เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 2: เลทิเซีย ทีน อาเดฟ

Now you are reading เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ Chapter 2: เลทิเซีย ทีน อาเดฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปี 1

บทที่ 2 – เลทิเซีย ทีน อาเดฟ

 

และฉันในตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในรถม้าสุดหรูที่กำลังเดินทางไปยังหนึ่งในห้าโรงเรียนเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในผืนทวีป..

สถานที่ซึ่งเป็นที่ที่เกมจีบหนุ่มนั่นเริ่มขึ้น ‘โรงเรียนเวทมนตร์ลิเบอร์’ .. แต่ก็นะนับตั้งแต่เปิดเรียนนี่ก็ผ่านมาตั้งครึ่งเทอมแล้วคงสงสัยละสิว่าทำไมฉันพึ่งมาเอาปานนี้

อย่างแรกเลยความจริงฉันจะออกเดินทางมาก่อนช่วงเทศกาลแข่งขันกับอีกห้าโรงเรียนที่เหลือ.. แต่เพราะการแข่งขันนั้นถูกยุติลงกะทันหัน

แล้วก็มีเหตุไม่คาดคิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นทำให้เวลาเดินทางฉันถูกเลื่อนออกมานั่นเอง

และสาเหตุที่ฉันไม่ได้ไปตอนเปิดเทอมวันแรกเพราะทางบ้านฉันมีปัญหาอะไรเล็กน้อยส่งผลให้ดำเนินเรื่องล่าช้า

ฉันจึงต้องถูกบังคับเข้าเรียนห้องเรียนสอนพิเศษเมื่อเดินทางไปถึง ส่วนห้องที่ฉันต้องเรียนก็ยังไม่ถึงกำหนด

ยังดีที่อนาสตาเซีย.. หรือก็คือฉันนั่นแหละ ฉันไม่ได้อวยตัวเองหรอกนะแต่ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ในระดับหนึ่ง

ซึ่งทางโรงเรียนลิเบอร์ก็คิดว่าฉันเป็นที่สำคัญพอสมควรจึงแอบผ่อนปรนได้นิดหน่อย ก็นะฉันมีโอกาสกลายเป็นลาสบอสที่เลทิเซียต้องจัดการเองเลยนะ

จะไม่เก่งได้ไงล่ะ ถูกไหม?

ขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น.. ในตอนนั้นเองรถม้าก็หยุดลง ด้วยความสงสัยฉันจึงเปิดผ้าม่านส่องดูนอกหน้าต่าง

ก็มีอัศวินคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังม้ากล่าวขึ้น…

“ดูเหมือนว่าจะต้องอ้อมจริงๆ .. ทางข้างหน้าเป็นเขตหวงห้ามที่นานาชาติห้ามไม่ให้เข้าขอรับ”

“งั้นเหรอ..”

ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านหน้ามีกำแพงหินที่ถูกสร้างขึ้นองด้วยเวทมนตร์ควบคุมแผ่นดินทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

เบื้องหลังนั้นเป็นอาณาจักรที่โดน ‘แสงเทพมารมรณะ’ เล่นงาน.. นี่แหละต้นตอที่ทำให้ฉันไปถึงโรงเรียนช้ากว่าที่กำหนดไว้มาก

ในเกมมันไม่เคยเฉลยด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำ ทั้งที่เป็นอีเว้นเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศแต่ทางผู้พัฒนาดันทะลึ่งไม่เฉลยด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

ว่ากันว่าเมื่อหลายเดือนก่อนที่แห่งนี้ได้พรากชีวิตผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรไปในคราวเดียวผู้ที่เหลือรอดมีไม่ถึงสามในสิบส่วน

อาณาจักรนี้ถูกปกครองด้วยสองผู้กล้าสุดแข็งแกร่ง แต่ทั้งคู่ก็ตายไป.. เหมือนว่าจะเป็นการปิดข้าวจากเบื้องบนด้วยละนะ

จำไม่ผิดหนึ่งในเป้าหมายในการจีบที่เป็นเจ้าชายก็เคยพูดเรื่องนี้กับนางเอกว่า.. ท่านพ่อปกปิดเรื่องนี้แม้แต่กับเขา

ดูท่าทางจะเป็นปมที่สำคัญแท้ๆ แต่เกมไม่เฉลยนี่นับว่าเป็นความผิดพลาดได้ป่ะ.. ช่างเถอะไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้วล่ะ

เป้าหมายของฉันบนโลกนี้มีเพียงอย่างเดียวคือไม่กลายเป็นลาสบอสและเป็นนักผจญภัยท่องโลกกว้าง ถอนหมั้น ไปหากอดเด็กสาวหูสัตว์ในแดนกึ่งมนุษย์

ก็แหม.. ฉันไม่ได้อยากเป็นขุนนางสักหน่อยนี่ แถมตลอดสิบกว่าปีที่ตั้งแต่เกิดใหม่มา ตัวฉันนั้นแทบจะไม่มีความเป็นส่วนตัว

ไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนประกบซ้ายประกบขวา จะหวีดเด็กผู้หญิงน่ารักๆ ในโลกนี้ก็ทำไม่ได้.. ฉันหมายถึงดูการเติบโตของเด็กๆ น่ะ เพราะเด็กๆ ในโลกนี้น่ารักทุกคน.. 
 

เอ่อ อันที่จริงฉันหมายถึงน่าเอ็นดูน่ะ.. แถมเด็กสาวน่ารักในโลกนี้ค่อนข้างจะเป็นมิตรด้วย 
 

ชิ ไอ้พวกขุนนางนี่น่ารำคาญซะจริง.. นี่ยังไม่หมดพวกเขาบังคับให้ฉันต้องเรียนมารยาทตั้งแต่เด็กเพื่อการเป็นภรรยาที่ดีให้กับเจ้าองค์ชายงี่เง่าที่โดนนางเอกหลอกฟันนั่น

ทางเดียวที่จะหนีออกจากการเป็นขุนนางได้คือการเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์… ทำไมน่ะเหรอ..

โรงเรียนเวทมนตร์นั้นมีรากฐานมาจากกิลด์นักผจญภัยด้วยส่วนหนึ่ง เพราะในโรงเรียนนั้นจะมีวิชาหนึ่งที่ชื่อว่า ‘วิชานักผจญภัย’ ซึ่งก็ตามชื่อเลย

จะสอนการเป็นนักผจญภัยอะไรก็ว่าไป แถมพอขึ้นปีสองจะสามารถรับภารกิจจากทางโรงเรียนได้ด้วยที่บอร์ดคำร้องขอ

จะว่าไงดีเหมือนโรงเรียนต้องการให้นักเรียนได้มีประสบการณ์จริงเลยทำสัญญาบางอย่างกับกิลด์นักผจญภัย

ทำให้ทางโรงเรียนเองก็มีบอร์ดคำร้องขอ.. แถมหากได้เกรดวิชานักผจญภัยดีๆ ละก็.. พอไปสมัครเป็นนักผจญภัยในกิลด์ละก็จะได้การรองรับแบบพิเศษด้วย

อีกทั้งยังได้เงินด้วย!อันที่จริงการทำภารกิจในบอร์ดโรงเรียนไม่มีขุนนางคนไหนทำหรอก เพราะมันอันตรายแถมยังไม่ใช่การเรียนรู้

แต่ว่ามันได้เงินด้วยนะ!ซึ่งสำหรับฉันที่วางแผนจะต่อยหน้าเจ้าองค์ชายนั่นแล้วให้มันถอนหมั้น.. ก็คงถูกครอบครัวเตะออกจากวงศ์ตระกูล

การทำภารกิจคือการหาเงินของฉัน!

แถมยังเป็นก้าวแรกที่จะมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งสาวหูสัตว์แล้วล่ะ!

“เอ๊ะ… นั่นมันอะไรน่ะ?”

ในขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรอยู่นั้นสายตาก็หันไปทางกำแพงหินที่ถูกสร้างอย่างลวกๆ ก็สั่นสะเทือนทุกคนหันตามเสียงของฉันไปแทบจะทันที

แต่วินาทีถัดมากำแพงดินนั่นก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง ‘ตู้ม!!!!’ เศษหินกระจุยกระจายพร้อมเต็มไปด้วยหมอกควัน

“คุณหนูหลบเข้าไปในรถก่อน!”

อัศวินพูดแบบนั้นพร้อมกับสร้างโล่แสงขึ้นป้องกันหินเอาไว้ ข้าหลบออกมาจากหน้าต่าง แต่ในตอนนั้นเองด้านนอกก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของบางสิ่งบางอย่าง

‘วี๊ดดดดดดด!’

เสียงแหลมของมันทำเอาหูฉันแทบดับเลยทันที .. ด้วยความสงสัยฉันจึงยื่นหน้าขึ้นไปส่องดูเล็กน้อย ตรงที่กำแพงหินมีสัตว์อสูรที่คล้ายนกยูงยักษ์อยู่ตัวหนึ่ง

หางของมันแผ่ออกราวกับมีดวงตามากมายติดอยู่เต็มไปทั่วหางมัน ถ้าไม่ใช่ตาคงจะสวยกว่านี้แหละ แต่แบบนี้มันน่ากลัวนะเนี่ย!

แต่ทว่าในขณะเดียวกันเบื้องหน้านกยูงยักษ์ก็ยังมีคนหลายคนที่กำลังโจมตีมันอย่างเอาเป็นเอาตาย..

หืม.. ชุดแบบนั้นมัน..

ฉันขมวดคิ้วกับเครื่องแต่งกายอีกฝ่ายก่อนจะใช้เวทมนตร์ขยายการรับรู้ขึ้นทำให้ดวงตามองได้ไกลขึ้น

ทำให้หูได้ยินไกลขึ้น.. ที่ตรงนั้นมีคนคอยออกคำสั่งอยู่

ฉันเข้าใจจากที่พวกเขาคุยกันนี่เหมือนจะเป็นสอนภาคปฏิบัติจากโรงเรียนเวทมนตร์ที่ฉันจะไปเรียน โรงเรียนลิเบอร์

แต่ว่านะ เจ้านกยูงนั่นเป็นมอนสเตอร์ที่น่ากลัวไม่ใช่เหรอ.. ดูจากขนาดตัวแล้วน่าจะเป็นเด็กปีหนึ่งกันนี่น่า

ให้เด็กปีหนึ่งมาสู้กับมอนสเตอร์ที่มีการโจมตีประเภทคำสาปนี่เกินไปนะ.. นกยูงนี้เป็นมอนสเตอร์ร้อยตา มีความสามารถโจมตีด้านเวทมนตร์คำสาป

คือสามารถสาปให้ทุกอย่างในระยะที่ดวงตาทั้งหมดที่หางมันมองถึงให้กลายเป็นหินได้…

◇◆◇

การต่อสู้ดุเดือดที่นำกลุ่มนักเรียนโดยอาจารย์ที่มีชื่อว่า ‘เวโรเน่’ เธอสั่งการเด็กๆ อย่างเป็นระเบียบระบบ

เห็นได้ชัดว่าเธอมีประสบการณ์มากโชกโชนพอสมควร เด็กๆ ปีหนึ่งก็ตอบสนองการสั่งการอย่างดีเยี่ยม..

แต่ในตอนนั้นเองดวงตาของเธอก็หดเล็กลง..

“ทุกคนหลบออกจากระยะการมองเห็นของมัน มันจะใช้คำสาปหินแล้ว!”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นก็กลั้นหายใจดีดตัวถอยออกห่างอย่างว่องไว.. ในขณะที่ทุกคนถอยห่างจนเสร็จหมดนั้นดวงตาของเวโรเน่ก็เบิกกว้าง

เธอหันไปเห็นว่ามีกลุ่มรถม้าอยู่ด้านหลังซึ่งตรงกับระยะการมองเห็นของนกยูงยักษ์พอดี

“บ้าเอ้ย ทำไมถึงมีรถม้ามาอยู่แถวนี้พอดีด้วย!”

“หน่วยสนับสนุนหยุดการโจมตีของมัน!”

เวโรเน่ตะโกนออกมาด้วยความกังวลเล็กน้อย ดวงตาที่หางของนกยูงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว

“ไม่ไหวอาจารย์ พวกเราควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว หน่วยสนับสนุนใช้เวทไปจนหมดก่อนหน้านี้แล้ว!”

“บ้าเอ๊ย!!”

เวโรเน่สบถออกมากำลังจะปลดพลังบางอย่าง.. ทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรจะใช้ในยามนี้แท้ๆ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

ทว่าเธอยังไม่ทันได้ทำอะไรนั้นเงาร่างร่างหนึ่งก็พลันเหยียบลงบนหลังรถม้าคันนั้นก่อนที่ดวงตาที่แดงก่ำที่อยู่บนหางของนกยูงก็ปลดปล่อยคลื่นอะไรบางอย่างออกมา

ร่างนั้นไม่ได้พูดอะไร เพียงคว้ามือไปข้างหน้า.. แทรกแซงปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างทำให้อากาศเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นกระจกใส

“เมื่อแสงกระทบจากวัตถุมันจะส่งตรงไปยังดวงตาและเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เรารับรู้ในสมอง หมายความว่า.. พลังของมันคือการสาปบางอย่างที่สะท้อนเข้ามาที่ระยะการมองเห็นของมัน”

“แต่ถ้าหากคำสาปถูกร่ายออกมาและฉันสร้างกระจกขึ้นมาก่อนที่คำสาปจะส่งตรงมาถึง … ภาพสะท้อนนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า แต่เป็นตัวมันเอง”

“กล่าวคือคนที่จะกลายเป็นหิน.. มีเพียงแค่แกนั่นแหละ”

สิ้นเสียงของเธอผู้หญิงที่ยืนอยู่บนรถม้า ร่างของนกยูงก็แข็งกลายเป็นหิน พูดก็พูดเถอะคำสาปของมันทำงานผ่านสื่อกลางที่เรียกว่า ‘แสง’

และการจะตอบสนองแถมยังใช้เวทให้ไวกว่าสื่อกลางอย่าง ‘แสง’ คงมีนักเรียนน้อยคนที่จะทำได้

คนที่ยืนอยู่บนรถม้าคือเด็กสาวผมสีดำสนิทราวกับความมืดยามรัตติกาล.. ดวงตาสีดำสนิทของเธอราวกับอัญมณีสีนิล

สวมชุดของโรงเรียนที่ดูเข้ากับสีผมสีตายิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากเข้าไปอีก..

ผมของเธอโบกสยายตามแรงลม ราวกับเทพธิดาก็มิปาน … ใบหน้าของเธอเผยความอ่อนโยนและเป็นมิตรกับทุกคน

เธอคือ.. เลทิเซีย ทีน อาเดฟ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 2: เลทิเซีย ทีน อาเดฟ

Now you are reading เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ Chapter 2: เลทิเซีย ทีน อาเดฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปี 1

บทที่ 2 – เลทิเซีย ทีน อาเดฟ

 

และฉันในตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในรถม้าสุดหรูที่กำลังเดินทางไปยังหนึ่งในห้าโรงเรียนเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในผืนทวีป..

สถานที่ซึ่งเป็นที่ที่เกมจีบหนุ่มนั่นเริ่มขึ้น ‘โรงเรียนเวทมนตร์ลิเบอร์’ .. แต่ก็นะนับตั้งแต่เปิดเรียนนี่ก็ผ่านมาตั้งครึ่งเทอมแล้วคงสงสัยละสิว่าทำไมฉันพึ่งมาเอาปานนี้

อย่างแรกเลยความจริงฉันจะออกเดินทางมาก่อนช่วงเทศกาลแข่งขันกับอีกห้าโรงเรียนที่เหลือ.. แต่เพราะการแข่งขันนั้นถูกยุติลงกะทันหัน

แล้วก็มีเหตุไม่คาดคิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นทำให้เวลาเดินทางฉันถูกเลื่อนออกมานั่นเอง

และสาเหตุที่ฉันไม่ได้ไปตอนเปิดเทอมวันแรกเพราะทางบ้านฉันมีปัญหาอะไรเล็กน้อยส่งผลให้ดำเนินเรื่องล่าช้า

ฉันจึงต้องถูกบังคับเข้าเรียนห้องเรียนสอนพิเศษเมื่อเดินทางไปถึง ส่วนห้องที่ฉันต้องเรียนก็ยังไม่ถึงกำหนด

ยังดีที่อนาสตาเซีย.. หรือก็คือฉันนั่นแหละ ฉันไม่ได้อวยตัวเองหรอกนะแต่ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ในระดับหนึ่ง

ซึ่งทางโรงเรียนลิเบอร์ก็คิดว่าฉันเป็นที่สำคัญพอสมควรจึงแอบผ่อนปรนได้นิดหน่อย ก็นะฉันมีโอกาสกลายเป็นลาสบอสที่เลทิเซียต้องจัดการเองเลยนะ

จะไม่เก่งได้ไงล่ะ ถูกไหม?

ขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น.. ในตอนนั้นเองรถม้าก็หยุดลง ด้วยความสงสัยฉันจึงเปิดผ้าม่านส่องดูนอกหน้าต่าง

ก็มีอัศวินคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังม้ากล่าวขึ้น…

“ดูเหมือนว่าจะต้องอ้อมจริงๆ .. ทางข้างหน้าเป็นเขตหวงห้ามที่นานาชาติห้ามไม่ให้เข้าขอรับ”

“งั้นเหรอ..”

ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านหน้ามีกำแพงหินที่ถูกสร้างขึ้นองด้วยเวทมนตร์ควบคุมแผ่นดินทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

เบื้องหลังนั้นเป็นอาณาจักรที่โดน ‘แสงเทพมารมรณะ’ เล่นงาน.. นี่แหละต้นตอที่ทำให้ฉันไปถึงโรงเรียนช้ากว่าที่กำหนดไว้มาก

ในเกมมันไม่เคยเฉลยด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำ ทั้งที่เป็นอีเว้นเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศแต่ทางผู้พัฒนาดันทะลึ่งไม่เฉลยด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

ว่ากันว่าเมื่อหลายเดือนก่อนที่แห่งนี้ได้พรากชีวิตผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรไปในคราวเดียวผู้ที่เหลือรอดมีไม่ถึงสามในสิบส่วน

อาณาจักรนี้ถูกปกครองด้วยสองผู้กล้าสุดแข็งแกร่ง แต่ทั้งคู่ก็ตายไป.. เหมือนว่าจะเป็นการปิดข้าวจากเบื้องบนด้วยละนะ

จำไม่ผิดหนึ่งในเป้าหมายในการจีบที่เป็นเจ้าชายก็เคยพูดเรื่องนี้กับนางเอกว่า.. ท่านพ่อปกปิดเรื่องนี้แม้แต่กับเขา

ดูท่าทางจะเป็นปมที่สำคัญแท้ๆ แต่เกมไม่เฉลยนี่นับว่าเป็นความผิดพลาดได้ป่ะ.. ช่างเถอะไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้วล่ะ

เป้าหมายของฉันบนโลกนี้มีเพียงอย่างเดียวคือไม่กลายเป็นลาสบอสและเป็นนักผจญภัยท่องโลกกว้าง ถอนหมั้น ไปหากอดเด็กสาวหูสัตว์ในแดนกึ่งมนุษย์

ก็แหม.. ฉันไม่ได้อยากเป็นขุนนางสักหน่อยนี่ แถมตลอดสิบกว่าปีที่ตั้งแต่เกิดใหม่มา ตัวฉันนั้นแทบจะไม่มีความเป็นส่วนตัว

ไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนประกบซ้ายประกบขวา จะหวีดเด็กผู้หญิงน่ารักๆ ในโลกนี้ก็ทำไม่ได้.. ฉันหมายถึงดูการเติบโตของเด็กๆ น่ะ เพราะเด็กๆ ในโลกนี้น่ารักทุกคน.. 
 

เอ่อ อันที่จริงฉันหมายถึงน่าเอ็นดูน่ะ.. แถมเด็กสาวน่ารักในโลกนี้ค่อนข้างจะเป็นมิตรด้วย 
 

ชิ ไอ้พวกขุนนางนี่น่ารำคาญซะจริง.. นี่ยังไม่หมดพวกเขาบังคับให้ฉันต้องเรียนมารยาทตั้งแต่เด็กเพื่อการเป็นภรรยาที่ดีให้กับเจ้าองค์ชายงี่เง่าที่โดนนางเอกหลอกฟันนั่น

ทางเดียวที่จะหนีออกจากการเป็นขุนนางได้คือการเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์… ทำไมน่ะเหรอ..

โรงเรียนเวทมนตร์นั้นมีรากฐานมาจากกิลด์นักผจญภัยด้วยส่วนหนึ่ง เพราะในโรงเรียนนั้นจะมีวิชาหนึ่งที่ชื่อว่า ‘วิชานักผจญภัย’ ซึ่งก็ตามชื่อเลย

จะสอนการเป็นนักผจญภัยอะไรก็ว่าไป แถมพอขึ้นปีสองจะสามารถรับภารกิจจากทางโรงเรียนได้ด้วยที่บอร์ดคำร้องขอ

จะว่าไงดีเหมือนโรงเรียนต้องการให้นักเรียนได้มีประสบการณ์จริงเลยทำสัญญาบางอย่างกับกิลด์นักผจญภัย

ทำให้ทางโรงเรียนเองก็มีบอร์ดคำร้องขอ.. แถมหากได้เกรดวิชานักผจญภัยดีๆ ละก็.. พอไปสมัครเป็นนักผจญภัยในกิลด์ละก็จะได้การรองรับแบบพิเศษด้วย

อีกทั้งยังได้เงินด้วย!อันที่จริงการทำภารกิจในบอร์ดโรงเรียนไม่มีขุนนางคนไหนทำหรอก เพราะมันอันตรายแถมยังไม่ใช่การเรียนรู้

แต่ว่ามันได้เงินด้วยนะ!ซึ่งสำหรับฉันที่วางแผนจะต่อยหน้าเจ้าองค์ชายนั่นแล้วให้มันถอนหมั้น.. ก็คงถูกครอบครัวเตะออกจากวงศ์ตระกูล

การทำภารกิจคือการหาเงินของฉัน!

แถมยังเป็นก้าวแรกที่จะมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งสาวหูสัตว์แล้วล่ะ!

“เอ๊ะ… นั่นมันอะไรน่ะ?”

ในขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรอยู่นั้นสายตาก็หันไปทางกำแพงหินที่ถูกสร้างอย่างลวกๆ ก็สั่นสะเทือนทุกคนหันตามเสียงของฉันไปแทบจะทันที

แต่วินาทีถัดมากำแพงดินนั่นก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง ‘ตู้ม!!!!’ เศษหินกระจุยกระจายพร้อมเต็มไปด้วยหมอกควัน

“คุณหนูหลบเข้าไปในรถก่อน!”

อัศวินพูดแบบนั้นพร้อมกับสร้างโล่แสงขึ้นป้องกันหินเอาไว้ ข้าหลบออกมาจากหน้าต่าง แต่ในตอนนั้นเองด้านนอกก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของบางสิ่งบางอย่าง

‘วี๊ดดดดดดด!’

เสียงแหลมของมันทำเอาหูฉันแทบดับเลยทันที .. ด้วยความสงสัยฉันจึงยื่นหน้าขึ้นไปส่องดูเล็กน้อย ตรงที่กำแพงหินมีสัตว์อสูรที่คล้ายนกยูงยักษ์อยู่ตัวหนึ่ง

หางของมันแผ่ออกราวกับมีดวงตามากมายติดอยู่เต็มไปทั่วหางมัน ถ้าไม่ใช่ตาคงจะสวยกว่านี้แหละ แต่แบบนี้มันน่ากลัวนะเนี่ย!

แต่ทว่าในขณะเดียวกันเบื้องหน้านกยูงยักษ์ก็ยังมีคนหลายคนที่กำลังโจมตีมันอย่างเอาเป็นเอาตาย..

หืม.. ชุดแบบนั้นมัน..

ฉันขมวดคิ้วกับเครื่องแต่งกายอีกฝ่ายก่อนจะใช้เวทมนตร์ขยายการรับรู้ขึ้นทำให้ดวงตามองได้ไกลขึ้น

ทำให้หูได้ยินไกลขึ้น.. ที่ตรงนั้นมีคนคอยออกคำสั่งอยู่

ฉันเข้าใจจากที่พวกเขาคุยกันนี่เหมือนจะเป็นสอนภาคปฏิบัติจากโรงเรียนเวทมนตร์ที่ฉันจะไปเรียน โรงเรียนลิเบอร์

แต่ว่านะ เจ้านกยูงนั่นเป็นมอนสเตอร์ที่น่ากลัวไม่ใช่เหรอ.. ดูจากขนาดตัวแล้วน่าจะเป็นเด็กปีหนึ่งกันนี่น่า

ให้เด็กปีหนึ่งมาสู้กับมอนสเตอร์ที่มีการโจมตีประเภทคำสาปนี่เกินไปนะ.. นกยูงนี้เป็นมอนสเตอร์ร้อยตา มีความสามารถโจมตีด้านเวทมนตร์คำสาป

คือสามารถสาปให้ทุกอย่างในระยะที่ดวงตาทั้งหมดที่หางมันมองถึงให้กลายเป็นหินได้…

◇◆◇

การต่อสู้ดุเดือดที่นำกลุ่มนักเรียนโดยอาจารย์ที่มีชื่อว่า ‘เวโรเน่’ เธอสั่งการเด็กๆ อย่างเป็นระเบียบระบบ

เห็นได้ชัดว่าเธอมีประสบการณ์มากโชกโชนพอสมควร เด็กๆ ปีหนึ่งก็ตอบสนองการสั่งการอย่างดีเยี่ยม..

แต่ในตอนนั้นเองดวงตาของเธอก็หดเล็กลง..

“ทุกคนหลบออกจากระยะการมองเห็นของมัน มันจะใช้คำสาปหินแล้ว!”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นก็กลั้นหายใจดีดตัวถอยออกห่างอย่างว่องไว.. ในขณะที่ทุกคนถอยห่างจนเสร็จหมดนั้นดวงตาของเวโรเน่ก็เบิกกว้าง

เธอหันไปเห็นว่ามีกลุ่มรถม้าอยู่ด้านหลังซึ่งตรงกับระยะการมองเห็นของนกยูงยักษ์พอดี

“บ้าเอ้ย ทำไมถึงมีรถม้ามาอยู่แถวนี้พอดีด้วย!”

“หน่วยสนับสนุนหยุดการโจมตีของมัน!”

เวโรเน่ตะโกนออกมาด้วยความกังวลเล็กน้อย ดวงตาที่หางของนกยูงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว

“ไม่ไหวอาจารย์ พวกเราควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว หน่วยสนับสนุนใช้เวทไปจนหมดก่อนหน้านี้แล้ว!”

“บ้าเอ๊ย!!”

เวโรเน่สบถออกมากำลังจะปลดพลังบางอย่าง.. ทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรจะใช้ในยามนี้แท้ๆ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

ทว่าเธอยังไม่ทันได้ทำอะไรนั้นเงาร่างร่างหนึ่งก็พลันเหยียบลงบนหลังรถม้าคันนั้นก่อนที่ดวงตาที่แดงก่ำที่อยู่บนหางของนกยูงก็ปลดปล่อยคลื่นอะไรบางอย่างออกมา

ร่างนั้นไม่ได้พูดอะไร เพียงคว้ามือไปข้างหน้า.. แทรกแซงปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างทำให้อากาศเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นกระจกใส

“เมื่อแสงกระทบจากวัตถุมันจะส่งตรงไปยังดวงตาและเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เรารับรู้ในสมอง หมายความว่า.. พลังของมันคือการสาปบางอย่างที่สะท้อนเข้ามาที่ระยะการมองเห็นของมัน”

“แต่ถ้าหากคำสาปถูกร่ายออกมาและฉันสร้างกระจกขึ้นมาก่อนที่คำสาปจะส่งตรงมาถึง … ภาพสะท้อนนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า แต่เป็นตัวมันเอง”

“กล่าวคือคนที่จะกลายเป็นหิน.. มีเพียงแค่แกนั่นแหละ”

สิ้นเสียงของเธอผู้หญิงที่ยืนอยู่บนรถม้า ร่างของนกยูงก็แข็งกลายเป็นหิน พูดก็พูดเถอะคำสาปของมันทำงานผ่านสื่อกลางที่เรียกว่า ‘แสง’

และการจะตอบสนองแถมยังใช้เวทให้ไวกว่าสื่อกลางอย่าง ‘แสง’ คงมีนักเรียนน้อยคนที่จะทำได้

คนที่ยืนอยู่บนรถม้าคือเด็กสาวผมสีดำสนิทราวกับความมืดยามรัตติกาล.. ดวงตาสีดำสนิทของเธอราวกับอัญมณีสีนิล

สวมชุดของโรงเรียนที่ดูเข้ากับสีผมสีตายิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากเข้าไปอีก..

ผมของเธอโบกสยายตามแรงลม ราวกับเทพธิดาก็มิปาน … ใบหน้าของเธอเผยความอ่อนโยนและเป็นมิตรกับทุกคน

เธอคือ.. เลทิเซีย ทีน อาเดฟ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+