เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 70 ผู้ชม

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 70 ผู้ชม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 70 ผู้ชม

แม่น้ำล้อมเมืองของเมืองหลวง แม่น้ำวายุแดงนั้นเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง แสงทองกับสีแดงฉานซ้อนทับกัน แสงเทพสว่างไสว

‘บรรพจารย์’ สี่สำนักศึกษา บางคนหลับใหลในสุสานนิรันดร์ บางคนหลับชั่วคราว รอการตื่นครั้งต่อไป

เสียงตะโกนนั้นในจวนภูเขาคราม แม้เสียงจะเบา แต่กลับสั่นสะเทือนไปทั้งเมืองหลวงต้าสุย

หญิงรับใช้กับผู้ติดตามในตำหนักเริ่มวิ่งไปรายงาน ชั้นสูงของสามกรม เหล่าผู้มีอำนาจหนุ่มร้อนใจนั่งไม่ติดพื้น ขึ้นรถม้ารีบไปยังวัง ผู้อาวุโสของกรมข่าวกรองกรมปราบปีศาจและกรมผู้คุมกฎลืมตาขึ้นที่สะลึมสะลืออยากจะหลับขึ้น ใบหน้าดูอ่อนล้า นั่งอยู่บนเบาะกลมเก่าในห้องกว้างของตน มองท้องนภาสายฟ้าแลบไกลๆ

นั่นคือทางจวนภูเขาคราม

สำนักศึกษาเงียบสงบมาเกือบร้อยปี หลายปีมานี้ดอกไม้บานและโรยรา ไม่แย่งชิงกับโลก ต่อให้เป็นตอนตัวอ่อนกระบี่สวีจั้งหิ้วกระบี่บุกมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็ยังไม่คึกคักเช่นนี้

ค่ำคืนโลหิตเมืองหลวงตอนนั้น สิบเขาศักดิ์สิทธิ์ปิดล้อมเผยหมิน สำนักศึกษาก็แค่ยืนดู อยู่ใต้ฟ้าต้าสุย สี่สำนักศึกษาที่มีคุณสมบัติถูกเรียกว่า ‘สิ่งมหึมา’ แยกจากกัน ใจคนไม่หลอมรวมกัน แต่หากรวมกัน กระทั่งเหนือกว่าเขาลั่วเจีย ดังนั้นจึงวางท่าทีมองดูด้วยสายตาเย็นชากับขุมอำนาจใต้ฟ้ามาตลอด ตอนนี้ปรากฏการณ์แม่น้ำวายุแดงของเมืองหลวงต้าสุย อธิบายได้ว่าบรรพจารย์ที่ยังไม่ลงดินอย่างสงบในสำนักศึกษา เกรงว่าคงจะเคลื่อนไหวแล้ว

ยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตนิพพาน]’มือ ใต้เท้าบุตรสวรรค์ มีเพียงคำว่า ‘ชำระล้างสิ่งสกปรก’ ที่อธิบายได้

ไม่ว่าจะสามกรมก็ดี คือคนใหญ่คนโตที่อยู่ในสังกัดเขาวิญญาณสำนักเต๋าแดนบูรพาแดนประจิมก็ดี ต่อให้มีกำลังขวางได้สักเล็กน้อย ก็ไม่ลองเข้าไปแทรกแซงโดยเด็ดขาด

เพราะที่นี่คือเมืองหลวง

ดังนั้น หากเกิดเรื่องนี้ขึ้น แสดงว่า…จะต้องได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้น

เจ้าของเมืองแห่งนี้ คือเจ้าของใต้ฟ้าแห่งนี้

รถม้าของสามกรมทยอยกันเข้าวัง บางคนที่นั่งในรถม้าเหงื่อไหลอาบหลัง สองมือกดหัวเข่าแน่น เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงต้าสุย พวกเขาใช่ว่าไม่ได้ยินมาก่อน อย่างเช่นบัญญัติบรรพชนที่ห้ามสำนักศึกษาขึ้นกับผู้มีอำนาจ และอย่างเช่นข่าวการตายของเจ้ากรมน้อยผู้คุมกฎในช่วงก่อนหน้านี้ เจ้าลัทธิหนุ่มแห่งสำนักเต๋าก่อนออกจากเมืองหลวง ได้สั่งสอนจวนขานฟ้าไปไม่มากไม่น้อย จวนขานฟ้ากลับโต้ตอบด้วยการไม่คิดเช่นนั้น

ข่าวพวกนี้พรั่งพรูเข้าไปในความคิด ตอนนี้เหมือนมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเหนือศีรษะ ราวกับเป็นการเตือน น้ำฝนเม็ดใหญ่ที่กระทบบนหลังคารถดังเปาะแปะยังเหมือนเตือนผู้คุมกฎทุกคนของสามกรมว่ามีบางอย่างเริ่มขึ้นแล้ว

ตอนนี้กำลังเกิดขึ้นที่จวนภูเขาคราม…

การต่อสู้ของสำนักศึกษา

บางทีหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้อาจจะพัวพันไปถึงสิ่งที่ใหญ่กว่า

การต่อสู้ทุกครั้งเหมือนกัน ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ยิ่งใหญ่เพียงใด สถานการณ์ดุเดือด สิ่งที่เหนี่ยวนำทุกอย่างมักจะเป็นเพียงเชื้อไฟเล็กๆ สำนักศึกษาในคืนนี้ไม่ค่อยสงบ มองทีเดียวก็เหมือน ‘คดีเลือดที่เกิดจากการปล้นสุสาน’ แต่หากเพ่งพินิจมอง ความขัดแย้งระหว่างสี่สำนักศึกษาได้สั่งสมความแค้นจนฝังรากลึก วันนี้วันพรุ่ง ปีนี้ปีหน้า ไม่อาจคลายลงได้ง่ายๆ แล้ว

ไม่มีทางให้ถอย สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่ไม่มีใครออกมาในสุสาน ไม่ช้าก็เร็วสักวันจะเผชิญหน้ากับการลงมือกดดันจาก ‘บรรพจารย์’

กำแพงล้มทุกคนดัน สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวกลายเป็นกำแพงอันตรายที่อุดอยู่ในกระแสอำนาจของเมืองหลวงมานาน หากผลักนางล้มก็จะได้ผลประโยชน์ เหตุใดตนจะไม่มาสอดมือล่ะ

แต่สถานการณ์จริงคือ สมาชิกสามกรมที่ลงมือทั้งในทางสว่างและทางมืดพวกนั้น ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้

ตอนนี้เอง

คนที่เข้าแถวกำลังกังวลถูกผิด คนที่เดิมพันกำลังลังเลกำไรและขาดทุน มีคนอยากเพิ่มของเดิมพันก็เกรงว่าจะไม่ทัน มีคนกลัวว่าหลังจากคืนนี้ไปจะล้มละลาย

ผู้ชมที่ยืนดูคนอื่นประสบหายนะ ตอนนี้รีบร้อนเข้าวัง…กลัวว่าเปลวเพลิงฝั่งตรงข้ามจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเผาตัวเอง

เรื่องมาถึงตอนนี้ แม่น้ำวายุแดงเมืองหลวงเดือดพล่าน ยอดฝีมือขอบเขตนิพพานจะลงมือกำราบสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่มีทางที่ฝ่าบาทไท่จงจะไม่รู้

ไท่จงมองดูทุกอย่าง ให้ทุกอย่างเกิดขึ้นไปตามธรรมชาติเช่นนี้…เช่นนั้นเรื่องราวก็จะง่ายขึ้น

สมาชิกสามกรมที่หลายปีมานี้รอดจากพายุฝน ก็พอจะคาดเดาดีร้ายได้

ไม่ว่าเรื่องใด ไม่ว่าแย่งชิงอะไร อยู่ในเมืองหลวง

บทสรุปก็ขึ้นอยู่กับแค่คนเดียว

ฝ่าบาทไท่จง

ฝ่าบาทต้องการเห็นบทสรุปแบบใด บทสรุปของเรื่องนี้จะกลายเป็นแบบนั้น หกร้อยปีมานี้ไม่มีข้อยกเว้น

……

“ซูมู่เจอ เจ้าไม่แปลกใจหรือ…สู้มาจนถึงตอนนี้ เหตุใดสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวถึงไม่มีผู้บำเพ็ญดาราชะตามาสักคนเลย”

จวนภูเขาคราม เกิดฝนตกหนัก

เจ้าจวนขานฟ้าพูดเสียงเบา “เดาสิว่าที่สำนักเกิดอะไรขึ้น”

หญิงสวมงอบดำกำด้ามดาบแน่น

ผู้บำเพ็ญของสามสำนักศึกษา คนมาจวนภูเขาครามไม่ถือว่าเยอะ ความจริงตอนเริ่มที่สองฝ่ายคุมเชิงกันเป็นสองกลุ่ม นางก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว เสียงในป้ายหยกสื่อสารยังขาดการเชื่อมต่อ การเชื่อมต่อระหว่างสำนักกับตนหายไป…ศิษย์ถ้ำกวางขาวที่สังเกตเห็นความผิดปกติพวกนั้นไม่มีเลยสักคน

“เมืองหลวงอยู่ไม่ไกล” เจ้าจวนขานฟ้าพูดอย่างจริงจัง “พูดให้ถูกคือพวกเขายืนอยู่หลังข้า กรมผู้คุมกฎ กรมปราบปีศาจ กรมข่าวกรอง ยงหนานหวัง…คนใหญ่คนโตทั้งเมืองหลวงกำลังมองมาที่นี่ การต่อสู้นี้ของสำนักศึกษา ขอแค่มีตัวนำเดียวก็จะจุดไฟขึ้น”

เขามองหนิงอี้ที่ยังคงนั่งยองหน้ารูปปั้นหินและพยายามปลุกเคียงกระบี่ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “หนิงอี้…เจ้าถือว่าทำคุณความดียิ่งใหญ่ให้จวนขานฟ้าข้าเลย”

หนิงอี้มือเย็นนิดๆ เขานั่งยองบนผิวน้ำ มองใบหน้าของเคียงกระบี่ ในแววตามีความสับสนเสี้ยวหนึ่ง

สามสำนักศึกษา ในคืนนี้ทำการกดดันสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ตอนนี้…ในสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวอาจจะเกิดการ ‘ชะล้าง’ ที่กำลังต่อต้านสำนักศึกษาอย่างยากลำบาก

ซูมู่เจอพูดเสียงแหบแห้ง “คนพวกนี้ยืนอยู่ข้างเจ้ารึ ข้าไม่เชื่อ”

เจ้าจวนขานฟ้าหรี่ตาลง

“หากพวกเขายืนอยู่หลังเจ้า…เช่นนั้นคนที่มาจวนขานฟ้าคงไม่ได้มีเพียงศิษย์สำนักศึกษา” ซูมู่เจอยิ้ม นางพูดเสียงต่ำ “พวกเขาย่อมยินดีที่จะเห็นการต่อสู้ภายในสำนักศึกษา และยินดีที่จะผลักดาบมา แต่พวกเขาจะยืนอยู่หลังผู้ชนะตลอดกาล…ดีใจตอนนี้จะเร็วไปหน่อยกระมัง”

เจ้าจวนขานฟ้าที่ถือกระบี่ยาวสามฉื่อยืนบนพื้นกว้าง

เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง ครู่ต่อมาก็ยกคมกระบี่ขึ้นช้าๆ ชี้ไปทางหญิงสวมงอบ พูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นขอถามหน่อย…สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวยังมีไพ่ตายอะไรอีกหรือไม่”

ซูมู่เจอใช้สองมือปักกระบี่ยืนตรง แขนเสื้อสะบัด เงียบไม่พูด

สุ่ยเยวี่ยยืนขึ้น ถือกระบี่มาอยู่ข้างซูมู่เจอ

นางยืนกลางสายฝน น้ำฝนตกกระทบใต้เท้าเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อม มองซูมู่เจอพลางพูดอย่างจริงจัง “ข้ามีความมั่นใจหนึ่งส่วน”

ความมั่นใจหนึ่งส่วนที่จะทะลวงขอบเขตราชันดารา

ซูมู่เจอเงยหน้ามองฟ้า กลิ่นอายลับของจวนภูเขาครามชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว กลิ่นอายที่ไม่อาจต่อต้านนั้นเป็นยอดฝีมือขอบเขตนิพพานจริงๆ จวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา วัตถุโบราณที่ฝังใต้ดินพวกนั้นเห็นภายในโลงศพไม้มาพอแล้ว อยากจะออกมาสูดอากาศใหม่…

ซูมู่เจอตบบ่าสุ่ยเยวี่ย นางพูดเสียงเบา “รอเถอะ”

รออยู่ที่นี่ และรอตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ขอบเขตราชันดารา

เผชิญหน้ากับคนขอบเขตนิพพาน ราชันดาราคนเดียว ราชันดาราสองคน จะมีความต่างอะไร

สุ่ยเยวี่ยสับสนเล็กน้อย จากนั้นมีแรงผลักที่นุ่มนวลและไม่อาจต่อต้านแผ่มาจากหัวไหล่ ผลักนางลอยไปข้างหลัง

ขณะอยู่กลางอากาศ…

ซูมู่เจอถอดงอบออก โยนไปในน้ำ หลังโยนงอบนั้นไปแล้วก็แตกเป็นเสี่ยงๆ กระแทกเป็นคลื่นน้ำสองลูกชัดจนรวมกันเป็นปราการน้ำธรรมชาติ เหมือนชามพลิกคว่ำหุ้มหนิงอี้กับสุ่ยเยวี่ยไว้ในนั้น

เผยใบหน้าหญิงที่เรียบนิ่งและแน่วแน่

“ข้าฝึกบำเพ็ญมาร้อยปี จิตมรรคแน่วแน่ นั่งตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษา เดิมทีคิดว่ากฎนั้นของถ้ำกวางขาวอยู่สูงสุด กฎที่ไม่แก่งแย่งชิงกับใคร ตั้งกฎไว้อย่างถูกต้อง จนถึงตอนนี้ถึงรู้ว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง

สิบปีก่อนตอนเผยหมินตาย ข้าไม่ได้ลงมือขัดขวาง คืนโลหิตเมืองหลวง ข้าเป็นผู้ชมเหมือนกับอีกสามสำนักศึกษาพวกเจ้า

ตอนสวีจั้งบุกจวนขานฟ้า ข้าก็ปิดด่านบำเพ็ญ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเช่นกัน ใต้ฟ้าต้าสุยไม่ว่าเรื่องใหญ่เพียงใด ก็เป็นเรื่องเล็กของสำนักศึกษา

พวกเจ้าบอกข้าว่า ไม่ใช่เรื่องของตนก็ไม่ต้องสนใจนั้นอยู่สูงสุด…” ซูมู่เจอพูดจริงจังทีละคำ “พวกเจ้ายังบอกข้าอีกว่าสองหูไม่ฟังเรื่องนอกหน้าต่าง มีใจแค่บำเพ็ญเพียรเส้นทางชีวิตยืนยาว ดังนั้นข้าเลยไม่ถามไถ่ ไม่สนใจ ถึงตอนนี้ สำนักศึกษาจะล่มสลายแล้ว…ข้าถึงเข้าใจ พวกเขาก็คือคนในเมืองหลวงพวกนั้นในวันนี้ พวกเขายืนอยู่ข้างหลังเจ้าในวันนี้ หัวเราะเยาะข้า บางทีพรุ่งนี้ก็อาจจะยืนข้างหลังคนอื่น”

เจ้าจวนขานฟ้าทำเป็นไม่สนใจ สีหน้าเฉยชา ไม่คิดเช่นนั้นเลย

ซูมู่เจอก้มหน้าลงเพ่งมองตัวดาบ หัวเราะเบาๆ

“เงยหน้ามองไปรอบๆ ปิดด่านบำเพ็ญขังตัวเอง ไร้ญาติไร้มิตรสหาย หากตอนนั้นข้าไม่เลือกนิ่งดูดาย แต่ทำอะไรให้สหายของสำนักศึกษาบ้าง เช่นนั้นวันนี้ คนที่ขวางหน้าพวกเจ้าอาจจะมีสวีจั้งแห่งเขาสู่ซาน เนี่ยหงหลิงแห่งภูเขาม่วง และยังมีคนอีกมากมาย”

ระหว่างซูมู่เจอในตอนนี้กับกองกำลังสามสำนักศึกษามีเพียงละอองน้ำพลิ้วไหว ระเกะระกะ

การไม่แก่งแย่งชิงของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ไม่ได้หมายความว่าจะเฉยชาและอัธยาศัยไม่ดี

หญิงสาวงอบที่ตระหนักได้บ้างแล้ว สองมือกำด้ามดาบแน่น

นางพึมพำเสียงเบา “สหายเก่าในอดีต ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย”

เมื่อเอ่ยจบ นางเงยหน้ามองฟ้า

ฝนตกหนัก ‘บรรพจารย์’ ขอบเขตนิพพานคนนั้นตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน แม่น้ำวายุแดงต้าสุยเปล่งแสงสว่าง ต้อนรับบรรพจารย์สำนักศึกษาที่มีฉายาแต่งตั้งสูงยิ่งคนนี้

“ที่แท้ก็เป็นบุตรสู่ฟ้า…” ซูมู่เจอพึมพำเสียงเบา นางตั้งดาบหมึกไว้ตรงหน้า มือข้างหนึ่งกำด้ามดาบ อีกมือดีดตัวดาบ พลังดาบสั่นไหวและซ้อนทับกัน กลิ่นอายพลังในกายเหมือนแม่น้ำใหญ่ทลายเขื่อน พุ่งขึ้นไม่หยุด

ซูมู่เจอยิ้ม

“ต่อให้เป็นบุตรสู่ฟ้ามาแล้วอย่างไร ข้า จะสู้กับฟ้าดูสักครั้ง!”

……………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด