เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 60 โลงศพราชาหัวใจราชสีห์ (rewrite)

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 60 โลงศพราชาหัวใจราชสีห์ (rewrite) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 60 โลงศพราชาหัวใจราชสีห์ (rewrite)

“เอาอย่างไรดี”

อู๋เต้าจื่อดวงตาแดงก่ำ จ้องหนิงอี้พลางเค้นถามในลำคอทีละคำ “หนิงอี้…เอาอย่างไรดี”

สองคนอยู่ใจกลางหมอกดำ ม้าเหล็กนับไม่ถ้วนพุ่งชนอยู่นอกรัศมีเศษหญ้า ปราณหยินแตกกระเซ็น สะเก็ดไฟระเบิด

ยอดขุนพลยุคโบราณคนหนึ่งขี่หลังม้า ควบกระบี่บินเข้ามา กระบี่เล็กขึ้นสนิมสีดำทุกส่วนมีเต็มไปหมดราวกับตั๊กแตนผ่านดินแดน วนรอบหนิงอี้ในระยะสามฉื่อและทะลวงอย่างบ้าคลั่ง ระเบิดดังตู้มต้าม ยอดขุนพลคนนี้กอดกล่องดำยักษ์ใบหนึ่ง ในกล่องวางกระบี่ยาวแบนราบสามฉื่อ หลังม้าโคลงเคลง ครึ่งตัวบนกลับนิ่งดั่งเขาไท่ซาน ต่างจากขุนพลที่พันด้วยเกราะเกล็ดหนักพวกนั้น

เขาสวมชุดคลุมลายงูเหลือมสีดำ สงบนิ่งไม่รีบร้อน สะบัดแขนเสื้อดีดนิ้วไม่หยุด เหมือนดีดพิณโจมตีกระบี่ยาวที่นอนอยู่ในกล่องอย่างสงบนิ่งออกไป กระบี่ยาวสามฉื่อทุกเล่มแนบลำแสงยาว ตอนที่บินออกไป ลำแสงแยกออก ตกลงมาเหมือนฝนกระหน่ำบนฟ้า ทะลวงเกราะหน้าอกหัวใจของทหารตรงหน้า หลังจากดูดเลือดมาแล้วก็กลายเป็นลำแสงสีแดงฉาน พุ่งใส่หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อไม่หยุด

กดดันเข้ามาหนักขึ้นเรื่อยๆ ปราณหยางของเศษหญ้าก็กระตุ้นขึ้นมารุนแรงขึ้น

หนิงอี้ไม่รู้สึกว่ากายเนื้อแบกรับภาระใดๆ เลย ปราณกระบี่สีแดงฉานเป็นพันเป็นหมื่นสายชนกับปราณหยางและแตกกระจายออก ขวางพวกเขาเดินหน้าไปไม่ได้

แต่แรงกดดันในด้านจิตใจรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

มองไปในทุ่งหญ้ามืดมิดไร้ขอบเขต ข้างหน้าหลังเป็นทางตัน

“ไป!”

หนิงอี้หรี่ตาลง เขายังคงหลังตรง จนถึงตอนนี้ อู๋เต้าจื่อผ่อนคลายจิตใจลงบ้างแล้ว

ระดับความอันตรายของสุสานจักรพรรดิเหี้ยมโหดกว่าสุสานของจวนขานฟ้ามาก

มหาสุสานของสำนักศึกษา ผนึกพวกนั้นแม้จะโหด เอาชีวิตคน แต่อย่างน้อยก็มีทางถอยได้ ไม่จำเป็นต้องแตะต้องอะไรก็ผ่านไปได้อย่างปลอดภัยได้ ขอแค่ไม่แตะต้องสมบัติก็พอ

แต่เจ้าของในสุสานจักรพรรดินี้ ตอนนั้นไม่รู้ปกครองโลกหล้าอย่างไร ตายไปแล้วยังดุร้ายเช่นนี้ ปิดตายเส้นทางในสุสานทั้งหมด!

จุดแปลกเพียงหนึ่งเดียวก็วางบนโลงศพไม้!

ต่อให้เจ้ามีพรสวรรค์เท่าฟ้า เขาก็อยากจะเห็นหน้าเจ้าในโลงศพ…หากออกไปจากที่นี่ได้จริงๆ ส่วนลึกในใจอู๋เต้าจื่อคงถูกประทับเงามืดมหึมาลงไป

หนิงอี้จ้องแสงสว่างจากโลงศพไม้นั้น ใบหน้าเขาไร้คลื่นอารมณ์ แรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ…หลังเขาเหยียดตรงมาก

ความรู้สึกอำนาจคุกคามที่คุ้นเคยนี้ เขาได้สัมผัสที่อารามรู้กรรมแล้ว

นี่คืออำนาจจักรพรรดิที่ว่าหรือ

กฎมากมายที่สวีจั้งบอก ข้อบังคับต่างๆ ข้อนั้นที่ใหญ่ที่สุด

หนิงอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือพินิจเหมันต์ อีกมือชูหญ้าแห้ง เดินหน้าไปช้าๆ ก้าวอย่างมั่นคง

กองทัพเป็นพันเป็นหมื่นพุ่งชนตน ล้วนแหลกสลายไป

เส้นทางสีแดงแห่งนี้ ยืดยาวไปช้าๆ

จนมาถึงหน้าโลงศพไม้

แสงอ่อนกลุ่มนั้นไม่สว่างในยามราตรี

แต่หากไม่ใช่เพราะหญ้าแห้งนี้ในมือหนิงอี้ นี่คงเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในคืนมืด

ขาสองข้างของอู๋เต้าจื่ออ่อนยวบเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเขา ต่อให้หญ้าแห้งนี้ต้านอำนาจคุกคามส่วนใหญ่ไว้ อำนาจราชวงศ์ที่เหลือก็ยังถาโถมใส่ศีรษะหนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อ

ยิ่งเดินไปถึงช่วงหลัง ทหารเงามืดพวกนี้ก็ไม่กล้าโจมตีอีก เสียงคำรามแหลมเล็กไล่หลังหนิงอี้ ไกลออกไปเรื่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ…ทหารเงามืดพวกนี้ตอนมีชีวิตออกศึกให้จักรพรรดิต้าสุย รู้นิสัยเจ้าของคนนี้ว่าอารมณ์ร้ายผิดปกติ ชอบความสงบที่สุด ตายไปแล้วจะกล้าอกตัญญู ทำลายความสงบรอบโลงศพไม้ได้อย่างไร

กลางหมอกดำเงียบสงัด

หากมีคนกล้าบุกเข้ามา

เช่นนั้นก็มีแต่ตายไม่มีรอด

หนิงอี้ยืนหน้าโลง ใบหน้าสงบนิ่ง

อู๋เต้าจื่อบีบจมูกไม่กล้าพูด ในแขนเสื้อยังบีบยันต์กั้นเสียงระดับไม่ธรรมดาแผ่นหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าค่ายกลคุณภาพแย่ในสายตาจักรพรรดิเช่นนี้ ตอนนี้ยังมีผลกั้นเสียงหรือไม่

ตอนมีชีวิตเจ้าของสุสานรักความสงบ หากตนพูด แล้วดวงจิตจักรพรรดิที่หลงเหลืออยู่ที่นี่สัมผัสได้ บางทีอาจจะถูกค่ายกลที่ไม่รู้จักคิดว่าเป็น ‘เสียงน่ารำคาญ’ ไปสังหารหน้าโลงศพ วัตถุแห่งมหาสุริยะในมือหนิงอี้จะต้านได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้…

เดินอยู่ในแดนที่ล้ำค่าที่สุด ชั่วร้ายและเหี้ยมโหดที่สุดในโลก จะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ระวังทุกฝีก้าว

สองคนมองหน้ากัน คัมภีร์แสวงมังกรในแขนเสื้อเริ่มหาจุดแปลกในโลงศพไม้ วัสดุไม้ของโลงศพนี้ล้ำค่ามาก หนิงอี้แยกไม่ออก เขามองอู๋เต้าจื่อ อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเหมือนกัน สื่อว่าไม่เคยพบมาก่อน

สองคนไม่กล้าแตะต้องโลงศพ มองไป คุณภาพของโลงศพ เหมือนจะผสมระหว่างทองกับไม้ มีความเย็นเยือก…ไม่ต้องหยั่งเชิงก็รู้ว่าวัสดุของโลงศพนี้ไม่ธรรมดายิ่ง เกรงว่าพินิจเหมันต์คงฟันไม่เกิดผล กระบี่ที่มีระดับสูงสุดในโลกก็ยากจะฟันให้เกิดรอยได้

“เจ้าของสุสานท่านนี้…ทำให้ข้านึกถึงการคงอยู่ยิ่งใหญ่ที่อ่านเจอในคัมภีร์โบราณภูเขาม่วงเลย”

อู๋เต้าจื่อบีบยันต์กั้นเสียงพลางพูดอย่างระมัดระวัง ค่ายกลของโลงศพนี้เหมือนจะไม่ได้แกร่งขนาดนั้น ค่ายกลสังหารไม่ทำงาน เขาก็โล่งใจ แต่ก็ยังพูดเสียงเบามาก “สงครามปราบปรามเกิดขึ้นที่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทหารเหล็กใต้บัญชากล้าหาญยิ่ง เหี้ยมโหดโดยกำเนิด รักความสงบ…ในประวัติศาสตร์ต้าสุย ก็หาจักรพรรดิที่สอดคล้องกับตรงนี้ไม่ได้…”

หนิงอี้หรี่ตาลง

“แต่มีคนหนึ่งที่พิเศษ…”

“ราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดรเมื่อสองพันปีก่อน” อู๋เต้าจื่อจ้องโลงศพไม้นี้ ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นที่นอนอยู่หลับใหลในโลกมนุษย์ตลอดกาล โลงศพไม่มีร่องรอยการแกะสลักใดๆ ลวดลายโลงไม้สีแดงเหมือนขนคอราชสีห์ สิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นหัวใจที่ไม่มีวันหยุดเต้น

“ทะเลพลิกผันเคยเกิดมหาสงครามผู้บำเพ็ญปีศาจข้ามดินแดนขึ้น พวกเขาข้ามทะเลแห้งขอดนั้นมาที่ราบสูงแผ่นดินน้ำแข็งของทางเหนือ ตอนนั้นจักรพรรดิเมืองหลวงนภายังไม่ขึ้นบัลลังก์ เผชิญหน้ากับสงครามจึงไร้กำลัง และเป็นราชาหัวใจราชสีห์แห่งแดนอุดรที่ยุติสงครามครั้งนี้”

“ราชาหัวใจราชสีห์กลับเมืองหลวงจักรพรรดิ นั่งบัลลังก์จักรพรรดิภายใต้การรายล้อม…ได้รับขนานนามว่าจักรพรรดิหัวใจราชสีห์ จากนั้นไม่นานเขาก็สิ้นชีพลง ตายในกระแสน้ำที่ยากจะกล่าวนามได้ใปประวัติศาสตร์” อู๋เต้าจื่อจ้องโลงศพไม้ เสียงเบาถึงที่สุด เหมือนเห็นว่าสิ่งที่นอนในนั้น เป็นบุรุษคนนั้นที่สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ไว้ในประวัติศาสตร์

“เล่าลือว่าราชาหัวใจราชสีห์ตายในการรัฐประหารของตระกูลหลี่ เขาหลั่งเลือดจักรพรรดิ นั่งบนบัลลังก์แห่งความชอบธรรมและกองทัพ ข้างหลังมีเหล่าชุดคลุมมากมายติดตาม แต่กลับถูกขุนนางหักหลัง ล้มลงจากบัลลังก์…เงามืดช่วงสุดท้ายผ่านไปตามกาลเวลา ผู้รายล้อมรอบตัวเขากุมอำนาจอีกครั้ง สร้างสุสานจักรพรรดิให้เขา ถึงได้หลับใหลชั่วนิรันดร์ในเมืองหลวง แต่คนส่วนใหญ่คิดว่านี่เป็นตำนานเหลวไหล เพราะกายเนื้อของราชาหัวใจราชสีห์น่าจะถูกผู้เคียดแค้นทำลายไปนานแล้ว”

“ราชาหัวใจราชสีห์เคยเป็นจักรพรรดิอยู่ไม่นาน…” หนิงอี้ขมวดคิ้วก่อนพูดงึมงำ “เขาตายไปแล้วฝังไว้ที่นี่รึ”

“เกรงว่าคงจะใช่…” อู๋เต้าจื่อพยักหน้า เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ราชาหัวใจราชสีห์กับผู้ยิ่งใหญ่เบื้องหลังภูเขาม่วงเคยคบค้ากัน เขาเคยบาดเจ็บสาหัส หนีภัยไปที่ภูเขาม่วง ตอนที่กำลังจะตายก็เคยร้องขอเจ้าภูเขาในตอนนั้น หวังว่าจะใช้วิชาต้องห้ามเกิดดับ พลิกกลับความตาย และแก้แค้นกับขุนนางทรยศ ทว่าสุดท้ายก็ใช้ความล้มเหลวบอกลา ราชาแห่งแดนอุดรคนนี้ ตายไปนานหลายปีถึงได้ถูกพลิกคำตัดสิน ส่วนตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้”

หนิงอี้เคยได้ยินนามราชาหัวใจราชสีห์ ไอรีนโนเวล

ยอดผู้บำเพ็ญที่เอาชนะผู้บำเพ็ญปีศาจในแดนอุดรคนนี้ รับคำสรรเสริญและใส่ร้ายจากชาวโลก ชาวโลกสวมมงกุฎจักรพรรดิของราชาแห่งแดนอุดรให้เขา และยังเรียกเขาว่า ‘ราชาคลั่ง’ กับ ‘ผู้บ้าสังหาร’

“ที่นี่เป็นพื้นที่ค่อนข้างไกลจากสุสานจักรพรรดิ…ยากจะจินตนาการได้เลยว่าจักรพรรดิต้าสุยองค์อื่น จักรพรรดิที่ครองราชย์มานานและสร้างสุสานอย่างดีพวกนั้น ค่ายกลหลังสิ้นชีพไปแล้วจะแกร่งถึงเพียงใด”

อู๋เต้าจื่อหันไปมองด้วยความผวา ก่อนพูดงึมงำ “สุสานของราชาหัวใจราชสีห์มีกลิ่นอายสังหารรุนแรงมาก นี่ยังเป็นชนรุ่นหลังสร้างให้เขา หากเขาครองราชย์ในเมืองหลวงมั่นคงและนานกว่านี้หน่อย เหมือนอย่างไท่จงตอนนี้ เกรงว่าวัตถุแห่งมหาสุริยะของเจ้าคงต้านปราณหยินของค่ายกลไม่ไหว”

หนิงอี้ปลงอยู่ในใจเช่นกัน

สุสานของราชาหัวใจราชสีห์คนนี้ สร้างยิ่งใหญ่จริงๆ หากทหารเงามืดพวกนี้ออกไปข้างนอก ก็ไม่รู้ว่าจวนขานฟ้าจะคต้านพลังชั่วร้ายสังหารนี้ไหวหรือไม่

สุสานจักรพรรดิเช่นนี้อยู่นอกสุสานจักรพรรดิในประวัติศาสตร์ต้าสุย ในโลกที่ไม่รู้จักจะกลายเป็นแดนเทวา ความเกิดดับจะได้รับการเติมเต็มจากดวงชะตาข้างนอก ดวงชะตากับฮวงจุ้ย ล้วนเป็นแดนที่ดีอย่างยิ่ง

เมืองหลวงต้องรวมชีพจรมังกรเท่าไรถึงจะฝังคนใหญ่คนโตมากขนาดนี้อย่างสงบได้

เพียงแต่กงล้อฮวงจุ้ยหมุนวน สุสานเลี้ยงคน คนเลี้ยงสุสาน ยอดผู้บำเพ็ญราชวงศ์ที่ตอนมีชีวิตมีชื่อเสียงโด่งดังพวกนี้ อำนาจหลังจากตายไปแล้วยังอยู่ อำนาจของราชาหัวใจราชสีห์ไหลเวียนมาสองพันปีหลังจากเขาตาย ผู้บำเพ็ญแห่งแดนอุดรมักจะมีคำว่า ‘ขอให้ราชาของเราคุ้มครองด้วย’ ก่อนที่จะทำสงครามเผ่าปีศาจ ก็จะพูดว่า ‘ดวงชะตายุทธ์รุ่งเรือง’ พวกนี้เกิดขึ้นเพราะเขา

การคาดการณ์ของคัมภีร์แสวงมังกรดำเนินไปเกือบครึ่งก้านธูป

ค่ายกลข้างนอกยังไม่หายไป ยอดขุนพลหลายคนดวงตาแดง ขี่บนหลังม้า รอผู้บุกสุสานราชาหัวใจราชสีห์สองคนเดินออกจากพื้นที่เงียบสงบของโลงศพ จะได้โจมตีในทีเดียว

กลิ่นอายชั่วร้ายวนเวียนรอบหนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อ

หญ้าแห้งนั้นโอนเอนไปมา ยังคงเปล่งแสงอ่อน ตั้งแต่แรกก็ยังเป็นเช่นนี้ ทำให้ตนอดกังวลใจไม่ได้ว่าอีกเดี๋ยวจะถูกพลังชั่วร้ายดับลง

ผลการคาดการณ์สุดท้ายออกมาแล้ว…

เหงื่อเย็นๆ ที่แผ่นหลังของอู๋เต้าจื่อเปียกชื้นแล้วก็แห้ง แห้งแล้วก็เปียกอีก ตอนที่ก้าวมาถึงโลงศพไม้นี้ เขาคาดเดาได้แล้วว่าเรื่องคงไม่จบอย่างสวยงาม

เขาพูดเสียงแหบแห้ง “หนิงอี้…ข้าหาจุดแปลกพบแล้ว”

นักบวชกัดฟัน จ้องโลงศพสีแดงฉานตรงหน้า ก่อนพูดอย่างยากลำบาก “จุดแปลก…อยู่ในโลงศพนี่”

……………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด