เคล็ดมารสยบภพ 13 องค์หญิงโยวหลิน

Now you are reading เคล็ดมารสยบภพ Chapter 13 องค์หญิงโยวหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินเสวี่ยครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย ถ้าเป็นไปได้นางก็อยากจะจับตัวเจ้าตำหนักบุปผาและผู้อาวุโสที่มีส่วนรู้เห็นในการสังหารบิดาของนางใส่ลงไปในแหวนมิติวงที่เวลาหยุดนิ่ง แล้วค่อยเอาพวกนางออกมาจองจำเอาไว้ในคุกของตำหนักมารของตนในภายหลัง แต่เพราะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าตอนนี้แหวนมิติของตนมีข้อจำกัดอะไรบ้าง เพราะนางเคยไม่สามารถจะเก็บสัตว์อสูรผมสีเงินตนนั้นเข้าไปในแหวนได้ครั้งหนึ่งแล้ว หากนางบุ่มบ่ามเข้าไปจัดการกับเจ้าตำหนักบุปผาแล้วเกิดเก็บอีกฝ่ายลงไปในแหวนไม่สำเร็จเหมือนกับคราวสัตว์อสูรผมเงินนั่น นางจะต้องถูกอีกฝ่ายสงสัยเป็นแน่

เฉินเสวี่ยตัดสินใจแล้วว่าจะลองทำการเก็บร่างของผู้ฝึกยุทธ์ในเขตขั้นต่างๆ กันลงไปในแหวนทีละคน เพื่อดูว่ามันมีข้อจำกัดเรื่องระดับพลังยุทธ์หรือไม่ และนางยังใช้คนของตำหนักบุปผาเหล่านี้มารองรับกากปราณในการฝึกยุทธ์ของตนได้อีกด้วย ในเมื่อหาสัตว์อสูรมาเพิ่มไม่ได้ หันมาใช้ร่างของพวกศัตรูแทนก็ดีเหมือนกัน!

วันนี้เพิ่งเป็นวันแรมสิบเอ็ดค่ำ นางยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการเตรียมการในร่างผู้หญิงอีกหลายวัน ดังนั้นระหว่างนี้ควรใช้เวลาวางแผนให้รอบคอบสักหน่อย

ศิษย์รุ่นเยาว์ของตำหนักบุปผาถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่มละ10-12 คน แต่ละกลุ่มจะมีศิษย์พี่หนึ่งคนมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำชี้แนะในการฝึกยุทธ์ การจัดกลุ่มนั้นแบ่งให้ตามอาณาเขตของที่พักอาศัยเป็นหลัก ศิษย์แต่ละคนไม่สามารถเลือกที่พักของตนได้ ทุกคนต้องเข้าพักตามลำดับเลขที่ที่สมัครเข้ามาเป็นศิษย์ บ้านพักหลังหนึ่งจะมีห้องนอนเรียงกันสิบกว่าห้อง เป็นห้องพักศิษย์พี่หนึ่งห้อง และที่เหลือเป็นห้องของศิษย์ใหม่ในกลุ่ม

ศิษย์ของตำหนักบุปผาทั้งสิ้นมีประมาณพันกว่าคน ดังนั้นจึงมีกฎบังคับว่าศิษย์แต่ละรุ่นจะต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีและแบบเหมือนๆ กันและทุกนางต้องห้อยป้ายชื่อติดเอวไว้ตลอดเพื่อให้ผู้อื่นสามารถจำแนกแยกแยะระดับอาวุโสได้โดยง่าย

รุ่นของเฉินเสวี่ยถูกตั้งชื่อรุ่นว่าไห่ นางจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ฮวาไห่เยว่

เกาซู่ซู่กับจงหมิ่นก็ที่ถูกจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกับเฉินเสวี่ยเช่นกัน พวกนางเองก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ฮวาไห่ซู่ และ ฮวาไห่หมิ่น

และที่โชคดีไปกว่านั้นก็คือ กระทั่งองค์หญิงรองเองก็ถูกจัดเข้ามาอยู่กลุ่มเดียวกับเฉินเสวี่ยเช่นกัน

โยวหลิน หรือ ฮวาไห่หลิน เป็นเด็กสาวอายุสิบสี่ปีที่เย่อหยิ่งถือตัวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวยสง่าสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ ลำคอยาวระหง ใบหน้าเล็ก คางเรียวแหลม หน้าผากกลมมน วงคิ้วโก่งดังใบหลิว ดวงตาหงส์ที่หางตาตวัดชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกโด่งปลายเชิด และริมฝีปากเล็กๆ แต่อิ่มเต็มสีแดงสด ทำให้นางเป็นหนึ่งในเด็กสาวที่สวยที่สุดของรุ่นไห่อย่างไม่ต้องสงสัย

เฉินเสวี่ยเดินสวนกับฮวาไห่หลินครั้งแรกบนระเบียงทางเดินหน้าห้องพักของตน เมื่อทั้งสองสบตากันต่างฝ่ายต่างก็ตกตะลึงกับรูปโฉมของอีกฝ่ายจนเผลอชะงักงันกันไปครู่หนึ่ง เฉินเสวี่ยจ้องอีกฝ่ายตาวาว เพิ่งเคยเห็นเด็กสาวที่มีท่วงท่ายามเยื้องย่างสวยสง่าและสะดุดตาเช่นนี้เป็นครั้งแรก และที่สำคัญ ใบหน้าของฮวาไห่หลินมีส่วนละม้วยคล้ายคลึงกับฮ่องเต้โฉดผู้เป็นบิดาถึงหกส่วน เฉินเสวี่ยจึงเดาได้ในทันทีว่านางเป็นใคร

ฝ่ายองค์หญิงรองกลับหรี่ตาจ้องหน้าเฉินเสวี่ยอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก นางเพิ่งจะเคยเห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่สวยซึ้งชนิดแทบจะสะกดวิญญาณผู้พบเห็นแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่เดิมนางมั่นใจในความงามของตนเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมาเทียบกับเด็กสาวตรงหน้าคนนี้แล้ว นางกลับดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

เฉินเสวี่ยปรายตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา แล้วเดินผ่านหน้าอีกฝ่ายไปเปิดประตูเพื่อเดินเข้าห้องพักของตน ทิ้งให้อีกฝ่ายขยี้เท้าด้วยความโมโหโกรธาที่ถูกนางเมินใส่อย่างไม่ไยดี

บนเตียงในห้องมีชุดเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบประจำรุ่นของนางวางพับเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อย เฉินเสวี่ยมองไปที่ชุดเครื่องแบบของรุ่นไห่อันประกอบด้วยเสื้อสีม่วงอ่อนเข้าคู่กับกระโปรงสีเขียวหยก บริเวณสาบเสื้อและชายกระโปรงปักลวดลายดอกไห่ถังด้วยเส้นไหมละเอียดเล็กมันวาวสีขาวอมชมพู

หนึ่งชั่วโมงถัดมา เฉินเสวี่ยในชุดเครื่องแบบก็เดินไปยังห้องโถงใหญ่ของบ้านเพื่อรวมตัวกับเด็กสาวคนอื่นๆ ในกลุ่ม นี่เป็นการเรียกรวมตัวของกลุ่มนางครั้งแรกด้วยคำสั่งของศิษย์พี่ ตอนนี้สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดเครื่องแบบสีเดียวกันหมดแล้ว จึงทำให้ทุกคนดูกลมกลืนกันไปหมดในสายตาเฉินเสวี่ย

เกาซู่ซู่ที่บัดนี้เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่าฮวาไห่ซู่ยืนอยู่ในห้องโถงนั้นก่อนแล้ว นางหันมาเห็นเฉินเสวี่ยที่เพิ่งจะเดินเข้ามาก็รีบโบกไม้โบกมือเรียกให้เฉินเสวี่ยไปยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันกับตนด้วยท่าทางดีใจ

เฉินเสวี่ยมองนางอย่างเฉยเมย รู้สึกว่าฮวาไห่ซู่ช่างเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสาและจิตใจดีไม่เหมาะจะมาเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผ่าเอาเสียเลย นางเดินไปหาฮวาไห่ซู่ซึ่งยืนอยู่กับเด็กสาวอีกสามคนทางด้านนั้น แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงกลุ่มของฮวาไห่ซู่นางก็ถูกองค์หญิงรองเดินเข้ามาดักหน้าหาเรื่องเสียก่อน

“นี่ นังหญิงชั้นต่ำ จะไปไหน เห็นองค์หญิงแล้วยังไม่รู้จักทักทาย อยากตายนักรึ” หนึ่งในหญิงสาวที่เดินมาพร้อมกับองค์หญิงรองกล่าวกับเฉินเสวี่ยด้วยน้ำเสียงตะคอก องค์หญิงรองเองก็หรี่ตา กวาดมองเฉินเสวี่ยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

เฉินเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ นางเอียงคอทำหน้างงแล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนจะมองหาอะไรบางอย่าง

“เจ้ามองหาอะไร” เด็กสาวอีกนางที่อยู่กลุ่มองค์หญิงถามเสียงขุ่น

“ก็มองหาองค์หญิงน่ะสิ ไม่เห็นจะมีสักองค์ เห็นก็แต่…ฮวา-ไห่-หลิน” เฉินเสวี่ยตอกย้ำทีละคำด้วยท่าทียียวน

“เจ้า! บังอาจนัก!” องค์หญิงชี้หน้าเฉินเสวี่ยด้วยความโมโห อยากจะด่าแต่ก็ด่าไม่ออก เพราะปกตินางไม่เคยต้องปะทะคารมกับใครแบบนี้มาก่อน

เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ทุกคนในห้องหันหน้าไปมอง พวกนางพบว่าเป็นศิษย์พี่ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงประจำกลุ่มของตนมาถึงแล้ว ต่างคนจึงต่างรีบเก็บงำวาจาและกลับไปยืนประจำที่ของตนในแถวด้วยความสำรวม

“ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์น้องทุกท่าน ข้ามีชื่อว่าฮวาเหอกุ้ย จะมารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่มที่ห้าของพวกเจ้า ก่อนอื่นข้าจะทำการแจกจ่ายยาลูกกลอนรวมปราณให้พวกเจ้าคนละหนึ่งเม็ด และจะแจกม้วนตำราเคล็ดวิชาบุปผาหยกขั้นพื้นฐานของสำนักเราให้พวกเจ้านำไปฝึกด้วยตนเอง หลังจากรับของเรียบร้อยแล้ว ผู้ใดมีคำถามอะไรก็ถามข้าได้เลย”

ศิษย์พี่ฮวาเหอกุ้ยเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมบาง ใบหน้าที่สวยสะอาดตาแบบบัณฑิตหญิงของนางมีแววเคร่งขรึมจริงจังและเด็ดขาด

หลังทำการแจกของให้ศิษย์ใหม่เสร็จ ฮวาเหอกุ้ยก็กล่าวอธิบายกฎระเบียบของสำนักอย่างละเอียดให้ทุกคนฟัง

“ในวันปกติ ศิษย์ทุกคนจะมีอิสระในการฝึกยุทธ์ด้วยตนเอง พวกเจ้าจะฝึกในห้องพักส่วนตัว ออกไปฝึกในสวน หรือตามป่าเขารอบๆ ที่พักก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ทุกๆ วันขึ้นเจ็ดค่ำของเดือนซึ่งเป็นวันครบรอบที่พวกเจ้าจะได้ไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนจะต้องมารวมตัวกันตอนต้นยามเหม่า (5.00น.) อย่างพร้อมเพรียงกันที่ห้องโถงนี้เพื่อไปที่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับข้า การแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์จะช่วยส่งเสริมให้พวกเจ้าฝึกเคล็ดวิชาของสำนักได้ดียิ่งขึ้น ศิษย์ใหม่อย่างพวกเจ้าสามารถแช่ได้รอบละสองวันสองคืน ระหว่างที่แช่น้ำพุอยู่บนยอดเขาหลักให้ทุกคนสำรวมกิริยาและดูดซับพลังปราณในสระน้ำพุกันอย่างสงบ ห้ามส่งเสียงดังรบกวนเหล่าผู้อาวุโสที่พักอาศัยอยู่บนยอดเขา และห้ามเดินออกไปนอกบริเวณบ่อน้ำพุด้วย หากใครไม่เชื่อฟังและเดินเพ่นพ่านออกไปจากบริเวณน้ำพุศักดิ์สิทธิ์อาจจะหายไปและไม่ได้กลับมาอีกเลย ทางสำนักจะไม่ทำการออกตามหาหรือสืบเบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น ที่ผ่านมาศิษย์แทบทุกรุ่นล้วนมีผู้ที่หายสาบสูญไประหว่างการแช่น้ำพุเพราะไม่รักษากฎเช่นนี้เป็นจำนวนมาก และข้าก็ยังไม่เคยเห็นใครได้กลับมาเลยสักคน ดังนั้นหากพวกเจ้ายังรักชีวิตก็อย่างแส่หาเรื่องใส่ตัวเป็นอันขาด

อาหารทั้งสามมื้อของพวกเจ้าและอาหารของพวกสาวใช้ส่วนตัว ทางโรงครัวใหญ่จะจัดเตรียมเอามาส่งให้ที่บ้านพักศิษย์หลังนี้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย จะแจกให้ปีละห้าชุด หากทำขาดก็ต้องซ่อมแซมเอาเอง นอกจากนี้ ทุกต้นเดือนทางสำนักจะจ่ายเงินเดือนให้พวกเจ้าตามความสูงต่ำของพลังฝีมือ โดยจะเริ่มจ่ายเงินเดือนให้พวกเจ้าในวันที่หนึ่งของเดือนหน้าเป็นต้นไป ก่อนจะจ่ายเงินเดือนให้จะมีการทดสอบและวัดพลังปราณทุกครั้งเพื่อความเป็นธรรม

ถัดจากเขตที่พักอาศัยของพวกเราไปทางทิศเหนือจะเป็นพื้นที่ส่วนกลางของศิษย์ชั้นนอก ที่นั่นมีหอคลังซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจ่ายเงินเดือนให้กับศิษย์ชั้นนอกทั้งหมด พวกเจ้าจะต้องไปรับเงินเดือนด้วยตนเองเท่านั้น ห้ามให้ผู้อื่นไปรับแทน ผู้ใดไม่ไปรับก่อนวันที่ห้าของเดือนจะถือว่าสละสิทธิ์ นอกจากนั้น ใกล้ๆ กับหอคลังยังมีหอตำรา โรงหมอ ร้านค้า และร้านอาหาร พวกเจ้าสามารถใช้เงินส่วนตัวไปซื้อหาสิ่งของจำเป็นที่นั่นได้ทุกเมื่อ

อาณาเขตของศิษย์ชั้นนอกแห่งนี้ล้วนถูกกางกั้นไว้ด้วยครอบแก้วพลังงาน คนในห้ามออกไปข้างนอก และคนนอกก็เข้ามาข้างในไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อปกป้องความปลอดภัยของศิษย์ทุกคน พวกเจ้าคงจะเคยได้ยินมาแล้วว่า การฝึกเคล็ดวิชาของสำนักเราทำได้เฉพาะสตรีพรหมจรรย์เท่านั้น ดังนั้น นับแต่นี้เป็นต้นไปจนกว่าพวกเจ้าจะลาออกจากสำนัก ไม่ว่าหน้าไหนก็จะมิอาจให้บุรุษแตะเนื้อต้องตัวทั้งสิ้น ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกขับออกจากสำนักทันที”

“พวกเราจะทราบได้อย่างไรว่าพื้นที่ส่วนไหนของสำนักที่เป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ห้ามพวกเราเข้าไปเจ้าคะ” ฮวาไห่หมิ่นถามแทรกขึ้นมา

“ยกเว้นบนยอดเขาหลัก สถานที่ต้องห้ามอื่นๆ ล้วนแต่มีกำแพงพลังงานขวางกั้นเอาไว้ทั้งหมด ดังนั้นหากเจ้าเดินไปชนเข้ากับกำแพงพลังงานเมื่อไหร่พวกเจ้าก็จะรู้ได้เองว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามของสำนัก ไม่มีใครในสามารถเข้าไปในพื้นที่เหล่านั้นได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสหรือเจ้าตำหนัก เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ” ศิษย์ใหม่ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

เฉินเสวี่ยขมวดคิ้ว กำหนดการขึ้นไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มนางดันมาตรงกับช่วงการเปลี่ยนร่างเป็นชายของตนพอดี และตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่สิบวันก็จะถึงกำหนดที่กลุ่มของนางต้องไปแช่น้ำพุแล้ว

ตอนแรกนางวางแผนว่าตนจะลอบหลบออกไปจัดการกับฮวาไหนไหน่ และผู้อาวุโสของสำนักตอนที่ตนได้ขึ้นไปแช่น้ำพุบนยอดเขาหลัก แต่จากคำขู่ของศิษย์พี่ที่ว่าผู้ที่ออกไปเดินเพ่นพ่านไม่เคยมีใครได้กลับมาอีกเลย แสดงว่าบนสถานที่แห่งนั้นจะต้องมีอันตรายบางอย่างที่นางคาดไม่ถึงอยู่เป็นแน่ แต่นางไม่กลัวหรอก เพราะถ้าเจออันตรายอะไร นางก็แค่หลบกลับเข้าไปในแหวนมิติก็ได้แล้วมิใช่หรือ

นางจะใช้เวลาสิบวันที่เหลือนี้ในการทดสอบข้อจำกัดของแหวนมิติของตน และสืบข่าวเกี่ยวกับตำหนักบุปผาแห่งนี้ให้ได้มากที่สุด

“เอาล่ะ ถ้าไม่มีคำถามอะไรแล้ว พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปฝึกวิชาได้แล้ว อย่ามัวแต่ขี้เกียจและเอาแต่เที่ยวเล่นกันเสียเล่า หากผ่านไปสามปีแล้วพวกเจ้ายังไม่มีความก้าวหน้าในการฝึกเคล็ดบุปผาหยกแม้แต่น้อย พวกเจ้าจะถูกลดขั้นจากศิษย์ชั้นนอกลงไปเป็นคนงาน และถ้าเป็นคนงานสามปีแล้วยังไม่มีความก้าวหน้าในการฝึกเคล็ดวิชาใดๆ อีก พวกเจ้าจะถูกลดขั้นลงไปเป็นทาส เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ” ศิษย์ใหม่ต่างก็ขานรับกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยเสียงอันดัง แค่คิดว่าจะต้องถูกลดขั้นลงไปเป็นคนงานก็ว่าแย่แล้ว แต่ถึงกับต้องกลายเป็นทาสนี่มันช่าง…

เมื่อได้รับการขู่ที่น่ากลัวเช่นนั้น หลังจากถูกปล่อยตัวให้กลับห้องพักได้ เหล่าศิษย์ใหม่ต่างก็พากันขยันขันแข็งตั้งใจศึกษาเคล็ดบุปผาหยกขั้นต้นกันเป็นอย่างดี คงจะมีเพียงเฉินเสวี่ยคนเดียวที่พลิกตำราอ่านอย่างคร่าวๆ แล้วก็ยัดมันเก็บเข้าไปไว้ในแหวนมิติอย่างไม่ค่อยจะเห็นคุณค่าสักเท่าใด

เคล็ดบุปผาหยกนี้เป็นทักษะยุทธ์ชั้นดินขั้นกลาง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีธาตุไม้และธาตุน้ำผสมผสานอยู่ในตัว หากมีธาตุน้ำบริสุทธิ์เช่นนาง กลับจะทำให้ประสบผลในการฝึกได้น้อยนิด แต่นางเคยได้ยินมาว่าในตำหนักบุปผายังมีเคล็ดวิชาย่อยที่เกี่ยวกับธาตุน้ำเป็นหลักอยู่อีกหนึ่งเคล็ด ซึ่งน่าจะเป็นเคล็ดของยอดเขาหมอกพิรุณที่ชวนนางเข้าไปเป็นศิษย์สายใน หากมีโอกาสนางก็อยากจะลองไปศึกษาดูสักครั้ง

ช่วงเย็นของวันนั้น ในขณะที่ศิษย์ใหม่เกือบทุกคนพากันเก็บตัวฝึกวิชากันห้องใครห้องมัน เฉินเสวี่ยกลับออกไปเดินดูร้านค้าและโรงน้ำชาในบริเวณพื้นที่การค้าของตำหนักบุปผาอย่างสบายอกสบายใจ จากนั้นก็เข้าไปนั่งจิบชาอยู่ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งเพื่อแอบฟังคนที่มานั่งโต๊ะรอบข้างพูดคุยกัน

“เจ้าได้ยินหรือไม่ ที่ว่ามีศิษย์ใหม่คนหนึ่งถึงกับมีปราณธาตุน้ำบริสุทธิ์เลยน่ะ” หนึ่งศิษย์กลุ่มที่สวมชุดสีชมพูขาวถามเพื่อนในกลุ่มของตน

“ได้ยินสิ แบบนี้นางคงได้เข้าไปเป็นศิษย์สายในของยอดเขาหมอกพิรุณอย่างไม่ต้องเปลืองแรง ช่างโชคดีจริงๆ ว่าแต่เจ้าไม่เปลี่ยนใจหรือ เหตุใดยังยึดติดอยู่กับยอดเขาหมอกพิรุณยิ่งนัก มิสู้เปลี่ยนใจมุ่งเข้าไปเป็นศิษย์สายในของยอดเขาพฤกษาวารีกับพวกข้าจะดีกว่า”

“ไม่เอาหรอก ข้าอยากฝึกเคล็ดวารีพิฆาตของยอดเขาหมอกพิรุณมากกว่า”

“เฮ้อ… ตามใจเจ้า ว่าแต่ช่วงนี้เหมือนจะมีศิษย์สายนอกหายตัวไปบ่อยกว่าปกตินะ น่ากลัวจริงๆ พวกเราเองก็ควรจะเกาะกลุ่มกันเอาไว้ อย่าออกไปฝึกในป่าตามลำพังจะดีกว่า”

“นั่นสิ ข้าคนหนึ่งล่ะ ที่ต่อให้เอาผลเกล็ดมังกรมาล่อ ข้าก็ไม่มีวันเข้าไปในป่าด้านหลังตามลำพังหรอก”

“ฮิๆ ๆ คงมีคนขี้ขลาดแบบเจ้าไม่มากนักหรอก เพราะข้าได้ยินว่ากลุ่มของฮวาหลันซิงกับกลุ่มของศิษย์พี่อีกหลายกลุ่มต่างก็เข้าไปหาผลเกล็ดมังกรกันทุกคน พวกนั้นคงหวังจะใช้ผลเกล็ดมังกรมาเพิ่มความเร็วในการดูดซับพลังปราณธาตุน้ำยามขึ้นไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์กระมัง”

“ก็อย่างว่า ผลเกล็ดมังกรมันไม่ได้ติดผลบ่อยๆ เสียเมื่อไหร่เล่า ห้าหกปีกว่าจะติดผลสักทีหนึ่ง พวกที่พลังฝีมือไม่ก้าวหน้าและกำลังจวนตัวใกล้จะถูกส่งไปเป็นทาสคงกำลังร้อนใจจนยอมเสี่ยงอันตรายเข้าไปในป่าเพราะหวังจะเจอผลเกล็ดมังกรให้ได้สักผลนั่นแหละ”

“ก็จริงของเจ้า”

เฉินเสวี่ยนั่งจิบชาและกินของว่างอยู่เกือบสองชั่วโมง ได้ข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในตำหนักบุปผามาไม่น้อย แต่มีเพียงสองเรื่องหลักๆ ที่นางสนใจเป็นพิเศษ

อย่างแรกคือ นางรู้แล้วว่าการแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ก็คล้ายกับการใช้เคล็ดจันทราพิสุทธิ์ คือสามารถเสริมพลังปราณธาตุน้ำให้ผู้ที่แช่น้ำพุได้ ศิษย์ใหม่ได้แช่น้ำพุคนละสองวันสองคืน ส่วนศิษย์รุ่นสูงขึ้นไปจะแช่ได้นานขึ้นรุ่นละหนึ่งวันหนึ่งคืน ส่วนศิษย์สายในนั้น สามารถแช่ได้นานถึงสิบวันเต็มๆ

ส่วนเรื่องที่สองก็คือช่วงนี้ในป่าด้านหลังของสำนักกำลังมีผลเกล็ดมังกรติดลูกอยู่ มีศิษย์หลายกลุ่มแยกย้ายกันเข้าไปเสาะหาผลไม้ชนิดนี้และหายตัวไปอย่างไร้ร่อง และก็ดูเหมือนว่าทางสำนักจะไม่ใส่ใจกับเรื่องศิษย์ที่หายตัวไปเลยแม้แต่น้อย นับว่าประหลาดอย่างยิ่ง

ตอนนี้เฉินเสวี่ยไม่ค่อยประหลาดใจแล้วว่าทำไมสำนักที่เปิดมายาวนานหลายร้อยปี และรับศิษย์ใหม่ทุกๆ สามปีจึงมีศิษย์น้อยนักเมื่อเทียบกับสำนักอื่นๆ

แต่เรื่องเป็นแบบนี้ก็ดี เพราะนางจะได้แฝงตัวเข้าไปในป่าแห่งนั้นแล้วทดลองเก็บผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่างๆ เข้าไปในแหวนของนางได้อย่างไม่มีใครสงสัย

วันรุ่งขึ้นเฉินเสวี่ยก็เสาะหาป่าด้านหลังที่ได้ยินมาจนเจอและเริ่มแผนการของตนเองอย่างเงียบๆ

ป่าบริเวณนี้หนาทึบและดูวังเวงกว่าป่าด้านอื่นๆ ของตำหนักบุปผามาก นอกจากต้นไม้แต่ละต้นจะสูงใหญ่ระดับหลายคนโอบแล้ว ยังมีต้นเถาวัลย์เลื้อยระโยงระยางเต็มไปหมด

มีศิษย์กลุ่มหนึ่งราวๆ เจ็ดแปดคนเดินนำหน้านางเข้าไป เฉินเสวี่ยจึงเลือกที่จะเดินตามหลังพวกนางไปแบบห่างๆ หญิงสาวกลุ่มนี้มีตั้งแต่ระดับก่อปราณ 7 ดาวไปจนถึงนักยุทธ์ 4 ดาว พวกนางเดินเข้ามาในป่าได้สักพักก็จับคู่แยกย้ายกันไปคนละทาง เมื่อเฉินเสวี่ยเห็นดังนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลือกเดินตามสองคนที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับก่อปราณ 9 ดาวกับนักยุทธ์ 2 ดาวไป เดินตามมาได้ครู่หนึ่ง จู่ๆ หญิงสาวทั้งสองก็หายตัวไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เฉินเสวี่ยถลันพุ่งตัวไปยังจุดที่ทั้งสองหายตัวไปแล้วกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงงว่าพวกนางหายไปได้อย่างไร แต่แล้วในทันใดนั้นเอง กระบี่น้ำแข็งเย็นเยียบเล่มหนึ่งก็ถูกยื่นมาจ่อคอนางจากทางด้านหลัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เคล็ดมารสยบภพ 13 องค์หญิงโยวหลิน

Now you are reading เคล็ดมารสยบภพ Chapter 13 องค์หญิงโยวหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินเสวี่ยครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย ถ้าเป็นไปได้นางก็อยากจะจับตัวเจ้าตำหนักบุปผาและผู้อาวุโสที่มีส่วนรู้เห็นในการสังหารบิดาของนางใส่ลงไปในแหวนมิติวงที่เวลาหยุดนิ่ง แล้วค่อยเอาพวกนางออกมาจองจำเอาไว้ในคุกของตำหนักมารของตนในภายหลัง แต่เพราะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าตอนนี้แหวนมิติของตนมีข้อจำกัดอะไรบ้าง เพราะนางเคยไม่สามารถจะเก็บสัตว์อสูรผมสีเงินตนนั้นเข้าไปในแหวนได้ครั้งหนึ่งแล้ว หากนางบุ่มบ่ามเข้าไปจัดการกับเจ้าตำหนักบุปผาแล้วเกิดเก็บอีกฝ่ายลงไปในแหวนไม่สำเร็จเหมือนกับคราวสัตว์อสูรผมเงินนั่น นางจะต้องถูกอีกฝ่ายสงสัยเป็นแน่

เฉินเสวี่ยตัดสินใจแล้วว่าจะลองทำการเก็บร่างของผู้ฝึกยุทธ์ในเขตขั้นต่างๆ กันลงไปในแหวนทีละคน เพื่อดูว่ามันมีข้อจำกัดเรื่องระดับพลังยุทธ์หรือไม่ และนางยังใช้คนของตำหนักบุปผาเหล่านี้มารองรับกากปราณในการฝึกยุทธ์ของตนได้อีกด้วย ในเมื่อหาสัตว์อสูรมาเพิ่มไม่ได้ หันมาใช้ร่างของพวกศัตรูแทนก็ดีเหมือนกัน!

วันนี้เพิ่งเป็นวันแรมสิบเอ็ดค่ำ นางยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการเตรียมการในร่างผู้หญิงอีกหลายวัน ดังนั้นระหว่างนี้ควรใช้เวลาวางแผนให้รอบคอบสักหน่อย

ศิษย์รุ่นเยาว์ของตำหนักบุปผาถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่มละ10-12 คน แต่ละกลุ่มจะมีศิษย์พี่หนึ่งคนมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำชี้แนะในการฝึกยุทธ์ การจัดกลุ่มนั้นแบ่งให้ตามอาณาเขตของที่พักอาศัยเป็นหลัก ศิษย์แต่ละคนไม่สามารถเลือกที่พักของตนได้ ทุกคนต้องเข้าพักตามลำดับเลขที่ที่สมัครเข้ามาเป็นศิษย์ บ้านพักหลังหนึ่งจะมีห้องนอนเรียงกันสิบกว่าห้อง เป็นห้องพักศิษย์พี่หนึ่งห้อง และที่เหลือเป็นห้องของศิษย์ใหม่ในกลุ่ม

ศิษย์ของตำหนักบุปผาทั้งสิ้นมีประมาณพันกว่าคน ดังนั้นจึงมีกฎบังคับว่าศิษย์แต่ละรุ่นจะต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีและแบบเหมือนๆ กันและทุกนางต้องห้อยป้ายชื่อติดเอวไว้ตลอดเพื่อให้ผู้อื่นสามารถจำแนกแยกแยะระดับอาวุโสได้โดยง่าย

รุ่นของเฉินเสวี่ยถูกตั้งชื่อรุ่นว่าไห่ นางจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ฮวาไห่เยว่

เกาซู่ซู่กับจงหมิ่นก็ที่ถูกจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกับเฉินเสวี่ยเช่นกัน พวกนางเองก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ฮวาไห่ซู่ และ ฮวาไห่หมิ่น

และที่โชคดีไปกว่านั้นก็คือ กระทั่งองค์หญิงรองเองก็ถูกจัดเข้ามาอยู่กลุ่มเดียวกับเฉินเสวี่ยเช่นกัน

โยวหลิน หรือ ฮวาไห่หลิน เป็นเด็กสาวอายุสิบสี่ปีที่เย่อหยิ่งถือตัวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวยสง่าสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ ลำคอยาวระหง ใบหน้าเล็ก คางเรียวแหลม หน้าผากกลมมน วงคิ้วโก่งดังใบหลิว ดวงตาหงส์ที่หางตาตวัดชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกโด่งปลายเชิด และริมฝีปากเล็กๆ แต่อิ่มเต็มสีแดงสด ทำให้นางเป็นหนึ่งในเด็กสาวที่สวยที่สุดของรุ่นไห่อย่างไม่ต้องสงสัย

เฉินเสวี่ยเดินสวนกับฮวาไห่หลินครั้งแรกบนระเบียงทางเดินหน้าห้องพักของตน เมื่อทั้งสองสบตากันต่างฝ่ายต่างก็ตกตะลึงกับรูปโฉมของอีกฝ่ายจนเผลอชะงักงันกันไปครู่หนึ่ง เฉินเสวี่ยจ้องอีกฝ่ายตาวาว เพิ่งเคยเห็นเด็กสาวที่มีท่วงท่ายามเยื้องย่างสวยสง่าและสะดุดตาเช่นนี้เป็นครั้งแรก และที่สำคัญ ใบหน้าของฮวาไห่หลินมีส่วนละม้วยคล้ายคลึงกับฮ่องเต้โฉดผู้เป็นบิดาถึงหกส่วน เฉินเสวี่ยจึงเดาได้ในทันทีว่านางเป็นใคร

ฝ่ายองค์หญิงรองกลับหรี่ตาจ้องหน้าเฉินเสวี่ยอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก นางเพิ่งจะเคยเห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่สวยซึ้งชนิดแทบจะสะกดวิญญาณผู้พบเห็นแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่เดิมนางมั่นใจในความงามของตนเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมาเทียบกับเด็กสาวตรงหน้าคนนี้แล้ว นางกลับดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

เฉินเสวี่ยปรายตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา แล้วเดินผ่านหน้าอีกฝ่ายไปเปิดประตูเพื่อเดินเข้าห้องพักของตน ทิ้งให้อีกฝ่ายขยี้เท้าด้วยความโมโหโกรธาที่ถูกนางเมินใส่อย่างไม่ไยดี

บนเตียงในห้องมีชุดเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบประจำรุ่นของนางวางพับเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อย เฉินเสวี่ยมองไปที่ชุดเครื่องแบบของรุ่นไห่อันประกอบด้วยเสื้อสีม่วงอ่อนเข้าคู่กับกระโปรงสีเขียวหยก บริเวณสาบเสื้อและชายกระโปรงปักลวดลายดอกไห่ถังด้วยเส้นไหมละเอียดเล็กมันวาวสีขาวอมชมพู

หนึ่งชั่วโมงถัดมา เฉินเสวี่ยในชุดเครื่องแบบก็เดินไปยังห้องโถงใหญ่ของบ้านเพื่อรวมตัวกับเด็กสาวคนอื่นๆ ในกลุ่ม นี่เป็นการเรียกรวมตัวของกลุ่มนางครั้งแรกด้วยคำสั่งของศิษย์พี่ ตอนนี้สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดเครื่องแบบสีเดียวกันหมดแล้ว จึงทำให้ทุกคนดูกลมกลืนกันไปหมดในสายตาเฉินเสวี่ย

เกาซู่ซู่ที่บัดนี้เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่าฮวาไห่ซู่ยืนอยู่ในห้องโถงนั้นก่อนแล้ว นางหันมาเห็นเฉินเสวี่ยที่เพิ่งจะเดินเข้ามาก็รีบโบกไม้โบกมือเรียกให้เฉินเสวี่ยไปยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันกับตนด้วยท่าทางดีใจ

เฉินเสวี่ยมองนางอย่างเฉยเมย รู้สึกว่าฮวาไห่ซู่ช่างเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสาและจิตใจดีไม่เหมาะจะมาเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผ่าเอาเสียเลย นางเดินไปหาฮวาไห่ซู่ซึ่งยืนอยู่กับเด็กสาวอีกสามคนทางด้านนั้น แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงกลุ่มของฮวาไห่ซู่นางก็ถูกองค์หญิงรองเดินเข้ามาดักหน้าหาเรื่องเสียก่อน

“นี่ นังหญิงชั้นต่ำ จะไปไหน เห็นองค์หญิงแล้วยังไม่รู้จักทักทาย อยากตายนักรึ” หนึ่งในหญิงสาวที่เดินมาพร้อมกับองค์หญิงรองกล่าวกับเฉินเสวี่ยด้วยน้ำเสียงตะคอก องค์หญิงรองเองก็หรี่ตา กวาดมองเฉินเสวี่ยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

เฉินเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ นางเอียงคอทำหน้างงแล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนจะมองหาอะไรบางอย่าง

“เจ้ามองหาอะไร” เด็กสาวอีกนางที่อยู่กลุ่มองค์หญิงถามเสียงขุ่น

“ก็มองหาองค์หญิงน่ะสิ ไม่เห็นจะมีสักองค์ เห็นก็แต่…ฮวา-ไห่-หลิน” เฉินเสวี่ยตอกย้ำทีละคำด้วยท่าทียียวน

“เจ้า! บังอาจนัก!” องค์หญิงชี้หน้าเฉินเสวี่ยด้วยความโมโห อยากจะด่าแต่ก็ด่าไม่ออก เพราะปกตินางไม่เคยต้องปะทะคารมกับใครแบบนี้มาก่อน

เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ทุกคนในห้องหันหน้าไปมอง พวกนางพบว่าเป็นศิษย์พี่ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงประจำกลุ่มของตนมาถึงแล้ว ต่างคนจึงต่างรีบเก็บงำวาจาและกลับไปยืนประจำที่ของตนในแถวด้วยความสำรวม

“ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์น้องทุกท่าน ข้ามีชื่อว่าฮวาเหอกุ้ย จะมารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่มที่ห้าของพวกเจ้า ก่อนอื่นข้าจะทำการแจกจ่ายยาลูกกลอนรวมปราณให้พวกเจ้าคนละหนึ่งเม็ด และจะแจกม้วนตำราเคล็ดวิชาบุปผาหยกขั้นพื้นฐานของสำนักเราให้พวกเจ้านำไปฝึกด้วยตนเอง หลังจากรับของเรียบร้อยแล้ว ผู้ใดมีคำถามอะไรก็ถามข้าได้เลย”

ศิษย์พี่ฮวาเหอกุ้ยเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมบาง ใบหน้าที่สวยสะอาดตาแบบบัณฑิตหญิงของนางมีแววเคร่งขรึมจริงจังและเด็ดขาด

หลังทำการแจกของให้ศิษย์ใหม่เสร็จ ฮวาเหอกุ้ยก็กล่าวอธิบายกฎระเบียบของสำนักอย่างละเอียดให้ทุกคนฟัง

“ในวันปกติ ศิษย์ทุกคนจะมีอิสระในการฝึกยุทธ์ด้วยตนเอง พวกเจ้าจะฝึกในห้องพักส่วนตัว ออกไปฝึกในสวน หรือตามป่าเขารอบๆ ที่พักก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ทุกๆ วันขึ้นเจ็ดค่ำของเดือนซึ่งเป็นวันครบรอบที่พวกเจ้าจะได้ไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนจะต้องมารวมตัวกันตอนต้นยามเหม่า (5.00น.) อย่างพร้อมเพรียงกันที่ห้องโถงนี้เพื่อไปที่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับข้า การแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์จะช่วยส่งเสริมให้พวกเจ้าฝึกเคล็ดวิชาของสำนักได้ดียิ่งขึ้น ศิษย์ใหม่อย่างพวกเจ้าสามารถแช่ได้รอบละสองวันสองคืน ระหว่างที่แช่น้ำพุอยู่บนยอดเขาหลักให้ทุกคนสำรวมกิริยาและดูดซับพลังปราณในสระน้ำพุกันอย่างสงบ ห้ามส่งเสียงดังรบกวนเหล่าผู้อาวุโสที่พักอาศัยอยู่บนยอดเขา และห้ามเดินออกไปนอกบริเวณบ่อน้ำพุด้วย หากใครไม่เชื่อฟังและเดินเพ่นพ่านออกไปจากบริเวณน้ำพุศักดิ์สิทธิ์อาจจะหายไปและไม่ได้กลับมาอีกเลย ทางสำนักจะไม่ทำการออกตามหาหรือสืบเบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น ที่ผ่านมาศิษย์แทบทุกรุ่นล้วนมีผู้ที่หายสาบสูญไประหว่างการแช่น้ำพุเพราะไม่รักษากฎเช่นนี้เป็นจำนวนมาก และข้าก็ยังไม่เคยเห็นใครได้กลับมาเลยสักคน ดังนั้นหากพวกเจ้ายังรักชีวิตก็อย่างแส่หาเรื่องใส่ตัวเป็นอันขาด

อาหารทั้งสามมื้อของพวกเจ้าและอาหารของพวกสาวใช้ส่วนตัว ทางโรงครัวใหญ่จะจัดเตรียมเอามาส่งให้ที่บ้านพักศิษย์หลังนี้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย จะแจกให้ปีละห้าชุด หากทำขาดก็ต้องซ่อมแซมเอาเอง นอกจากนี้ ทุกต้นเดือนทางสำนักจะจ่ายเงินเดือนให้พวกเจ้าตามความสูงต่ำของพลังฝีมือ โดยจะเริ่มจ่ายเงินเดือนให้พวกเจ้าในวันที่หนึ่งของเดือนหน้าเป็นต้นไป ก่อนจะจ่ายเงินเดือนให้จะมีการทดสอบและวัดพลังปราณทุกครั้งเพื่อความเป็นธรรม

ถัดจากเขตที่พักอาศัยของพวกเราไปทางทิศเหนือจะเป็นพื้นที่ส่วนกลางของศิษย์ชั้นนอก ที่นั่นมีหอคลังซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจ่ายเงินเดือนให้กับศิษย์ชั้นนอกทั้งหมด พวกเจ้าจะต้องไปรับเงินเดือนด้วยตนเองเท่านั้น ห้ามให้ผู้อื่นไปรับแทน ผู้ใดไม่ไปรับก่อนวันที่ห้าของเดือนจะถือว่าสละสิทธิ์ นอกจากนั้น ใกล้ๆ กับหอคลังยังมีหอตำรา โรงหมอ ร้านค้า และร้านอาหาร พวกเจ้าสามารถใช้เงินส่วนตัวไปซื้อหาสิ่งของจำเป็นที่นั่นได้ทุกเมื่อ

อาณาเขตของศิษย์ชั้นนอกแห่งนี้ล้วนถูกกางกั้นไว้ด้วยครอบแก้วพลังงาน คนในห้ามออกไปข้างนอก และคนนอกก็เข้ามาข้างในไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อปกป้องความปลอดภัยของศิษย์ทุกคน พวกเจ้าคงจะเคยได้ยินมาแล้วว่า การฝึกเคล็ดวิชาของสำนักเราทำได้เฉพาะสตรีพรหมจรรย์เท่านั้น ดังนั้น นับแต่นี้เป็นต้นไปจนกว่าพวกเจ้าจะลาออกจากสำนัก ไม่ว่าหน้าไหนก็จะมิอาจให้บุรุษแตะเนื้อต้องตัวทั้งสิ้น ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกขับออกจากสำนักทันที”

“พวกเราจะทราบได้อย่างไรว่าพื้นที่ส่วนไหนของสำนักที่เป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ห้ามพวกเราเข้าไปเจ้าคะ” ฮวาไห่หมิ่นถามแทรกขึ้นมา

“ยกเว้นบนยอดเขาหลัก สถานที่ต้องห้ามอื่นๆ ล้วนแต่มีกำแพงพลังงานขวางกั้นเอาไว้ทั้งหมด ดังนั้นหากเจ้าเดินไปชนเข้ากับกำแพงพลังงานเมื่อไหร่พวกเจ้าก็จะรู้ได้เองว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามของสำนัก ไม่มีใครในสามารถเข้าไปในพื้นที่เหล่านั้นได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสหรือเจ้าตำหนัก เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ” ศิษย์ใหม่ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

เฉินเสวี่ยขมวดคิ้ว กำหนดการขึ้นไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มนางดันมาตรงกับช่วงการเปลี่ยนร่างเป็นชายของตนพอดี และตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่สิบวันก็จะถึงกำหนดที่กลุ่มของนางต้องไปแช่น้ำพุแล้ว

ตอนแรกนางวางแผนว่าตนจะลอบหลบออกไปจัดการกับฮวาไหนไหน่ และผู้อาวุโสของสำนักตอนที่ตนได้ขึ้นไปแช่น้ำพุบนยอดเขาหลัก แต่จากคำขู่ของศิษย์พี่ที่ว่าผู้ที่ออกไปเดินเพ่นพ่านไม่เคยมีใครได้กลับมาอีกเลย แสดงว่าบนสถานที่แห่งนั้นจะต้องมีอันตรายบางอย่างที่นางคาดไม่ถึงอยู่เป็นแน่ แต่นางไม่กลัวหรอก เพราะถ้าเจออันตรายอะไร นางก็แค่หลบกลับเข้าไปในแหวนมิติก็ได้แล้วมิใช่หรือ

นางจะใช้เวลาสิบวันที่เหลือนี้ในการทดสอบข้อจำกัดของแหวนมิติของตน และสืบข่าวเกี่ยวกับตำหนักบุปผาแห่งนี้ให้ได้มากที่สุด

“เอาล่ะ ถ้าไม่มีคำถามอะไรแล้ว พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปฝึกวิชาได้แล้ว อย่ามัวแต่ขี้เกียจและเอาแต่เที่ยวเล่นกันเสียเล่า หากผ่านไปสามปีแล้วพวกเจ้ายังไม่มีความก้าวหน้าในการฝึกเคล็ดบุปผาหยกแม้แต่น้อย พวกเจ้าจะถูกลดขั้นจากศิษย์ชั้นนอกลงไปเป็นคนงาน และถ้าเป็นคนงานสามปีแล้วยังไม่มีความก้าวหน้าในการฝึกเคล็ดวิชาใดๆ อีก พวกเจ้าจะถูกลดขั้นลงไปเป็นทาส เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ” ศิษย์ใหม่ต่างก็ขานรับกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยเสียงอันดัง แค่คิดว่าจะต้องถูกลดขั้นลงไปเป็นคนงานก็ว่าแย่แล้ว แต่ถึงกับต้องกลายเป็นทาสนี่มันช่าง…

เมื่อได้รับการขู่ที่น่ากลัวเช่นนั้น หลังจากถูกปล่อยตัวให้กลับห้องพักได้ เหล่าศิษย์ใหม่ต่างก็พากันขยันขันแข็งตั้งใจศึกษาเคล็ดบุปผาหยกขั้นต้นกันเป็นอย่างดี คงจะมีเพียงเฉินเสวี่ยคนเดียวที่พลิกตำราอ่านอย่างคร่าวๆ แล้วก็ยัดมันเก็บเข้าไปไว้ในแหวนมิติอย่างไม่ค่อยจะเห็นคุณค่าสักเท่าใด

เคล็ดบุปผาหยกนี้เป็นทักษะยุทธ์ชั้นดินขั้นกลาง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีธาตุไม้และธาตุน้ำผสมผสานอยู่ในตัว หากมีธาตุน้ำบริสุทธิ์เช่นนาง กลับจะทำให้ประสบผลในการฝึกได้น้อยนิด แต่นางเคยได้ยินมาว่าในตำหนักบุปผายังมีเคล็ดวิชาย่อยที่เกี่ยวกับธาตุน้ำเป็นหลักอยู่อีกหนึ่งเคล็ด ซึ่งน่าจะเป็นเคล็ดของยอดเขาหมอกพิรุณที่ชวนนางเข้าไปเป็นศิษย์สายใน หากมีโอกาสนางก็อยากจะลองไปศึกษาดูสักครั้ง

ช่วงเย็นของวันนั้น ในขณะที่ศิษย์ใหม่เกือบทุกคนพากันเก็บตัวฝึกวิชากันห้องใครห้องมัน เฉินเสวี่ยกลับออกไปเดินดูร้านค้าและโรงน้ำชาในบริเวณพื้นที่การค้าของตำหนักบุปผาอย่างสบายอกสบายใจ จากนั้นก็เข้าไปนั่งจิบชาอยู่ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งเพื่อแอบฟังคนที่มานั่งโต๊ะรอบข้างพูดคุยกัน

“เจ้าได้ยินหรือไม่ ที่ว่ามีศิษย์ใหม่คนหนึ่งถึงกับมีปราณธาตุน้ำบริสุทธิ์เลยน่ะ” หนึ่งศิษย์กลุ่มที่สวมชุดสีชมพูขาวถามเพื่อนในกลุ่มของตน

“ได้ยินสิ แบบนี้นางคงได้เข้าไปเป็นศิษย์สายในของยอดเขาหมอกพิรุณอย่างไม่ต้องเปลืองแรง ช่างโชคดีจริงๆ ว่าแต่เจ้าไม่เปลี่ยนใจหรือ เหตุใดยังยึดติดอยู่กับยอดเขาหมอกพิรุณยิ่งนัก มิสู้เปลี่ยนใจมุ่งเข้าไปเป็นศิษย์สายในของยอดเขาพฤกษาวารีกับพวกข้าจะดีกว่า”

“ไม่เอาหรอก ข้าอยากฝึกเคล็ดวารีพิฆาตของยอดเขาหมอกพิรุณมากกว่า”

“เฮ้อ… ตามใจเจ้า ว่าแต่ช่วงนี้เหมือนจะมีศิษย์สายนอกหายตัวไปบ่อยกว่าปกตินะ น่ากลัวจริงๆ พวกเราเองก็ควรจะเกาะกลุ่มกันเอาไว้ อย่าออกไปฝึกในป่าตามลำพังจะดีกว่า”

“นั่นสิ ข้าคนหนึ่งล่ะ ที่ต่อให้เอาผลเกล็ดมังกรมาล่อ ข้าก็ไม่มีวันเข้าไปในป่าด้านหลังตามลำพังหรอก”

“ฮิๆ ๆ คงมีคนขี้ขลาดแบบเจ้าไม่มากนักหรอก เพราะข้าได้ยินว่ากลุ่มของฮวาหลันซิงกับกลุ่มของศิษย์พี่อีกหลายกลุ่มต่างก็เข้าไปหาผลเกล็ดมังกรกันทุกคน พวกนั้นคงหวังจะใช้ผลเกล็ดมังกรมาเพิ่มความเร็วในการดูดซับพลังปราณธาตุน้ำยามขึ้นไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์กระมัง”

“ก็อย่างว่า ผลเกล็ดมังกรมันไม่ได้ติดผลบ่อยๆ เสียเมื่อไหร่เล่า ห้าหกปีกว่าจะติดผลสักทีหนึ่ง พวกที่พลังฝีมือไม่ก้าวหน้าและกำลังจวนตัวใกล้จะถูกส่งไปเป็นทาสคงกำลังร้อนใจจนยอมเสี่ยงอันตรายเข้าไปในป่าเพราะหวังจะเจอผลเกล็ดมังกรให้ได้สักผลนั่นแหละ”

“ก็จริงของเจ้า”

เฉินเสวี่ยนั่งจิบชาและกินของว่างอยู่เกือบสองชั่วโมง ได้ข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในตำหนักบุปผามาไม่น้อย แต่มีเพียงสองเรื่องหลักๆ ที่นางสนใจเป็นพิเศษ

อย่างแรกคือ นางรู้แล้วว่าการแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ก็คล้ายกับการใช้เคล็ดจันทราพิสุทธิ์ คือสามารถเสริมพลังปราณธาตุน้ำให้ผู้ที่แช่น้ำพุได้ ศิษย์ใหม่ได้แช่น้ำพุคนละสองวันสองคืน ส่วนศิษย์รุ่นสูงขึ้นไปจะแช่ได้นานขึ้นรุ่นละหนึ่งวันหนึ่งคืน ส่วนศิษย์สายในนั้น สามารถแช่ได้นานถึงสิบวันเต็มๆ

ส่วนเรื่องที่สองก็คือช่วงนี้ในป่าด้านหลังของสำนักกำลังมีผลเกล็ดมังกรติดลูกอยู่ มีศิษย์หลายกลุ่มแยกย้ายกันเข้าไปเสาะหาผลไม้ชนิดนี้และหายตัวไปอย่างไร้ร่อง และก็ดูเหมือนว่าทางสำนักจะไม่ใส่ใจกับเรื่องศิษย์ที่หายตัวไปเลยแม้แต่น้อย นับว่าประหลาดอย่างยิ่ง

ตอนนี้เฉินเสวี่ยไม่ค่อยประหลาดใจแล้วว่าทำไมสำนักที่เปิดมายาวนานหลายร้อยปี และรับศิษย์ใหม่ทุกๆ สามปีจึงมีศิษย์น้อยนักเมื่อเทียบกับสำนักอื่นๆ

แต่เรื่องเป็นแบบนี้ก็ดี เพราะนางจะได้แฝงตัวเข้าไปในป่าแห่งนั้นแล้วทดลองเก็บผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่างๆ เข้าไปในแหวนของนางได้อย่างไม่มีใครสงสัย

วันรุ่งขึ้นเฉินเสวี่ยก็เสาะหาป่าด้านหลังที่ได้ยินมาจนเจอและเริ่มแผนการของตนเองอย่างเงียบๆ

ป่าบริเวณนี้หนาทึบและดูวังเวงกว่าป่าด้านอื่นๆ ของตำหนักบุปผามาก นอกจากต้นไม้แต่ละต้นจะสูงใหญ่ระดับหลายคนโอบแล้ว ยังมีต้นเถาวัลย์เลื้อยระโยงระยางเต็มไปหมด

มีศิษย์กลุ่มหนึ่งราวๆ เจ็ดแปดคนเดินนำหน้านางเข้าไป เฉินเสวี่ยจึงเลือกที่จะเดินตามหลังพวกนางไปแบบห่างๆ หญิงสาวกลุ่มนี้มีตั้งแต่ระดับก่อปราณ 7 ดาวไปจนถึงนักยุทธ์ 4 ดาว พวกนางเดินเข้ามาในป่าได้สักพักก็จับคู่แยกย้ายกันไปคนละทาง เมื่อเฉินเสวี่ยเห็นดังนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลือกเดินตามสองคนที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับก่อปราณ 9 ดาวกับนักยุทธ์ 2 ดาวไป เดินตามมาได้ครู่หนึ่ง จู่ๆ หญิงสาวทั้งสองก็หายตัวไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เฉินเสวี่ยถลันพุ่งตัวไปยังจุดที่ทั้งสองหายตัวไปแล้วกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงงว่าพวกนางหายไปได้อย่างไร แต่แล้วในทันใดนั้นเอง กระบี่น้ำแข็งเย็นเยียบเล่มหนึ่งก็ถูกยื่นมาจ่อคอนางจากทางด้านหลัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+