เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 46 ความผิดสองเรื่องที่ไม่ควรทำ (rewrite)

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 46 ความผิดสองเรื่องที่ไม่ควรทำ (rewrite) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 46 ความผิดสองเรื่องที่ไม่ควรทำ (rewrite)

พายุฝนกำลังจะมาคุ

ไม่มีใครเห็นชัดเจนว่าร่างเงาชุดคลุมหยาบมาอย่างไร นี่หมายความว่า…

เขามีพลังบำเพ็ญสูงกว่าทุกคนที่นี่

นักพรตชุดคลุมหยาบท่านนั้นยกมือขึ้น กลางฝ่ามือเปล่งแสงสว่างจ้าราวกับกำสายฟ้า

ฉินโซ่วหรี่ตาลง ป้ายชื่อนั้นที่ตนชูอยู่เริ่มปริแตกในชั่วอึดใจเดียว ร่างอิทธิฤทธิ์ราชันดาราอี๋อู๋ที่ลอยออกมาเกิดคลื่นขึ้นเล็กน้อย เงาเลือนรางสั่นไหวอย่างแรง จะสลายไปเหมือนควัน

ราชันดาราอี๋อู๋ถามเสียงนุ่มนวล “ซูมู่…เจ้าจะเป็นศัตรูกับจวนขานฟ้ารึ!”

เมื่อได้ยินนามซูมู่ ท่านหญิงถ้ำกวางขาวมีสีหน้าตื่นตกใจ จากนั้นนัยน์ตาฉายประกายดีใจ

นางเคยได้ยินนามนี้ รู้ว่านามนี้หมายถึงอะไร

นักพรตชุดคลุมหยาบคนนี้ไม่ใช่นักพรตที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเจ้าลัทธิ เดินทางติดตามเฉินอี้จากนอกแดนประจิมมาพวกนั้น แต่เป็นยอดผู้บำเพ็ญหอสามวิสุทธ์สำนักเต๋าที่ประจำอยู่เมืองหลวงตลอด

พิจารณามองดูจะเห็นว่าอาภรณ์ของซูมู่ แม้จะมีเนื้อหยาบ แต่คุณภาพต่างจากนักพรตชุดคลุมหยาบพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นที่เขายื่นฝ่ามือออกมา ชุดคลุมใหญ่ปลิวไสว ยันต์และลวดลายมากมายลอยขึ้น ทอดไปทั้งถนนเล็ก

พลังบำเพ็ญสูงยิ่ง

เจ้าลัทธิไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทไท่จง มาถึงเมืองหลวง ในเมืองหลวงมีหน่วยหอสามวิสุทธ์ที่สร้างมาหลายปี รับผิดชอบต้อนรับและจัดการเรื่องที่เกี่ยวข้อง สำนักเต๋าวางหน่วยงานใต้บัญชาในเมืองหลวง ให้นามว่าหอยอดวิสุทธ์ ในนั้นมีผู้แข็งแกร่งลือชื่อที่สุดหลายคน และก็มี ‘ซูมู่’ คนนี้

วัดกันที่ฐานะและพลังบำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญดาราชะตาหอยอดวิสุทธ์อาจจะสู้ราชันดาราอี๋อู๋ไม่ได้ แต่ร่างจริงกับร่างอิทธิฤทธิ์ไม่อาจเทียบกันได้ ต่อให้เป็นราชันดาราก็อย่าคิดใช้ร่างอิทธิฤทธิ์กดให้ยอดผู้บำเพ็ญดาราก้มหัวได้

มิหนำซ้ำ การมาถึงของซูมู่…ยังหมายความถึงที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดนั้นข้างหลังหนิงอี้มาถึงตรอกฝนพรำแล้ว

เจ้าลัทธิเฉินอี้!

“ไม่ใช่ว่าข้าจะเป็นศัตรูกับจวนขานฟ้า…แต่จวนขานฟ้าจะเป็นศัตรูกับสำนักเต๋าทั้งใต้ฟ้าต้าสุยต่างหาก!” ไอรีนโนเวล

ทางเข้าตรอกฝนพรำ ซูมู่แห่งหอสามวิสุทธ์ที่ยืนหน้าหนิงอี้ก็สลายอำนาจคุกคามทั้งหมดของราชันดาราอี๋อู๋ได้ ประกาศด้วยใบหน้าเฉยชา

“ครั้งแล้วครั้งเล่า…จวนขานฟ้ายุติการเป็นพันธมิตรกับท่านเจ้าลัทธิ”

ซูมู่พูดอย่างไร้คลื่นอารมณ์ “ขอให้ราชันดาราอี๋อู๋ดูแลตัวเองให้ดีด้วย!”

ร่างจริงยอดผู้บำเพ็ญเหนือกว่าสิบขอบเขตมาถึงที่นี่ กดฝ่ามือลง ในสายฟ้าที่ปกคลุมทั้งตรอกเล็ก คุณชายน้อยจวนขานฟ้าที่ถือป้ายชื่อราชันดาราอี๋อู๋เกิดความตื่นกลัว ยังไม่ทันตั้งตัว ป้ายชื่อที่กำแน่นในมือแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างอิทธิฤทธิ์ของราชันดาราอี๋อู๋นั่นด่าทอด้วยความโกรธ “ซูมู่ เจ้ากล้ารึ!”

“ไฉนจะไม่กล้า”

ซูมู่บีบสายฟ้าในมือแน่น ทั้งตรอกเล็กระเบิดเป็นประกายสายฟ้า

ฉินโซ่วกระเด็นออกไปตามเสียง ลอยออกไปหลายจั้ง กระแทกกับบ้านพังตรงข้ามตรอกฝนพรำดังโครม ฝุ่นควันหมุนตลบ สภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง

ซูมู่มองเจ้ากรมน้อยคนนั้นที่จวนขานฟ้าส่งเข้ากรมผู้คุมกฎพลางเอ่ยนิ่งๆ “คุณชายปู้หรู กฎหมายต้าสุยไม่ใช่ว่าจะดูหมิ่นกันได้ง่ายๆ กรมผู้คุมกฎไม่เคยปฏิบัติต่อคนดีอย่างไม่เป็นธรรม ถูกต้องหรือไม่”

ปู้หรูแห่งจวนขานฟ้าเผยแววตามืดหม่น

คนอยู่ใต้ชายคา ต้องก้มหัว ต่อให้ข้างหลังเขาจะเป็นราชันดารา มาถึงช่วงเวลาสำคัญนี้ก็ต้องยอม

ดูท่าวันนี้กรมผู้คุมกฎคงพาหนิงอี้ไปไม่ได้แล้ว

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “คุณชายซูมู่ลงมือเหนือชั้น แซ่ปู้ละอายใจเทียบไม่ได้…”

อุบายกับการยัดของกลาง การพิพากษาเบี่ยงเบนกับปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ปู้หรูจมอยู่ในนั้นมาสิบกว่าปี เขารู้ดีว่าเมื่อใช่เวลาจะทำได้ทุกอย่าง แต่หากไม่ใช่เวลาก็อย่าฝืน การออกมาครั้งนี้เดิมทีต้องแข่งกับเวลา ต้องพาหนิงอี้กลับกรมผู้คุมกฎก่อนเจ้าลัทธิจะมาช่วย ถึงตอนนั้นเจ้าลัทธิมาถึง ก็ไม่ได้ออกหน้าช่วยแล้ว

ปู้หรูพ่นลมหายใจ มองรถม้าไม้ขาวที่แล่นมาช้าๆ ด้านข้างพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้คุณชายหนิงอี้ก็เป็นสหายของท่านเจ้าลัทธิ…เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องไต่สวนอีก วันหลังแซ่ปู้จะไปเยี่ยมเยือนใหม่”

เด็กหนุ่มสวมชุดคลุมขาวเดินลงมาจากในรถม้าไม้ขาว เฉินอี้มีสีหน้าเคร่งขรึมแต่เรียบนิ่ง มองข้ามคุณชายน้อยจวนขานฟ้าคนนั้นที่นอนบนพื้น แต่มองเจ้ากรมน้อยจวนขานฟ้าที่พากองทหารเกราะทองมาอย่างเฉยชา

“ขอคารวะท่านเจ้าลัทธิ…”

ปู้หรูรู้สึกว่าในสายตาเจ้าลัทธิหนุ่มคนนั้นเหมือนมีสิ่งที่ทำให้ตนหวาดกลัวอยู่เสี้ยวหนึ่ง เขาทำหน้าหนาพูดขึ้น “ท่านเจ้าลัทธิไฉนต้องมาเพื่อคุณชายหนิงอี้เองด้วย แค่ส่งนักพรตมาแจ้งก็เรียบร้อย กรมผู้คุมกฎจะปล่อยเขาไปแน่นอน”

คำพูดนี้น่าขำนิดๆ

เฉินอี้พูดเสียงเบา “คุณชายปู้หรู ข้าไม่ได้มาเพื่อหนิงอี้โดยเฉพาะ”

ปู้หรูขมวดคิ้วขึ้น ไม่เข้าใจความหมายของเจ้าลัทธิ

“คำสอนสำนักเต๋า อยู่ร่วมกับแสงสว่าง ให้การปกป้องและความอบอุ่นกับชาวเมืองในอาณาเขตต้าสุย” เฉินอี้พูดช้าๆ “นี่เป็นการส่งเสริมความถูกต้องที่ข้าควรทำอย่างเต็มที่”

นี่คือหลักการใหญ่

ปู้หรูงงงวยเล็กน้อย ช่วงเวลาสำคัญนี้…พูดเรื่องพวกนี้เพื่ออะไร

“สิบสี่ปีมานี้ เจ้าเอาเปรียบชาวเมืองสำนักเต๋ามาเท่าไรแล้ว บนบ่าแบกชีวิตคนเท่าไร จวนขานฟ้าให้ความสำคัญกับเจ้าเช่นนี้ เจ้ากลับทำเรื่องแบบนี้…” เสียงของเฉินอี้มีความเย็นเยือกเสี้ยวหนึ่ง เขาชะงักไปครู่หนึ่ง

จากนั้นพูดอย่างเฉยชา

“ไม่อาจอภัยโทษให้ได้ สมควรตายจริงๆ”

เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ แม้แต่หนิงอี้ยังตกใจ เฉินอี้เป็นคนมีนิสัยอ่อนโยนเช่นนี้ กลับพูดคำที่โกรธแค้นสุดขีดออกมาได้

ปู้หรูเงยหน้าขึ้น สายตางุนงงเล็กน้อย

กระดาษพระราชโองการยาวออกสีเหลืองลอยอยู่ตรงหน้าตน อักษรสีดำเต็มไปหมด โทษแต่ละข้อทำให้ดวงตาปู้หรูพร่าเลือน ขอบเขตดาราชะตาแห่งหอยอดวิสุทธ์ที่ถือกระดาษพระราชโองการยาวพลางพูดเสียงเบา “เจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยปู้หรู โทษเหล่านี้…มีตกหล่นหรือไม่”

ปู้หรูหน้าซีดขาว

เขาไม่นึกเลยว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้

สิบสี่ปี เขาอยู่ในตำแหน่งสูง เป็นเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยของเมืองหลวง ใช้ความสะดวกของตำแหน่งเปิดประตูหลังให้จวนขานฟ้า ทำอะไรสะดวกมากมาย ตนคิดว่าไม่มีผิดพลาด แต่ตอนนี้กระดาษพระราชโองการที่ลอยตรงหน้าตน ทุกเรื่องที่เรียงในนั้นล้วนมีหลักฐานแน่นอน

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้

หอยอดวิสุทธ์เจอหลักฐานพวกนี้ได้อย่างไร!

ในความคิดปู้หรูสับสนไปหมด รู้สึกว่าฟ้าถล่มลง เสียงดังอื้ออึง ข้างหลังเขายังมีสำนักให้พึ่งพิง บางทีอาจจะปกป้องชีวิตไว้ได้ จึงพูดเสียงแหบแห้ง ดวงตาแดงก่ำ “ท่านเจ้าลัทธิ ตัวตนข้าเป็นจวนขานฟ้า…”

“จวนขานฟ้าถอดตำแหน่งทั้งหมดของเจ้าแล้ว ขีดความสัมพันธ์กับเจ้าชัดเจน”

ซูมู่มองเจ้ากรมน้อยคนนี้ นัยน์ตาฉายแววสงสัยเสี้ยวหนึ่ง “ก่อนที่เจ้าจะนำกองทหารเกราะทองออกมา หอยอดวิสุทธ์ได้ยืนยันกับทางเจ้าจวนแล้ว…การรักษากฎหมายตามหลักความเป็นธรรมของเจ้าในวันนี้ ทำได้ไม่เลว ยังลากคนระดับราชันดาราออกมาอีกคน”

ปู้หรูซวนเซ ล้มลงนั่งกับพื้น

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้

เหตุใด…ถึงเป็นเช่นนี้

คุณชายน้อยจากจวนขานฟ้านั้นใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด มีสีหน้าตกใจ เหลือเชื่อ

“เมืองหลวงจะเปลี่ยนฟ้าแล้ว…”

เรื่องนี้ ราชันดาราอี๋อู๋ต้องถูกลงโทษเช่นกัน คนใหญ่โตระดับราชันดาราไม่ส่งผลอะไรมาก แต่ที่ทำให้เจ้าจวนตัดสินใจทิ้งตัวหมากสำคัญไปบางส่วน…เป็นเรื่องแบบใดกันแน่

ซูมู่เอ่ยราบเรียบ “ในเมืองหลวงมีของเน่าเหม็น จะต้องกำจัดให้สิ้นซาก ฝ่าบาทไท่จงอยู่มาหกร้อยปีแล้ว…เจ้าคิดว่าจวนขานฟ้าทำแผนการชั่วกระจอกพวกนี้ จะปิดบังฝ่าบาทไปได้รึ”

หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อน

เขามองปู้หรูถูกกองทหารเกราะทองที่ตนพามาจับตัวไป ภาพนี้น่าเยาะเย้ยยิ่งนัก

“คุณชายหนิงอี้ ทุกอย่างในวันนี้เป็นเพียงแผนการล่อ ต่อให้ปู้หรูไม่มา ข้าก็ต้องออกหน้าแน่นอน เพื่อล่อให้ปลาใหญ่อย่างราชันดาราอี๋อู๋ออกมา ดังนั้นเลยต้องรออยู่สักครู่” เฉินอี้พูดเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ในเมืองหลวงมีการต่อสู้กันประจำ หลักๆ จะแบ่งเป็นสองฝ่าย วันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง” ไอรีนโนเวล

หนิงอี้เข้าใจความหมายของเฉินอี้

พันธมิตรเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาที่มีหลี่ไป๋จิงเป็นผู้นำ สายเลือดองค์ชายรองที่มีคุณชายน้ำค้างอยู่

รวมถึงสายเลือดองค์ชายสามที่เคยคุมเชิงกันที่อารามรู้กรรมก่อนหน้านี้

“จวนขานฟ้าถือว่าเป็นสายเลือดของใคร” หนิงอี้ขมวดคิ้ว “องค์ชายสามรึ”

“สำนักศึกษาไม่เข้าร่วมการแย่งชิง” ซูมู่ข้างกายเฉินอี้ตอบแทน เขาพูดเสียงเบา “การชิงอำนาจระหว่างองค์ชายล้วนเกิดขึ้นที่เขตประจิมและบูรพา หากสู้กันใต้เท้าบุตรสวรรค์จะเกิดผลที่ตามมาร้ายแรงมาก ดังนั้นสำนักศึกษาก็ดี เขาลั่วเจียก็ดี ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวง ศิษย์ในนั้นก็ยิ่งหลงลืมตัวเองได้ง่าย อยากจะได้ประโยชน์จากทั้งสองทาง ตัวหมากนี้ของจวนขานฟ้าซุ่มอยู่ในกรมผู้คุมกฎมานานมาก บทสรุปในวันนี้ก็เป็นเพราะตัวเขาเอง”

“ความหมายของท่านคือ…”

ซูมู่พูดนิ่งๆ “ปู้หรูทำผิดหลายอย่าง แต่โทษที่เขาไม่ควรทำมากที่สุดคือรับผลประโยชน์ขององค์ชายรอง และยังรับของจากองค์ชายสาม”

หนิงอี้หัวเราะ

เขาพูดด้วยความเสียดายเล็กน้อย “ข้าก็คิดว่าจวนขานฟ้าจะถูกโค่นลงเสียอีก หรือกระทบกระเทือนบ้าง”

“สำนักศึกษาไม่สนใจพวกนี้ แค่หลับตาข้างเดียวเท่านั้น” ซูมู่ยิ้ม “คุณชายหนิงอี้…อีกไม่นานท่านเจ้าลัทธิจะออกจากเมืองหลวง เรื่องนี้ ถือว่าปกป้องเจ้าครั้งสุดท้ายแล้ว”

หนิงอี้คำนวณเงียบๆ ในใจ ถึงเวลาที่เฉินอี้ต้องกลับจริงๆ

“ราชันดาราอี๋อู๋โดนเรื่องครั้งนี้ไป น่าจะไม่ลงมือกับเจ้าง่ายๆ อีก” เฉินอี้ยิ้มอบอุ่น “จวนนั้นยังเป็นของเจ้า นักพรตชุดคลุมหยาบจากหอยอดวิสุทธ์ยังเฝ้าประตูให้เจ้าเหมือนเดิม”

เฉินอี้มองตรอกเล็กที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น ก่อนหน้านี้เกิดการลอบสังหารน่าตื่นตกใจขึ้น

พญายมน้อยถูกหนิงอี้สังหารด้วยกระบี่

หลังเขายืนนิ่ง ชุดคลุมขาวยกเท้าขึ้นเบาๆ

เฉินอี้พูดเสียงเบา “คุณชายหนิงอี้…เราสองคนเดินบนเส้นทางที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง”

ในแววตาเจ้าลัทธิมีความซับซ้อนเสี้ยวหนึ่ง

เขาพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “เจ้าจะสู้กับอัจฉริยะทั้งโลก นี่เป็นเส้นทางแห่งโคลนตม สิ่งที่เฉินอี้ช่วยได้มีเพียงเท่านี้…”

เจ้าลัทธิตบบ่าหนิงอี้ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “หวังว่าครั้งหน้าจะได้พบกันใหม่!”

หนิงอี้ยิ้ม

เฉินอี้เปิดม่านรถ ขึ้นรถม้า โบกมือ

หนิงอี้พูดเสียงต่ำด้วยสีหน้าจริงจัง “รักษาตัวด้วย”

‘ตึกๆๆ…’

เสียงเท้าม้าดังขึ้น รถม้าไม้ขาวจากไปช้าๆ และออกไปจากเมืองหลวง

………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด