เคล็ดมารสยบภพ 14 เก็บเหล่าหญิงงามใส่ลงในแหวนมิติ

Now you are reading เคล็ดมารสยบภพ Chapter 14 เก็บเหล่าหญิงงามใส่ลงในแหวนมิติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าตามพวกข้ามาทำไม ศิษย์น้อง” เสียงไพเราะกังวานแต่เย็นเยียบถามมาจากเจ้าของมือที่กุมกระบี่อยู่

เฉินเสวี่ยค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่ถือกระบี่ นางก็คือศิษย์พี่ทั้งสองคนที่หายตัวไปเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง

เฉินเสวี่ยส่งยิ้มขอโทษขอโพยไปให้พวกนาง และแกล้งทำท่าหวาดกลัว

“ขออภัยเจ้าค่ะศิษย์พี่ พอดีว่าข้าได้ยินมาว่าพวกท่านจะเข้ามาหาผลเกล็ดมังกรกัน ข้าไม่เคยรู้จักผลไม้ชนิดนี้มาก่อนจึงอยากจะมาเปิดหูเปิดตาเฉยๆ น่ะเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าก็ไม่เคยเข้ามาในป่าแห่งนี้เลย หากเดินเปะปะไปตามลำพังก็เกรงว่าจะหลงทาง จึงได้แอบเดินตามพวกท่านมาโดยไม่ทันได้ขออนุญาต พวกท่านอย่าโกรธข้าเลยนะเจ้าคะข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพวกท่านจริงๆ เจ้าค่ะ”

“ปล่อยนางไปเถอะ นางคงไม่โกหกหรอกกระมัง ก็แค่ก่อปราณ 5 ดาว ต่อให้นางมีแผนร้ายยังไงก็สู้พวกเราสองคนไม่ได้อยู่ดี” หญิงสาวอีกคนกล่าว กวาดตามองเฉินเสวี่ยอย่างดูถูก

“จริงของเจ้า” หญิงสาวที่ถือกระบี่น้ำแข็ง สลายพลังปราณเย็นยะเยือกที่ก่อตัวเป็นรูปกระบี่น้ำแข็งของตนลง

“เจ้าไสหัวไปให้พ้นหน้าพวกข้าเสีย อย่าตามมาอีกเล่า” หนึ่งในสองคนโบกมือไล่เฉินเสวี่ย แล้วพวกนางก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป

เฉินเสวี่ยหรี่ตา ตวัดมือพลิกไขว้สลับอย่างรวดเร็วเพื่อใช้เคล็ดตราผนึกจันทราวารีใส่ศิษย์พี่ทั้งสอง บัดนี้นางฝึกเคล็ดย่อยเคล็ดนี้ขั้นสูงสุดจนชำนาญแล้ว แต่กระนั้นยามทำการผนึกผู้ที่มีพลังยุทธ์กล้าแกร่งกว่าตนยังคงผนึกร่างของพวกเขาได้ไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้น แต่นี่ก็เพียงพอที่จะให้นางทำการเก็บร่างของศิษย์พี่ทั้งสองคนนี้ใส่ลงไปในแหวนมิติแล้ว

นางถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่ทุกอย่างสำเร็จอย่างง่ายดาย อย่างน้อยตอนนี้นางก็รู้แล้วว่าตนสามารถเก็บร่างของผู้ฝึกยุทธ์ระดับนักยุทธ์สองดาวลงมาเข้าไปในแหวนมิติได้โดยไม่มีปัญหาอะไร

เฉินเสวี่ยไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่การเสาะหาผลเกล็ดมังกร นางจึงเดินย้อนกลับไปทางชายป่าอีกครั้ง เพราะขืนเดินลึกเข้าไปตามลำพังอาจจะหลงทางได้จริงๆ พอกลับมาถึงชายป่า นางก็กระโดดขึ้นไปนั่งห้อยขาอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วรอคอยอย่างเงียบสงบ

ผ่านไปเกือบชั่วโมงนางก็เห็นสตรีกลุ่มหนึ่งเดินออกจากป่าผ่านมาทางด้านที่นางนั่งอยู่ ทุกคนในกลุ่มหันมามองนางด้วยความสงสัยว่านางมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ แต่พอเห็นเครื่องแบบศิษย์ใหม่ของนางก็เลิกสนใจและเดินผ่านไป คงจะคิดว่านางเป็นศิษย์ใหม่ที่อยากรู้อยากเห็นธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นกระมัง

ผ่านไปอีกกว่าสองชั่วโมง คราวนี้มีหญิงสาวอีกผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าตามลำพัง นางเป็นถึงระดับนักยุทธ์ห้าดาวจึงไม่แปลกที่จะเข้าไปในป่าตามลำพัง นางเพียงปรายตามองเฉินเสวี่ยด้วยหางตาแล้วเดินเลยไป

เฉินเสวี่ยกระโดดลงจากก้อนหินแล้ววิ่งไปหานางพร้อมกับร้องว่า

“อ๊ะ ศิษย์พี่เจ้าคะ ท่านทำของตก” นางแสร้งทำเป็นกำมือไว้แล้ววิ่งเข้าไปหาศิษย์พี่ผู้นั้น เมื่อใกล้จะถึงก็ใช้เคล็ดตราผนึกจันทราวารีผนึกร่างของนางเอาไว้แล้วจัดการเก็บร่างของศิษย์พี่เคราะห์ผู้นี้เข้าสู่แหวนมิติของตนเป็นรายที่สามของวัน

นางเหยียดยิ้มมุมปาก “เหอะ ช่างง่ายดายเสียจริง”

สรุปว่าต่อให้เป็นนักยุทธ์ 5 ดาวนางก็ยังสามารถเก็บเข้าไปในแหวนได้อย่างสบายๆ จากนี้ไปคงจะต้องหาผู้ที่มีฝีมือสูงกว่านี้สำหรับการทดสอบซะแล้ว แต่ว่านางยังไม่เห็นศิษย์ชั้นนอกคนใดที่มีระดับขั้นสูงไปกว่านักยุทธ์ห้าดาวเลยสักคน ยกเว้นเหล่าศิษย์พี่ที่มาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่มของพวกศิษย์ใหม่ อืม… หรือว่านางจะทดลองเก็บศิษย์พี่ฮวาเหอกุ้ยซึ่งเป็นระดับนักยุทธ์แปดดาวใส่ลงไปในแหวนดีนะ…

แต่…ไม่ดีกว่า หากไร้ซึ่งศิษย์พี่ประจำกลุ่มก็ไม่รู้ว่ากลุ่มนางจะได้ขึ้นไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์บนเขาอีกหรือไม่ นางยังไม่อยากเสี่ยง เอาไว้ขึ้นไปบนยอดเขาหลักได้แล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย หึๆ ๆ ระหว่างรอที่จะได้ขึ้นไปยอดเขาหลักนางกลับไปหาโอกาสเก็บองค์หญิงรองใส่ลงไปในแหวนมิติของตนก่อนน่าจะดี

เฉินเสวี่ยเดินกลับที่พักของตนและคอยเฝ้าจับตาสังเกตความเคลื่อนไหวขององค์หญิงรอง แต่ตลอดหลายวันหลังจากนั้นนางยังไม่เคยเห็นว่าองค์หญิงผู้นี้จะก้าวออกมาจากห้องพักเลยสักครั้ง วันเวลาผ่านไป สุดท้ายกว่าเฉินเสวี่ยก็ได้เห็นหน้าองค์หญิงรองอีกครั้งก็เมื่อมาถึงวันที่ศิษย์กลุ่มของนางจะต้องเดินทางขึ้นไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์

ศิษย์ใหม่ในกลุ่มทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องโถงของเรือนพักพร้อมเพรียงกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางตามคำสั่งของศิษย์พี่ฮวาเหอกุ้ย จากนั้นศิษย์พี่ก็นำทางพาพวกนางเดินขึ้นไปยังยอดเขาหลักของตำหนักบุปผา ระหว่างทางก่อนจะถึงยอดเขามีด่านตรวจมากถึงหกด่าน แต่เมื่อศิษย์พี่และศิษย์ทุกคนแสดงป้ายชื่อก็ผ่านเข้าไปอย่างสะดวก

เฉินเสวี่ยพบว่าทางเดินขึ้นไปยังยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกหนาทึบ และยังมีการวางค่ายกลเอาไว้ถึงสามชั้น หากไม่มีผู้นำทางก็ยากที่นางหรือศิษย์ใหม่คนอื่นๆ จะผ่านเข้าออกได้ด้วยตนเอง สิ่งที่ค้นพบนี้ทำให้นางต้องรีบเปลี่ยนแผนโดยด่วน เพราะหากไปก่อการจับตัวเจ้าตำหนักที่ยอดเขาหลักได้แล้วตัวเองก็คงไม่มีปัญญาหลบหนีออกไปได้ด้วยตัวเองแน่

“ฮวาเหอกุ้ย ศิษย์สายในแห่งยอดเขาปทุมสวรรค์และศิษย์น้องในความดูแลขอคารวะท่านผู้อาวุโสฮวาลิ่วฉือเจ้าค่ะ” เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาหลัก ศิษย์พี่ประจำกลุ่มของเฉินเสวี่ยก็พาทุกคนเข้าไปทำความเคารพผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการใช้บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์

ผู้อาวุโสท่านนี้ก็เฉกเช่นเดียวกับสมาชิกระดับสูงของตำหนักบุปผาทุกคนที่มีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์งดงามแต่เย็นชาไร้อารมณ์ นางเพียงพยักหน้า กวาดตามองศิษย์ใหม่ทุกคนในกลุ่มนี้ช้าๆ แล้วมาหยุดสายตาอยู่ที่เฉินเสวี่ย

“เจ้าก็คือฮวาไห่เยว่สินะ” ผู้อาวุโสฮวาลิ่วฉือหรี่ตาถามด้วยน้ำเสียงแสดงออกถึงความสนใจเล็กน้อย

“เจ้าค่ะ ศิษย์คือฮวาไห่เยว่”

“เจ้า ตามข้ามา คนที่เหลือตามฮวาเหอกุ้ยไปแช่น้ำพุได้”

เมื่อได้ยินคำสั่งดังนั้น ศิษย์ในกลุ่มทุกคนต่างก็มองมาทางเฉินเสวี่ยด้วยควายสงสัยแกมอิจฉา ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินเสวี่ยถึงถูกเรียกตัวแยกออกไปเช่นนั้น แต่แค่ผู้อาวุโสจำชื่อของนางได้ก็เป็นเรื่องไม่ธรรมดาแล้ว

เฉินเสวี่ยเองก็แอบสงสัยเช่นกันว่าเหตุใดตนจึงถูกเรียกออกมาเช่นนี้ แต่นางก็คิดว่านี่นับเป็นโอกาสดีที่นางก็จะได้อยู่ตามลำพังกับผู้อาวุโสท่านนี้ ผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้อาวุโสของตำหนักบุปผาได้ อย่างน้อยฝีมือก็ต้องเข้าขั้นนักยุทธ์แปดหรือเก้าดาว หากนางเก็บคนผู้นี้ใส่แหวนมิติเข้าไปได้ นางก็จะมีเตาบำเพ็ญคุณภาพดีพอใช้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง

“ข้าได้ยินมาว่าน้ำโอสถตอนทดสอบเข้าเป็นศิษย์ของสำนักไม่มีผลต่อร่างกายของเจ้า” ผู้อาวุโสฮวาลิ่วฉือกล่าวออกมาเมื่อพาเฉินเสวี่ยเดินเข้ามาในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ภายในห้องโต๊ะยาวตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีไหวางเรียงรายอยู่เก้าใบ ดูไปคล้ายไหสุราแต่กลับไม่มีกลิ่นสุราอวลออกมา มีเพียงกลิ่นสดชื่นคล้ายกลิ่นดอกไม้ที่ฟุ้งตลบไปทั้งห้องเท่านั้น

“เจ้าค่ะ” เฉินเสวี่ยตอบรับอย่างสงบเสงี่ยม นางยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพานางมาที่นี่ทำไม จึงไม่คิดจะรีบเก็บอีกฝ่ายใส่แหวนมิติ

“ความจริงน้ำที่ให้ผู้สมัครดื่มในการทดสอบนั้นหาใช่โอสถแต่เป็นน้ำจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ชั้นนอกสุด ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครต้านฤทธิ์ของมันได้ตั้งแต่ครั้งแรกเช่นนี้เลยสักคน เจ้านับเป็นรายแรก ดังนั้นวันนี้ข้าจึงพาเจ้ามาทดสอบว่าร่างกายเจ้าสามารถต้านฤทธิ์ของน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงชั้นที่เท่าไหร่ หากเจ้าสามารถต้านทานได้สูงก็จะได้ขึ้นไปแช่น้ำพุในชั้นที่สูงกว่านี้ได้” ฮวาลิ่วฉืออธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

นางเทน้ำจากไหใบแรกใส่ถ้วยใบเล็กแล้วส่งให้เฉินเสวี่ยดื่ม เฉินเสวี่ยรับมาดื่มอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นว่าร่างกายของเฉินเสวี่ยยังคงปกติดี น้ำจากไหที่สองก็ถูกยื่นส่งมาให้ เฉินเสวี่ยรับไปดื่มอีกครั้งก็ยังคงปกติ ไหที่สามที่สี่ก็ยังคงปกติ

“หืม เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ” ฮวาลิ่วฉือ เริ่มมีท่าทีประหลาดใจและตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว คราวนี้นางรินน้ำในไหที่เหลืออีกห้าไหวางเรียงให้เฉินเสวี่ย น้ำจากไหแต่ละใบ ยิ่งลำดับสูงยิ่งมีความโปร่งใสและมีสีเขียวลดลง แต่กลับมีกลิ่นหอมที่มอมเมาจิตประสาทรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ ถ้วยใบสุดท้ายนั้นมีความใสราวกับน้ำเปล่า แต่กลิ่นหอมกลับแรงราวกับน้ำหอมกลั่นบริสุทธิ์

เฉินเสวี่ยยกถ้วยน้ำเหล่านั้นขึ้นมาดื่มตามลำดับ จนถึงไหใบสุดท้ายนางก็ยังไม่มีความผิดปกติอันใด ตัวนางเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตนควรจะต้องมีอาการอย่างไรจึงจะเรียกว่าปกติ

ฮวาลิ่วฉือทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตนได้ค้นพบ คว้าข้อมือของเฉินเสวี่ยขึ้นมากุมแล้วส่งพลังปราณของตนเองเข้าไปในร่างของเฉินเสวี่ยเพื่อสำรวจว่าเหตุใดเฉินเสวี่ยจึงผิดปกติเช่นนี้ แต่ทันทีที่ปราณยุทธ์ของนางเริ่มโคจรเข้าสู่เส้นลมปราณที่ข้อมือของเฉินเสวี่ย นางก็ถูกอีกฝ่ายรวบเก็บเข้าสู่แหวนมิติไปในพริบตา

เฉินเสวี่ยแค่นเสียงหยัน “เหอะ ขืนให้เจ้าสำรวจเส้นลมปราณของข้า เจ้าก็รู้ความลับของข้าหมดน่ะสิ เข้าไปนอนหลับในแหวนมิติเพื่อรอเป็นเตาบำเพ็ญของข้าอย่างสงบจะดีกว่า หึๆ ๆ”

ถึงเฉินเสวี่ยจะไม่รู้ว่าการที่ร่างกายของตนที่ไร้ซึ่งความผิดปกติยามดื่มน้ำจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าชั้นจะมีความหมายใด แต่นางก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่นางจะได้อยู่ในร่างผู้หญิง ยามที่พระจันทร์ขึ้นถึงตรงกลางท้องฟ้า นางจะต้องกลับคืนร่างเป็นชายอีกครั้ง ซึ่งนั่นอาจทำให้นางทำการได้ลำบากกว่าเดิม ดังนั้นภายในวันนี้นางจะต้องเก็บร่างของศัตรูทุกคนบนยอดเขาแห่งนี้เข้าไปในแหวนให้หมดเสียก่อนที่จะถูกใครจับได้

นางแง้มประตูห้อง ชะโงกหน้าออกไปดูภายนอก เห็นว่ารอบๆ บริเวณไร้ซึ่งผู้คนเหมือนตอนขามาก็โล่งใจ จึงเดินออกไปจากตัวอาคาร

บนยอดเขาแห่งนี้บรรยากาศเงียบสงัดและวังเวงราวกับสุสาน นางเดินมาตั้งนานยังไม่เห็นผู้คนผ่านมาสักคน เฉินเสวี่ยเดินกลับไปยังทางแยกที่นางแยกจากคนในกลุ่มมา และลองเดินตามทางนั้นไปเรื่อยๆ ไม่นาน นางก็โผล่มาถึงสระน้ำพุธรรมชาติขนาดใหญ่สระหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ น้ำในสระมีสีเขียวเข้มและมีฟองผุดพราย บนผิวน้ำมีไอหมอกสีเขียวระเหยออกมาคล้ายไอพิษ แต่กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เช่นเดียวกับน้ำในไหแรกที่ผู้อาวุโสให้นางดื่ม ภายในสระมีร่างเปล่าเปลือยของเด็กสาวทั้งเก้านางนั่งเอนกายหอบหายใจรวยรินพิงขอบสระอยู่เรียงราย แววตาของพวกนางเลื่อนลอย ผิวหนังก็มีอาการเห่อร้อนจนแดงก่ำไปทั้งตัวเหมือนคนมีไข้สูง

“นี่น่ะหรือ ปฏิกิริยาที่คนปกติควรจะเป็น” เฉินเสวี่ยก้าวเข้าไปนั่งยองๆ มองดูพวกนางใกล้ๆ

ด้วยความที่น้ำในสระเป็นสีเขียวเข้ม ทำให้นางมองไม่เห็นร่างกายส่วนที่อยู่ใต้น้ำของหญิงสาวเหล่านี้ แต่ขนาดนางเข้ามานั่งจนติดขอบสระแล้วก็ยังไม่มีเด็กสาวคนใดรู้สึกตัวขึ้นมาเลยสักคน

เฉินเสวี่ยมองไปรอบๆ ไม่เห็นเงาร่างของศิษย์พี่ฮวาเหอกุ้ย

“แบบนี้ก็ดี ทางสะดวกดีแท้” นางกล่าวด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง เดินไปกระชากผมขององค์หญิงรองให้แหงนหน้าขึ้นมาสบตากับตน

“หึ องค์หญิงผู้เย่อหยิ่งอย่างเจ้า สุดท้ายก็ได้มาอยู่ในกำมือข้าง่ายๆ เช่นนี้ ฮ่องเต้บัดซบนั่นคงคิดไม่ถึงเป็นแน่” เฉินเสวี่ยก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูขององค์หญิงคนงามที่ยังคงมีสีหน้าเลื่อนลอยไม่รับรู้ความเป็นไปใดๆ นางเก็บร่างไร้สติขององค์หญิงใส่เข้าไปในแหวนมิติ แล้วกวาดร่างของเด็กสาวทุกคนที่อยู่ในสระเก็บใส่เข้าไปในแหวนมิติของตนจนหมด เด็กสาวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีรูปร่างหน้าตางดงามไปคนละแบบ หากไม่เก็บไปไว้เป็นของเล่นแก้เบื่อก็คงไม่สมกับที่เป็นจอมมาร

ตอนที่เก็บไล่ไปจนถึงร่างของเกาซู่ซู่ เฉินเสวี่ยก็มีความลังเลเล็กน้อย เด็กสาวคนนี้แสดงไมตรีต่อตนไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงเมื่อคราวที่ครอบครัวของตนถูกท่านลุงใหญ่ผู้ที่ก็เคยแสดงออกว่ารักใคร่กลมเกลียวกับพวกตนยิ่งนักทรยศหักหลังจนตายกันหมด เฉินเสวี่ยก็คิดได้ว่าสิ่งที่มนุษย์แสดงออกมาภายนอกนั้นไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกสักนิดว่าภายในใจจะมีความรู้สึกที่เป็นเช่นเดียวกัน และนางก็สัญญากับตัวเองเอาไว้แล้วว่านับแต่วันที่ครอบครัวถูกทรยศหักหลังเป็นต้นมานางจะไม่เชื่อใจใครอีกต่อไป ชีวิตที่เหลือนางไม่ต้องการมิตรสหาย คนรัก หรือครอบครัวใดๆ ทั้งนั้น จากนี้ไปผู้ที่จะมาอยู่รอบตัวนางมีแค่ทาสของนางเท่านั้น

เมื่อเก็บร่างของเด็กสาวคนสุดท้ายเข้าแหวนมิติเสร็จ เฉินเสวี่ยก็เดินสำรวจรอบๆ บริเวณสระน้ำอย่างละเอียด ไม่นานก็ค้นพบเส้นทางเดินเล็กๆ ซ่อนอยู่หลังสุมทุมพุ่มไม้ นางจึงเดินต่อไปตามทางนั้น สิบกว่านาทีต่อมานางก็มาโผล่ยังสระน้ำพุธรรมชาติอีกสระหนึ่ง ดูจากสีของน้ำที่มีความเขียวใสกระจ่างกว่าสระแรกหนึ่งระดับ นางจึงเดาว่านี่คงจะเป็นสระที่ชั้นที่สอง ภายในสระแห่งนี้ก็มีหญิงสาวแช่น้ำอยู่สิบกว่านาง รุ่นพี่ฮวาเหอกุ้ยก็เป็นหนึ่งในนั้น ทุกคนมีอาการเหม่อลอยและตัวแดงก่ำเช่นเดียวกับผู้ที่แช่อยู่ในสระแรก เฉินเสวี่ยเห็นดังนั้นไม่รีรอที่จะเก็บร่างของพวกนางทั้งหมดเข้าสู่แหวนมิติของตน

นางพบเส้นทางเดินต่อไปยังสระที่สามที่สี่และที่ห้า ทุกสระมีศิษย์พี่หญิงทำการแช่กายด้วยสภาพเดียวกันทั้งหมด หลังจากผ่านมาถึงห้าสระ แหวนมิติของเฉินเสวี่ยก็มีหญิงงามบรรจุอยู่หกสิบกว่านางแล้ว เฉินเสวี่ยไม่รีบร้อน เดินมาไกลขนาดนี้เขายังไม่เจอใครอื่นที่ไม่ได้แช่อยู่ใสสระน้ำเลยสักคน หากนางเก็บศิษย์ที่แช่อยู่ในสระทั้งเก้าสระใส่แหวนไปได้หมด นางก็จะมีเตาบำเพ็ญเป็นร้อยเอาไว้ใช้ยามฝึกวิชาแบบสบายๆ ไปอีกนาน

เข้าสู่อาณาเขตของสระที่หก เฉินเสวี่ยพบว่าสระแห่งนี้มีขนาดเล็กลงกว่าห้าสระก่อนหน้าเกือบครึ่ง และหญิงสาวที่แช่อยู่ในสระก็มีจำนวนเพียงเจ็ดนางเท่านั้น ทุกนางยังคงมีแววตาเลื่อนลอยและมีผิวแดงก่ำแต่ดูเหมือนว่าพวกนางจะกระสับกระส่ายมากกว่าหญิงสาวในสระที่ผ่านๆ มา เฉินเสวี่ยเพียงชมดูด้วยความสงสัยอยู่ครู่เดียวก็เก็บร่างของพวกนางใส่ลงไปในแหวน แล้วเดินต่อ

ยิ่งเข้าไปในชั้นในๆ มากขึ้นเท่าไหร่ สระน้ำก็ยิ่งมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และจำนวนหญิงสาวที่แช่กายในสระก็มีจำนวนน้อยลงด้วยเช่นกัน

เมื่อมาถึงสระที่แปด เฉินเสวี่ยก็พบกับความประหลาดใจอีกครั้ง นางพบว่าหญิงสาวสามในห้านางที่แช่กายอยู่ในสระแห่งนี้ถึงกับเป็นผู้อาวุโสที่ติดตามฮวาไหนไหน่ไปที่ซากโบราณสถานเพื่อช่วยกันกำจัดครอบครัวของนาง เฉินเสวี่ยอยากจะพุ่งเข้าไปจัดการกับพวกนางในทันทีที่จำพวกนางได้ แต่หญิงสาวทั้งห้าที่แช่อยู่ในสระแห่งนี้แตกต่างจากสระอื่นๆ พวกนางหาได้มีสายตาเลื่อนลอยเลยสักคน ร่างกายของพวกนางแดงก่ำเช่นเดียวกับผู้ที่แช่กายในสระอื่นๆ ที่ผ่านมา แต่พวกนางหอบหายใจแรงกว่า และมีท่าทางทุรนทุรายมากกว่า ร่างเปล่าเปลือยทั้งห้าบิดกายไปมาอยู่ใต้น้ำราวกับถูกอะไรบางอย่างในน้ำทำให้เจ็บปวดทรมาน น้ำในสระนี้มีสีเขียวเพียงจางๆ และใสจนมองเห็นไปถึงก้นสระ เฉินเสวี่ยที่กำลังแอบดูอยู่จึงมองเห็นได้รางๆ ว่าที่ใต้น้ำมีเงาบางอย่างสีเขียวใส รูปร่างคล้ายหนวดปลาหมึก กำลังพันเลื้อยรัดรึงไปตามเนื้อตัวของพวกนาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เคล็ดมารสยบภพ 14 เก็บเหล่าหญิงงามใส่ลงในแหวนมิติ

Now you are reading เคล็ดมารสยบภพ Chapter 14 เก็บเหล่าหญิงงามใส่ลงในแหวนมิติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าตามพวกข้ามาทำไม ศิษย์น้อง” เสียงไพเราะกังวานแต่เย็นเยียบถามมาจากเจ้าของมือที่กุมกระบี่อยู่

เฉินเสวี่ยค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่ถือกระบี่ นางก็คือศิษย์พี่ทั้งสองคนที่หายตัวไปเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง

เฉินเสวี่ยส่งยิ้มขอโทษขอโพยไปให้พวกนาง และแกล้งทำท่าหวาดกลัว

“ขออภัยเจ้าค่ะศิษย์พี่ พอดีว่าข้าได้ยินมาว่าพวกท่านจะเข้ามาหาผลเกล็ดมังกรกัน ข้าไม่เคยรู้จักผลไม้ชนิดนี้มาก่อนจึงอยากจะมาเปิดหูเปิดตาเฉยๆ น่ะเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าก็ไม่เคยเข้ามาในป่าแห่งนี้เลย หากเดินเปะปะไปตามลำพังก็เกรงว่าจะหลงทาง จึงได้แอบเดินตามพวกท่านมาโดยไม่ทันได้ขออนุญาต พวกท่านอย่าโกรธข้าเลยนะเจ้าคะข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพวกท่านจริงๆ เจ้าค่ะ”

“ปล่อยนางไปเถอะ นางคงไม่โกหกหรอกกระมัง ก็แค่ก่อปราณ 5 ดาว ต่อให้นางมีแผนร้ายยังไงก็สู้พวกเราสองคนไม่ได้อยู่ดี” หญิงสาวอีกคนกล่าว กวาดตามองเฉินเสวี่ยอย่างดูถูก

“จริงของเจ้า” หญิงสาวที่ถือกระบี่น้ำแข็ง สลายพลังปราณเย็นยะเยือกที่ก่อตัวเป็นรูปกระบี่น้ำแข็งของตนลง

“เจ้าไสหัวไปให้พ้นหน้าพวกข้าเสีย อย่าตามมาอีกเล่า” หนึ่งในสองคนโบกมือไล่เฉินเสวี่ย แล้วพวกนางก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป

เฉินเสวี่ยหรี่ตา ตวัดมือพลิกไขว้สลับอย่างรวดเร็วเพื่อใช้เคล็ดตราผนึกจันทราวารีใส่ศิษย์พี่ทั้งสอง บัดนี้นางฝึกเคล็ดย่อยเคล็ดนี้ขั้นสูงสุดจนชำนาญแล้ว แต่กระนั้นยามทำการผนึกผู้ที่มีพลังยุทธ์กล้าแกร่งกว่าตนยังคงผนึกร่างของพวกเขาได้ไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้น แต่นี่ก็เพียงพอที่จะให้นางทำการเก็บร่างของศิษย์พี่ทั้งสองคนนี้ใส่ลงไปในแหวนมิติแล้ว

นางถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่ทุกอย่างสำเร็จอย่างง่ายดาย อย่างน้อยตอนนี้นางก็รู้แล้วว่าตนสามารถเก็บร่างของผู้ฝึกยุทธ์ระดับนักยุทธ์สองดาวลงมาเข้าไปในแหวนมิติได้โดยไม่มีปัญหาอะไร

เฉินเสวี่ยไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่การเสาะหาผลเกล็ดมังกร นางจึงเดินย้อนกลับไปทางชายป่าอีกครั้ง เพราะขืนเดินลึกเข้าไปตามลำพังอาจจะหลงทางได้จริงๆ พอกลับมาถึงชายป่า นางก็กระโดดขึ้นไปนั่งห้อยขาอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วรอคอยอย่างเงียบสงบ

ผ่านไปเกือบชั่วโมงนางก็เห็นสตรีกลุ่มหนึ่งเดินออกจากป่าผ่านมาทางด้านที่นางนั่งอยู่ ทุกคนในกลุ่มหันมามองนางด้วยความสงสัยว่านางมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ แต่พอเห็นเครื่องแบบศิษย์ใหม่ของนางก็เลิกสนใจและเดินผ่านไป คงจะคิดว่านางเป็นศิษย์ใหม่ที่อยากรู้อยากเห็นธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นกระมัง

ผ่านไปอีกกว่าสองชั่วโมง คราวนี้มีหญิงสาวอีกผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าตามลำพัง นางเป็นถึงระดับนักยุทธ์ห้าดาวจึงไม่แปลกที่จะเข้าไปในป่าตามลำพัง นางเพียงปรายตามองเฉินเสวี่ยด้วยหางตาแล้วเดินเลยไป

เฉินเสวี่ยกระโดดลงจากก้อนหินแล้ววิ่งไปหานางพร้อมกับร้องว่า

“อ๊ะ ศิษย์พี่เจ้าคะ ท่านทำของตก” นางแสร้งทำเป็นกำมือไว้แล้ววิ่งเข้าไปหาศิษย์พี่ผู้นั้น เมื่อใกล้จะถึงก็ใช้เคล็ดตราผนึกจันทราวารีผนึกร่างของนางเอาไว้แล้วจัดการเก็บร่างของศิษย์พี่เคราะห์ผู้นี้เข้าสู่แหวนมิติของตนเป็นรายที่สามของวัน

นางเหยียดยิ้มมุมปาก “เหอะ ช่างง่ายดายเสียจริง”

สรุปว่าต่อให้เป็นนักยุทธ์ 5 ดาวนางก็ยังสามารถเก็บเข้าไปในแหวนได้อย่างสบายๆ จากนี้ไปคงจะต้องหาผู้ที่มีฝีมือสูงกว่านี้สำหรับการทดสอบซะแล้ว แต่ว่านางยังไม่เห็นศิษย์ชั้นนอกคนใดที่มีระดับขั้นสูงไปกว่านักยุทธ์ห้าดาวเลยสักคน ยกเว้นเหล่าศิษย์พี่ที่มาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่มของพวกศิษย์ใหม่ อืม… หรือว่านางจะทดลองเก็บศิษย์พี่ฮวาเหอกุ้ยซึ่งเป็นระดับนักยุทธ์แปดดาวใส่ลงไปในแหวนดีนะ…

แต่…ไม่ดีกว่า หากไร้ซึ่งศิษย์พี่ประจำกลุ่มก็ไม่รู้ว่ากลุ่มนางจะได้ขึ้นไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์บนเขาอีกหรือไม่ นางยังไม่อยากเสี่ยง เอาไว้ขึ้นไปบนยอดเขาหลักได้แล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย หึๆ ๆ ระหว่างรอที่จะได้ขึ้นไปยอดเขาหลักนางกลับไปหาโอกาสเก็บองค์หญิงรองใส่ลงไปในแหวนมิติของตนก่อนน่าจะดี

เฉินเสวี่ยเดินกลับที่พักของตนและคอยเฝ้าจับตาสังเกตความเคลื่อนไหวขององค์หญิงรอง แต่ตลอดหลายวันหลังจากนั้นนางยังไม่เคยเห็นว่าองค์หญิงผู้นี้จะก้าวออกมาจากห้องพักเลยสักครั้ง วันเวลาผ่านไป สุดท้ายกว่าเฉินเสวี่ยก็ได้เห็นหน้าองค์หญิงรองอีกครั้งก็เมื่อมาถึงวันที่ศิษย์กลุ่มของนางจะต้องเดินทางขึ้นไปแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์

ศิษย์ใหม่ในกลุ่มทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องโถงของเรือนพักพร้อมเพรียงกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางตามคำสั่งของศิษย์พี่ฮวาเหอกุ้ย จากนั้นศิษย์พี่ก็นำทางพาพวกนางเดินขึ้นไปยังยอดเขาหลักของตำหนักบุปผา ระหว่างทางก่อนจะถึงยอดเขามีด่านตรวจมากถึงหกด่าน แต่เมื่อศิษย์พี่และศิษย์ทุกคนแสดงป้ายชื่อก็ผ่านเข้าไปอย่างสะดวก

เฉินเสวี่ยพบว่าทางเดินขึ้นไปยังยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกหนาทึบ และยังมีการวางค่ายกลเอาไว้ถึงสามชั้น หากไม่มีผู้นำทางก็ยากที่นางหรือศิษย์ใหม่คนอื่นๆ จะผ่านเข้าออกได้ด้วยตนเอง สิ่งที่ค้นพบนี้ทำให้นางต้องรีบเปลี่ยนแผนโดยด่วน เพราะหากไปก่อการจับตัวเจ้าตำหนักที่ยอดเขาหลักได้แล้วตัวเองก็คงไม่มีปัญญาหลบหนีออกไปได้ด้วยตัวเองแน่

“ฮวาเหอกุ้ย ศิษย์สายในแห่งยอดเขาปทุมสวรรค์และศิษย์น้องในความดูแลขอคารวะท่านผู้อาวุโสฮวาลิ่วฉือเจ้าค่ะ” เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาหลัก ศิษย์พี่ประจำกลุ่มของเฉินเสวี่ยก็พาทุกคนเข้าไปทำความเคารพผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการใช้บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์

ผู้อาวุโสท่านนี้ก็เฉกเช่นเดียวกับสมาชิกระดับสูงของตำหนักบุปผาทุกคนที่มีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์งดงามแต่เย็นชาไร้อารมณ์ นางเพียงพยักหน้า กวาดตามองศิษย์ใหม่ทุกคนในกลุ่มนี้ช้าๆ แล้วมาหยุดสายตาอยู่ที่เฉินเสวี่ย

“เจ้าก็คือฮวาไห่เยว่สินะ” ผู้อาวุโสฮวาลิ่วฉือหรี่ตาถามด้วยน้ำเสียงแสดงออกถึงความสนใจเล็กน้อย

“เจ้าค่ะ ศิษย์คือฮวาไห่เยว่”

“เจ้า ตามข้ามา คนที่เหลือตามฮวาเหอกุ้ยไปแช่น้ำพุได้”

เมื่อได้ยินคำสั่งดังนั้น ศิษย์ในกลุ่มทุกคนต่างก็มองมาทางเฉินเสวี่ยด้วยควายสงสัยแกมอิจฉา ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินเสวี่ยถึงถูกเรียกตัวแยกออกไปเช่นนั้น แต่แค่ผู้อาวุโสจำชื่อของนางได้ก็เป็นเรื่องไม่ธรรมดาแล้ว

เฉินเสวี่ยเองก็แอบสงสัยเช่นกันว่าเหตุใดตนจึงถูกเรียกออกมาเช่นนี้ แต่นางก็คิดว่านี่นับเป็นโอกาสดีที่นางก็จะได้อยู่ตามลำพังกับผู้อาวุโสท่านนี้ ผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้อาวุโสของตำหนักบุปผาได้ อย่างน้อยฝีมือก็ต้องเข้าขั้นนักยุทธ์แปดหรือเก้าดาว หากนางเก็บคนผู้นี้ใส่แหวนมิติเข้าไปได้ นางก็จะมีเตาบำเพ็ญคุณภาพดีพอใช้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง

“ข้าได้ยินมาว่าน้ำโอสถตอนทดสอบเข้าเป็นศิษย์ของสำนักไม่มีผลต่อร่างกายของเจ้า” ผู้อาวุโสฮวาลิ่วฉือกล่าวออกมาเมื่อพาเฉินเสวี่ยเดินเข้ามาในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ภายในห้องโต๊ะยาวตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีไหวางเรียงรายอยู่เก้าใบ ดูไปคล้ายไหสุราแต่กลับไม่มีกลิ่นสุราอวลออกมา มีเพียงกลิ่นสดชื่นคล้ายกลิ่นดอกไม้ที่ฟุ้งตลบไปทั้งห้องเท่านั้น

“เจ้าค่ะ” เฉินเสวี่ยตอบรับอย่างสงบเสงี่ยม นางยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพานางมาที่นี่ทำไม จึงไม่คิดจะรีบเก็บอีกฝ่ายใส่แหวนมิติ

“ความจริงน้ำที่ให้ผู้สมัครดื่มในการทดสอบนั้นหาใช่โอสถแต่เป็นน้ำจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ชั้นนอกสุด ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครต้านฤทธิ์ของมันได้ตั้งแต่ครั้งแรกเช่นนี้เลยสักคน เจ้านับเป็นรายแรก ดังนั้นวันนี้ข้าจึงพาเจ้ามาทดสอบว่าร่างกายเจ้าสามารถต้านฤทธิ์ของน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงชั้นที่เท่าไหร่ หากเจ้าสามารถต้านทานได้สูงก็จะได้ขึ้นไปแช่น้ำพุในชั้นที่สูงกว่านี้ได้” ฮวาลิ่วฉืออธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

นางเทน้ำจากไหใบแรกใส่ถ้วยใบเล็กแล้วส่งให้เฉินเสวี่ยดื่ม เฉินเสวี่ยรับมาดื่มอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นว่าร่างกายของเฉินเสวี่ยยังคงปกติดี น้ำจากไหที่สองก็ถูกยื่นส่งมาให้ เฉินเสวี่ยรับไปดื่มอีกครั้งก็ยังคงปกติ ไหที่สามที่สี่ก็ยังคงปกติ

“หืม เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ” ฮวาลิ่วฉือ เริ่มมีท่าทีประหลาดใจและตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว คราวนี้นางรินน้ำในไหที่เหลืออีกห้าไหวางเรียงให้เฉินเสวี่ย น้ำจากไหแต่ละใบ ยิ่งลำดับสูงยิ่งมีความโปร่งใสและมีสีเขียวลดลง แต่กลับมีกลิ่นหอมที่มอมเมาจิตประสาทรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ ถ้วยใบสุดท้ายนั้นมีความใสราวกับน้ำเปล่า แต่กลิ่นหอมกลับแรงราวกับน้ำหอมกลั่นบริสุทธิ์

เฉินเสวี่ยยกถ้วยน้ำเหล่านั้นขึ้นมาดื่มตามลำดับ จนถึงไหใบสุดท้ายนางก็ยังไม่มีความผิดปกติอันใด ตัวนางเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตนควรจะต้องมีอาการอย่างไรจึงจะเรียกว่าปกติ

ฮวาลิ่วฉือทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตนได้ค้นพบ คว้าข้อมือของเฉินเสวี่ยขึ้นมากุมแล้วส่งพลังปราณของตนเองเข้าไปในร่างของเฉินเสวี่ยเพื่อสำรวจว่าเหตุใดเฉินเสวี่ยจึงผิดปกติเช่นนี้ แต่ทันทีที่ปราณยุทธ์ของนางเริ่มโคจรเข้าสู่เส้นลมปราณที่ข้อมือของเฉินเสวี่ย นางก็ถูกอีกฝ่ายรวบเก็บเข้าสู่แหวนมิติไปในพริบตา

เฉินเสวี่ยแค่นเสียงหยัน “เหอะ ขืนให้เจ้าสำรวจเส้นลมปราณของข้า เจ้าก็รู้ความลับของข้าหมดน่ะสิ เข้าไปนอนหลับในแหวนมิติเพื่อรอเป็นเตาบำเพ็ญของข้าอย่างสงบจะดีกว่า หึๆ ๆ”

ถึงเฉินเสวี่ยจะไม่รู้ว่าการที่ร่างกายของตนที่ไร้ซึ่งความผิดปกติยามดื่มน้ำจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าชั้นจะมีความหมายใด แต่นางก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่นางจะได้อยู่ในร่างผู้หญิง ยามที่พระจันทร์ขึ้นถึงตรงกลางท้องฟ้า นางจะต้องกลับคืนร่างเป็นชายอีกครั้ง ซึ่งนั่นอาจทำให้นางทำการได้ลำบากกว่าเดิม ดังนั้นภายในวันนี้นางจะต้องเก็บร่างของศัตรูทุกคนบนยอดเขาแห่งนี้เข้าไปในแหวนให้หมดเสียก่อนที่จะถูกใครจับได้

นางแง้มประตูห้อง ชะโงกหน้าออกไปดูภายนอก เห็นว่ารอบๆ บริเวณไร้ซึ่งผู้คนเหมือนตอนขามาก็โล่งใจ จึงเดินออกไปจากตัวอาคาร

บนยอดเขาแห่งนี้บรรยากาศเงียบสงัดและวังเวงราวกับสุสาน นางเดินมาตั้งนานยังไม่เห็นผู้คนผ่านมาสักคน เฉินเสวี่ยเดินกลับไปยังทางแยกที่นางแยกจากคนในกลุ่มมา และลองเดินตามทางนั้นไปเรื่อยๆ ไม่นาน นางก็โผล่มาถึงสระน้ำพุธรรมชาติขนาดใหญ่สระหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ น้ำในสระมีสีเขียวเข้มและมีฟองผุดพราย บนผิวน้ำมีไอหมอกสีเขียวระเหยออกมาคล้ายไอพิษ แต่กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เช่นเดียวกับน้ำในไหแรกที่ผู้อาวุโสให้นางดื่ม ภายในสระมีร่างเปล่าเปลือยของเด็กสาวทั้งเก้านางนั่งเอนกายหอบหายใจรวยรินพิงขอบสระอยู่เรียงราย แววตาของพวกนางเลื่อนลอย ผิวหนังก็มีอาการเห่อร้อนจนแดงก่ำไปทั้งตัวเหมือนคนมีไข้สูง

“นี่น่ะหรือ ปฏิกิริยาที่คนปกติควรจะเป็น” เฉินเสวี่ยก้าวเข้าไปนั่งยองๆ มองดูพวกนางใกล้ๆ

ด้วยความที่น้ำในสระเป็นสีเขียวเข้ม ทำให้นางมองไม่เห็นร่างกายส่วนที่อยู่ใต้น้ำของหญิงสาวเหล่านี้ แต่ขนาดนางเข้ามานั่งจนติดขอบสระแล้วก็ยังไม่มีเด็กสาวคนใดรู้สึกตัวขึ้นมาเลยสักคน

เฉินเสวี่ยมองไปรอบๆ ไม่เห็นเงาร่างของศิษย์พี่ฮวาเหอกุ้ย

“แบบนี้ก็ดี ทางสะดวกดีแท้” นางกล่าวด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง เดินไปกระชากผมขององค์หญิงรองให้แหงนหน้าขึ้นมาสบตากับตน

“หึ องค์หญิงผู้เย่อหยิ่งอย่างเจ้า สุดท้ายก็ได้มาอยู่ในกำมือข้าง่ายๆ เช่นนี้ ฮ่องเต้บัดซบนั่นคงคิดไม่ถึงเป็นแน่” เฉินเสวี่ยก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูขององค์หญิงคนงามที่ยังคงมีสีหน้าเลื่อนลอยไม่รับรู้ความเป็นไปใดๆ นางเก็บร่างไร้สติขององค์หญิงใส่เข้าไปในแหวนมิติ แล้วกวาดร่างของเด็กสาวทุกคนที่อยู่ในสระเก็บใส่เข้าไปในแหวนมิติของตนจนหมด เด็กสาวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีรูปร่างหน้าตางดงามไปคนละแบบ หากไม่เก็บไปไว้เป็นของเล่นแก้เบื่อก็คงไม่สมกับที่เป็นจอมมาร

ตอนที่เก็บไล่ไปจนถึงร่างของเกาซู่ซู่ เฉินเสวี่ยก็มีความลังเลเล็กน้อย เด็กสาวคนนี้แสดงไมตรีต่อตนไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงเมื่อคราวที่ครอบครัวของตนถูกท่านลุงใหญ่ผู้ที่ก็เคยแสดงออกว่ารักใคร่กลมเกลียวกับพวกตนยิ่งนักทรยศหักหลังจนตายกันหมด เฉินเสวี่ยก็คิดได้ว่าสิ่งที่มนุษย์แสดงออกมาภายนอกนั้นไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกสักนิดว่าภายในใจจะมีความรู้สึกที่เป็นเช่นเดียวกัน และนางก็สัญญากับตัวเองเอาไว้แล้วว่านับแต่วันที่ครอบครัวถูกทรยศหักหลังเป็นต้นมานางจะไม่เชื่อใจใครอีกต่อไป ชีวิตที่เหลือนางไม่ต้องการมิตรสหาย คนรัก หรือครอบครัวใดๆ ทั้งนั้น จากนี้ไปผู้ที่จะมาอยู่รอบตัวนางมีแค่ทาสของนางเท่านั้น

เมื่อเก็บร่างของเด็กสาวคนสุดท้ายเข้าแหวนมิติเสร็จ เฉินเสวี่ยก็เดินสำรวจรอบๆ บริเวณสระน้ำอย่างละเอียด ไม่นานก็ค้นพบเส้นทางเดินเล็กๆ ซ่อนอยู่หลังสุมทุมพุ่มไม้ นางจึงเดินต่อไปตามทางนั้น สิบกว่านาทีต่อมานางก็มาโผล่ยังสระน้ำพุธรรมชาติอีกสระหนึ่ง ดูจากสีของน้ำที่มีความเขียวใสกระจ่างกว่าสระแรกหนึ่งระดับ นางจึงเดาว่านี่คงจะเป็นสระที่ชั้นที่สอง ภายในสระแห่งนี้ก็มีหญิงสาวแช่น้ำอยู่สิบกว่านาง รุ่นพี่ฮวาเหอกุ้ยก็เป็นหนึ่งในนั้น ทุกคนมีอาการเหม่อลอยและตัวแดงก่ำเช่นเดียวกับผู้ที่แช่อยู่ในสระแรก เฉินเสวี่ยเห็นดังนั้นไม่รีรอที่จะเก็บร่างของพวกนางทั้งหมดเข้าสู่แหวนมิติของตน

นางพบเส้นทางเดินต่อไปยังสระที่สามที่สี่และที่ห้า ทุกสระมีศิษย์พี่หญิงทำการแช่กายด้วยสภาพเดียวกันทั้งหมด หลังจากผ่านมาถึงห้าสระ แหวนมิติของเฉินเสวี่ยก็มีหญิงงามบรรจุอยู่หกสิบกว่านางแล้ว เฉินเสวี่ยไม่รีบร้อน เดินมาไกลขนาดนี้เขายังไม่เจอใครอื่นที่ไม่ได้แช่อยู่ใสสระน้ำเลยสักคน หากนางเก็บศิษย์ที่แช่อยู่ในสระทั้งเก้าสระใส่แหวนไปได้หมด นางก็จะมีเตาบำเพ็ญเป็นร้อยเอาไว้ใช้ยามฝึกวิชาแบบสบายๆ ไปอีกนาน

เข้าสู่อาณาเขตของสระที่หก เฉินเสวี่ยพบว่าสระแห่งนี้มีขนาดเล็กลงกว่าห้าสระก่อนหน้าเกือบครึ่ง และหญิงสาวที่แช่อยู่ในสระก็มีจำนวนเพียงเจ็ดนางเท่านั้น ทุกนางยังคงมีแววตาเลื่อนลอยและมีผิวแดงก่ำแต่ดูเหมือนว่าพวกนางจะกระสับกระส่ายมากกว่าหญิงสาวในสระที่ผ่านๆ มา เฉินเสวี่ยเพียงชมดูด้วยความสงสัยอยู่ครู่เดียวก็เก็บร่างของพวกนางใส่ลงไปในแหวน แล้วเดินต่อ

ยิ่งเข้าไปในชั้นในๆ มากขึ้นเท่าไหร่ สระน้ำก็ยิ่งมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และจำนวนหญิงสาวที่แช่กายในสระก็มีจำนวนน้อยลงด้วยเช่นกัน

เมื่อมาถึงสระที่แปด เฉินเสวี่ยก็พบกับความประหลาดใจอีกครั้ง นางพบว่าหญิงสาวสามในห้านางที่แช่กายอยู่ในสระแห่งนี้ถึงกับเป็นผู้อาวุโสที่ติดตามฮวาไหนไหน่ไปที่ซากโบราณสถานเพื่อช่วยกันกำจัดครอบครัวของนาง เฉินเสวี่ยอยากจะพุ่งเข้าไปจัดการกับพวกนางในทันทีที่จำพวกนางได้ แต่หญิงสาวทั้งห้าที่แช่อยู่ในสระแห่งนี้แตกต่างจากสระอื่นๆ พวกนางหาได้มีสายตาเลื่อนลอยเลยสักคน ร่างกายของพวกนางแดงก่ำเช่นเดียวกับผู้ที่แช่กายในสระอื่นๆ ที่ผ่านมา แต่พวกนางหอบหายใจแรงกว่า และมีท่าทางทุรนทุรายมากกว่า ร่างเปล่าเปลือยทั้งห้าบิดกายไปมาอยู่ใต้น้ำราวกับถูกอะไรบางอย่างในน้ำทำให้เจ็บปวดทรมาน น้ำในสระนี้มีสีเขียวเพียงจางๆ และใสจนมองเห็นไปถึงก้นสระ เฉินเสวี่ยที่กำลังแอบดูอยู่จึงมองเห็นได้รางๆ ว่าที่ใต้น้ำมีเงาบางอย่างสีเขียวใส รูปร่างคล้ายหนวดปลาหมึก กำลังพันเลื้อยรัดรึงไปตามเนื้อตัวของพวกนาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+