงไปในที่สุดทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรทันที ผ่านไปหลายนาทีอนาสตาเซียถึงพูดขึ้น

“เธอชื่ออะไร..”

เซเลน่าไม่ได้ตอบทันที เธอเหมือนเหม่อลอยไปสักพัก เพราะพวกเธอไม่เคยถามชื่อกันด้วยซ้ำ บางทีการเริ่มจากแนะนำตัวคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“ก่อนที่จะถามชื่อคนอื่น.. ต้องบอกชื่อตัวเองก่อนไม่ใช่หรือไง”

อนาสตาเซียดูตลกกับคำพูดของเซเลน่านิดหน่อย แต่เธอก็พูดขึ้น

“อ่า.. ฉันชื่ออนาสตาเซีย.. อืม.. แค่นั้นแหละชื่อของฉัน”

ในตอนนี้จะสกุลหรืออะไรมันก็ล้วนไร้ค่าจนหมดนั่นแหละ

“ฉันชื่อเซเลน่า.. แค่นั้นเหมือนกันชื่อของฉัน”

พอพูดแบบนั้นเสร็จ อนาสตาเซียก็หัวเราะเบาๆ เพราะการแนะนำตัวของพวกเธอมันดูสนิทกันกว่าที่คิด ทั้งที่ไม่เคยคุยกันมาก่อนตลอดเวลาที่อยู่ในนี้..

แต่ก็อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นแหละ ความสัมพันธ์ของพวกเธอมองเผินๆ อาจจะไม่คุยไม่จากัน แต่ในความเป็นจริงแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา

สองปีที่อยู่ในนี้ ความคิดของทั้งสองล้วนคิดเรื่องของกันและกัน.. แม้จะเป็นในทางที่ไม่ยอมคุยกันกับยัยนี่อย่างแน่นอนก็ตาม

แต่ความจริงที่ว่าทั้งสองวาดภาพของกันและกันขึ้นมาในหัวนั่นคือความจริงที่เลี่ยงไม่ได้.. แทนที่จะบอกว่าไม่สนิทกัน ต้องบอกว่าต่างคนต่างคิดเรื่องของกันและกันในความคิดตัวเองมากกว่านั่นเอง

“เธอ.. ชอบอะไรในตัวอเล็กซานเหรอ?”

อนาสตาเซียถามคำถามที่สงสัยมาตลอด อเล็กซานเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างน่ารำคาญสำหรับเธอ เพราะเจ้าหมอนี่ตามจีบตัวเอกไม่เลิก

นอกจากหน้าตาเธอก็ไม่รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่มีอะไรดีเลย ทั้งขี้อิจฉางง เพราะแม่เจ้าเด็กนี่ใจดีกับอนาสตาเซียเพราะอนาสตาเซียเคยช่วยพี่สาวมันเอาไว้

พอมันเห็นมันเลยอิจฉาอนาสตาเซีย พอถูกบังคับนั่น บังคับนี่กับอนาสตาเซียสุดท้ายก็เลยพัฒนากลายเป็นความเกลียดชังและอคติต่ออนาสตาเซีย

ในมุมมองของอนาสตาเซียคือไม่เห็นข้อดีของมันเลย.. แต่ก็นะนั่นมันมุมมองของบุคคลที่อยู่นอกเกมละนะ ถ้าเป็นบุคคลที่หนึ่งจะเป็นยังไงอนาสตาเซียก็ไม่ทราบ

ดังนั้นเธอเลยอยากรู้ขึ้นมา

“ชอบ..? อย่ามาพูดบ้าๆ นะถ้าจะให้ชอบกับเจ้านั่นขอตายดีกว่า.. ทั้งที่มีคู่หมั้นที่ดีอยู่แล้วแต่กลับอิจฉาเพราะคู่หมั้นเก่งกว่านี่มันน่าหมั่นไส้สุดๆ แล้ว”

“เอาจริง ฉันต้องถามเธอมากกว่า ทำไมถึงชอบเจ้าผู้ชายคนนั้น?”

เซเลน่าถามย้อน อนาสตาเซียส่ายหน้า

“ไม่สิ ไม่สิ ไม่สิ.. ฉันจะไปชอบผู้ชายแบบนั้นได้ไง ไม่สิ ก่อนอื่นเลย ถ้าจะให้ชอบผู้ชายฉันขอบายดีกว่า คนที่ชอบมันเธอไม่ใช่เหรอ”

อนาสตาเซียปฏิเสธหลังชนฝา

“เฮ้ ถ้าจะโกหกว่าไม่ได้ชอบเพราะเกรงใจฉันก็อย่าเลย ฉันไม่ได้ชอบเจ้านั่นจริงๆ ไม่ได้โกหกนะ”

เซเลน่าก็ยังปฏิเสธเหมือนกัน

“ไม่มีทาง ที่เป็นคู่หมั้นก็เพราะถูกมัดมือมัดเท้าต่างหาก เอาเข้าจริงฉันดูดพลังเวทเจ้านั่นทุกคืนถึงได้มีพลังเวทเยอะแบบนี้เลยนะ”

“เดี๋ยวก่อน งั้นตอนนั้นเธอร้องไห้ทำไม ตอนที่เจ้านั่นทำรุนแรงใส่ ไม่ใช่ว่าเธอร้องไห้เพราะเสียใจที่มันทำแบบนั้นใส่เหรอ”

“จะเป็นแบบนั้นได้ไงล่ะ? เพราะฉันกลัว.. ฉันหมายถึงฉันไม่ชอบผู้ชายต่างหาก….”

พอทั้งสองพูดมาถึงจุดจุดนี้แล้ว ต่อให้สติจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขนาดไหน ก็คงถูกเรียกย้อนกลับมาทันที ทั้งคู่ลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้ากัน

แน่นอนว่าที่ผ่านมาพวกเธอคุยกันด้วยสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว.. ไม่งั้นคงไม่พูดเรื่องแบบนั้นกับคนอื่นแน่ ยิ่งทั้งคู่อยู่ในสถานะนางร้ายและนางเอกแล้วด้วยยิ่งแล้วใหญ่

ดังนั้นที่ผ่านมาทั้งคู่แทบจะพูดไปเรื่อย แบบไม่คิดอะไรทั้งคู่จนกระทั่งตอนนี้ เมื่อมองหน้าไปยังกันและกันเสียงก็ดังขึ้นอีกรอบ..

“เธอไม่ได้ชอบอเล็กซาน?”

ทั้งคู่พูดพร้อมกันและมองหน้ากัน.. พอได้รับคำถามแบบนั้นจึงส่ายหน้าแทบจะพร้อมกันอีก พอได้ยินแบบนั้นสติที่เตลิดไปทั้งหมดก็กลับมารวมกัน…

พร้อมกับอุทานเสียงดังลั่นว่า

“เอ๋!!!!????”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+