เคล็ดมารสยบภพ 5 จิ้งจอกมายาบรรพกาล

Now you are reading เคล็ดมารสยบภพ Chapter 5 จิ้งจอกมายาบรรพกาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินเสวี่ยมองซ้ายมองขวาเพื่อดูสภาพรอบๆ เห็นว่าพื้นสระมีทั้งส่วนที่ตื้นเพียงแค่ระดับเข่าไล่ระดับไปจนถึงส่วนที่ลึกจนมิดศีรษะของเขา รอบๆ ขอบสระเป็นลานหินที่เรียบและกว้างชนิดที่ผู้ใหญ่ห้าคนลงไปนอนเกลือกกลิ้งพร้อมๆ กันก็ยังเหลือที่ว่างอีกมาก ริมผนังด้านในของห้องอาบน้ำนี้มีเบาะและฟูกกันน้ำและหมอนอิงสำหรับให้ผู้ที่แช่น้ำจนเหนื่อยแล้วไปนอนพักผ่อนได้อย่างสบาย

เขาพบว่ารอบๆ ขอบสระน้ำและผนังรอบห้องมีห่วงโลหะขนาดใหญ่ห้อยอยู่ทั่วไปราวกับของประดับ ตอนแรกเฉินเสวี่ยก็ไม่เข้าใจว่าพวกมันเอาไว้ทำอะไร จวบจนเมื่อเขานำร่างของจิ้งจอกมายาบรรพกาลที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ในแหวนมิติวงสีขาวออกมาวางลงบนพื้นข้างสระน้ำ และพบว่าที่คอและข้อมือข้อเท้าทั้งสี่ของนางมีปลอกโลหะลงอาคมสะกดพลังปราณพันธนาการเอาไว้ทุกส่วน และปลอกโลหะเหล่านั้นก็ล้วนเชื่อมติดกับสายโซ่ยาว ที่ตรงปลายของโซ่แต่ละเส้นมีห่วงกลไกสำหรับเอาไว้คล้องติดกับห่วงโลหะที่ผนังได้ เขาจึงได้เข้าใจที่มาที่ไปของห่วงประดับห้องเหล่านี้

อืม… จอมมารรุ่นก่อนน่าจะมีรสนิยมทางเพศไม่เหมือนคนปกติกระมัง…

แต่พอคิดไปคิดมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวบรวมปราณหนึ่งดาวแบบตนคงไม่มีปัญญาจะไปวิ่งไล่ตามจับสัตว์อสูรระดับสิบเช่นนางจิ้งจอกตนนี้ได้ทันหรอก ต่อให้นางถูกอาคมสะกดพลังปราณเอาไว้และมีความเกรงกลัวต่อเขาแต่ก็ไม่ได้แปลว่านางจะยอมนอนเฉยๆ ปล่อยให้เขารังแกได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ พวกจิ้งจอกน่ะวิ่งเร็วจะตาย ดังนั้นช่วงแรกๆ ที่เริ่มฝึกยุทธ์นี้ ตนก็คงจะต้องล่ามนางเอาไว้เพื่อป้องกันการขัดขืนจริงๆ เสียด้วย

เฉินเสวี่ยก้มลงมองร่างที่นอนหลับคุดคู้กอดเข่าเอาไว้ของนางจิ้งจอกบรรพกาล นอกจากเส้นผมสีน้ำตาลแดงนุ่มฟูที่ยาวปกคลุมไปครึ่งค่อนร่างของนางแล้ว เขาก็มองไม่ค่อยเห็นร่างกายส่วนอื่นๆ ของนางนัก รู้แค่ว่านางไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าใดๆ สักชิ้น

เคยได้ยินมาว่าสัตว์อสูรปกติจะมีอายุยื่นยาวกว่ามนุษย์หลายเท่า โดยเฉพาะสัตว์อสูรในยุคบรรพกาล บางสายพันธุ์อาจมีอายุยืนยาวได้ถึง 5000 ปีเลยทีเดียว โดยปกติสัตว์อสูรเหล่านี้จะมีสติปัญญาที่ด้อยกว่ามนุษย์มาก ความสามารถในการตระหนักรู้จึงค่อนข้างต่ำ พวกมันจำเป็นต้องใช้เวลาในการฝึกยุทธ์ที่ยาวนานกว่ามนุษย์ประมาณสามถึงสี่เท่ากว่าที่จะบรรลุได้ในแต่ละขีดขั้น แต่ธรรมชาติก็ชดเชยให้พวกมันมีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่ามนุษย์หลายเท่าเช่นกัน และเมื่อสัตว์อสูรบรรลุถึงระดับสิบ พวกมันก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้และเริ่มมีสติปัญญาที่สูงขึ้นจนใกล้เคียงกับมนุษย์ทั่วไป หากฝึกฝนจนสามารถบรรลุขั้นที่สูงๆ กว่าระดับสิบ ขึ้นไปได้ สติปัญญาของพวกมันก็จะฉลาดเฉลียวมากยิ่งขึ้นไปอีก

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเสวี่ยได้เห็นสัตว์อสูรที่กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว สัตว์อสูรที่อยู่ในโลกปัจจุบันนี้มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่มีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวเกิน 1000 ปี ดังนั้นพวกมันจึงมักจะสิ้นอายุขัยตายไปซะก่อนที่จะสามารถบรรลุถึงระดับสิบ และสัตว์อสูรจิ้งจอกมายาบรรพกาลนั้นก็ได้สูญพันธุ์ไปเกือบหมื่นปีแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าตนจะได้มาเห็นตัวจริงของมันกับตาเช่นนี้

แม้ว่าจิ้งจอกตนนี้น่าจะมีอายุหลายพันปีแล้ว แต่รูปร่างมนุษย์ของจิ้งจอกตัวนี้แลดูเหมือนเด็กสาวชาวมนุษย์ที่มีอายุประมาณ 15 ปีเท่านั้น นางมีขนาดตัวที่เล็กกว่ามนุษย์โดยเฉลี่ยเล็กน้อย หูของนางยังคงเป็นหูจิ้งจอกสีน้ำตาลแดงที่มีขนสีขาวแต้มอยู่ตรงปลายหูทั้งสองข้าง และมีหางฟูๆ สีน้ำตาลแดงหางหนึ่งงอกยาวออกมาจากบริเวณก้นกบ ส่วนผิวหนังบริเวณอื่นๆ ของร่างกายก็เหมือนผิวหนังของมนุษย์ทุกประการ ผิวของนางไม่ได้ขาวจัดราวหิมะแบบผิวกายของเฉินเสวี่ย ดูออกจะเป็นสีขาวอมเหลืองเสียมากกว่า แต่ก็เรียบเนียนใสกระจ่างสะอาดตา

เนื่องจากนางนอนขดตัวจนแทบจะเป็นวงกลม เฉินเสวี่ยจึงไม่อาจเห็นรูปร่างส่วนอื่นๆ ของนางได้ชัดเจนนัก เขาจัดการโยงล่ามข้อมือข้อทั้งสองของนางเอาไว้กับห่วงเหล็กที่อยู่บนเพดานห้อง ร่างอันหลับใหลไม่ได้สติของนางจึงถูกแขวนห้อยอยู่บนอากาศโดยเท้าไม่แตะพื้น เมื่อแขนทั้งสองข้างของนางชูขึ้นเหนือศีรษะเช่นนี้เนื้อตัวเปล่าเปลือยทั้งหมดก็เปิดเผยสู่สายตาของเฉินเสวี่ย

เฉินเสวี่ยเป็นเด็กชายที่ตัวสูงกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน พอมายืนเทียบกับนางจิ้งจอกน้อยที่ถูกแขวนอยู่นางนี้ เขากับนางจึงมีความสูงมากกว่านางเล็กน้อย เขารู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเต้นกระหน่ำ รูปร่างของนางแม้จะยังเติบโตไม่เต็มสาวแต่ส่วนที่ควรนูนก็นูนแล้ว ส่วนที่ควรเว้าก็เว้าแล้ว ร่างน้อยนี้ทั้งสวยงามและนุ่มนิ่มน่ารักไปทั้งเนื้อทั้งตัว เฉินเสวี่ยกลืนน้ำลาย ลำคอแห้งผากอย่างช่วยไม่ได้ นางดูเหมือนเด็กสาวชาวมนุษย์ที่มีใบหน้าสวยงามน่ารักมากคนหนึ่ง ดวงตาที่กำลังหลับพริ้มมีแพขนตายาวงอน คิ้วโก่งเรียว จมูกเล็กแต่โด่งปลายจมูกกลมมน และมีริมฝีปากรูปกระจับเล็กๆ ที่แดงสดราวกับผลอิงเถา รูปร่างของนางค่อนข้างผอมบางแต่ไม่ขาดส่วนโค้งส่วนเว้ายั่วยวนกามารมณ์สมกับที่เป็นนางจิ้งจอก หน้าอกทั้งสองข้างแม้จะดูเหมือนว่ายังเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ดีนัก แต่ก็มีขนาดใหญ่พอดีกับฝ่ามือของเขาแล้ว นางมีช่วงขาที่เรียวยาวและมีฝ่าเท้าเล็กๆ น่ารัก

เขาเอื้อมสองมือไปลองลูบไล้สัมผัสผิวเนื้อเนียนนุ่มของนาง หน้าอกเล็กๆ ทั้งสองข้างของนางนุ่มหยุ่นดีดเด้ง เขากอบกุมพวกมันแล้วบีบคลึงจนปลายยอดสีชมพูชูชันแข็งเป็นตุ่มไต ลมหายใจที่สม่ำเสมอของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นถี่กระชั้นขึ้นเพราะการเล้าโลมของเขา ดวงตากลมโตของนางกะพริบเล็กน้อยแล้วปรือขึ้น แววตามีความง่วงงุนหกส่วนผสมความงุนงงสามส่วนและความรัญจวนอีกหนึ่งส่วน

“ตื่นแล้วหรือ” เฉินเสวี่ยถามยิ้มๆ ตื่นแล้วก็ดี เขาอยากเห็นปฏิกิริยาของนางยามถูกเขารังแกว่าจะน่ารักสักขนาดไหน

นางกะพริบตาปริบๆ และจ้องสบตากับเฉินเสวี่ย หลังจากถูกแช่แข็งในห้วงกาลเวลาที่หยุดนิ่งมานานนับพันๆ ปี หัวสมองของนางยังคงมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง

เฉินเสวี่ยจับต้นคอของนางเอาไว้แล้วก้มลงไปประกบจูบอย่างดูดดื่ม ลิ้นร้อนๆ แทรกตัวเข้าสู่โพรงปากเล็กๆ ของนางแล้วควานหาความหวานภายในอย่างหิวกระหาย อีกมือยังคงคลึงเคล้นหน้าอกอวบหยุ่นของนางเบาๆ จิ้งจอกน้อยส่งเสียงครางอู้อี้หอบหายใจกระเส่า

เฉินเสวี่ยจูบจนร่างน้อยในอ้อมแขนอ่อนระทวยแล้วจึงผละออกมา เขายังไม่เคยได้ใกล้ชิดกับร่างกายสตรีจริงๆ เลยสักครั้ง จะเคยก็แต่แอบอ่านตำราชุนกงที่อธิบายเกี่ยวกับการร่วมเพศ จึงมีความสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมากว่าของจริงจะเหมือนที่บรรยายเอาไว้ในหนังสือหรือไม่ เขาอยากจะเห็นส่วนนั้นของสตรีใกล้ๆ มานานแล้ว ครานี้ได้รับจิ้งจอกมายาตนนี้เป็นของขวัญจากจอมมารรุ่นก่อนจึงรู้สึกถูกใจยิ่งนัก เด็กหนุ่มย่อตัวลงนั่งคุกเข่าและก้มหน้าลงไปสำรวจส่วนลี้ลับที่ซ่อนเร้นอยู่ตรงกลางระหว่างท่อนขาเพรียวงามของนาง จับขาของนางให้แยกออกและใช้นิ้วแหวกสำรวจกลีบเนื้อสีชมพูสด ดูเหมือนว่านางจะยังเติบโตไม่เต็มที่จริงๆ นั่นแหละเพราะบริเวณนี้ยังเกลี้ยงเกลาสะอาดตาไม่มีขนขึ้นปกคลุมอย่างที่ผู้ใหญ่ควรจะมี นิ้วมือสากระคายของเขาลูบไล้และบิดดึงตุ่มยอดเกสรของนาง พร้อมกับใช้นิ้วมืออีกข้างล้วงเข้าไปสำรวจภายในโพรงเนื้อที่หลบซ่อนอยู่ตรงใจกลาง

“อ๊ะ อ๊าง!” เสียงหลุดเสียงหวีดแหลมเล็กออกมาด้วยความสยิว ร่างน้อยๆ แอ่นหยัดและบิดเร่าตามจังหวะการชักนิ้วเข้าออกของเขา เขาก้มหน้าลงไปใช้ปากลิ้มลองรสชาติของนาง ดูดกลืนน้ำหวานที่พรั่งพรูออกมาจากช่องโพรงอันคับแน่น ขบเม้มและดูดดึงตุ่มเกสรของนางแรงๆ ติดต่อกันหลายครั้งจนสุดท้ายนางก็ผวาเฮือก และหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม ร่างเล็กทิ้งตัวลงอย่างอ่อนแรง ลมหายใจหอบกระชั้น ดวงตาหลับพริ้มลง

เฉินเสวี่ยถอดเสื้อผ้าของตนออกอย่างรีบร้อน เขาเดินเข้าไปยืนซ้อนหลังนาง ใช้แขนช้อนขาข้างหนึ่งของนางให้ยกสูงขึ้นแล้วจับท่อนเอ็นที่ผงาดง้ำของตนถูไถไปตรงร่องกลางของกลีบเนื้อสีชมพู เมื่อเห็นนางกระถดตัวหนีอย่างหวาดหวั่นเฉินเสวี่ยก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ใช้มืออ้อมไปกุมเนินเนื้อสามเหลี่ยมของนางไม่ให้ขยับหนีแล้วค่อยๆ ดุนดันท่อนเอ็นขยายใหญ่ยิ่งกว่าท่อนแขนของตนเข้าสู่ช่องโพรงที่ฉ่ำเยิ้มของนางอย่างช้าๆ

จิ้งจอกมายาบรรพกาลกรีดร้องเสียงแหลม ดวงตาเบิกโพลงจนแทบถลน ร่างบางแอ่นหยัดสุดตัวเพราะความใหญ่โตคับแน่นที่ทิ่มแทงเข้ามา

“อึก!” นางครางด้วยความจุก เมื่อเฉินเสวี่ยทะยานเข้าไปจนสุด กำปั้นน้อยๆ ทุบท่อนแขนของเด็กหนุ่มที่โอบรอบเอวบางของนาง แต่เมื่อพลังปราณของนางถูกสะกดเอาไว้ พละกำลังของนางจึงแทบจะไม่ต่างจากเด็กสาวมนุษย์ธรรมดา ไม่อาจต่อต้านขัดขืนใดๆ ได้เลยสักนิด

เฉินเสวี่ยเองก็เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ไม่คิดเลยว่าการร่วมรักกับหญิงสาวจะทำให้รู้สึกสุขสมแตกต่างจากยามที่ช่วยตนเองมากมายขนาดนี้ เขาค่อยๆ ขยับโยกกายเข้าออกช้าๆ ยิ่งเห็นสีหน้าเจ็บปวดจนน้ำตาคลอของจิ้งจอกน้อยตรงหน้า อารมณ์ก็ยิ่งพลุ่งพล่านอยากจะรังแกนางให้หนักขึ้นไปอีก เขาใช้นิ้วคีบยอดอกทั้งสองข้างของนางแล้วดึงพวกมันอย่างแรงพร้อมกับอัดกระแทกร่างเข้าใส่นางรัวๆ ยิ่งเห็นจิ้งจอกน้อยหวีดร้องครวญครางสะอึกสะอื้นเขาก็ยิ่งใส่แรงเพิ่มเข้าไปจนนางหัวสั่นหัวคลอน

เสียงเนื้อกระแทกเนื้อดังเป็นจังหวะพับๆ ๆ ประสานกับเสียงครวญครางหวานหู และเสียงคำรามอย่างหนักหน่วงเมามันของเฉินเสวี่ยดังก้องไปทั่วทั้งห้องอาบน้ำ ยิ่งยาวนานเท่าไหร่ก็เหมือนว่าการโรมรันระหว่างเด็กหนุ่มกับนางจิ้งจอกตัวน้อยจะยิ่งบ้าคลั่งรุนแรง ดวงตาของเฉินเสวี่ยดำมืด และทอประกายคลุ้มคลั่งอำมหิตโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นหนึ่งในผลที่สืบเนื่องมาจากการรับสืบทอดสายโลหิตมาร

จิ้งจอกมายาหวาดกลัวหวาดกลัวจนตัวสั่น นางทั้งสะอื้นไห้และหวีดร้องจนเสียงแหบ ความรู้สึกหวาดกลัวผสมปนเปไปกับความเจ็บปวดและความเสียวซ่านแปลกๆ ที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน อารมณ์ทะยานสูงขึ้นๆ จนในที่สุดก็ระเบิดโพลง ร่างน้อยสะดุ้งสุดตัวแล้วกระตุกถี่ๆ

เฉินเสวี่ยเห็นดังนั้นก็เหยียดยิ้มแล้วเร่งจังหวะต่อโดยไม่ให้เวลานางได้พักหายใจ เขาไม่รู้ว่าคนปกติจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยาวนานขนาดไหน แต่เมื่อก่อนตอนที่เขาเคยช่วยตัวเอง เขาก็เคยไม่เคยใช้เวลายาวนานขนาดนี้ นี่อาจจะเป็นผลมาจากการที่อวัยวะส่วนนั้นของเขาถูกควักออกไปและงอกคืนกลับมาใหม่ มันจึงทั้งใหญ่โตและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมมากกระมัง

เฉินเสวี่ยเร่งจังหวะหนักหน่วงและรัวแรงแบบต่อเนื่องยาวนานจนจิ้งจอกน้อยเสร็จสมไปแล้วถึงสามครั้งกว่าที่เขาจะยอมปลดปล่อยน้ำเชื้อเข้าสู่ร่างของนางและฟุบหน้าลงซบกับต้นคอของนางอย่างหมดแรง

หลังจากที่เขาฟุบคาร่างของตนอยู่ในช่องโพรงที่ตอดตุบๆ ของนางโดยไม่ยอมขยับออกมาอยู่เกือบครู่ใหญ่ จิ้งจอกน้อยก็เป็นฝ่ายดิ้นขยุกขยิกพยายามจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเขา เฉินเสวี่ยใช้มือจับปลายคางของนางให้หันหน้ากลับมารองรับการจูบอย่างเอาแต่ใจของตน เขาใช้มือขย้ำบีบหน้าอกนุ่มนิ่มของนางแรงๆ อีกหลายครั้งอย่างมันเขี้ยวขณะที่ถอนร่างออกมาจากช่องโพรงที่ยังคงตอดตุบๆ เมื่อเด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองบริเวณต้นขาของนาง เขาก็เห็นคราบเลือดผสมกับคราบน้ำรักสีขาวขุ่นไหลหยดเป็นทางไปตามเรียวขานวล แลดูน่าสงสารอย่างยิ่ง นี่คงจะเป็นครั้งแรกของนางเช่นกันสินะถึงได้มีเลือดออกมากมายขนาดนี้ ในหนังสือบอกว่าครั้งแรกของสตรีจะเจ็บมาก แต่ไม่คิดว่าเลือดจะออกมากมายขนาดนี้

จิ้งจอกสาวก้มหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาหยดอาบสองแก้มด้วยความหวาดกลัวปนคับแค้นใจ เฉินเสวี่ยเห็นดังนั้นก็เชยใบหน้าน่ารักขึ้นมาจูบอย่างอ่อนโยน แลบลิ้นอุ่นร้อนของตนซับเลียน้ำตาบนใบหน้านางจนหมด แล้วกระซิบที่ข้างหูนางเบาๆ

“เจ้าเป็นสมบัติของข้า ดังนั้นข้าจะไม่ขอโทษเจ้าหรอกนะ อีกทั้งจากนี้ไปข้ายังจะรังแกเจ้าอีกเรื่อยๆ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เถิดจิ้งจอกน้อยของข้า” เขาขบกัดใบหูจิ้งจอกของนางเบาๆ

“ทะ ท่านเป็นใคร” นางถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น รู้สึกหวาดกลัวเฉินเสวี่ยไปถึงแก่นวิญญาณ

“เรียกข้าว่า นายท่าน ก็พอ” เฉินเสวี่ยแสยะยิ้ม หันไปคว้าผ้ามาชุบน้ำในสระแล้วเช็ดทำความสะอาดคราบเลือดตรงต้นขาให้นางอย่างเบามือ

เมื่อเห็นนางหน้าแดงด้วยความเขินอายเขาก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปไล้ลิ้นและขบกัดตุ่มไตตรงยอกเกสรดอกไม้ของนางอีกครั้ง ร่างบางสั่นระริกอย่างรุนแรง ใบหน้าน้อยๆ ของนางแดงก่ำราวกับสีเลือด

“อื๊อ” จิ้งจอกน้อยเจ็บจนร้องออกมาเมื่อเด็กหนุ่มขบกัดนางอย่างแรง

เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มร้าย เขาใช้มือแหวกกลีบเนื้อทั้งสองให้แยกออกแล้วเอานิ้วที่พันด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ แยงเข้าไปทำความสะอาดด้านในช่องโพรงที่ฉีกขาดและมีรอยช้ำโดยไม่สนใจว่าจิ้งจอกน้อยจะครวญครางอย่างน่าสงสารขนาดไหน

เมื่อเช็ดทำความสะอาดร่างเล็กๆ ของจิ้งจอกมายาบรรพกาลจนเกลี้ยงเกลาดีแล้ว เฉินเสวี่ยก็จัดการเก็บร่างของนางเข้าไปในแหวนมิติดังเดิม ถึงแม้ว่าเขาจะติดใจในรสรักของนางจนอยากจะรังแกนางซ้ำๆ ทั้งวันทั้งคืน แต่เขาไม่อาจลืมเป้าหมายใหญ่ในชีวิตซึ่งก็คือการล้างแค้นของตนไปได้ เขาก็ไม่มีเวลาจะมาลุ่มหลงมัวเมาไปกับเรื่องบันเทิงใจเช่นนี้นานนัก ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรีบยกระดับพลังฝีมือให้แข็งแกร่งขึ้นเสียก่อน

คิดได้ดังนั้น เฉินเสวี่ยก็รีบก้าวลงไปนั่งแช่อยู่ในสระน้ำและหลับตาตั้งสมาธิเริ่มฝึกวิชาตามเคล็ดจันทราวีโดยไม่รอช้า เขาวาดมือทั้งสองข้างออกเป็นท่วงท่าอันแปลกพิสดารพร้อมกับท่องคำบริกรรมในภาษาประหลาดตามเคล็ดวิชาจันทราพิสุทธิ์ที่อยู่ในหัว

ฉับพลันเขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณธาตุน้ำอันเชี่ยวกรากที่ไหลเข้าสู่เส้นลมปราณทั่วร่างของตนและไหลไปรวมตัวกันที่จุดตันเถียน ความหนาแน่นและเชี่ยวกรากของพลังปราณที่ไหลเข้าสู่ร่างราวกับคลื่นยักษ์ในทะเลนี้ เกือบจะทำให้เฉินเสวี่ยเสียสมาธิเพราะความแตกตื่นตกใจ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเคล็ดวิชานี้จะช่วยให้ดูดซับพลังปราณได้มากและเร็วจนเหลือเชื่อขนาดนี้

เพียงแค่เจ็ดวันเส้นลมปราณทั่วร่างและจุดตันเถียนของตนก็อัดแน่นไปด้วยไอปราณจนแทบระเบิด ทำให้จำต้องรีบหยุดทำการดูดซับพลังปราณโดยด่วน ตอนนี้เขาจำเป็นต้องทำการบีบอัดไอปราณทั่วร่างให้ไปรวมกันที่จุดตันเถียนเสียก่อน หากทำได้สำเร็จก็จะบรรลุระดับรวบรวมปราณ 1 ดาวแล้ว

หากผู้อื่นทราบว่าตนใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็พร้อมจะยกระดับขั้นขึ้น 1 ดาวได้เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะแตกตื่นสะทกสะท้านและอิจฉาจนแทบคลั่งกันสักเพียงใด ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปกว่าจะยกระดับฝีมือได้แต่ละดาวปกติต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 2-3 ปี ก่อนหน้าที่เฉินเสวี่ยจะถูกทำลายวรยุทธ์ เขาผู้ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเด็กอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงส่งคนหนึ่งของทวีปยังต้องใช้เวลานาน 4-5 เดือนเต็มๆ จึงจะยกระดับขึ้นได้แต่ละดาวเช่นนี้ แต่ตอนนี้ตนใช้เวลาเพียง 7 วันก็จวนจะยกระดับขึ้นดาวหนึ่งได้แล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นยินดีจนถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความสาสมใจ เสียงหัวเราะนั้นดังกึกก้องไปทั่วตำหนักมารที่เคยเงียบสงัด จนฝูงนกที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันตกใจกระพือปีกบินขึ้นฟ้า

เฉินเสวี่ยหัวเราะราวกับคนวิกลจริต ประเดี๋ยวหัวเราะอย่างบ้าคลั่งประเดี๋ยวฉีกยิ้มชั่วร้าย เคล็ดวิชาจันทราวารีนี่ช่างให้ดอกผลน่าแตกตื่นสมกับที่ถูกจัดให้เป็นทักษะยุทธ์ชั้นจักรวาลจริงๆ หากฝึกต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วระดับนี้ คาดว่าใช้เวลาประมาณสามปี ตนก็คงจะบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ห้าหรือหกดาวได้อย่างแน่นอน

ศัตรูทั้งหลาย บิดาจะให้เวลาพวกเจ้าได้ย่ามใจอีกเพียงสามปีเท่านั้น

พลังปราณที่อัดแน่นอยู่ในร่างของเฉินเสวี่ยเปรียบประดุจไอน้ำที่กำลังพลุ่งพล่านใกล้จะระเบิดเต็มทน เขาจึงต้องรีบสงบใจหลับตาใช้สมาธิควบคุมและบีบอัดพวกมันเอาไว้ เนื่องจากพวกมันทั้งเชี่ยวกรากและไหลเวียนไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง เขาจึงจำเป็นต้องใช้เวลานานถึงห้าวันเต็มๆ ในการค่อยๆ ตะล่อมและบีบอัดไอปราณในร่างทีละเล็กละน้อยจนพวกมันยอมไหลเวียนไปรวมตัวเป็นหยดของเหลวใสกระจ่างหยดแล้วหยดเล่าอยู่ในจุดตันเถียนของเขา

ในช่วงแรกเริ่มของการฝึกยุทธ์ซึ่งเรียกว่าขั้นรวบรวมปราณนั้น ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องดูดซับไอพลังปราณในธรรมชาติที่บางเบาคล้ายไอหมอกเข้าสู่เส้นลมปราณของตน และนำมันไปกลั่นตัวควบแน่นให้กลายเป็นของเหลวอยู่ในจุดตันเถียนตรงกลางร่าง จวบจนบีบอัดครบเก้ารอบจุดตันเถียนก็จะมีปราณเหลวเหล่านี้บรรจุอยู่จนเต็ม จากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถบีบอัดให้พวกมันกลายเป็นปราณที่มีลักษณะคล้ายหยดน้ำข้นหนืด ซึ่งเป็นสถานะกึ่งของเหลวกึ่งของแข็ง เมื่อทำได้ก็จะเรียกได้ว่าเข้าสู่ระดับก่อปราณ ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนจะต้องทำการรวบรวมไอปราณและบีบอัดพวกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จวบจนรวบรวมปราณเหลวข้นหนืดเหล่านี้จนเต็มจุดตันเถียนได้เมื่อใด ก็จะสามารถบีบอัดให้พวกมันกลายเป็นของแข็งในลักษณะเม็ดมุกกลมเกลี้ยงได้ และนั่นคือได้ชื่อว่าก้าวขึ้นสู่ระดับนักยุทธ์แล้ว ผู้ที่มีเม็ดมุกพลังปราณเหล่านี้จะเริ่มดึงพลังปราณที่เก็บกักอยู่ในเม็ดมุกพลังปราณออกมาใช้เป็นท่าร่างในการป้องกันตนหรือทำลายล้างคู่ต่อสู้ได้ หากฝึกต่อไปอีกเรื่อยๆ จนทำให้เม็ดมุกมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ ก็จะยิ่งมีปริมาณพลังปราณที่สามารถนำไปใช้ได้มากยิ่งขึ้น แต่การจะเพิ่มขนาดของเม็ดมุกพลังปราณนั้นมิใช่เรื่องง่าย เพราะยิ่งระดับสูงเท่าไหร่การจะก้าวข้ามได้แต่ละขั้นก็ยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้นเรื่อยๆ ลองนึกดูว่ากว่าจะรวบรวมไอปราณเข้าร่างและบีบอัดจนกลายมาเป็นของเหลว และเปลี่ยนมาเป็นของกึ่งเหลวกึ่งแข็ง แล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นของแข็งได้แต่ละรอบจำเป็นต้องใช้เวลายาวนานอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อปราณในร่างกลายมาเป็นของแข็งได้แล้วก็ยิ่งต้องใช้เวลาอีกหลายเท่าตัวในการเพิ่มให้มันมีขนาดใหญ่ขึ้นทีละเล็กละน้อย ต่อเมื่อมันมีขนาดใหญ่กว่าเดิมสิบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ก็จะสามารถบีบอัดให้มันมีขนาดที่เล็กลงซึ่งจะทำให้มันมีความหนาแน่นมากยิ่งขึ้นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกสองเท่าตัว เรียกว่าก้าวขึ้นสู่ระดับขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ 1 ดาว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เคล็ดมารสยบภพ 5 จิ้งจอกมายาบรรพกาล

Now you are reading เคล็ดมารสยบภพ Chapter 5 จิ้งจอกมายาบรรพกาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินเสวี่ยมองซ้ายมองขวาเพื่อดูสภาพรอบๆ เห็นว่าพื้นสระมีทั้งส่วนที่ตื้นเพียงแค่ระดับเข่าไล่ระดับไปจนถึงส่วนที่ลึกจนมิดศีรษะของเขา รอบๆ ขอบสระเป็นลานหินที่เรียบและกว้างชนิดที่ผู้ใหญ่ห้าคนลงไปนอนเกลือกกลิ้งพร้อมๆ กันก็ยังเหลือที่ว่างอีกมาก ริมผนังด้านในของห้องอาบน้ำนี้มีเบาะและฟูกกันน้ำและหมอนอิงสำหรับให้ผู้ที่แช่น้ำจนเหนื่อยแล้วไปนอนพักผ่อนได้อย่างสบาย

เขาพบว่ารอบๆ ขอบสระน้ำและผนังรอบห้องมีห่วงโลหะขนาดใหญ่ห้อยอยู่ทั่วไปราวกับของประดับ ตอนแรกเฉินเสวี่ยก็ไม่เข้าใจว่าพวกมันเอาไว้ทำอะไร จวบจนเมื่อเขานำร่างของจิ้งจอกมายาบรรพกาลที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ในแหวนมิติวงสีขาวออกมาวางลงบนพื้นข้างสระน้ำ และพบว่าที่คอและข้อมือข้อเท้าทั้งสี่ของนางมีปลอกโลหะลงอาคมสะกดพลังปราณพันธนาการเอาไว้ทุกส่วน และปลอกโลหะเหล่านั้นก็ล้วนเชื่อมติดกับสายโซ่ยาว ที่ตรงปลายของโซ่แต่ละเส้นมีห่วงกลไกสำหรับเอาไว้คล้องติดกับห่วงโลหะที่ผนังได้ เขาจึงได้เข้าใจที่มาที่ไปของห่วงประดับห้องเหล่านี้

อืม… จอมมารรุ่นก่อนน่าจะมีรสนิยมทางเพศไม่เหมือนคนปกติกระมัง…

แต่พอคิดไปคิดมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวบรวมปราณหนึ่งดาวแบบตนคงไม่มีปัญญาจะไปวิ่งไล่ตามจับสัตว์อสูรระดับสิบเช่นนางจิ้งจอกตนนี้ได้ทันหรอก ต่อให้นางถูกอาคมสะกดพลังปราณเอาไว้และมีความเกรงกลัวต่อเขาแต่ก็ไม่ได้แปลว่านางจะยอมนอนเฉยๆ ปล่อยให้เขารังแกได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ พวกจิ้งจอกน่ะวิ่งเร็วจะตาย ดังนั้นช่วงแรกๆ ที่เริ่มฝึกยุทธ์นี้ ตนก็คงจะต้องล่ามนางเอาไว้เพื่อป้องกันการขัดขืนจริงๆ เสียด้วย

เฉินเสวี่ยก้มลงมองร่างที่นอนหลับคุดคู้กอดเข่าเอาไว้ของนางจิ้งจอกบรรพกาล นอกจากเส้นผมสีน้ำตาลแดงนุ่มฟูที่ยาวปกคลุมไปครึ่งค่อนร่างของนางแล้ว เขาก็มองไม่ค่อยเห็นร่างกายส่วนอื่นๆ ของนางนัก รู้แค่ว่านางไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าใดๆ สักชิ้น

เคยได้ยินมาว่าสัตว์อสูรปกติจะมีอายุยื่นยาวกว่ามนุษย์หลายเท่า โดยเฉพาะสัตว์อสูรในยุคบรรพกาล บางสายพันธุ์อาจมีอายุยืนยาวได้ถึง 5000 ปีเลยทีเดียว โดยปกติสัตว์อสูรเหล่านี้จะมีสติปัญญาที่ด้อยกว่ามนุษย์มาก ความสามารถในการตระหนักรู้จึงค่อนข้างต่ำ พวกมันจำเป็นต้องใช้เวลาในการฝึกยุทธ์ที่ยาวนานกว่ามนุษย์ประมาณสามถึงสี่เท่ากว่าที่จะบรรลุได้ในแต่ละขีดขั้น แต่ธรรมชาติก็ชดเชยให้พวกมันมีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่ามนุษย์หลายเท่าเช่นกัน และเมื่อสัตว์อสูรบรรลุถึงระดับสิบ พวกมันก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้และเริ่มมีสติปัญญาที่สูงขึ้นจนใกล้เคียงกับมนุษย์ทั่วไป หากฝึกฝนจนสามารถบรรลุขั้นที่สูงๆ กว่าระดับสิบ ขึ้นไปได้ สติปัญญาของพวกมันก็จะฉลาดเฉลียวมากยิ่งขึ้นไปอีก

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเสวี่ยได้เห็นสัตว์อสูรที่กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว สัตว์อสูรที่อยู่ในโลกปัจจุบันนี้มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่มีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวเกิน 1000 ปี ดังนั้นพวกมันจึงมักจะสิ้นอายุขัยตายไปซะก่อนที่จะสามารถบรรลุถึงระดับสิบ และสัตว์อสูรจิ้งจอกมายาบรรพกาลนั้นก็ได้สูญพันธุ์ไปเกือบหมื่นปีแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าตนจะได้มาเห็นตัวจริงของมันกับตาเช่นนี้

แม้ว่าจิ้งจอกตนนี้น่าจะมีอายุหลายพันปีแล้ว แต่รูปร่างมนุษย์ของจิ้งจอกตัวนี้แลดูเหมือนเด็กสาวชาวมนุษย์ที่มีอายุประมาณ 15 ปีเท่านั้น นางมีขนาดตัวที่เล็กกว่ามนุษย์โดยเฉลี่ยเล็กน้อย หูของนางยังคงเป็นหูจิ้งจอกสีน้ำตาลแดงที่มีขนสีขาวแต้มอยู่ตรงปลายหูทั้งสองข้าง และมีหางฟูๆ สีน้ำตาลแดงหางหนึ่งงอกยาวออกมาจากบริเวณก้นกบ ส่วนผิวหนังบริเวณอื่นๆ ของร่างกายก็เหมือนผิวหนังของมนุษย์ทุกประการ ผิวของนางไม่ได้ขาวจัดราวหิมะแบบผิวกายของเฉินเสวี่ย ดูออกจะเป็นสีขาวอมเหลืองเสียมากกว่า แต่ก็เรียบเนียนใสกระจ่างสะอาดตา

เนื่องจากนางนอนขดตัวจนแทบจะเป็นวงกลม เฉินเสวี่ยจึงไม่อาจเห็นรูปร่างส่วนอื่นๆ ของนางได้ชัดเจนนัก เขาจัดการโยงล่ามข้อมือข้อทั้งสองของนางเอาไว้กับห่วงเหล็กที่อยู่บนเพดานห้อง ร่างอันหลับใหลไม่ได้สติของนางจึงถูกแขวนห้อยอยู่บนอากาศโดยเท้าไม่แตะพื้น เมื่อแขนทั้งสองข้างของนางชูขึ้นเหนือศีรษะเช่นนี้เนื้อตัวเปล่าเปลือยทั้งหมดก็เปิดเผยสู่สายตาของเฉินเสวี่ย

เฉินเสวี่ยเป็นเด็กชายที่ตัวสูงกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน พอมายืนเทียบกับนางจิ้งจอกน้อยที่ถูกแขวนอยู่นางนี้ เขากับนางจึงมีความสูงมากกว่านางเล็กน้อย เขารู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเต้นกระหน่ำ รูปร่างของนางแม้จะยังเติบโตไม่เต็มสาวแต่ส่วนที่ควรนูนก็นูนแล้ว ส่วนที่ควรเว้าก็เว้าแล้ว ร่างน้อยนี้ทั้งสวยงามและนุ่มนิ่มน่ารักไปทั้งเนื้อทั้งตัว เฉินเสวี่ยกลืนน้ำลาย ลำคอแห้งผากอย่างช่วยไม่ได้ นางดูเหมือนเด็กสาวชาวมนุษย์ที่มีใบหน้าสวยงามน่ารักมากคนหนึ่ง ดวงตาที่กำลังหลับพริ้มมีแพขนตายาวงอน คิ้วโก่งเรียว จมูกเล็กแต่โด่งปลายจมูกกลมมน และมีริมฝีปากรูปกระจับเล็กๆ ที่แดงสดราวกับผลอิงเถา รูปร่างของนางค่อนข้างผอมบางแต่ไม่ขาดส่วนโค้งส่วนเว้ายั่วยวนกามารมณ์สมกับที่เป็นนางจิ้งจอก หน้าอกทั้งสองข้างแม้จะดูเหมือนว่ายังเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ดีนัก แต่ก็มีขนาดใหญ่พอดีกับฝ่ามือของเขาแล้ว นางมีช่วงขาที่เรียวยาวและมีฝ่าเท้าเล็กๆ น่ารัก

เขาเอื้อมสองมือไปลองลูบไล้สัมผัสผิวเนื้อเนียนนุ่มของนาง หน้าอกเล็กๆ ทั้งสองข้างของนางนุ่มหยุ่นดีดเด้ง เขากอบกุมพวกมันแล้วบีบคลึงจนปลายยอดสีชมพูชูชันแข็งเป็นตุ่มไต ลมหายใจที่สม่ำเสมอของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นถี่กระชั้นขึ้นเพราะการเล้าโลมของเขา ดวงตากลมโตของนางกะพริบเล็กน้อยแล้วปรือขึ้น แววตามีความง่วงงุนหกส่วนผสมความงุนงงสามส่วนและความรัญจวนอีกหนึ่งส่วน

“ตื่นแล้วหรือ” เฉินเสวี่ยถามยิ้มๆ ตื่นแล้วก็ดี เขาอยากเห็นปฏิกิริยาของนางยามถูกเขารังแกว่าจะน่ารักสักขนาดไหน

นางกะพริบตาปริบๆ และจ้องสบตากับเฉินเสวี่ย หลังจากถูกแช่แข็งในห้วงกาลเวลาที่หยุดนิ่งมานานนับพันๆ ปี หัวสมองของนางยังคงมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง

เฉินเสวี่ยจับต้นคอของนางเอาไว้แล้วก้มลงไปประกบจูบอย่างดูดดื่ม ลิ้นร้อนๆ แทรกตัวเข้าสู่โพรงปากเล็กๆ ของนางแล้วควานหาความหวานภายในอย่างหิวกระหาย อีกมือยังคงคลึงเคล้นหน้าอกอวบหยุ่นของนางเบาๆ จิ้งจอกน้อยส่งเสียงครางอู้อี้หอบหายใจกระเส่า

เฉินเสวี่ยจูบจนร่างน้อยในอ้อมแขนอ่อนระทวยแล้วจึงผละออกมา เขายังไม่เคยได้ใกล้ชิดกับร่างกายสตรีจริงๆ เลยสักครั้ง จะเคยก็แต่แอบอ่านตำราชุนกงที่อธิบายเกี่ยวกับการร่วมเพศ จึงมีความสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมากว่าของจริงจะเหมือนที่บรรยายเอาไว้ในหนังสือหรือไม่ เขาอยากจะเห็นส่วนนั้นของสตรีใกล้ๆ มานานแล้ว ครานี้ได้รับจิ้งจอกมายาตนนี้เป็นของขวัญจากจอมมารรุ่นก่อนจึงรู้สึกถูกใจยิ่งนัก เด็กหนุ่มย่อตัวลงนั่งคุกเข่าและก้มหน้าลงไปสำรวจส่วนลี้ลับที่ซ่อนเร้นอยู่ตรงกลางระหว่างท่อนขาเพรียวงามของนาง จับขาของนางให้แยกออกและใช้นิ้วแหวกสำรวจกลีบเนื้อสีชมพูสด ดูเหมือนว่านางจะยังเติบโตไม่เต็มที่จริงๆ นั่นแหละเพราะบริเวณนี้ยังเกลี้ยงเกลาสะอาดตาไม่มีขนขึ้นปกคลุมอย่างที่ผู้ใหญ่ควรจะมี นิ้วมือสากระคายของเขาลูบไล้และบิดดึงตุ่มยอดเกสรของนาง พร้อมกับใช้นิ้วมืออีกข้างล้วงเข้าไปสำรวจภายในโพรงเนื้อที่หลบซ่อนอยู่ตรงใจกลาง

“อ๊ะ อ๊าง!” เสียงหลุดเสียงหวีดแหลมเล็กออกมาด้วยความสยิว ร่างน้อยๆ แอ่นหยัดและบิดเร่าตามจังหวะการชักนิ้วเข้าออกของเขา เขาก้มหน้าลงไปใช้ปากลิ้มลองรสชาติของนาง ดูดกลืนน้ำหวานที่พรั่งพรูออกมาจากช่องโพรงอันคับแน่น ขบเม้มและดูดดึงตุ่มเกสรของนางแรงๆ ติดต่อกันหลายครั้งจนสุดท้ายนางก็ผวาเฮือก และหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม ร่างเล็กทิ้งตัวลงอย่างอ่อนแรง ลมหายใจหอบกระชั้น ดวงตาหลับพริ้มลง

เฉินเสวี่ยถอดเสื้อผ้าของตนออกอย่างรีบร้อน เขาเดินเข้าไปยืนซ้อนหลังนาง ใช้แขนช้อนขาข้างหนึ่งของนางให้ยกสูงขึ้นแล้วจับท่อนเอ็นที่ผงาดง้ำของตนถูไถไปตรงร่องกลางของกลีบเนื้อสีชมพู เมื่อเห็นนางกระถดตัวหนีอย่างหวาดหวั่นเฉินเสวี่ยก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ใช้มืออ้อมไปกุมเนินเนื้อสามเหลี่ยมของนางไม่ให้ขยับหนีแล้วค่อยๆ ดุนดันท่อนเอ็นขยายใหญ่ยิ่งกว่าท่อนแขนของตนเข้าสู่ช่องโพรงที่ฉ่ำเยิ้มของนางอย่างช้าๆ

จิ้งจอกมายาบรรพกาลกรีดร้องเสียงแหลม ดวงตาเบิกโพลงจนแทบถลน ร่างบางแอ่นหยัดสุดตัวเพราะความใหญ่โตคับแน่นที่ทิ่มแทงเข้ามา

“อึก!” นางครางด้วยความจุก เมื่อเฉินเสวี่ยทะยานเข้าไปจนสุด กำปั้นน้อยๆ ทุบท่อนแขนของเด็กหนุ่มที่โอบรอบเอวบางของนาง แต่เมื่อพลังปราณของนางถูกสะกดเอาไว้ พละกำลังของนางจึงแทบจะไม่ต่างจากเด็กสาวมนุษย์ธรรมดา ไม่อาจต่อต้านขัดขืนใดๆ ได้เลยสักนิด

เฉินเสวี่ยเองก็เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ไม่คิดเลยว่าการร่วมรักกับหญิงสาวจะทำให้รู้สึกสุขสมแตกต่างจากยามที่ช่วยตนเองมากมายขนาดนี้ เขาค่อยๆ ขยับโยกกายเข้าออกช้าๆ ยิ่งเห็นสีหน้าเจ็บปวดจนน้ำตาคลอของจิ้งจอกน้อยตรงหน้า อารมณ์ก็ยิ่งพลุ่งพล่านอยากจะรังแกนางให้หนักขึ้นไปอีก เขาใช้นิ้วคีบยอดอกทั้งสองข้างของนางแล้วดึงพวกมันอย่างแรงพร้อมกับอัดกระแทกร่างเข้าใส่นางรัวๆ ยิ่งเห็นจิ้งจอกน้อยหวีดร้องครวญครางสะอึกสะอื้นเขาก็ยิ่งใส่แรงเพิ่มเข้าไปจนนางหัวสั่นหัวคลอน

เสียงเนื้อกระแทกเนื้อดังเป็นจังหวะพับๆ ๆ ประสานกับเสียงครวญครางหวานหู และเสียงคำรามอย่างหนักหน่วงเมามันของเฉินเสวี่ยดังก้องไปทั่วทั้งห้องอาบน้ำ ยิ่งยาวนานเท่าไหร่ก็เหมือนว่าการโรมรันระหว่างเด็กหนุ่มกับนางจิ้งจอกตัวน้อยจะยิ่งบ้าคลั่งรุนแรง ดวงตาของเฉินเสวี่ยดำมืด และทอประกายคลุ้มคลั่งอำมหิตโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นหนึ่งในผลที่สืบเนื่องมาจากการรับสืบทอดสายโลหิตมาร

จิ้งจอกมายาหวาดกลัวหวาดกลัวจนตัวสั่น นางทั้งสะอื้นไห้และหวีดร้องจนเสียงแหบ ความรู้สึกหวาดกลัวผสมปนเปไปกับความเจ็บปวดและความเสียวซ่านแปลกๆ ที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน อารมณ์ทะยานสูงขึ้นๆ จนในที่สุดก็ระเบิดโพลง ร่างน้อยสะดุ้งสุดตัวแล้วกระตุกถี่ๆ

เฉินเสวี่ยเห็นดังนั้นก็เหยียดยิ้มแล้วเร่งจังหวะต่อโดยไม่ให้เวลานางได้พักหายใจ เขาไม่รู้ว่าคนปกติจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยาวนานขนาดไหน แต่เมื่อก่อนตอนที่เขาเคยช่วยตัวเอง เขาก็เคยไม่เคยใช้เวลายาวนานขนาดนี้ นี่อาจจะเป็นผลมาจากการที่อวัยวะส่วนนั้นของเขาถูกควักออกไปและงอกคืนกลับมาใหม่ มันจึงทั้งใหญ่โตและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมมากกระมัง

เฉินเสวี่ยเร่งจังหวะหนักหน่วงและรัวแรงแบบต่อเนื่องยาวนานจนจิ้งจอกน้อยเสร็จสมไปแล้วถึงสามครั้งกว่าที่เขาจะยอมปลดปล่อยน้ำเชื้อเข้าสู่ร่างของนางและฟุบหน้าลงซบกับต้นคอของนางอย่างหมดแรง

หลังจากที่เขาฟุบคาร่างของตนอยู่ในช่องโพรงที่ตอดตุบๆ ของนางโดยไม่ยอมขยับออกมาอยู่เกือบครู่ใหญ่ จิ้งจอกน้อยก็เป็นฝ่ายดิ้นขยุกขยิกพยายามจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเขา เฉินเสวี่ยใช้มือจับปลายคางของนางให้หันหน้ากลับมารองรับการจูบอย่างเอาแต่ใจของตน เขาใช้มือขย้ำบีบหน้าอกนุ่มนิ่มของนางแรงๆ อีกหลายครั้งอย่างมันเขี้ยวขณะที่ถอนร่างออกมาจากช่องโพรงที่ยังคงตอดตุบๆ เมื่อเด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองบริเวณต้นขาของนาง เขาก็เห็นคราบเลือดผสมกับคราบน้ำรักสีขาวขุ่นไหลหยดเป็นทางไปตามเรียวขานวล แลดูน่าสงสารอย่างยิ่ง นี่คงจะเป็นครั้งแรกของนางเช่นกันสินะถึงได้มีเลือดออกมากมายขนาดนี้ ในหนังสือบอกว่าครั้งแรกของสตรีจะเจ็บมาก แต่ไม่คิดว่าเลือดจะออกมากมายขนาดนี้

จิ้งจอกสาวก้มหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาหยดอาบสองแก้มด้วยความหวาดกลัวปนคับแค้นใจ เฉินเสวี่ยเห็นดังนั้นก็เชยใบหน้าน่ารักขึ้นมาจูบอย่างอ่อนโยน แลบลิ้นอุ่นร้อนของตนซับเลียน้ำตาบนใบหน้านางจนหมด แล้วกระซิบที่ข้างหูนางเบาๆ

“เจ้าเป็นสมบัติของข้า ดังนั้นข้าจะไม่ขอโทษเจ้าหรอกนะ อีกทั้งจากนี้ไปข้ายังจะรังแกเจ้าอีกเรื่อยๆ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เถิดจิ้งจอกน้อยของข้า” เขาขบกัดใบหูจิ้งจอกของนางเบาๆ

“ทะ ท่านเป็นใคร” นางถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น รู้สึกหวาดกลัวเฉินเสวี่ยไปถึงแก่นวิญญาณ

“เรียกข้าว่า นายท่าน ก็พอ” เฉินเสวี่ยแสยะยิ้ม หันไปคว้าผ้ามาชุบน้ำในสระแล้วเช็ดทำความสะอาดคราบเลือดตรงต้นขาให้นางอย่างเบามือ

เมื่อเห็นนางหน้าแดงด้วยความเขินอายเขาก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปไล้ลิ้นและขบกัดตุ่มไตตรงยอกเกสรดอกไม้ของนางอีกครั้ง ร่างบางสั่นระริกอย่างรุนแรง ใบหน้าน้อยๆ ของนางแดงก่ำราวกับสีเลือด

“อื๊อ” จิ้งจอกน้อยเจ็บจนร้องออกมาเมื่อเด็กหนุ่มขบกัดนางอย่างแรง

เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มร้าย เขาใช้มือแหวกกลีบเนื้อทั้งสองให้แยกออกแล้วเอานิ้วที่พันด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ แยงเข้าไปทำความสะอาดด้านในช่องโพรงที่ฉีกขาดและมีรอยช้ำโดยไม่สนใจว่าจิ้งจอกน้อยจะครวญครางอย่างน่าสงสารขนาดไหน

เมื่อเช็ดทำความสะอาดร่างเล็กๆ ของจิ้งจอกมายาบรรพกาลจนเกลี้ยงเกลาดีแล้ว เฉินเสวี่ยก็จัดการเก็บร่างของนางเข้าไปในแหวนมิติดังเดิม ถึงแม้ว่าเขาจะติดใจในรสรักของนางจนอยากจะรังแกนางซ้ำๆ ทั้งวันทั้งคืน แต่เขาไม่อาจลืมเป้าหมายใหญ่ในชีวิตซึ่งก็คือการล้างแค้นของตนไปได้ เขาก็ไม่มีเวลาจะมาลุ่มหลงมัวเมาไปกับเรื่องบันเทิงใจเช่นนี้นานนัก ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรีบยกระดับพลังฝีมือให้แข็งแกร่งขึ้นเสียก่อน

คิดได้ดังนั้น เฉินเสวี่ยก็รีบก้าวลงไปนั่งแช่อยู่ในสระน้ำและหลับตาตั้งสมาธิเริ่มฝึกวิชาตามเคล็ดจันทราวีโดยไม่รอช้า เขาวาดมือทั้งสองข้างออกเป็นท่วงท่าอันแปลกพิสดารพร้อมกับท่องคำบริกรรมในภาษาประหลาดตามเคล็ดวิชาจันทราพิสุทธิ์ที่อยู่ในหัว

ฉับพลันเขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณธาตุน้ำอันเชี่ยวกรากที่ไหลเข้าสู่เส้นลมปราณทั่วร่างของตนและไหลไปรวมตัวกันที่จุดตันเถียน ความหนาแน่นและเชี่ยวกรากของพลังปราณที่ไหลเข้าสู่ร่างราวกับคลื่นยักษ์ในทะเลนี้ เกือบจะทำให้เฉินเสวี่ยเสียสมาธิเพราะความแตกตื่นตกใจ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเคล็ดวิชานี้จะช่วยให้ดูดซับพลังปราณได้มากและเร็วจนเหลือเชื่อขนาดนี้

เพียงแค่เจ็ดวันเส้นลมปราณทั่วร่างและจุดตันเถียนของตนก็อัดแน่นไปด้วยไอปราณจนแทบระเบิด ทำให้จำต้องรีบหยุดทำการดูดซับพลังปราณโดยด่วน ตอนนี้เขาจำเป็นต้องทำการบีบอัดไอปราณทั่วร่างให้ไปรวมกันที่จุดตันเถียนเสียก่อน หากทำได้สำเร็จก็จะบรรลุระดับรวบรวมปราณ 1 ดาวแล้ว

หากผู้อื่นทราบว่าตนใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็พร้อมจะยกระดับขั้นขึ้น 1 ดาวได้เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะแตกตื่นสะทกสะท้านและอิจฉาจนแทบคลั่งกันสักเพียงใด ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปกว่าจะยกระดับฝีมือได้แต่ละดาวปกติต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 2-3 ปี ก่อนหน้าที่เฉินเสวี่ยจะถูกทำลายวรยุทธ์ เขาผู้ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเด็กอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงส่งคนหนึ่งของทวีปยังต้องใช้เวลานาน 4-5 เดือนเต็มๆ จึงจะยกระดับขึ้นได้แต่ละดาวเช่นนี้ แต่ตอนนี้ตนใช้เวลาเพียง 7 วันก็จวนจะยกระดับขึ้นดาวหนึ่งได้แล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นยินดีจนถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความสาสมใจ เสียงหัวเราะนั้นดังกึกก้องไปทั่วตำหนักมารที่เคยเงียบสงัด จนฝูงนกที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันตกใจกระพือปีกบินขึ้นฟ้า

เฉินเสวี่ยหัวเราะราวกับคนวิกลจริต ประเดี๋ยวหัวเราะอย่างบ้าคลั่งประเดี๋ยวฉีกยิ้มชั่วร้าย เคล็ดวิชาจันทราวารีนี่ช่างให้ดอกผลน่าแตกตื่นสมกับที่ถูกจัดให้เป็นทักษะยุทธ์ชั้นจักรวาลจริงๆ หากฝึกต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วระดับนี้ คาดว่าใช้เวลาประมาณสามปี ตนก็คงจะบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ห้าหรือหกดาวได้อย่างแน่นอน

ศัตรูทั้งหลาย บิดาจะให้เวลาพวกเจ้าได้ย่ามใจอีกเพียงสามปีเท่านั้น

พลังปราณที่อัดแน่นอยู่ในร่างของเฉินเสวี่ยเปรียบประดุจไอน้ำที่กำลังพลุ่งพล่านใกล้จะระเบิดเต็มทน เขาจึงต้องรีบสงบใจหลับตาใช้สมาธิควบคุมและบีบอัดพวกมันเอาไว้ เนื่องจากพวกมันทั้งเชี่ยวกรากและไหลเวียนไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง เขาจึงจำเป็นต้องใช้เวลานานถึงห้าวันเต็มๆ ในการค่อยๆ ตะล่อมและบีบอัดไอปราณในร่างทีละเล็กละน้อยจนพวกมันยอมไหลเวียนไปรวมตัวเป็นหยดของเหลวใสกระจ่างหยดแล้วหยดเล่าอยู่ในจุดตันเถียนของเขา

ในช่วงแรกเริ่มของการฝึกยุทธ์ซึ่งเรียกว่าขั้นรวบรวมปราณนั้น ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องดูดซับไอพลังปราณในธรรมชาติที่บางเบาคล้ายไอหมอกเข้าสู่เส้นลมปราณของตน และนำมันไปกลั่นตัวควบแน่นให้กลายเป็นของเหลวอยู่ในจุดตันเถียนตรงกลางร่าง จวบจนบีบอัดครบเก้ารอบจุดตันเถียนก็จะมีปราณเหลวเหล่านี้บรรจุอยู่จนเต็ม จากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถบีบอัดให้พวกมันกลายเป็นปราณที่มีลักษณะคล้ายหยดน้ำข้นหนืด ซึ่งเป็นสถานะกึ่งของเหลวกึ่งของแข็ง เมื่อทำได้ก็จะเรียกได้ว่าเข้าสู่ระดับก่อปราณ ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนจะต้องทำการรวบรวมไอปราณและบีบอัดพวกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จวบจนรวบรวมปราณเหลวข้นหนืดเหล่านี้จนเต็มจุดตันเถียนได้เมื่อใด ก็จะสามารถบีบอัดให้พวกมันกลายเป็นของแข็งในลักษณะเม็ดมุกกลมเกลี้ยงได้ และนั่นคือได้ชื่อว่าก้าวขึ้นสู่ระดับนักยุทธ์แล้ว ผู้ที่มีเม็ดมุกพลังปราณเหล่านี้จะเริ่มดึงพลังปราณที่เก็บกักอยู่ในเม็ดมุกพลังปราณออกมาใช้เป็นท่าร่างในการป้องกันตนหรือทำลายล้างคู่ต่อสู้ได้ หากฝึกต่อไปอีกเรื่อยๆ จนทำให้เม็ดมุกมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ ก็จะยิ่งมีปริมาณพลังปราณที่สามารถนำไปใช้ได้มากยิ่งขึ้น แต่การจะเพิ่มขนาดของเม็ดมุกพลังปราณนั้นมิใช่เรื่องง่าย เพราะยิ่งระดับสูงเท่าไหร่การจะก้าวข้ามได้แต่ละขั้นก็ยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้นเรื่อยๆ ลองนึกดูว่ากว่าจะรวบรวมไอปราณเข้าร่างและบีบอัดจนกลายมาเป็นของเหลว และเปลี่ยนมาเป็นของกึ่งเหลวกึ่งแข็ง แล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นของแข็งได้แต่ละรอบจำเป็นต้องใช้เวลายาวนานอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อปราณในร่างกลายมาเป็นของแข็งได้แล้วก็ยิ่งต้องใช้เวลาอีกหลายเท่าตัวในการเพิ่มให้มันมีขนาดใหญ่ขึ้นทีละเล็กละน้อย ต่อเมื่อมันมีขนาดใหญ่กว่าเดิมสิบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ก็จะสามารถบีบอัดให้มันมีขนาดที่เล็กลงซึ่งจะทำให้มันมีความหนาแน่นมากยิ่งขึ้นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกสองเท่าตัว เรียกว่าก้าวขึ้นสู่ระดับขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ 1 ดาว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+